(Yaoi) รุ่งอรุณเคียงหทัย 10-10 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ

Now you are reading (Yaoi) รุ่งอรุณเคียงหทัย Chapter 10-10 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 10-10 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ

 

เจ้าหน้าที่ไต่สวนถือตะบองขณะทำการสอบสวน หากไม่ยอมรับสารภาพก็จะถูกลงทัณฑ์โดยไม้ตะบองนั่นทันที การสอบสวนนี้ดำเนินโดยมีฝ่าบาทเข้าร่วมสังเกตการณ์ และเจ้าหน้าที่ผู้ไต่สวนทั้งสิบคน ฝ่าบาทก็ทรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง 

 

 

คนเหล่านี้ทำการสอบสวนนักโทษตามลำดับ หากนักโทษสารภาพความผิดหรือไม่ยอมรับ ก็จะดำเนินการสั่งลงโทษด้วยไม้ตะบอง 

 

 

ทว่าในกรณีที่นักโทษไม่ยอมรับสารภาพ เจ้าหน้าที่ไต่สวนก็จะแสดงหลักฐานความผิดของนักโทษผู้นั้น หรือเรียกพยานมาให้การ ทุกครั้งที่เจ้าหน้าที่จะให้โอกาสนักโทษกล่าวออกมาก่อน 

 

 

หากตัวนักโทษมีหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ของตน ก็สามารถให้ตัวแทนนำหลักฐานนั้นมาแสดงต่อฝ่าบาทกับเจ้าหน้าที่ได้ อีกทั้งยังสามารถเรียกพยานมาให้การเพิ่มได้เช่นกัน การตัดสินคดีเริ่มต้นประมาณช่วงเย็นและดำเนินต่อไปสองสามวันจนกระทั่งการไต่สวนของเจ้าหน้าที่ทั้งสิบคนเสร็จสิ้นลงทั้งหมด 

 

 

กฎหมายส่วนหนึ่งก็เป็นเช่นนี้ แม้นั่นจะไม่ได้ดำเนินถูกต้องตามกฎหมายทุกขั้นตอนก็ตาม 

 

 

ลานไต่สวนอยู่ด้านหน้าประตูอุนจอง ด้านนอกเขตตำหนักฮวังรยง ที่เดียวกับเมื่อครั้นไต่สวนมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการ จาฮอนทำเช่นนี้เพื่อปลอบประโลมความโกรธแค้นของผู้คนที่ต้องถูกประหารพร้อมมหาเสนาบดีพลาธิการ คยองยูล เขาจึงสั่งให้จัดเตรียมทุกอย่างให้เหมือนครานั้น 

 

 

เหล็กนาบลงทัณฑ์หลายอันถูกเสียบเตรียมเอาไว้ในเตาไฟด้านหน้าประตูอุนจอง รวมถึงเครื่องลงทัณฑ์ทั้งขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ล้วนถูกจัดเตรียมไว้ด้านหนึ่งของพื้นที่ 

 

 

ทันทีที่ถึงเวลา เหล่าเจ้าหน้าที่ก็มายืนเรียงแถวในชุดเครื่องแบบเต็มยศ ห่างออกไปเล็กน้อยก็เป็นเหล่าทหารหลวงกับองครักษ์ฮวังรยงเรียงแถวยาว ส่วนเจ้าหน้าที่บันทึกการไต่สวนที่เรียกว่ามุนซานังช็อง[1] ทั้งแปดคนก็นั่งลงทั้งซ้ายขวาฝั่งละสี่คน บนโต๊ะข้างหน้ามีกระดาษ พู่กันและแท่นหมึกวางอยู่ 

 

 

เหล่าเสนาบดีทั้งหกกรมก็เข้าร่วมด้วย มหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการและมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการคนปัจจุบันก็เข้าร่วมเช่นกัน นั่งอยู่ในตำแหน่งด้านล่างที่ประทับ แต่สูงกว่าเหล่าขุนนางทั้งหลาย และด้านข้างของที่ประทับเป็นเหล่านางกำนัลและเหล่าขันที ต่อแถวยืนอยู่ด้านข้างมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการและฝ่ายตุลาการ 

 

 

“ฝ่าบาทเสด็จ!” 

 

 

ขันทีที่ยืนอยู่ท้ายแถวตะโกนรายงานเสียงดัง เมื่อได้ยินเช่นนั้น ขันทีที่อยู่ตรงกลางก็ตะโกนขึ้นตาม และขันทีที่ยืนอยู่ใกล้ลานไต่สวนที่สุดก็ทำการตะโกนรายงานซ้ำอีกหน 

 

 

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง องค์จักรพรรดิในฉลองพระองค์เต็มยศและขันทีโชที่มักจะคอยติดตามอยู่ข้างพระวรกายก็ปรากฏตัวออกมาจากด้านในของตำหนักฮวังรยง ฝ่าบาทก้าวย่างไปทางที่ประทับของตนอย่างไม่ลังเล โดยเหล่าขันทีกับนางกำนัลเองก็ติดตามมาด้านหลัง ขึ้นไปยืนเรียงแถวทั้งสองฝากของที่ประทับจนกลายเป็นกำแพงมนุษย์ 

 

 

“ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!” 

 

 

ทันทีที่จาฮอนมายืนอยู่ด้านหน้าที่ประทับ ผู้คนทั้งหมด ณ ลานไต่สวนล้วนคุกเข่ากับพื้นเพื่อค้อมคำนับและตะโกนออกมา เขากวาดสายตามองคนเหล่านั้นช้าๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม 

 

 

“ลุกขึ้น เริ่มการไต่สวนได้ ไปนำตัวนักโทษมา” 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ทหารหลวงหลายคนค้อมคำนับแสดงความเคารพแล้วเคลื่อนกายไปทางคุกหลวง ฝ่าบาทนั่งลงบนที่ประทับพลางสังเกตโดยรอบลานไต่สวนอย่างช้าๆ อีกคราหนึ่ง 

 

 

ที่แห่งนี้เป็นที่ที่มหาเสนาบดีพลาธิการ คยองยูลคุกเข่าและร้องขอความเป็นธรรม ส่วนยูจินมยอง บิดาของโซกัง ต้องการช่วยชีวิตบุตรชายจึงหักหลังผู้ที่ตนเชื่อถือใกล้ชิดและเคยติดตาม จากนั้นผู้คนมากมายก็ถูกลากตัวออกมาตามลำดับ ต่างโต้แย้งว่าทุกอย่างไม่เป็นความจริง 

 

 

ทั้งการสร้างความชอบธรรมและเติมเต็มความละโมบของตนจึงใส่ร้ายผู้คนมากมาย ดังนั้น การลงทัณฑ์มหาเสนาบดีตุลาการ แพคมีกัง ก็นับว่าเป็นเรื่องถูกต้อง 

 

 

ทว่ามีเรื่องสำคัญอีกเรื่องอยู่ในใจของจาฮอน เพราะเรื่องนั้นจะทำให้โซกังไม่ได้รับอันตรายต่อชีวิต หรือความเจ็บปวดใดๆ อีกต่อไป อีกทั้งยังช่วยปล่อยวางภาระอันหนักอึ้งที่ต้องแบกรับภายในจิตใจตลอดมา ต้องจัดการโดยมิให้ผู้ใดสามารถตำหนิได้ว่าทำด้วยความรู้สึกส่วนตัว ต้องให้จิตใจของโซกังเป็นสุข จิตใจเขาจึงจะเป็นสุขได้เช่นกัน 

 

 

จาฮอนจ้องมองด้วยแววตาซุกซ่อนความมาดร้ายไปทางมหาเสนาบดีตุลาการ อีกฝ่ายกำลังเดินมาจากที่ไกลๆ โดยสวมมงดู[2] 

 

 

ครู่หนึ่งหลังจากนั้น แพคมีกังก็คุกเข่าลงกลางลานไต่สวน โดยมีเจ้าหน้าที่ไต่สวนเอ่ยถามชื่อและอายุด้วยน้ำเสียงดุดัน มงดูทำให้คนผู้นั้นตอบกลับเสียงดัง ทันทีที่ตอบคำถามครบถ้วน มงดูก็ถูกถอดออกจากศีรษะของอีกฝ่ายอย่างยากลำบาก 

 

 

เขาจ้องมองชายชรา ผมเผ้าปล่อยกระเซอะกระเซิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างแข็งกระด้าง 

 

 

“เจ้าหน้าที่จงบอกกล่าวความผิดของนักโทษผู้นี้” 

 

 

ทันทีที่ฝ่าบาทมีรับสั่งคำสั่ง ผู้รั้งตำแหน่งสูงสุดของเจ้าหน้าที่ไต่สวนทั้งสิบคนก็ก้าวออกมาด้านหน้า กางม้วนกระดาษที่ถือออกและเริ่มต้นอ่านเนื้อความในนั้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม 

 

 

“ความผิดฐานส่งเสริมการลอบปลงพระชนม์ขององค์จักรพรรดิขณะทรงดำรงตำแหน่งรัชทายาท ความผิดฐานยักยอกฉ้อฉลทรัพย์สมบัติของราชวงศ์ ความผิดฐานส่งเสริมการปลงพระชนม์ของอดีตจักรพรรดินี ความผิดฐานลอบคบชู้กับสตรีของจักรพรรดิพระองค์ก่อน ความผิดฐานใส่ร้ายป้ายความว่าผู้อื่นก่อกบฏ ความผิดฐานฝึกฝนนักฆ่าและก่อตั้งกลุ่มนักฆ่าอันเป็นเรื่องต้องห้ามภายในอาณาจักร ความผิดฐานสั่งหารให้นักฆ่าบุกรุกวังหลวง ความผิดฐานสร้างความวุ่นวายในราชสำนักด้วยหมายจะปลุกปั่นความขัดแย้งในกลุ่ม นักโทษแพคมีกัง หากมีคำโต้แย้งเกี่ยวกับความผิดทั้งหมดนี้ จงกล่าวออกมา” 

 

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมเพียงต้องการสนับสนุนความมั่นคงของราชสำนักด้วยอำนาจของฝ่ายเชเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ การก่อตั้งกลุ่มนักฆ่าอย่างที่กล่าวหานั้น ไม่เป็นความจริง นั่นเป็นเพียงการเก็บเหล่าเด็กๆ ผู้อดอยากทั้งในและนอกเขตเมืองหลวงมา และสอนวิธีการใช้ชีวิตให้พวกเขาเท่านั้น อีกทั้งอำนาจของราชวงศ์ก็ระส่ำระสาย เพื่อปกป้องจักรพรรดิองค์ก่อน นั่นจึงเป็นวิธีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ส่วนการฉ้อฉลทรัพย์สมบัติราชวงศ์ ก็หาใช่กระหม่อม การลอบปลงพระชนม์อดีตจักรพรรดินีและพระองค์เองก็หาใช่กระหม่อมอีกเช่นกัน ล้วนเป็นสนมที่ไม่ได้รับความสนใจจึงลงมือด้วยความริษยา กระหม่อมไม่อาจเอาชนะการข่มขู่จนนำมาซึ่งความผิด และท้ายที่สุด การกล่าวหาว่ากระหม่อมป้ายสีให้มหาเสนาบดีพลาธิการ คยองยูลเป็นกบฏ คนผู้นั้นเป็นกบฏจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

เมื่อจบถ้อยคำกล่าวขานความผิดของเจ้าหน้าที่ไต่สวน แพคมีกังก็โต้แย้งอย่างละเอียดทันทีโดยไร้ความละอาย แม้ว่าหลักฐานและพยานทั้งหมดจะอยู่ในมือของเขาแล้ว ทว่าอีกฝ่ายกลับยังกล้ากล่าววาจาเช่นนั้น จนอยากตะโกนสั่งให้ลงทัณฑ์แยกร่างเสียเดี๋ยวนี้ดั่งใจคิด ทว่าเพียงแค่ทัณฑ์แยกร่างคล้ายจะไม่สามารถปลอบโยนวิญญาณอาฆาตของคนเหล่านั้นได้ แต่หากเปิดโปงจนถึงที่สุด เหล่าผู้สูญเสียชีวิตด้วยการกระทำของคนผู้นี้ก็จะได้รับความเป็นธรรม 

 

 

เพื่อทำลายมหาเสนาบดีพลาธิการและฝ่ายซอน แพคมีกังถึงกับลากโควังยามาเกี่ยวข้องจนต้องโทษประหาร และใช้อำนาจการตัดสินคดีที่ได้รับจากจักรพรรดิองค์ก่อนมาทำลายตระกูลของมหาเสนาบดีพลาธิการจนสิ้น นอกเหนือจากนั้นยังทำให้ขุนนางสังกัดฝ่ายซอนและคนในตระกูลของพวกเขาเหล่านั้นถูกประหารมากมาย 

 

 

ทั้งยังสั่งให้เหล่านักฆ่ายาอึมเคลื่อนไหว ข่มขู่ผู้เกี่ยวข้องที่มีชีวิตรอดและมีอำนาจเพียงน้อยนิดให้อยู่อย่างสงบ ถึงฝ่ายเชจะยึดครองราชสำนักแล้ว แต่ระหว่างนั้นหากมีผู้ใดคิดต่อต้านก็จะส่งนักฆ่ายาอึมไปจัดการ 

 

 

คำให้การจากนักฆ่าเหล่านั้น กล่าวว่าถูกเรียกให้ไปทำภารกิจนั้นโดยมอบหมายผ่านเถ้าแก่เจ้าของร้านผ้าไหม แล้วจะกล้ากล่าวโต้แย้งอันใดอีก 

 

 

จาฮอนสูดหายใจเข้าออกเฮือกใหญ่เพื่อทำให้จิตใจตนสงบลง จากนั้นจึงเอ่ยสั่งการต่อเจ้าหน้าที่ไต่สวน 

 

 

“เริ่มได้ ลงโทษจนกว่าไร้ข้อโต้แย้งแม้แต่น้อย” 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 

 

 

เจ้าหน้าที่ไต่สวนผู้อ่านม้วนกระดาษเมื่อครู่ ม้วนมันกลับคืนเป็นอย่างดีก่อนจะส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ไต่สวนอีกคน เมื่อได้รับสัญญาณก็ขยับเข้าไปใกล้แพคมีกังและส่งสัญญาณต่อให้เจ้าหน้าที่ลงทัณฑ์ คนผู้นั้นจึงขยับเข้ามาใกล้ทั้งๆ ที่ถือไม้ตะบองขนาดใหญ่อยู่ เจ้าหน้าที่ไต่สวนก้มมองชายชราและเอ่ยย้ำถาม 

 

 

“นักโทษแพคมีกังก่อตั้งกลุ่มฝึกฝนนักฆ่า และสั่งให้นักฆ่าเหล่านั้นบุกรุกวังหลวง เจ้ายอมรับความผิดนี้หรือไม่” 

 

 

“กระหม่อมกราบทูลไปแล้ว นั่นเป็นเรื่องผิดจากความเป็นจริงพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“มีหลักฐานหรือพยานพิสูจน์ว่านั่นมิใช่ความจริงหรือไม่ หากมี จงแสดงออกมาเสีย” 

 

 

คำกล่าวของเจ้าหน้าที่ไต่สวนทำให้แพคมีกังทอดถอนใจอย่างแผ่วเบา หัวหน้าของกลุ่มยาอึม ฝ่ายเดียวกับตนกำลังรอการไต่สวนอยู่ในคุกหลวงเช่นกัน ส่วนสามผู้ดูแลของฝ่ายเชที่ออกค้นหาพวกเด็กๆ ก็ปรากฏตัวในลานไต่สวน ทว่าทันทีที่ตนขอร้องให้ช่วยแก้ต่าง บ้างก็กล่าวว่านึกอะไรไม่ออก บ้างก็กล่าวว่าตนไม่ได้ไป หลีกเลี่ยงการออกมาเป็นพยาน 

 

 

หลังจากเหตุการณ์หน้าตำหนักฮวังรยง ก็ไม่มีผู้ใดมาพบเขาสักคน ดังนั้น แพคมีกังจึงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างด้านหน้าตำหนักฮวังรยง ด้วยเหตุนั้นจึงไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นหวาดกลัวฝ่าบาท เนื่องจากพระองค์ทรงกำจุดอ่อนของแต่ละคนเอาไว้ และเพื่อรักษาตำแหน่งของตนจึงต้องหันหลังให้เช่นนี้  

 

 

มิใช่เพียงคนเหล่านั้น กระทั่งเหล่าขุนนางที่ยามปกติมักจะคัดค้านองค์จักรพรรดิ เคยแบ่งปันความลับและฉ้อฉลร่วมกันต่างก็หันหลังให้กับแพคมีกังเช่นกัน ดังนั้น ชายชราจึงไม่อาจหาใครสักคนมาช่วยยืนยันให้ตน ณ ลานไต่สวนแห่งนี้ 

 

 

แม้ว่าหลังจากยังจาฮอน จักรพรรดิองค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์ บุรุษผู้นี้จะกลายเป็นพยัคฆ์แห่งราชสำนัก ทว่าสำหรับเขาผู้อยู่เหนือใครๆ เมื่อครั้งจักรพรรดิองค์ก่อน การกระทำเช่นนี้จึงนับเป็นความอัปยศอันใหญ่หลวง การประกาศความจริงว่าตนถูกเหล่าขุนนางฝ่ายเชทอดทิ้งโดยสมบูรณ์ต่อหน้าผู้คนมากมาย จึงได้แต่โกรธแค้นและขุ่นเคืองอย่างไม่อาจฝืนทน ทว่าในความเป็นจริงแล้ว กระทั่งความโกรธแค้นก็ยังแสดงออกมาไม่ได้ สุดท้ายแล้วแพคมีกังจึงต้องทอดถอนใจเฮือกใหญ่อีกหนและกล่าวออกมาอย่างเนิบนาบ 

 

 

“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“หากไม่มีพยานหรือหลักฐานยืนยัน แล้วจะโต้แย้งว่าผิดจากความเป็นจริงได้อย่างไร” 

 

 

“กระหม่อมรู้สึกไม่เป็นธรรม จึงจำเป็นต้องโต้แย้งพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมเพียงแค่เก็บพวกเด็กๆ มาเลี้ยงดูเท่านั้น มันไม่ยุติธรรมเลย!” 

 

 

การยอมรับผิดและเลือกรับโทษทัณฑ์อย่างสง่าผ่าเผย ย่อมเป็นหนทางสุดท้ายที่จะรักษาเกียรติยศเอาไว้ แม้ชีวิตของแพคมีกังจะมีเรื่องค้างคาใจอยู่มากมาย แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้แล้ว ดังนั้น แม้จะมีความหวังเพียงริบหรี่ ก็อยากดิ้นรนเพื่อรักษาชีวิตของตนก่อน 

 

 

 

 

 

[1] มุนซานังช็อง ตำแหน่งพิเศษที่รับผิดชอบการจดบันทึกรายละเอียดการตัดสินคดีของนักโทษ 

 

 

[2] มงดู เครื่องลงทัณฑ์ที่สวมครอบที่ศีรษะยามนักโทษอาญาถูกจับกุม 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด