(Yaoi) รุ่งอรุณเคียงหทัย 6-1 บุปผาในอ้อมกอด

Now you are reading (Yaoi) รุ่งอรุณเคียงหทัย Chapter 6-1 บุปผาในอ้อมกอด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 6-1 บุปผาในอ้อมกอด

 

ตอนที่ 6 บุปผาในอ้อมกอด 

 

 

 

 

 

ยามโอ ณ ตำหนักฮึงด็อก 

 

 

สตรีเจ้าของตำหนักที่ประดับตกแต่งอย่างงดงามแห่งนี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ บนโต๊ะมีขนมและชาวางอยู่ ทว่าดูเหมือนจะไม่มีผู้ใดแตะต้องขนมเหล่านั้นเลย ฝั่งตรงข้ามของสตรีผู้นี้ ยังมีสตรีอีกสองนางซึ่งแต่งกายเรียบง่ายกว่าเจ้าบ้าน ทว่ายังคงงดงาม ผู้มีศักดิ์สูงสุดจิบชาเย็นชืดพอควรเข้าหนึ่งอึกพลางส่งสายตาให้สตรีอีกสองนาง ก่อนจะเอ่ยปากไถ่ถาม 

 

 

“เช่นนั้น ยุนซุกบีและออมฮยอนบีคิดเห็นอย่างไรบ้าง” 

 

 

“พวกเราไม่ทราบถึงเรื่องที่ทรงถามเพคะ ถึงอย่างไรก็ทรงมีสิ่งที่ตั้งใจจะกระทำอยู่แล้วมิใช่หรือ มามา ด้วยเพราะท่านพ่อตัดสินใจคัดค้าน ฝ่าบาทจึงทรงเขวี้ยงถ้วยชาใส่ ทั้งยังสั่งให้คุกเข่าอีก ถึงจะเป็นบิดาของสนมที่พระองค์ไม่เคยชายตาแลเลยสักครั้ง ทว่าก็เป็นถึงสนมขั้นบีผู้อ่อนน้อม ทรงทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน” 

 

 

สตรีผู้เอ่ยปากตอบคนแรกคือสนมยุนซุกบี ใบหน้าแต่งแต้มอย่างงดงามบูดบึ้ง นางกำมือทั้งสองข้างแน่นอย่างไม่อาจหักห้ามความไม่พอใจ ทั้งสามกำลังพูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักฮวังรยงเมื่อไม่กี่วันก่อน เมื่อนางได้ยินข่าวนั้นก็ตั้งใจจะวิ่งโร่ไปหาฝ่าบาททันที แต่คนจากทางตระกูลที่นำข่าวมาแจ้งได้ห้ามปรามเอาไว้ ออมฮยอนบีนั่งอยู่ข้างๆ ก็พึมพำว่า ‘ทรงทำเกินไป’ พร้อมช่วยลูบหลังยุนซุกบีเป็นการปลอบโยน 

 

 

สนมฮยอนควีบี เจ้าของตำหนักฮึงด็อก สตรีผู้รับบทบาทว่าที่องค์จักรพรรดินีที่เว้นว่างอยู่ในยามนี้ เหลือบมองยุนซุกบีพร้อมวาดรอยยิ้มพราย ก่อนจะเคาะถ้วยชาลงบนโต๊ะสองครา ทำให้การคร่ำครวญอย่างไม่สิ้นสุดชะงักลง 

 

 

“ถึงผู้อื่นจะรับรู้อยู่บ้างแล้วก็ตาม แต่บุรุษที่ฝ่าบาทลุ่มหลงนั้น เป็นบุตรชายของอดีตขุนนางกรมราชเลขา ยูจินมยอง เพราะความดันทุรังอันไร้ประโยชน์ของท่านแม่ทัพ ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการจึงยอมรับฟังเรื่องนั้น มันถึงยังมีชีวิตอยู่ ทว่าเดิมทีก่อนฝ่าบาทจะทรงขึ้นครองราชย์ มันสมควรต้องตายไปแล้วด้วยซ้ำ ไม่รู้ด้วยวิธีต่ำช้าอันใด ถึงกลายเป็นผู้ปรนนิบัติฝ่าบาทได้ มันไม่ควรได้อยู่ในตำแหน่งนั้น” 

 

 

“แล้วบันทึกนั่นได้ความอย่างไรบ้างเพคะ” 

 

 

เมื่อออมฮยอนบีเปิดปากถามออกมา ทั้งฮยอนควีบี ทั้งยุนซุกบีพลันมีสีหน้าเคร่งเครียดทันที เพราะต่างก็รู้ดีว่า ‘บันทึก’ นั่นมีอยู่จริง ฮยอนควีบีผู้รู้เรื่องราวมากที่สุดใบบรรดาสนม ก็ทอดถอนใจอย่างหนักแล้วเอ่ยอธิบาย 

 

 

“เพราะหาไม่เจอ มันถึงยังคงมีชีวิตอยู่อย่างไรเล่า ได้ยินว่ายอมใช้ร่างกายบำเรอพวกทาสในเรือนทาสสกปรกนั่นไปทั่ว กระทั่งฝ่าบาทก็ยังทรงหลงใหลร่างกายโสมมนั่น หากไม่ใช่เพราะบันทึก ไม่ว่าท่านมหาเสนาบดีจะพูดอะไร ก็ไม่อาจห้ามปรามได้ทั้งสิ้น แม้จะแอบส่งมือสังหารไปแล้วก็ตาม!” 

 

 

“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าฝ่าบาททรงคิดอะไรอยู่กันแน่ เอากระโถนโสโครกมาล้างแล้วขัดให้ขึ้นเงาอย่างไร ก็ไม่มีทางกลายเป็นของใหม่หมดจดได้ เอาของเล่นของพวกทาสหลวงต้อยตํ่ามาใช้ ช่างโสโครกเสียจริง” 

 

 

ยุนซุกบีกล่าวด้วยนํ้าเสียงไม่พอใจและเห็นพ้องกับคำพูดของฮยอนควีบี นางอยู่ในอารมณ์ขุ่นเคืองตั้งแต่เมื่อครู่เพราะบิดาของตนได้รับบาดเจ็บ ยุนซุกบีมีสีหน้าบิดเบี้ยวดั่งมีแมลงบินผ่านหน้า ก่อนจะเปิดปากกล่าวต่อ 

 

 

“อันที่จริง ยามมันยังอายุไม่ถึงยี่สิบ ข้าเคยพบหน้าโดยบังเอิญอยู่ครั้งหนึ่ง ใบหน้าขาวซีดราวกับผัดแป้ง ริมฝีปากก็แดงราวกับทาชาด รูปร่างหรือก็บอบบางคล้ายกิ่งต้นหลิว” 

 

 

“เป็นบุรุษผู้มีรูปลักษณ์ชวนให้บุรุษด้วยกันหลงใหลสินะ” 

 

 

“ไม่ใช่ถึงขนาดแยกแยะกับสตรีไม่ได้ ทว่าก็ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงได้มีรูปโฉมงดงามเฉกเช่นสตรี แม้จะมองข้ามสิ่งนั้นไป ก็ยังนับเป็นบุรุษมากเล่ห์ ฝ่าบาทจึงลุ่มหลงมัวเมาเช่นนี้ ยิ่งไม่ทรงใส่พระทัยกับเรื่องนั้นอยู่แล้ว ยังจะหลงใหลการร่วมสังวาสกับบุรุษอีก ยิ่งไม่สมควร พวกเราคงจะต้องทำอะไรสักอย่าง” 

 

 

หลังสิ้นคำพูดของสนมออมฮยอนบี ก็พลันเกิดความเงียบแสนสับสนขึ้นพักหนึ่ง 

 

 

ด้วยสีเหลืองอร่ามอันเป็นสีของทองคำทาบทับด้านบนโคมไฟสีแดง อันเป็นสัญลักษณ์ที่ประกาศให้รู้โดยทั่วกันว่าตอนนี้ฝ่าบาทกำลังมีความรักใคร่ต่อสนมผู้นั้น ทั้งยังหมายความว่าทรงประทับอยู่ที่นั่นทุกวัน ดังนั้นตั้งแต่อดีต บรรดาสตรีที่ได้รับความรักจากฝ่าบาทจึงเฝ้าร้องขอเรื่องนั้น การมีโคมแดงคลุมทับด้วยผ้าแพรสีเหลือง ณ ตำหนักของตน หมายถึงมีองค์จักรพรรดิคอยหนุนหลัง อันเป็นอำนาจอันแข็งแกร่ง และยามนี้อำนาจนั้นถูกกกกอดด้วยบุรุษมากมารยาแห่งตำหนักฮงฮวา มอบความอับอายให้แก่สตรีทั้งสามยิ่งนัก แน่นอนว่าพวกนางก็คิดเช่นนั้น จนต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างไม่อาจรู้ว่าผู้ใดเริ่ม และในความเงียบงัน ฮยอนควีบีก็เริ่มต้นกระซิบกระซาบขึ้นอีกครั้ง 

 

 

พวกนางจับกลุ่มสนทนากันเช่นนั้น กระทั่งเวลาคล้อยผ่านไปเรื่อยๆ จนเข้ายามมี[1] 

 

 

 

 

 

ในเวลาเดียวกัน จาฮอนก็เดินไปยังตำหนักฮงฮวาเพื่องีบช่วงกลางวัน ทุกๆ วันจะคอยยกข้ออ้างต่างๆ ออกมาเรื่อยๆ จนเหล่านางกำนัลไม่มีท่าทีตื่นตกใจที่เห็นฝ่าบาทเสด็จมาเยือนอย่างกะทันหันแล้ว และเพียงแจ้งให้โซอีมามาทราบว่าฝ่าบาทเสด็จมาเท่านั้น 

 

 

“โปรดทรงรอสักครู่พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

เสียงของโซกังดังออกมาแผ่วเบา ไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่ด้านในถึงบอกให้เขารอก่อนแทนที่จะบอกให้เข้าไปเลย แม้จะสงสัยอย่างยิ่งว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่ และเกือบพุ่งเข้าไปให้ถูกเรียกว่าคนไร้มารยาทเพื่อคลายข้อสงสัยแล้ว ทว่ากลับมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาขัดเสียก่อน ผู้รับหน้าที่ขุนนางกรมราชเลขาคือบิดาผู้ให้กำเนิดโซกัง และนับว่าเป็นบัณฑิตซื่อตรงเที่ยงธรรม แต่ผู้มีความเที่ยงธรรมเช่นนั้นกลับขับไล่ผู้เกี่ยวข้องไปสู่ความตาย ณ ลานไต่สวนนั่น ช่างดูเป็นดั่งเรื่องล้อเล่น อย่างไรก็ตาม บุตรชายอย่างโซกังก็ยังซื่อตรงอย่างยิ่งเฉกเช่นบิดา แม้กระทั่งในยามหลับใหล และหากโล่งใจก็จะแสดงออกอย่างเปิดเผย 

 

 

หลังสิ้นความคิดไร้สาระ จาฮอนก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะรอคอยจนกว่าอีกฝ่ายจะอนุญาตให้ตนเข้าไป 

 

 

ผ่านไปไม่นาน เสียงแผ่วเบาก็ดังออกมาจากภายใน 

 

 

“เชิญฝ่าบาทเข้ามาได้พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“เชิญเสด็จเพคะ ฝ่าบาท” 

 

 

เมื่อเหล่านางกำนัลเปิดประตูออก จาฮอนก็เดินเข้าไปพร้อมเอ่ยบ่น 

 

 

“มัวทำอะไรอยู่ถึงได้…” 

 

 

แต่ไม่ทันพูดให้จบ เขาก็ละสายตาจากโซกังไม่ได้เสียแล้ว จนกระทั่งได้ยินเสียงประตูปิดลงถึงขยับเข้าไปหา พร้อมกับหลุดเสียงอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว ร่างบางยืนอยู่ตรงหน้าโดยสวมอาภรณ์ที่ทำจากผ้าแพรเนื้อบางสีขาวส่องประกายเลือนราง แต่ไม่รู้ทำไมบนเนื้อผ้าถึงมีตัวอักษรสีแดงจางๆ เขียนไว้ 

 

 

ปกติอาภรณ์ตัวในจะไม่มีลวดลายใดๆ หรือไม่ก็มีเพียงลวดลายเล็กน้อยตรงปลายแขนเท่านั้น เขาเพิ่งเคยเห็นอาภรณ์ตัวในประดับลวดลายตัวอักษรเช่นนี้เป็นครั้งแรก ย่อมเป็นโซกังเขียนลงไปด้วยตนเองเป็นแน่แท้ จาฮอนลูบสัมผัสลาดไหล่บางอย่างอ่อนโยนก่อนจะเอ่ยถาม 

 

 

“เป็นอาภรณ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทำขึ้นมาใหม่อย่างนั้นหรือ” 

 

 

“มิใช่พ่ะย่ะค่ะ เป็นอาภรณ์ที่ทรงประทานให้ แม้จะไม่ได้มากมายนัก แต่กระหม่อมเพียงลองเขียนอักษรลงไปเท่านั้น รู้สึกเสียดายหากต้องทิ้งดอกไม้ที่ฝ่าบาทประทานให้ไปเฉยๆ กระหม่อมจึงขอมาทำสีย้อมพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“สีย้อม? ดอกไม้? ข้าไม่ค่อยจะเข้าใจว่าเจ้าพูดถึงอะไรกัน” 

 

 

“กระหม่อมพูดถึงตอน่ฝ่าบาทประทานผ้าแพรมาให้พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“อ๋อ เจ้าเอาดอกไม้เหล่านั้นมาทำสีย้อม ใช้เขียนตัวอักษรสินะ” 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ออกจะยาวสักหน่อย แต่ทรงอ่านจนจบได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

โซกังใบหน้าแดงซ่านพลางก้มหน้างุด จาฮอนมองตามทิศทางของตัวอักษรกับท่าทางของอีกฝ่าย แล้วก็เข้าใจว่าจะต้องทำอย่างไรหากตั้งใจอ่านจนจบ จากนั้นก็ขยับเข้าไปไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นและถามย้ำอีกครา 

 

 

“เริ่มต้นจากตรงไหนหรือ” 

 

 

“เริ่มจากตรงนี้พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

โซกังใช้นิ้วสัมผัสแผ่วเบาบนตัวอักษรบนอกด้านขวาพร้อมวาดยิ้มบางขึ้นบนใบหน้าแดงกํ่า จาฮอนกดนิ้วลงตามคำชี้แนะ และค่อยขยับนิ้วช้าๆ ไปตามตัวอักษร จนปัดผ่านยอดถันที่เริ่มชูชันขึ้นทีละนิดด้วยความประหม่า ร่างกายบาบบางกระตุกสั่นอย่างแผ่วเบาแล้วหลุดเสียงครางแผ่ว 

 

 

“อ๊ะ!” 

 

 

“ไม่ใช่ว่าต้องยืนนิ่งๆ ให้ข้าได้อ่านชัดๆ หรอกหรือ” 

 

 

“อา อ๊ะ” 

 

 

จาฮอนขยับนิ้วขึ้นลง ทั้งๆ ที่ยังกดแนบอยู่บนยอดอกอย่างหยอกเย้า โซกังเชิดหน้าขึ้นร้องครางออกมาเรื่อยๆ ราวกับจงใจจะยั่วยวน ร่างสูงเย้าแหย่ส่วนยอดถันอีกหลายครั้งก่อนจะผละออกอย่างเสียดาย ขยับเคลื่อนไปตามตัวอักษรบนร่างกายอีกฝ่ายช้าๆ 

 

 

จากสีข้างด้านขวา เอว แผ่นหลัง บั้นท้าย สะโพก ผ่านไปจนถึงหน้าอกด้านซ้าย ทว่าข้อความก็ยังไม่จบลง จาฮอนคลายปมออกช้าๆ ปลดเปลื้องอาภรณ์ที่ปกปิดข้อความที่เหลืออยู่ มีตัวอักษรสามตัวซ่อนอยู่ด้านใน… 

 

 

 

 

 

[1] ยามมี ช่วงเวลาบ่ายโมงถึงบ่ายสาม 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด