(Yaoi) รุ่งอรุณเคียงหทัยตอนพิเศษ 1-4 ถึงกระนั้นก็ตาม

Now you are reading (Yaoi) รุ่งอรุณเคียงหทัย Chapter ตอนพิเศษ 1-4 ถึงกระนั้นก็ตาม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนพิเศษ 1-4 ถึงกระนั้นก็ตาม

 

ด้วยเหตุนั้นกว่าชังฮโยจะกลับมาถึงบ้าน ตะกร้าสมุนไพร เสื้อผ้าอาภรณ์ กระทั่งศีรษะ ไม่มีที่ใดไม่เปียกชุ่มน้ำฝน 

 

 

เขาเข้ามาภายในบ้าน ถอดตะกร้าวางไว้ที่มุมหนึ่งก่อน จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าออกจนหมด หยิบผ้าพับวางเอาไว้บนลิ้นชักไม้เก่าๆ ขึ้นมาซับน้ำออกจากเส้นผม ถึงจะเริ่มเช็ดเนื้อตัว 

 

 

จะผ่านมากี่ปี หรืออนาคตจะผ่านไปอีกกี่ปี การทรงตัวและการก้าวเดินก็ยังคงเป็นเรื่องยากลำบาก ทว่าเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านพ้น ย่อมไม่มีเรื่องใดทำไม่ได้ และยามฝนเทกระหน่ำลงมาเช่นนี้ สำหรับพ่อค้าสมุนไพรอย่างเขาก็ถือว่ามีเวลาพักผ่อนล้นเหลือ ชังฮโยค่อยๆ เช็ดหยาดน้ำออกจากร่างกาย ก่อนจะหยิบอาภรณ์ตัวใหม่ออกมาและเริ่มสวมกางเกงก่อน 

 

 

ทว่าขณะนั้น เสียงสายฝนกระทบประตูก็ดังขึ้นจนคล้ายกับเสียงเคาะ ชังฮโยชะงักไปครู่หนึ่งแล้วหยิบเสื้อขึ้นมาพาดบนไหล่ แต่กลับได้ยินเสียงเคาะประตูอีกครา เป็นเสียงเคาะก๊อกๆ เช่นก่อนหน้านี้แล้วหยุดลง ตามหลักการแล้วหากเป็นเสียงสายฝนคงไม่สามารถหยุดลงได้แบบนี้ เขาจึงขยับเข้าใกล้ประตูแล้วเอ่ยถาม 

 

 

“มีใครอยู่ด้านนอกหรือ” 

 

 

“ร้านขายยาของหมู่บ้านด้านล่างแจ้งว่า ที่นี่คือบ้านของคนหาสมุนไพร ใช่หรือไม่” 

 

 

น้ำเสียงแผ่วเบาปะปนกับเสียงฝน แต่กลับให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างไรบอกไม่ถูก คล้ายกับน้ำเสียงของคนผู้หนึ่งที่ตนคะนึงหา ทว่าตอนนี้แม้กระทั่งในความฝันอีกฝ่ายก็ไม่ค่อยปรากฏตัวออกมาแล้ว คงจะเป็นความคิดถึงอันมากล้นจนเข้าใจผิดไปเอง แต่ถึงอย่างไรเมื่อได้ยินน้ำเสียงคล้ายคลึงกัน หัวใจก็เต้นรัวขึ้นมาจนได้  

 

 

บางที แค่บางที… ความคิดนั้นทะลุออกจากหัวใจมายึดครองความนึกคิดตามใจชอบ 

 

 

ชังฮโยสวมเสื้อเข้ากับช่วงไหล่ไร้ท่อนแขนอย่างเร่งรีบพลางตะโกนร้อง 

 

 

“โปรดรอสักครู่!” 

 

 

ทว่าเมื่อไร้แขนข้างหนึ่ง ทุกเรื่องล้วนจำเป็นต้องทำช้าๆ ด้วยการเร่งรีบทำให้เนื้อผ้าลื่นไหลและร่วงลงด้านล่าง การใส่ใจความเคลื่อนไหวด้านนอกประตูขณะสวมอาภรณ์ ทำให้ชังฮโยไม่มีสมาธิจนสูญเสียการทรงตัวและโซเซไปมา ตลอดหนึ่งปีแรกเขามีสภาพโซเซไปมาเฉกเช่นตอนนี้ หลังจากนั้นก็คิดว่าคงจะไม่เป็นอะไรแล้ว ทว่าดูท่าจะไม่สามารถหายดีอย่างสมบูรณ์ได้ 

 

 

“รอประเดี๋ยว!” 

 

 

ชังฮโยส่งเสียงตะโกนอีกหนและสวมเสื้อใหม่ คราวนี้โชคดีที่เกี่ยวอยู่บนไหล่ได้ เขาใช้มือข้างเดียวดึงเชือกมาผูกเอาไว้หลวมๆ ขยับเท้าไปด้านหน้าประตูก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก 

 

 

เพราะน้ำเสียงคล้ายคลึงกับผู้คะนึงหาทำให้เขาเผลอคาดหวัง แต่คงไม่มีเรื่องเช่นนั้นหรอก ไม่สิ มันไม่ทางเป็นเช่นนั้นได้เลยด้วยซ้ำ แม้จะรู้แก่ใจดี ก็ยังจะคาดหวัง ช่างโง่เขลานัก 

 

 

“หากเห็นแขกผู้มาเยือนแล้ว จงอย่าผิดหวังล่ะ” 

 

 

ชังฮโยย้ำกับตนเองด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยกับแขกผู้มาเยือนที่ยืนรออยู่ด้านนอก 

 

 

“ขออภัยที่ข้าเปิดประตูช้า ด้วยแต่งกายไม่เรียบร้อยจึงใช้เวลานานสัก…” 

 

 

จากนั้นก็เปิดประตูออกและบอกกล่าวถึงเหตุผลที่ทำให้อีกฝ่ายต้องคอย ทว่าเขากลับไม่อาจกล่าวได้จนจบ 

 

 

ด้านหน้าประตูมีคนผู้หนึ่งสวมหมวกและคลุมชุดกันฝนยืนอยู่ หมวกมีขนาดใหญ่จนมองไม่เห็นใบหน้า ทว่าด้วยท่าทางการยืน ชังฮโยก็ทราบทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขากำหมัดแน่นเพื่อหยุดมืออันสั่นเทา 

 

 

“สบายดีหรือ” 

 

 

เมื่อหมวกถูกดันขึ้นไปด้านหลัง ใบหน้าของผู้มาเยือนจึงปรากฏให้เห็นชัดเจน มีร่องรอยของระยะเวลาห้าปีติดฝังอยู่ แต่ในสายตาของชังฮโยใบหน้าของผู้ที่เฝ้าคิดถึง เฝ้าคะนึงหาก็ยังคงงดงาม ยามนี้เป็นดั่งความฝัน เป็นช่วงเวลาที่ตนเฝ้าฝันเป็นสิบเป็นร้อยครั้งตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านมา 

 

 

ทว่าทันทีที่ช่วงเวลานั้นเกิดขึ้นจริง เขากลับไม่สามารถกล่าวคำใดได้เลย 

 

 

จะคำว่าคิดถึง หรือยังคงรักอยู่เสมอ แม้กระทั่งการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบอย่างเรียบง่ายก็ไม่อาจกล่าวได้ทั้งสิ้น ทำได้เพียงจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเหยเกเท่านั้น 

 

 

“ฝนจะสาดเข้าบ้าน หากมิใช่ว่ารังเกียจจะมองสภาพข้าตอนนี้ เข้าไปพูดคุยกันข้างในคงจะดีกว่า” 

 

 

“อา… เอ่อ อ๋อ ได้” 

 

 

คำกล่าวของทันยองทำให้ชังฮโยเอ่ยตอบอย่างตะกุกตะกักและถอยหลังอย่างเก้ๆกังๆ ร่างบางก้าวเข้ามาด้านในแล้วปิดประตูลง จากนั้นจึงถอดหมวกและเสื้อคลุมกันฝนออกวางไว้ด้านหนึ่ง ตามด้วยรองเท้าเปียกชุ่มจนส่งเสียงเฉอะแฉะ ตลอดเวลานั้นชังฮโยก็ยังคงไม่ขยับไปไหนและยืนจ้องมองอีกฝ่ายอยู่เช่นนั้น หลังจากถอดรองเท้าออก ทันยองก็ยกยิ้มบางออกมาขณะจ้องมองเจ้าของบ้าน 

 

 

“พี่ ข้านั่งได้หรือไม่” 

 

 

“เอ่อ! นั่ง นั่งสิ!” 

 

 

เมื่อได้ฟังเสียงมาถึงขนาดนี้ ในที่สุดชังฮโยก็ยอมรับได้ว่าเรื่องตรงหน้าเป็น ‘ความจริง’ ทันทีที่เขานั่งลงฝั่งตรงข้าม ทันยองก็ยกยิ้มบางๆ อีกครา ร่องรอยของกาลเวลาทำให้ใบหน้าหวานยิ่งซูบซีด มีความแตกต่างของความโศกเศร้ามากกว่ายามแยกจากกัน พอได้จ้องมองใบหน้าชัดๆ ชังฮโยจึงทำสีหน้าเศร้าสลดออกมา 

 

 

“ยอง เหตุใดจึงมีสีหน้าเช่นนั้นเล่า” 

 

 

“ไม่รู้สิ…” 

 

 

ทันยองพรูลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้ววาดยิ้มใหม่ คราวนี้เป็นรอยยิ้มที่ไม่มีความเศร้าโศก ทว่ายังคงดูเจ็บปวด ทำให้สุดท้ายชังฮโยก็ทุบอกตนเองสองคราพลางทอดถอนใจเฮือกใหญ่ เป็นเพราะความผิดพลาดของตน ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวกลับทำให้คนตรงหน้าต้องกลายเป็นเช่นนี้ ความจริงข้อนั้นกรีดแทงในอก ทันยองมองปฏิกิริยาของชังฮโยแล้วเอ่ยปาก 

 

 

“อย่าทำสีหน้าเช่นนั้นเลย ข้าอุตส่าห์ฝ่าฟันความยากลำบากมาหาพี่นะ” 

 

 

“ฝ่าฟันความยากลำบากหรือ” 

 

 

“ข้าได้ยินจากฝ่าบาทมาแล้วว่าพี่ลงหลักปักฐานอยู่ที่ใด แต่พอลองมาจริงๆ แล้วกลับไม่สามารถหาพบ เพราะอยู่ในป่าลึกมาก” 

 

 

กำลังบอกว่าตั้งใจมาหากันถึงที่นี่อย่างนั้นหรือ ชังฮโยจ้องมองทันยองด้วยสายตางุนงงและสงสัย 

 

 

หลังจากวันนั้นเมื่อห้าปีก่อน เขานึกว่าโชคชะตาระหว่างพวกเราสองคนจะจบสิ้นลงแล้ว รวมถึงคิดว่าอีกฝ่ายคงลบเลือนตัวเขาออกจากสมองและจิตใจจนหมดสิ้น 

 

 

“เช่นนั้นเพราะเหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่ล่ะ” 

 

 

“ข้าจะอยู่ที่นี่” 

 

 

เมื่อคำตอบเหนือความคาดหมายหลุดออกจากปากทันยอง ชังฮโยก็คิดว่าตนเองฟังผิดจึงย้อนถามซ้ำว่าเหตุใดถึงมาที่นี่เป็นหนที่สอง และก็ได้ยินคำตอบเดิม นั่นคือมาเพื่ออยู่ด้วยกันที่นี่ 

 

 

เขาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเหลือเชื่อทันที ไม่เคยคิดเลยสักครั้งว่ายองจะยอมยกโทษให้ ชังฮโยค่อยๆ เปิดปากขึ้นช้าๆ จะต้องถามถึงสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ อยากถามให้มั่นใจกว่านี้ 

 

 

อย่างไรเสียคงไม่สามารถทำผิดพลาดซ้ำได้แล้ว ทันยอบเองก็ไม่สามารถหวนกลับมาได้แล้วเช่นกัน คงจะไม่ยอมรับการขอโทษใดๆ ทว่าน้ำเสียงที่ไม่น่าฟังดังออกมาต่างกับความรู้สึกเช่นนั้น 

 

 

“วันนั้น… เจ้ากล่าวว่า ไม่อาจ…อยู่ด้วยกันได้” 

 

 

“ใช่ ตอนนั้นมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ” 

 

 

“แล้วตอนนี้?” 

 

 

“ข้าคิดแล้วคิดอีกจนใช้เวลาไปถึงห้าปี แต่ก็สรุปได้เพียงว่าผู้ที่สามารถปลดปล่อยยอบได้ก็คือพี่” 

 

 

“หมายความว่าอย่างไร” 

 

 

คำถามของชังฮโยทำให้ทันยองพรูลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่อีกรอบ ก่อนจะนำผ้าแพรสีฟ้าพับอย่างเรียบร้อยออกมาจากอกเสื้อแล้ววางลงบนโต๊ะ ร่างบางค่อยๆ กางเจ้าสิ่งนั้นออก ภายในมีเศษหนังสีน้ำตาลอยู่ ชังฮโยเหลือบมองสิ่งนั้นแล้วเอ่ยถาม 

 

 

“นั่นคืออะไร” 

 

 

“รอยสักบนข้อมือของยอบ” 

 

 

ทันยองจ้องมองชิ้นหนังนั้นด้วยแววตาหลากหลายความรู้สึก เขากรีดผิวเนื้อบริเวณข้อมือที่มีรอยสักของยอบออกมา จากนั้นก็นำมาดองและตากแห้งอยู่หลายครั้งกระทั่งเก็บรักษามาได้จนถึงตอนนี้ สำหรับทันยองแล้ว หนังชิ้นนั้นเป็นร่องรอยสุดท้ายว่าทันยอบเคยมีตัวตน เป็นเหมือนตัวแทนทันยอบ 

 

 

“พี่ ความจริงแล้ว…” 

 

 

คนตัวเล็กหลุบสายตาลงต่ำขณะออกปากเกริ่น 

 

 

 

 

 

เหตุผลที่เขามาหาชังฮโยแบบไม่คาดคิดเป็นเช่นนี้ หลังออกจากวังหลวงก็พเนจรอย่างไร้จุดหมาย ปักหลักที่ใดที่หนึ่งไม่เกินเดือนก็ออกเดินทางต่อ ทำทั้งงานคุ้มกัน ทั้งงานเบ็ดเตล็ด แทบไม่มีเรื่องให้พูดคุยกับผู้ใดเลย แม้จะอ้างว้าง แต่ก็รู้สึกว่ายังมีทันยอบอยู่ด้วยเสมอ ทว่าความจริงแล้วทันยอบไม่เคยมาปรากฏตัวในความฝันเลยสักครั้งตลอดระยะเวลาสี่ปี 

 

 

ทว่าในวันหนึ่ง อีกฝ่ายกลับปรากฏตัวขึ้น ทันยอบช่วยปลอบและดึงเข้าไปกอดอย่างแนบแน่น ก่อนจะเอ่ยว่าตอนนี้ตนจะต้องไปจริงๆ แล้ว เมื่อเขาเอ่ยรั้งว่าอย่าไปพร้อมน้ำตา ยอบก็ลูบศีรษะพร้อมกระซิบบอก 

 

 

‘หากเจ้าเป็นเช่นนี้ ข้าคงจะไม่สามารถไปไหนได้เพราะยังห่วงกังวล ยอง ยามนี้เจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ และยังมีคนผู้หนึ่งรอคอยเจ้าอยู่ ไม่ต้องปิดกันความรู้สึกหรอก แม้เจ้าจะมอบให้ผู้อื่น ข้าก็ไม่โกรธเคือง ดังนั้น ตอนนี้จงเลิกเจ็บปวดได้แล้ว’ 

 

 

คำกล่าวนั้นกระแทกหัวใจจนเจ็บปวด ยอบยังเป็นห่วงกันถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่ไม่มาให้เจอหน้าเลยสักครั้งตลอดสี่ปี 

 

 

หลังจากนั้นทันยองก็ค่อยๆ ขบคิดเกี่ยวกับชังฮโย ก่อนจะมาหาถึงที่นี่เช่นนี้ 

 

 

 

 

 

เมื่อจบการเล่าเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ทันยองก็เบือนสายตาไปมองอีกคน 

 

 

“แต่ไหนแต่ไรข้าก็มักจะเอาแต่ใจ คิดแต่จะเอาชนะ หากพี่ไม่ต้องการ ข้าก็จะกลับ” 

 

 

รอยยิ้มบางประดับบนริมฝีปากของชังฮโย และค่อยๆ สดใสยิ่งขึ้น ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใดอยู่ๆ รอยยิ้มก็กลายเป็นหยาดน้ำตา ร่างบางจ้องมองใบหน้าเปื้อนน้ำตานั้น 

 

 

การหวนกลับมาหาคนที่ตนทิ้งเพราะไม่สามารถให้อภัย เอ่ยอ้อนวอนให้ยอมรับตนกลับมา เขาก็เข้าใจดีว่ามันช่างเป็นเรื่องไร้ความละอายใจ ทว่าเมื่อได้ฟังคำกล่าวของทันยอบ ลองปลอบประโลมความรู้สึกที่พยายามปิดกั้นเอาไว้ ก็พบว่ามันเต็มไปด้วยความอ้างว้าง ช่วงเวลาที่ผ่านมาช่างอ้างว้างเหลือเกิน ยามนี้จึงไม่ชอบใจในความอ้างว้างนั้น ตลอดห้าปีมันเพียงพอแล้ว 

 

 

เมื่อใบหน้าหวานพลันหม่นหมอง ชังฮโยก็ลุกขึ้นมายืนตรงหน้าทันยอง ก่อนจะเอื้อมสัมผัสปรางแก้มอีกฝ่าย 

 

 

“ข้ารออยู่ ยอง ข้าไม่เคยลืมสักวัน และขออภัยต่อยอบมาตลอดห้าปี แล้วก็เฝ้าคิดถึงเจ้า” 

 

 

“พี่…” 

 

 

ไม่มีคำพูดใดอีก ชังฮโยใช้มือข้างเดียวที่มีโอบประคองแก้มของทันยองอย่างอ่อนโยน ทันยองเองก็ใช้มือข้างที่สูญเสียนิ้วสัมผัสมือของร่างสูงกลับ บุรุษสองคนผู้มีร่างกายไม่สมบูรณ์ จิตใจมีบาดแผลประสานสายตากันครู่หนึ่ง ก่อนชังฮโยจะขยับปากอย่างช้าๆ 

 

 

“อย่าไปไหนอีกเลย” 

 

 

ทันยองไม่ได้ตอบรับ แต่ชังฮโยก็รับรู้นับแต่นี้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่กับตนตลอดไป 

 

 

เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว คนตัวเล็กขยับลุกอย่างช้าๆ และอิงศีรษะแนบกับอ้อมอกแกร่ง ความอ้างว้างตลอดห้าปีค่อยๆ หลอมละลายสลายหายไป 

 

 

พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก โอบกอดกันและกันอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่ง 

 

 

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ทันยองกับชังฮโยก็นำแผ่นหนังของทันยอบมาเผาเพื่ออำลา 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด