(Yaoi) รุ่งอรุณเคียงหทัย 9-1 ไล่ล่ากระต่าย

Now you are reading (Yaoi) รุ่งอรุณเคียงหทัย Chapter 9-1 ไล่ล่ากระต่าย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 9-1 ไล่ล่ากระต่าย

 

ตอนที่ 9 ไล่ล่ากระต่าย 

 

 

 

 

 

ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด กลับมีเงาเคลื่อนไหวซ่อนตัวอยู่ในที่ซึ่งแสงดวงจันทร์ไม่สาดส่อง สวมอาภรณ์สีดำทั้งตัวและโพกผ้าบนศีรษะ กลืนกินกับความมืดจนไม่อาจถูกพบเห็นโดยง่าย เงารูปร่างเล็กกระโดดพลิ้วไปตามเส้นทางอับแสง ก่อนจะลอบเข้าไปซ่อนตัวในร้านผ้าไหมแห่งหนึ่ง 

 

 

คนผู้นั้นคือทันยอง แม้มีงานด่วนจะต้องทำ แต่ตนก็ต้องพบใครคนหนึ่งเสียก่อน และอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะอยู่ที่นี่ ไม่สิ อยู่ที่นี่ไม่ผิดแน่ 

 

 

ที่นี่คือห้องที่ทันยอบใช้ทดลองสร้างยาพิษนู่นนี่ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่เขากับทันยอบสามารถมาพลอดรักกันโดยไม่เป็นที่สังเกตของผู้อื่น หากฝ่ายนั้นรอคอยเขาอยู่ ก็ไม่มีที่ใดนอกจากที่นี่แล้ว 

 

 

ทันยองก้าวขึ้นบันไดไม้ของร้านผ้าไหมอย่างไร้เสียงจนมาถึงชั้นสามอย่างรวดเร็ว เงาทาบทับบันไดยามก้าวเหยียบลงบนขั้นสุดท้าย แสงจันทร์สลัวสาดส่องให้เห็นร่างคนผู้หนึ่งปรากฏตรงหน้า คนผู้นั้นไม่สวมผ้าปิดบังใบหน้าใดๆ เมื่อเห็นเขา อีกฝ่ายก็วาดรอยยิ้มเศร้าหมองออกมา 

 

 

“ยอง” 

 

 

“ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่ต้องรออยู่” 

 

 

“เจ้าไม่หนีไป และยังกลับมาที่นี่… คงเพราะมีข้าวของของยอบอยู่สินะ” 

 

 

“ไม่ใช่ ข้าไม่คิดหนีอยู่แล้ว จะเข้าพบนายท่านกับใต้เท้าด้วย แต่ก่อนหน้านั้นข้าต้องมาพบพี่ จึงมาที่นี่ เพราะแน่ใจว่าพี่กำลังรอข้าอยู่” 

 

 

คำพูดนั้นทำให้ชายผู้นี้หัวเราะออกมา จากนั้นก็ขยับก้าวไปใกล้ช้าๆ ดวงตาของทันยองยามมองกันดูเศร้าหมองและสงบนิ่ง เขาหยุดในระยะเอื้อมสัมผัสแล้วเอ่ยปากเตือน 

 

 

“อย่าไปเข้าพบใต้เท้า แล้วก็นายท่านเด็ดขาด หนีไปซะยอง” 

 

 

“ข้าไม่หนี ยอบอยู่ที่นี่แล้วข้าจะไปที่ใดได้เล่า” 

 

 

“ยอง… ยอบตายแล้ว เจ้าเองก็เห็นกับตาจากในวังหลวงมิใช่หรือ” 

 

 

“ใช่ ตายแล้วอย่างไร ข้าพูดอะไรอย่างนั้นหรือ พี่ฮโย…” 

 

 

สายตาของทันยองซุกซ่อนโทสะ แต่ขณะเดียวกันก็เอ่อคลอด้วยน้ำตา ก่อนมันจะกลิ้งกลอกลงมา ชังฮโยขมวดคิ้วมุ่นและวางมือบนลาดไหล่บาง เขารู้ดีว่าสำหรับทันยองแล้ว มีเพียงทันยอบเท่านั้น ทว่าอย่างไรตนก็อยากเข้าไปในหัวใจของอีกฝ่ายสักนิด แม้จะต้องแทรกผ่านความโศกเศร้าเช่นนี้ก็ตาม 

 

 

“เจ้าสามารถยืมอกนี้ได้” 

 

 

“พี่…” 

 

 

ใบหน้าของทันยองเหยเกคล้ายเจ็บปวด จ้องมองชังฮโยพลางยกมือขึ้นปาดเช็ดหยาดน้ำตา 

 

 

“รู้หรือไม่ ที่นี่คือเป็นที่ที่ข้ามีสัมพันธ์กับยอบเป็นครั้งแรก ตรงนั้น… ตรงนั้นยอบถอดเสื้อผ้าออกแล้วปูลงไป ก่อนจะจับให้ข้านอนลง ต่อมาเมื่อเห็นว่าข้ามีแผลบนหัวเข่า เพราะหัวเข่าสัมผัสกับพื้นไม้บ่อยครั้ง เขาก็ไม่ทำในที่พักแรมอีกเลย จะทำในป่าเสียส่วนใหญ่ เพราะข้าตัวเล็ก หากได้สัมผัสก็คล้ายรสชาติเยี่ยงสตรี และเขาไม่อยากให้ข้าถูกเย้ยหยันจากคนอื่น” 

 

 

“ยอง พอเถอะ เจ้าก็รู้ความรู้สึกของข้า” 

 

 

“จงฟัง หากข้าออกไปทำงาน เขาก็จะรอข้าอยู่ที่นี่ ยามข้ากลับมา ก็จะช่วยตรวจดูอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุมว่าไม่มีที่ใดได้รับบาดเจ็บ จุมพิตข้าไปเสียทุกส่วน เหมือนตัวข้ากลายเป็นผู้สูงส่งที่สุดในโลก ช่างมีความสุขอย่างมาก”  

 

 

แม้ชังฮโยจะขมวดคิ้วมุ่น ทว่าก็ไม่ได้เอ่ยห้ามปรามคำพูดของอีกฝ่ายเป็นหนที่สอง 

 

 

ตั้งแต่เริ่มเข้ารับการฝึกร่วมกัน ตัวเขาก็เฝ้ามองทันยองอยู่ตลอด ดังนั้นจึงรู้ทุกอย่างแก่ใจดี หากทันยอบยังคงมีชีวิตอยู่ ตนก็ไม่มีทางได้อยู่ในสายตาทันยองแม้สักเศษเสี้ยวหนึ่ง 

 

 

ทันยองเอาแต่เฝ้ามองทันยอบ เหมือนดังเช่นลูกเป็ดเฝ้าติดตามผู้ที่มองเห็นเป็นอันดับแรกด้วยคิดว่าเป็นแม่ของตน ไม่ใช่เพียงความรักเท่านั้น ทว่าทันยอบคือโลกของทันยอง มีแต่เพียงคนผู้นั้นผู้เดียว ดังนั้นชังฮโยจึงทราบเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะคอยวนเวียนอยู่ข้างกายของอีกฝ่ายอย่างไร จะทำเพื่ออีกฝ่ายเช่นเดียวกับทันยอบถึงเพียงใด รอยยิ้มที่มอบให้ทันยอบก็ไม่มีวันส่งมาทางเขา 

 

 

แน่นอนว่าเขารับรู้ความสัมพันธ์ของทันยอบกับทันยองตลอดมา มักจะแอบเฝ้ามองทั้งสองคนอยู่เบื้องหลังเสมอ ยามส่งยิ้มสดใสให้ทันยอบ ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างขลาดเขิน ถูกโอบกอดทั้งๆ ที่ตัวสั่นเทา เปิดเผยส่วนน่าอายของตนออกมาทั้งหมด และยินยอมต่อทันยอบจนหมดสิ้น 

 

 

ชังฮโยเฝ้ามองภาพนั้นพร้อมน้ำตา 

 

 

ข้าก็รักเจ้าเช่นเดียวกับยอบ แต่ไม่ว่าอย่างไรในสายตาของเจ้า นอกจากยอบแล้วก็ไม่คิดมีใครอีกเลยหรือ เหตุใดข้าถึงไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งของทันยอบ ทำไมข้าถึงไม่ใช่ทันยอบ 

 

 

ร่างสูงจ้องมองคนตรงหน้าด้วยความรวดร้าว ขณะนั้นทันยองก็ค่อยๆ ยกมุมปากขึ้น 

 

 

“เป็นพี่สินะ ทำไมพี่ถึงทำเช่นนั้น” 

 

 

แม้จะเอ่ยถามเพียงเท่านั้น แต่ชังฮโยก็เข้าใจดีว่าอีกคนต้องการถามถึงเรื่องอะไร และไม่จำเป็นต้องถามกลับว่ารู้ได้อย่างไร เขาพยักหน้ารับช้าๆ จนรอยยิ้มบนริมฝีปากของร่างบางค่อยๆ เลือนหายไป 

 

 

“ทำไมกัน” 

 

 

“เป็นภารกิจ” 

 

 

“อย่างน้อย ช่วยบอกข้าก่อน…ก็ได้นิ” 

 

 

“หากบอกไป เจ้าก็จะหนีไปกับยอบ ข้าก็จะต้องรับโทษ ถูกถอดเล็บเพราะทำภารกิจล้มเหลว ส่วนพวกเจ้าก็จะถูกยาอึมตามล่า สุดท้ายก็ถูกจับและรับโทษตาย” 

 

 

“…พี่ก็น่าจะฆ่าข้าด้วยเช่นกัน เพราะถึงอย่างไร อยู่ไปก็ไร้ความหมาย ข้าก็ควรจะตายตามไปด้วย” 

 

 

ทันยองปัดมือใหญ่ที่ประคองไหล่ออกพลางก้าวถอยหลัง ก่อนจะดึงมีดสั้นที่พกไว้ในผ้าคาดเอวออกมาจ่อลำคอของตนเอง ส่วนคมมีดสัมผัสถูกผิวบริเวณลำคอจนโลหิตไหลซึม 

 

 

“ยอง! ไม่ได้นะ อย่าทำเช่นนั้น” 

 

 

“ใยท่านถึงลงมือ! เพราะเหตุใด พี่บอกข้าได้มิใช่หรือ พี่… พี่สามารถทำแบบนั้นได้” 

 

 

“…ขอโทษ ความจริงข้าแค่อยากแทนที่ยอบ” 

 

 

เสียงของชังฮโยฟังดูหม่นเศร้า หลังปล่อยให้ทันยอบจากไปเช่นนั้น ตัวเขาก็ยังคงเสียใจจนถึงตอนนี้ น้ำตาของทันยอง ใบหน้าอันรวดร้าวของทันยอง ความสิ้นหวังของทันยอง ไม่ได้คาดคิดเลยว่าสิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็นความเจ็บปวดให้ตนด้วย 

 

 

“ข้ายอมทุกอย่าง ได้โปรดวางมันลงเถอะ” 

 

 

น้ำเสียงเจือความจริงใจดังขึ้นมาอีกคราภายในพื้นที่คับแคบนั้น ร่างบางมองอีกฝ่ายด้วยแววตาว่างเปล่า ก่อนจะส่งเสียงที่ไม่รู้ว่าเป็นเสียงหัวเราะเยาะหรือเสียงร้องไห้กันแน่ออกมา 

 

 

“ทุกอย่างงั้นหรือ ได้ เช่นนั้นตอนนี้ชีวิตพี่เป็นของข้า” 

 

 

ทันยองค่อยๆ วางมีดลงช้าๆ ชังฮโยจึงรีบร้อนขยับเข้าไปกำจัดมีดสั้นออกไปให้ไกล จากนั้นก็ดึงอีกฝ่ายมากอดไว้ ริมฝีปากของทันยองประดับด้วยรอยยิ้มหมองเศร้า แม้จะรับรู้ความรู้สึกของคนตรงหน้ามาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม ทว่าตนมอบสิ่งที่ดี สิ่งงดงามทั้งหมดแก่ทันยอบไปแล้ว สิ่งที่หลงเหลืออยู่จึงเป็นเพียงความแค้นและการแก้แค้นเท่านั้น 

 

 

“ได้ ข้ามอบให้เจ้าทั้งหมด” 

 

 

และเมื่อได้ยินคำยืนยันของชังฮโย ทันยองก็ยิ่งวาดยิ้มโศกเศร้าขึ้นไปอีก 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

“วันนี้ก็ไม่เสด็จมาหรือ” 

 

 

“ถึงอย่างไรก็อาจจะเป็นเช่นนั้นได้ ราวกับพลิกฝ่ามืออยู่แล้ว” 

 

 

“ยามโซอีมามาถูกวางยาพิษ ก็ทรงเรียกองครักษ์ทั้งหมดมา แต่กลับ…ทำเหมือนตายจากไปแล้วอย่างนั้นน่ะหรือ” 

 

 

เหล่านางกำนัลของตำหนักฮงฮวาก็ยังคงวุ่นวายกับการซุบซิบด้วยความวิตกกังวล นั่นก็เป็นเพราะฝ่าบาทไม่ได้เสด็จย่างกรายมาตำหนักฮงฮวาเลย จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปนับสิบวันแล้ว อีกทั้งไม่กี่วันก่อนทรงมีรับสั่งให้ปลดโคมแดงที่แขวนอยู่หน้าตำหนักลงด้วย เมื่อวานก็เสด็จไปยังตำหนักของสนมออมฮยอนบี เรื่องนี้เล่าลือมาจากนางกำนัลฝ่ายตัดเย็บ จึงไม่จำเป็นต้องสงสัยในความถูกต้องแม่นยำ 

 

 

ด้วยเหตุนั้น วันนี้เหล่านางกำนัลทั้งหลายจึงล้มเลิกการทำความสะอาดตำหนัก แล้วปล่อยให้มามาได้อยู่เงียบๆ ตามลำพัง ส่วนพวกนางก็มาหลบมุมกระซิบกระซาบพูดคุยกันแทน 

 

 

 

 

 

อีกด้าน โซกังกำลังนั่งเอนหลังอยู่บนเตียงพลางอ่านตำรา ปล่อยเวลาวันๆ หนึ่งให้ผ่านพ้นอย่างไม่รู้เบื่อ เนื่องจากมีตำราที่จาฮอนนำมาจากตำหนักอุนฮยอนอยู่มากมาย อีกทั้งมุมหนึ่งของโต๊ะก็มีภาพเหมือนของอีกฝ่ายตั้งอยู่ เขามองดูแล้วก็หลุดหัวเราะออกมา 

 

 

‘ถึงข้าจะยอมรับฟัง แต่จะให้ทนคิดถึงเจ้าได้อย่างไรกัน’ 

 

 

‘อย่างไรก็ยอมทำตามนี่นา จาฮอน’ 

 

 

‘แน่นอนว่าบุรุษย่อมทำเพื่อคนรักได้โดยไม่มีเงื่อนไข ในเมื่อเจ้าไม่ยอมแพ้ให้ข้า เช่นนั้นก็ย่อมเป็นข้าที่ต้องพ่ายแพ้มิใช่หรือ’ 

 

 

‘กระหม่อมเองก็คิดถึงพระองค์พ่ะย่ะค่ะ แค่มาช้าด้วยติดว่าราชการก็คิดถึงแล้ว อยากฝังตัวอยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆ’ 

 

 

จากกลายเป็นเจ็ดวัน กลายเป็นสิบวัน และไม่รู้ว่าอีกนานเพียงใดที่ต้องแยกห่างกัน หลังจากได้ยินเช่นนั้นแล้ว แม้จาฮอนจะยอมรับเงื่อนไข แต่พวกขุนนางก็ยังคงรบเร้าไม่จบไม่สิ้น เขาจึงตั้งใจจะเอ่ยให้อีกฝ่ายอารมณ์เย็นลงบ้าง แต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า 

 

 

ร่างสูงสั่งทำกระดาษแนงคึม[1] ราคาแพงซ้อนกันสองชั้นไม่ให้ขาดง่าย จากนั้นก็เรียกช่างเขียนภาพมาอย่างลับๆ เพื่อให้เขียนภาพเหมือนของตนลงบนนั้นโดยไม่จำเป็นต้องลงสี รับสั่งให้วาดออกมาอย่างสมบูรณ์โดยเร็วที่สุด แน่นอนว่าจาฮอนก็ได้ขอภาพเหมือนของโซกังกลับไปด้วยเช่นกัน 

 

 

ในภาพวาดเสมือนจริง อีกฝ่ายก็กำลังยิ้มและจ้องมองตนอย่างรักใคร่เช่นเดิม 

 

 

“ทำสีหน้าเช่นนี้อยู่ตลอดเลยหรือ น่าอายยิ่งนัก…” 

 

 

โซกังเอ่ยกับภาพนั้นแล้วพลันรู้สึกเคอะเขินเสียเอง จึงยกชาขึ้นมาจิบก่อนจะกระแอม หลังจากรับสำรับแต่ละมื้อจนครบวันละสามครา เขาก็จะนั่งอ่านตำรา บางคราก็ฝนหมึกเขียนอักษร ใช้ชีวิตเช่นนั้นจนล่วงเลยเป็นสิบวัน  

 

 

 

 

 

[1] กระดาษแนงคึม กระดาบที่เคลือบด้วยผงทองคำ 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด