(Yaoi) รุ่งอรุณเคียงหทัย 6-3 บุปผาในอ้อมกอด

Now you are reading (Yaoi) รุ่งอรุณเคียงหทัย Chapter 6-3 บุปผาในอ้อมกอด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 6-3 บุปผาในอ้อมกอด

 

เหล่านางกำนัลของตำหนักฮงฮวาไปที่ห้องเครื่อง เพื่อนำชากับขนมมาถวายโซอีมามาและฝ่าบาทที่เสด็จมาเพื่อบรรทมช่วงกลางวันในยามมีดังเช่นทุกครา ทว่าไม่มีทางจะบรรทมจริงๆ หรอก ทั้งสองพระองค์ก็เพียงปลุกความเร่าร้อนกันตั้งแต่หัววัน และส่งเสียงทำให้หน้าร้อนผ่าวให้ได้ยินอยู่เสมอ 

 

 

ขณะตรงไปห้องเครื่องเพื่อตระเตรียมชา นางกำนัลสองคนก็ถูกนางกำนัลของฝ่ายอื่นรั้งตัวเอาไว้ พวกนางทั้งหมดต่างทำสายตาเป็นประกายด้วยความสงสัยใคร่รู้ ทั้งสองจึงจ้องมองอย่างประหลาดใจก่อนจะเอ่ยถาม 

 

 

“ใยจึงมองพวกข้าด้วยสายตาพิกลเช่นนี้เล่า จ้องอย่างกับว่าพวกข้าแอบซ่อนอะไรเอาไว้” 

 

 

“แล้วไม่ได้ซ่อนอะไรไว้หรือ” 

 

 

“เรื่องนั้นจริงหรือไม่ พวกข้าจะไม่บอกว่าเจ้าพูดหรอก บอกมาเถอะ หืม?” 

 

 

“ตั้งใจจะรับรู้เรื่องน่าสนุกเช่นนี้แค่หมู่พวกเจ้าหรืออย่างไร มาพูดคุยสักหน่อยเถิด โซอีมามาแห่งตำหนักฮงฮวา มัวเมาเรื่องอย่างว่าถึงขนาดหากขาดบุรุษเพียงนาทีเดียวก็ไม่อาจทนได้ ตอนกลางวันยามฝ่าบาทไม่อยู่ ก็ไปยั่วยวนพวกขันที ทำเรื่องบัดสีอย่างไม่คิดปิดบัง” 

 

 

“ว่าอย่างไรนะ!” 

 

 

“พวกขันทีล้วนถูกตอนหมด ไม่รู้ว่าเช่นนั้นจะไม่มีปัญหาใดหรือไม่” 

 

 

“ก็ไม่ใช่ว่าต้องทำเช่นนั้นเสียหน่อย ข้าได้ยินมาจากคนที่ทำงานในเรือนสตรีคู่หมายของขันทีผู้หนึ่ง เขาเล่าว่ารุนแรงจนสลบไสลทุกค่ำคืนเลย” 

 

 

หลังได้รับรู้หัวข้อของการติฉินนินทา เหล่านางกำนัลผู้อื่นถึงกับส่งเสียงอุทานอย่างตื่นตะลึงพลางปิดปากหัวเราะ แต่สีหน้าของนางกำนัลของตำหนักฮงฮวาผู้ดูแลโซอีมามากลับเครียดขึงเป็นอย่างมาก นี่มันเรื่องอะไรกัน! พวกนางขมวดคิ้วแน่นพร้อมย้อนถามอีกครา 

 

 

“หมายถึงอะไรกัน ลองพูดให้ชัดๆ หน่อยสิ” 

 

 

“พวกเจ้าย่อมรู้แก่ใจดีที่สุดมิใช่หรือ” 

 

 

“พวกข้าไม่รู้ถึงได้ให้เจ้าพูดออกมา! ข่าวลือนั่นมันเป็นอย่างไรกันแน่” 

 

 

“มามาของตำหนักฮงฮวาเป็นพวกมักมากในกาม เป็นบุรุษลุ่มหลงแต่เรื่องบนเตียง ก่อนยั่วยวนฝ่าบาทขึ้นเตียง ก็ทำเรื่องพรรค์นั้นกับทาสหลวงผู้นั้นที ผู้โน้นที ดูท่าจะติดกามโรคจากกรมฝ่ายใต้ ถึงขนาดสร้างห้องอาบน้ำส่วนตัวแยกเอาไว้ด้วย ถึงเพียงนั้นแล้วฝ่าบาทกลับทรงตกหลุมพลางเสียได้ พวกองค์ไม่เคยลองใกล้ชิดกับสตรีเลยสักครั้ง ไหนเลยจะไม่ทรงพอพระทัยได้เล่า เช่นนี้จะไม่เผยธาตุแท้ออกมาได้อย่างไร พวกเจ้าคงไม่เคยได้ยิน กลางวันแสกๆ เขายังล่อลวงเหล่าขันทีมากก” 

 

 

“พิโถ่ ช่างน่าอับอายเสียจริง เรื่องเช่นนี้ ช่างยากจะปิดปากเงียบได้” 

 

 

“ใช่แล้ว เจ้าเล่ห์ถึงเพียงนั้น ฝ่าบาทถึงได้ถูกหลอก” 

 

 

คำพูดของพวกนาง ทำให้หนึ่งในนางกำนัลตำหนักฮงฮวายื่นมือออกไปกระชากคอเสื้อของผู้พูด 

 

 

“ไปได้ยินมาจากที่ใด ช่างบังอาจนัก! บังอาจทำให้โซอีมามาได้รับความเสื่อมเสีย” 

 

 

ก่อนจะผลักตัวอีกฝ่ายออกอย่างแรง สุดท้ายก็เริ่มคว้ากระชากผมกันและกันจนล้มกลิ้งกับพื้น เหล่านางกำนัลของห้องเครื่องและข้ารับใช้ กระทั่งนางกำนัลของตำหนักอื่นที่มาอยู่ในห้องเครื่อง ต่างพากันยืนล้อมเป็นวงกลมชมการทะเลาะวิวาทอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ระหว่างนั้นก็มีใครบางคนได้ไปรายงานแก่คิมซังกุง ผู้ทำหน้าที่คอยอบรมการทำอาหารและปกครองเหล่านางกำนัลห้องเครื่อง นางจึงวิ่งออกมาตวาดเสียงดังลั่น 

 

 

“พวกเจ้าทำอะไรกัน!” 

 

 

“คิมซังกุง!” 

 

 

“ทะเลาะกันให้ฝุ่นตลบภายในสถานที่สำหรับเตรียมสำรับถวายฝ่าบาทเช่นนี้ มีหัวคิดกันบ้างหรือไม่! นางกำนัลฝึกหัดกับขันทีฝึกหัดยังไม่ทะเลาะกันเช่นนี้เลย” 

 

 

“นางกำนัลผู้นี้สร้างความเสื่อมเสียให้มามาแห่งตำหนักฮงฮวาเจ้าค่ะ! ข้าเป็นนางกำนัลผู้ดูแลมามา ย่อมต้องถามหาที่มาของข่าวลือนั่น ทว่าพอซักไซ้นางกลับไม่ยอมตอบ จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้เจ้าค่ะ” 

 

 

“เจ้าแค่ถามเฉยๆ หรือ!” 

 

 

คู่ทะเลาะวิวาทจ้องหน้ากันเขม็งทั้งๆ ที่หัวกระเซิงไปหมด ทั้งยังส่งเสียงขู่คำรามราวกับจะกระโจนเข้าหาจับฝ่ายตรงข้ามกินเสียเดี๋ยวนี้  

 

 

คิมซังกุงมองนางกำนัลทั้งสองคน ก่อนจะสั่งให้นางกำนัลข้างกายไปนําไม้เรียวมา 

 

 

เมื่ออีกฝ่ายนำไม้เรียวมาให้แล้ว คิมซังกุงก็เอ่ยกับทุกคนด้วยน้ำเสียงเคร่งครัด 

 

 

“ทั้งเหล่าผู้เริ่มนินทา ทั้งเหล่าผู้ร่วมฟัง จงยกมือขึ้นทั้งหมด” 

 

 

“คิมซังกุง พวกข้าต้องถูกตีด้วยหรือเจ้าคะ พวกข้าเพียงแค่คลายความเบื่อหน่ายด้วยข่าวลือที่แพร่สะพัดทั่ววังเท่านั้น” 

 

 

“ยามเป็นนางกำนัลฝึกหัด พวกเจ้าก็ได้เรียนรู้ไปแล้วว่าวังหลวงเป็นสถานที่เช่นไร ร่ำเรียนไปแล้วมิใช่หรือว่าต้องปฏิบัติตนอย่างไรในวังหลวงแห่งนี้” 

 

 

คำถามของคิมซังกุง ทำเอานางกำนัลที่กล้าต่อปากต่อคำถึงกับหุบปาก 

 

 

วังหลวงมีหูมีตาอยู่ทั่วทุกสารทิศ การใช้ชีวิตเป็นนางกำนัลปากต้องเอ่ยเอื้อนวาจาด้วยถ้อยคำภาษาดอกไม้เท่านั้น เรื่องราวที่ได้ยินผ่านหูก็ต้องเก็บเอาไว้ในใจจนถึงคราสิ้นใจลงหลุม ดวงตาย่อมมองไม่เห็นเช่นกัน ทว่าตอนนี้พวกนางกลับใช้ปากพ่นพูดเรื่องราวที่ได้ยินกับหู ทั้งเนื้อหาก็ไม่ใช่ภาษาดอกไม้เลยสักนิด 

 

 

คิมซังกุงทำตามกฎ ด้วยการตีนางกำนัลทั้งหมดที่ล้อมวงกันพูดถึงข่าวลือในวังหลวง หลังจากลงโทษเสร็จแล้ว ก็มองไปทางสองนางกำนัลของตำหนักฮงฮวาและเอ่ยปาก 

 

 

“พวกเจ้ากลับตำหนักฮงฮวาเสียก่อน รายงานเรื่องนี้กับมามา แล้วข้าจะส่งตัวพวกนางกำนัลที่ตีกล่าวข่าวลือนี้ตามไปทีหลัง” 

 

 

“ทราบแล้วเจ้าค่ะคิมซังกุง” 

 

 

พวกนางไม่ลืมนำชากับขนมกลับไปด้วย ก่อนจะเร่งฝีเท้าออกจากห้องเครื่องไป ในเวลาเดียวกันจาฮอนก็กำลังตรงไปยังตำหนักฮงฮวา ดังนั้นนางกำนัลทั้งสองกับฝ่าบาทจึงมาเจอกันตรงหน้าประตูตำหนักฮงฮวาพอดี 

 

 

ระฆังบอกเวลายามมีดังขึ้นเช่นทุกครา ยามมีเป็นเวลาที่องค์จักรพรรดิมาถึงเยือนตำหนักฮงฮวาเสมอ วันนี้เขาก็ออกเดินทางจากตำหนักฮวังรยงตามเวลาเดิมไม่มีผิดเพี้ยน การมาพบกันเช่นนี้จึงเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว 

 

 

“ถวายพระพรเพคะฝ่าบาท” 

 

 

พวกนางค้อมตัวคำนับอย่างมีมารยาท จาฮอนจึงส่งสัญญาณสั่งให้ลุกขึ้น แล้วเดินนำเข้าไปในตำหนัก เมื่อเข้ามาถึงด้านในของห้องบรรทม โซกังก็แสดงความเคารพต่อตนทั้งๆ ที่สวมอาภรณ์สีฟ้าอันงดงาม 

 

 

“วันนี้เจ้าช่างงดงามนัก ยิ่งผ่านไปนานวัน ก็ดูจะงามขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรบอกไม่ถูก” 

 

 

มือใหญ่รั้งสะโพกอีกฝ่ายเข้ามากอดอย่างรวดเร็ว หน้าโซกังพลันขึ้นสีแดงก่ำพลางผลักอกแกร่งออกห่าง ก่อนจะเอ่ยปากปราม 

 

 

“ฝ่าบาท พวกนางกำนัลนําของว่างเข้ามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ เรื่องเช่นนี้ ยามอยู่ลำพังสองคน…” 

 

 

เมื่อถ้อยคำท้ายถูกกระซิบกระซาบออกมา จาฮอนจึงกระแอมแล้วผละแขนออกจากเอวโซกังอย่างแสนเสียดาย เหล่านางกำนัลจึงรู้สึกเหมือนพวกนางทำผิดอย่างไร้เหตุผล เกือบจะได้ถือสำรับรออยู่ด้านนอกจนชาเย็นชืดไปเสียหมด หลังจากวางของว่างและชาลงบนโต๊ะจึงค้อมคำนับ 

 

 

“ฝ่าบาท โซอีมามา หม่อมฉันนําสำรับมาถวายช้า โปรดทรงลงโทษด้วยเถิดเพคะ” 

 

 

“เอาเถอะ อย่าให้มีอีกก็พอ ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงมีสภาพเช่นนี้เล่า” 

 

 

เพราะโซกังประทับจูบอ่อนโยนลงบนหลังมือ จาฮอนถึงยิ้มออกพร้อมกับเอ่ยถามเหล่านางกำนัล ด้วยล้มกลิ้งกับพื้นดินที่ห้องเครื่อง ทั้งยังทะเลาะกับนางกำนัลตำหนักอื่น ส่งผลให้เสื้อผ้าของนางกำนัลผู้หนึ่งมีสภาพดูไม่ได้ แม้จะปัดฝุ่นดินและจัดให้เรียบร้อยแล้วก็ตาม ทว่าเนื่องจากเปื้อนคราบและรอยดินที่ปัดไม่ออกจึงไม่อาจปิดบัง 

 

 

“ไม่มีอะไรเพคะฝ่าบาท” 

 

 

“ดูท่าไม่ได้ไม่มีอะไรอย่างที่เจ้าว่านะ นำของว่างมาเช่นนี้คงไปที่ห้องเครื่องมา แล้วก็น่าจะเกิดเรื่องเข้าสินะ” 

 

 

สีหน้าของนางกำนัลผู้ลงไปเกลือกกลิ้งบนพื้นดินพลันแดงจัด พร้อมกับค้อมศีรษะคำนับยิ่งกว่าเดิม 

 

 

“อันที่จริงแล้วหม่อมฉันมีเรื่องกราบทูลเพคะฝ่าบาท” 

 

 

“เช่นนั้นจงพูดมา” 

 

 

จากนั้นนางก็เล่าว่าเมื่อไปถึงห้องเครื่อง เห็นนางกำนัลหลายคนรวมตัวกันพูดเรื่องข่าวลืออันเลวร้ายเกี่ยวกับโซอีมามา นางจึงตั้งใจจะสอบถามหาต้นตอจนเกิดการทะเลาะวิวาทขึ้น กระทั่งคิมซังกุงเข้ามาห้ามปราม ทั้งยังกราบทูลว่าคิมซังกุงจะนำตัวนางกำนัลผู้ตีกล่าวเรื่องข่าวลือนั่นมาที่ตำหนักฮงฮวาด้วย 

 

 

“เนื้อหาของข่าวลือนั่น…” 

 

 

“เรื่องนั้นข้าจะฟังจากปากพวกมันโดยตรง พวกเจ้าออกไปได้แล้ว ขันทีโช เจ้าเข้ามาที” 

 

 

“เพคะฝ่าบาท” 

 

 

พวกนางรับคำแล้วจึงถอยจากห้องบรรทม เวลาเดียวกับที่นางกำนัลออกไป ขันทีโชก็เข้ามาด้านใน ค้อมคำนับโซกัง จากนั้นจึงคำนับให้ฝ่าบาท 

 

 

“ทรงเรียกหากระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ขันทีโช เจ้ากับหน่วยฮวังรยงจงไปรวบรวมผู้คนในวังหลวง ที่เป็นผู้แพร่กระจายข่าวลือของโซอีมาที่หน้าตำหนักคอนรยุงให้หมด” 

 

 

“ยังไม่ทราบว่าเป็นข่าวลือเช่นไร ทรงลองรับฟังดูก่อนแล้วค่อยตัดสิน จะไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“แค่ดูสภาพของนางกำนัล เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ ไม่มีทางเป็นเรื่องดีแน่ จุดประสงค์คงตั้งใจทำให้ตัวข้าออกห่างจากโซอี ด้วยเพราะสงสัยในความรู้สึก หรือความบริสุทธิ์ของโซอีก็เป็นได้” 

 

 

“เพียงเห็นสภาพของนางกำนัล ก็สามารถไตร่ตรองได้เช่นนั้นแล้ว ฝ่าบาททรงมีพระปรีชายิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ไม่ต้องมากล่าวเยินยอให้มากความ แค่บอกมาว่าข้าต่างกับจัรพรรดิองค์ก่อนก็พอ อีกอย่าง เจ้าก็คิดเช่นเดียวกันอยู่แล้วมิใช่หรือ ขันทีโช?” 

 

 

เจ้าของชื่อยกยิ้มกับคำตรัสของฝ่าบาท ก่อนจะค้อมคำนับ เพราะเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของนางกำนัลแล้ว ตนก็เกิดความคิดเช่นเดียวกับพระองค์เช่นกัน 

 

 

“ไม่มีทางแสร้งโง่เขลาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ข้างกายมีผู้หลักแหลมอยู่มากมายเสียจริง” 

 

 

“กระหม่อมจะเร่งจัดการตามรับสั่งทันทีพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ขันทีโชค้อมคำนับอีกคราแล้วล่าถอยออกไปทันที สุดท้ายเมื่อเหลือกันอยู่เพียงสองคน จาฮอนก็ทอดถอนใจแล้วเอ่ยกับโซกัง 

 

 

“หากคิมซังกุงมา เจ้าก็ออกไปเดินเล่นสักครู่เถิด” 

 

 

“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะอยู่ฟังด้วย” 

 

 

“แต่ข้าเป็น หากเจ้าอยู่ฟังด้วย ข้าอาจจะตัดลิ้นนางกำนัลเหล่านั้นทิ้งก็ได้ หากยินยอมให้ข้าขาดสติแสดงความฉุนเฉียวเช่นนั้นได้ ข้าก็จะให้เจ้าอยู่ด้วย” 

 

 

“จะทรงทำเรื่องโหดร้ายถึงเพียงนั้นเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ ท่านจาฮอน” 

 

 

“ข้าก็มีด้านโหดร้ายอยู่บ้าง เจ้ารังเกียจหรือ” 

 

 

ร่างสูงยกยิ้มแล้วเอ่ยถาม ก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อขยับเข้าไปใกล้โซกัง โซกังจึงเบะริมฝีปากอย่างแง่งอน มองจ้องผู้ยกยิ้มอ่อนโยนตรงหน้าตน 

 

 

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรักท่านทุกลมหายใจอยู่แล้ว” 

 

 

“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว” 

 

 

จากนั้นก็ก้มตัวลงประทับจูบบนริมฝีปากสวยแล้วยืดตัวขึ้น ตัดแบ่งขนมยักกวาที่ยังไม่ได้ทานเลยสักคำ ป้อนใส่ปากอีกฝ่ายด้วยตนเอง 

 

 

ความจริงแล้วยังไม่ค่อยอยากอาหารสักเท่าไร แต่สิ่งที่ฝ่าบาททรงป้อนล้วนอร่อยทั้งสิ้น โซกังจึงยิ้มออกมาทั้งๆ ที่ยังมีขนมยักกวารสหวานจัดอยู่ในปาก จาฮอนจ้องมองร่างบางอยู่ตลอด หากขนมยักกวาหมดปากเมื่อใด ก็จะยื่นขนมชิ้นใหม่จ่อปากทันที โดยที่โซกังนั่งบนเก้าอี้และจาฮอนยืนอยู่เช่นนั้น 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด