(Yaoi) รุ่งอรุณเคียงหทัย 5-8 รัก

Now you are reading (Yaoi) รุ่งอรุณเคียงหทัย Chapter 5-8 รัก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 5-8 รัก

 

ดวงตาของจาฮอนโค้งลงอย่างอ่อนโยนพร้อมยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย โซกังถึงกับเบะปาก เพราะถึงจะเป็นสนมแต่ตนก็นับเป็นบุรุษโดยกำเนิด จะให้แสดงออกด้วยวิธีไม่เหมาะสมเช่นนี้ ช่างไม่น่าดูและน่าขบขัน ทว่าทั้งๆ ที่ไม่รู้เหตุผล แต่กลับถูกตีก้นอย่างไม่อาจเลี่ยง จึงเผลอเบะปาก ทำสีหน้าบูดบึ้ง เปิดเผยท่าทางดื้อรั้นอย่างเต็มที่ 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ เชิญตีได้เลย ตอนนี้ช่วงล่างของกระหม่อมระบมบวม เสียจนนิ้วของฝ่าบาทผ่านเข้าไปไม่ได้สักนิ้วแล้ว หากอยากตีก็ทรงลงมือเถิด” 

 

 

โซกังผลักอกอีกฝ่ายออกแผ่วเบาด้วยใบหน้าบึ้งตึง นั่นถึงกับทำให้คิ้วเข้มกระตุกทันที ก่อนจะดึงร่างบางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดตนอย่างแรง พอดิ้นต่อต้าน จาฮอนก็ยิ่งกอดรัดแน่นขึ้นไปอีก ถึงไม่ทำเช่นนั้นร่างกายก็ปวดเมื่อยไปทุกส่วนอยู่แล้ว เจ้าตัวจึงร้องท้วงออกมา 

 

 

“อื้อ จาฮอน เจ็บนะพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ก็เจ้านั่นแหละดิ้นไปดิ้นมา ช่วยไม่ได้ เพราะเจ้าผลักข้าเอง ข้าถึงไม่พอใจ” 

 

 

“ก็ทรงแกล้งกันก่อน กระหม่อมแค่แกล้งกลับเท่านั้น หากไม่พอพระทัยเช่นนี้ จะทำอย่างไรได้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“คงไม่กระมัง เจ้าไม่รู้หรืออย่างไร แม้รู้ว่าแกล้งเล่นก็ยังไม่พอใจอยู่ดีสินะ หากเป็นเรื่องของเจ้าแล้ว ข้าก็ไม่อาจควบคุมความรู้สึก จนกลายเป็นเรื่องขึ้นมาเสียได้” 

 

 

น้ำเสียงยังคงเจือความไม่พอใจอยู่เล็กน้อย โซกังเลยเงยหน้าไปใกล้ๆ ใบหูร่างสูงแล้วกระซิบ 

 

 

“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ ท่านพี่ ยามนี้ช่วยกอดข้าเบาๆ หน่อยเถิด” 

 

 

โซกังร้องโอดครวญแล้วขยับแขนพาดกับลำคอแกร่ง ทันใดนั้นจาฮอนจึงผ่อนแรงลง ร่างบางลูบสัมผัสเส้นผมของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนและกระซิบอีกครา 

 

 

“กระหม่อมรักฝ่าบาท อีกทั้งยังสาบานแล้วด้วยมิใช่หรือ กระหม่อมไม่มีทางปฏิเสธฝ่าบาทได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ลมหายใจหอมหวานและนํ้าเสียงนุ่มนวล ทำเอาจาฮอนต้องหลุดหัวเราะแผ่วเบา แล้วบอกแก่คนในอ้อมกอดว่าตนใจเย็นลงแล้วก่อนจะผละตัวออก 

 

 

 

 

 

หลังจากนั้น โซกังกับจาฮอนก็มานั่งเผชิญหน้าโดยมีโต๊ะกลมคั่นกลางระหว่างกัน เหล่านางกำลังนำของว่างเข้ามาได้ถูกจังหวะเวลาพอดี ด้วยเลยยามยูมาเกินครึ่งแล้ว จึงเป็นเวลาที่เหมาะกับการดื่มฮวังชาและทานขนมฮวันบยองอย่างยิ่ง 

 

 

นางกำนัลถอยห่างด้วยใบหน้าเห่อแดงเช่นเดียวกันนางกำนัลคนก่อนหน้า เพราะรอยที่ปรากฏบนต้นคอของโซอีมามา เมื่อนางกำนัลคนที่สองออกไปแล้ว โซกังจึงตระหนักถึงความจริงนั้น เลยตัดสินใจเอ่ยกับจาฮอนทั้งๆ ที่ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ 

 

 

“หากรอยนี้จางแล้ว หากทรงไม่ทำรอยที่คออีกจะดีอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ออกจะงดงามยิ่งนัก เหตุใดจึงห้ามเล่า” 

 

 

“กระหม่อมอาย มันเหมือนถูกจับได้ว่าทำเรื่องนั้นกับท่าน…จาฮอนบนเตียงพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ถึงจะร่วมหอและมีใจต่อกันเป็นแน่แท้ ทว่าหากให้เรียกแค่ชื่อเฉยๆ ก็คล้ายทำความผิดอย่างบอกไม่ถูก เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงองค์จักรพรรดิผู้น่าเกรงขาม อีกทั้งยังมีชันษามากกว่า สุดท้ายโซกังจึงไม่อาจหาญเรียกเพียงนามเช่นเมื่อครู่ ละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเติมคำว่า ‘ท่าน’ นำหน้า 

 

 

เมื่อได้ยินคนตรงหน้าเรียกตนว่า ‘ท่านจาฮอน’ เจ้าตัวก็พลันยิ้มกว้างออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะการกระทำหรือคำพูด ไม่มีสิ่งใดไม่งดงามหรือไม่น่ารักเลย ส่วนกับคำร้องขอว่าห้ามทำรอยอีก จาฮอนทำสีหน้าจริงจังก่อนจะตอบกลับ 

 

 

“พวกนางมีหน้าที่ดูแลผู้เป็นที่รักของข้า ย่อมต้องรับรู้อยู่แล้ว อืม ต้องประทับตรงบริเวณที่มองเห็น จะได้ไม่ทำเรื่องไม่ควรต่อเจ้ามิใช่หรือ” 

 

 

“กระหม่อมอยู่ในความดูแลของฝ่าบาท ผู้ใดจะกล้าทำเรื่องไม่ควรพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“โซกังอา ไม่ว่าสตรีหรือบุรุษที่เข้ามาในวังหลวงแห่งนี้ หากไม่ได้รับความรักจากจักรพรรดิ ก็มีสถานะไม่ได้ดีกว่าพวกนางกำนัล ฉะนั้นเพื่อไม่ให้คนสำคัญของเราถูกดูแคลน ก็ต้องหมั่นแสดงให้เห็นว่าเจ้าเป็นที่รักของเรามิใช่หรือ” 

 

 

“แต่กระหม่อมเขินอายยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ ท่านจาฮอน” 

 

 

จาฮอนเบิกตาโตขึ้น ขณะสบสายตากับโซกังก็ต้องยกยิ้มสดใสออกมาเช่นนี้ มีคำกล่าวตั้งแต่อดีตว่าหากอยากเป็นจักรพรรดิผู้ฉลาดเฉลียว ย่อมต้องอยู่ให้ห่างจากภรรยาคนโปรด แต่การให้ความใส่ใจแก่คนรักคือสิ่งที่แน่นอน ดังนั้นจึงไม่อาจจะปฏิเสธคำร้องขอของอีกฝ่ายได้ ทว่าเขาก็ไม่สามารถหยุดทำรอยและเลิกขบงับผิวเนื้อของโซกังเลย 

 

 

“เช่นนั้นจะทำแค่รอยเดียว” 

 

 

“ตกลงพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้เชิญเสวยของว่างเถิด” 

 

 

ร่างบางตกลงยอมรับข้อเสนอ ก่อนจะส่งขนมฮวันบยองให้แก่ฝ่าบาท ไม่รู้สำคัญเช่นไร แต่ในเมื่อเอ่ยเอื้อนถึงขนาดนี้ยังบอกว่าไม่ได้ การยอมรับข้อตกลงก็ไม่เลวนัก ถึงกระนั้น เพียงแค่รอยเดียวก็ไม่รู้จะปิดบังอย่างไรแล้ว 

 

 

จาฮอนกัดขนมฮวันบยองหนึ่งคำ ส่วนที่เหลือก็ส่งเข้าปากอีกฝ่าย หน้าของโซกังพลันขึ้นสีแดงระเรื่อ อ้าปากรับขนมฮวันบยองจากฝ่าบาท ทั้งสองละเมียดละไมทานอย่างช้าๆ พร้อมกับพูดคุยแบ่งปันเรื่องนั้นเรื่องนี้ และด้วยความรอคอยมาทั้งวันจนไม่อาจทนได้ ร่างสูงจึงเอ่ยปากถาม 

 

 

“คิดเรื่องของขวัญอภิเษกหรือยัง ข้าจะให้ทุกสิ่งที่เจ้าต้องการ” 

 

 

“คิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“เช่นนั้นมีสิ่งใดที่ต้องการหรือไม่” 

 

 

“มีพ่ะย่ะค่ะ ท่านจาฮอน” 

 

 

“บอกมาเถิด หากเจ้าต้องการ จะให้ข้าพาข้ามมหาสมุทรก็ย่อมได้” 

 

 

“หากได้ยินแล้วอาจทำให้ไม่พอพระทัย แต่บรรดาทาสชายหญิงของกรมฝ่ายใต้นั้น ล้วนมีผู้เกี่ยวข้องกับคดีกบฏของอดีตมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการ ทั้งผู้มีตำแหน่งต้อยตํ่า หรือคนในตระกูลมากเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ดังนั้น?” 

 

 

“ขอทรงช่วยปลดปล่อยพวกเขาเหล่านั้น นั่นคือของขวัญที่กระหม่อมต้องการพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

จาฮอนทำสีหน้าแปลกใจกับคำขอร้อง โซกังเองก็ถือเป็นคนในตระกูลที่เกี่ยวข้องกับการก่อกบฏ ทว่ามหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการก็ไม่ใช่บิดาของอีกฝ่าย อีกทั้งยูจินมยองยังเป็นผู้เล่าแผนการของมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการออกมาอย่างละเอียด จนทำให้การสอบสวนจบลงอย่างรวดเร็วด้วยซ้ำ แล้วเพราะเหตุใดถึงห่วงใยคนเหล่านั้นกันนะ 

 

 

ร่างสูงขบคิดว่าควรถามออกไปดีหรือไม่ ก่อนจะเอ่ยปากออกมาช้าๆ 

 

 

“บิดาของเจ้าให้การเอาไว้มากนัก เจ้าจึงตั้งใจจะไถ่โทษแทนบิดาอย่างนั้นหรือ” 

 

 

โซกังยิ้มฝืดเฟื่อนกับคำถามนั้นแล้วส่ายหน้า เขามีเหตุผลส่วนตัว และกำลังลังเลว่าต้องบอกหรือไม่ จาฮอนเฝ้าสังเกตอยู่ และเมื่อเห็นสีหน้าเช่นนั้นจึงกล่าวเสริม 

 

 

“การมีความลับระหว่างคนรัก เป็นดั่งยาพิษ” 

 

 

ได้ยินดังนั้น ดวงตาก็ร้อนผ่าวด้วยจิตใจสับสน โซกังหลับตาแน่นแล้วลืมขึ้นช้าๆ หลังทำใจให้สงบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเริ่มเปิดปากอธิบาย 

 

 

“อันที่จริง กระหม่อมถูกส่งไปเรือนทาสกรมฝ่ายใต้ด้วยคนของตระกูลแพค แม้ไม่รู้ว่านายแท้จริงของคนผู้นั้นคือใคร เขาบอกเพียงว่าหากกระหม่อมไม่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น จะฆ่าผู้คนที่ตกเป็นทาสเพราะเกี่ยวข้องกับท่านมหาเสนาบดีให้หมดเสีย ด้วยเหตุนั้น กระหม่อมจึงปล่อยตัว อยู่อย่างไม่อาจตาย มีชีวิตเช่นนั้น…” 

 

 

สุดท้ายก็อดกลั้นไม่ไหวไหลทะลักออกมา หยาดน้ำตาร่วงรินจากดวงตาคู่สวย คิดไว้ว่าจะไม่ร้องไห้ แต่น้ำตากลับไหลออกมาเองไม่หยุด โซกังไม่อาจเอ่ยอะไรออกมาได้อีก ได้แต่ก้มหน้าปิดปากส่งเสียงสะอื้นเท่านั้น มือสั่นเทากดหน้าอกตนแน่น วันเวลาที่ต้องตกเป็นที่บำเรอโดยไม่สนสิ่งใด ฝังแน่นอยู่ในความรู้สึกไม่ยอมจางหาย 

 

 

จาฮอนจึงลุกขึ้นจากที่นั่ง ก้าวไปหาร่างบางแล้วดึงเข้ามากอด เมื่อถูกอ้อมอกอุ่นโอบกอด โซกังก็พลันกระตุกสั่น 

 

 

“ดังนั้น ฮึก ดังนั้น…” 

 

 

“พอแล้ว ข้าเข้าใจ ข้าจะปลดปล่อยพวกเขาทั้งหมดเอง” 

 

 

“ขอบพระ ทัย… ฮึก…” 

 

 

“ข้ารู้ เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว” 

 

 

ฝ่าบาทขมวดคิ้วมุ่นขณะกอดพร้อมลูบหลังปลอบ ผ่านไปครู่หนึ่งเสียงสะอื้นก็หยุดลง เนื่องจากร้องไห้อย่างหนักหน่วง ทั้งดวงตา ทั้งจมูก ทั้งริมฝีปาก กระทั่งแก้มจึงกลายเป็นแดงกํ่าไปหมด โดยเฉพาะดวงตาบวมปูด แต่สภาพเช่นนั้นก็ยังงดงามในสายตาของจาฮอน 

 

 

เพราะอีกฝ่ายคอยปลอบ โซกังกับจาฮอนจึงกลับมาดื่มชาและพูดคุยแบ่งปันเรื่องราวกันอีกครั้ง 

 

 

หลังจากทานขมมฮวันบยองชิ้นสุดท้าย ก็ดื่มฮวังชาล้างรสหวานในปาก โซกังก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังแท่นบรรทม ก่อนจะนั่งลงบนนั้น ครานี้เขายกยิ้มเขินอายแล้วเอ่ยปาก ทั้งๆ ที่บนใบหน้ายังมีร่องรอยของการร้องอย่างชัดเจน 

 

 

“มาตรงนี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ ทรงเหน็ดเหนื่อยจากงานราชการมาแท้ๆ ยังต้องกังวลเพราะกระหม่อมร้องไห้อีก… ถึงจะเล็กน้อย กระหม่อมก็อยากปรนนิบัติพระองค์บ้าง” 

 

 

เมื่อเข้าใจว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำอะไรให้ จาฮอนก็ไม่ปฏิเสธและรีบนอนลงบนแท่นบรรทม โดยหนุนศีรษะลงบนต้นขาของโซกังทันที มือเรียวสววยค่อยๆ ลูบลงบนกลุ่มผมของฝ่าบาท รวบเส้นผมที่ยังไม่ได้จัดแต่งของตนไว้บนไหล่ข้างหนึ่ง แม้ใบหน้าจะเพิ่งผ่านการร้องไห้มา ทว่าก็ยังดูคล้ายกับเทพธิดาฮังอาเช่นเดิม 

 

 

ความรักใคร่ทำให้คับแน่นไปถึงช่วงล่าง ส่วนที่ซ่อนอยู่ในอาภรณ์เริ่มอึดอัดขึ้นมา กลายเป็นการรักษาสิ่งที่เรียกว่ากำลังวังชา และทำให้ความปรารถนาพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกจนรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก 

 

 

“โซกังอา” 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะท่านจาฮอน” 

 

 

“เห็นทีข้าคงต้องมนต์ของเจ้าเข้าแล้วสินะ” 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ?” 

 

 

โซกังย้อนถามกลับอย่างงุนงง แต่ทว่าจาฮอนก็ไม่ได้ตอบอะไรอีก ร่างสูงหลับตาลงและค่อยๆ กำหนดลมหายใจ พยายามทำให้ช่วงล่างตื่นตัวสงบลง หากเมินเฉยดื้อรั้นทำตอนนี้เลย ก็อาจจะเกิดปัญหากับร่างกายของโซกังได้ จาฮอนพยายามทำใจให้สงบ นอนหนุนตักนุ่มอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งถึงช่วงเสวยสำรับมื้อเย็น  

 

 

หลังรับสำรับมื้อเย็นร่วมกัน เขาก็ป้อนยาบำรุงให้โซกัง โดยใช้ข้ออ้างว่าจะช่วยขจัดรสขมของยาด้วยจุมพิตอย่างดูดดื่ม พวกเปลี่ยนมาสวมเพียงอาภรณ์ตัวในแล้วล้มตัวลงนอนบนแท่นบรรทม กระซิบคำหวานอยู่ครู่ แน่นอนว่าไม่นานคำหวานเหล่านั้นก็กลายเป็นเสียงหอบหายใจ และเปลี่ยนเป็นเสียงครางอย่างออดอ้อน 

 

 

 

 

 

เช้าวันต่อมา ด้วยเพราะถูกกกกอดเฉกเช่นทุกวัน พอยามเช้ามาถึง จาฮอนจึงปล่อยคนหลับลึกด้วยความเหนื่อยอ่อนเอาไว้ ส่วนตนก็ก้าวออกจากตำหนักฮงฮวาตามลำพัง 

 

 

เขาสั่งให้ขันทีโชส่งคนไปยังกรมฝ่ายใต้เพื่อตรวจสอบทะเบียนทาส สืบหาผู้เกี่ยวข้องกับการก่อกบฏของท่านมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการทั้งหมดแล้วส่งกลับมาที่วังหลวง รวมถึงส่งทองคำไปยังกรมฝ่ายใต้ตามจำนวนนั้น และเมื่อเสร็จจากการหารือกับขุนนางที่ตำหนักฮวังรยง ฝ่าบาทก็ไม่ได้ตรวจดูฎีกา แต่กลับเรียกให้องครักษ์เงาเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะออกคำสั่งอย่างแผ่วเบา 

 

 

“จากบรรดาพวกทาสหลวงที่ถูกไถ่ตัวจากกรมฝ่ายใต้ สืบหาผู้ที่ทำการข่มเหงเขา แล้วกำจัดให้หมดเสีย” 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด