(Yaoi) รุ่งอรุณเคียงหทัย 9-4 ไล่ล่ากระต่าย

Now you are reading (Yaoi) รุ่งอรุณเคียงหทัย Chapter 9-4 ไล่ล่ากระต่าย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 9-4 ไล่ล่ากระต่าย

 

ทันยองลอบสังเกตมือสังหารยาอึมทีละคน ขณะเดียวกันก็เคลื่อนตัวพร้อมโซกังไปเรื่อยๆ โดยไม่ละสายตาแม้เพียงนิด เมื่อเคลื่อนตัวเช่นนั้น ก็ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ฝั่งองครักษ์ฮวังรยงมากกว่าพวกยาอึม ทันใดนั้นเหล่ามือสังหารยาอึมก็เบนสายตามาทางทันยอง 

 

 

“ทันยอง! เอาตัวมาได้แล้วก็ฆ่ามันเสียเถอะ!” 

 

 

“ข้าจัดการเอง” 

 

 

เขาจ้องมือสังหารที่ตะคอกเสียงใส่ตนอย่างเย็นชา ก่อนจะใช้มือข้างที่แนบชิดข้างตัวโซกังขึ้นมาปิดบังริมฝีปากและขยับเอื้อนเอ่ยแผนการ 

 

 

“ข้าจะคุ้มกันให้ ท่านรีบวิ่งไปทางองครักษ์ฮวังรยงเถิดขอรับ อย่าได้หันกลับมา อย่าได้ลังเลเด็ดขาด พอข้าขยับตัว ท่านต้องวิ่งไปทันที” 

 

 

“ยองก็จะไปด้วยกันใช่หรือไม่” 

 

 

“ข้าดูแลตนเองได้ขอรับ วิ่ง!” 

 

 

เท้าของทันยองถีบตัวกับพื้นจนร่างพุ่งทะยานไปด้านหน้า ช่วงเวลานั้นโซกังจึงออกตัววิ่งไปยังทิศทางที่มีองครักษ์ฮวังรยงยืนอยู่สองคน การวิ่งของโซกังเข้าจังหวะพอดีกับการจู่โจมของทันยอง ดังนั้นการเคลื่อนไหวของร่างบางจึงถูกตัวของทันยองบังเอาไว้ ทว่าทันยองไม่สนใจการจู่โจมที่พุ่งเป้ามาทางตนเองเลย เขาเพียงใช้ดาบปัดป้องการจู่โจมที่พุ่งไปทางโซกังเท่านั้น 

 

 

การโจมตีที่นอกเหนือจากนั้น เขาไม่คิดจะจัดการมันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อีกทั้งยังรู้สึกขอบคุณการจู่โจมเหล่านั้นด้วยซ้ำ เพราะมันจะนำพาตนไปหาทันยอบ 

 

 

กระทั่งอีกฝ่ายวิ่งไปถึงข้างกายองครักษ์ฮวังรยงอย่างปลอดภัย แม้แต่ในสถานการณ์โกลาหลเช่นนี้ ก็ยังได้ยินน้ำเสียงห่วงกังวลของโซกัง นอกจากทันยอบ นอกจากเหล่ายาอึมบางคน โซกังก็เป็นผู้ที่ทำให้เขารู้สึกถึงมิตรไมตรีของมนุษย์ ทว่าสาเหตุนั้น ก็มิใช่ว่าจะทำให้เขาเปลี่ยนใจได้ 

 

 

เริ่มแรกที่แนะนําถึงการลักพาตัว ตนก็คิดจะทำเช่นนี้อยู่แล้ว 

 

 

มิใช่ไม่สามารถเปลี่ยนใจ ทว่าตั้งแต่ก่อนจะถูกเรียกว่าทันยอบกับทันยอง ตั้งแต่ฝ่าฟันความหนาวเหน็บข้างถนน เขาก็อยู่ร่วมกับยอบมาตลอด อีกฝ่ายคอยปกป้องเขา ทำให้เขาได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้ ในเมื่อไม่มียอบแล้ว ตัวเขาที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็ว่างเปล่า 

 

 

ดังนั้น เขาจึงเหลือหนทางเพียงแค่ตามอีกฝ่ายไปเท่านั้น 

 

 

เมื่อเรื่องราวทุกอย่างดำเนินไปตามแผน สำหรับการแก้แค้น องค์จักรพรรดิก็จะทรงดำเนินการให้ ฝ่าบาททรงรับสั่งว่าจะจัดการลงโทษมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการตามสมควรอย่างแน่นอน ได้รับความเชื่อมั่นเช่นนั้นแล้วก็สามารถไปจากโลกใบนี้ได้ ทันยองจึงหลับตาลงพร้อมหันไปยังทิศทางที่มีการจู่โจมพุ่งเข้ามา รอยยิ้มประดับบนริมฝีปากราวกับยินดีรับการจู่โจมนี้ 

 

 

“ยอง!” 

 

 

ทว่าน้ำเสียงอันคุ้นเคยเอ่ยเรียกชื่อตนดังแว่วเข้ามาในหู ตามด้วยความรู้สึกเหมือนถูกกระแทกอย่างแรง จนร่างกายซวนเซราวกับจะล้มพับและหลุดเสียงร้องอุทานออกมา หลังจากนั้นกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นและเสียงร้องอย่างเจ็บปวดก็ดังขึ้น เขาพลันรู้สึกถึงท่อนแขนแข็งแรงประคองอยู่ภายในอ้อมอกกว้าง กลิ่นคาวเลือดรุนแรงชวนสะอิดสะเอียนทำให้ทันยองลืมตาขึ้น ผู้ที่เข้ามาดึงตนไปกอดด้วยแขนข้างหนึ่งคือชังฮโย อีกฝ่ายขบฟันแน่นพร้อมเอ่ยอย่างแผ่วเบา 

 

 

“ข้าผิดเอง ขอโทษที่ข้าผิดสัญญา แต่ข้าปล่อยเจ้าไปเช่นนี้ไม่ได้” 

 

 

“ปล่อย” 

 

 

“ยอง ได้โปรดมีชีวิตต่อไปเถิด” 

 

 

“ข้าบอกให้ปล่อย” 

 

 

“ยอง ข้ารักเจ้า” 

 

 

น้ำเสียงของชังฮโยโรยแรง และแขนก็ค่อยๆ ผ่อนแรงลงเช่นกัน ตอนนั้นทันยองจึงสังเกตเห็นว่าบนลำคออีกฝ่าย มีอาวุธลับที่ไม่รู้ว่ามีพิษใดเคลือบปักอยู่จำนวนหนึ่ง เจ้าตัวยกยิ้มบางก่อนจะทรุดตัวลงกับพื้นทั้งอย่างนั้น 

 

 

บนพื้นดินที่พวกเขายืนอยู่ล้วนเปรอะเปื้อนด้วยโลหิต โดยเลือดทั้งหมดไหลออกมาจากแขนของชังฮโย แล้วทันยองก็เห็นว่าแขนอีกข้างที่ควรจะต้องแนบชิดกับลำตัวอีกฝ่าย กลับขาดแหว่งเสียอย่านั้น 

 

 

ก่อนหน้านี้ เมื่อชังฮโยเห็นว่าทันยองตั้งใจจะตาย เขาจึงวิ่งออกมาอย่างไม่ทันได้คิดหน้าคิดหลัง จนถูกคมดาบขององครักษ์ฮวังรยงสะบั้นแขนขาด โลหิตไหลทะลักออกมาเต็มไปหมด ใบหน้าซีดเผือดของชังฮโยราวกับจะสิ้นลมหายใจลงเสียเดี๋ยวนั้น อีกทั้งเริ่มกระอักเลือดออกมาจากปากและร่างกายกระตุกเกร็งด้วยพิษบางอย่าง 

 

 

ทันยองไม่มีเวลาให้ทันได้คิดอะไร ด้วยมือสังหารของยาอึมมักจะพกยาห้ามเลือดเอาไว้ด้วยเสมอ เขาจึงนำมันออกมาและฉีกเสื้อตนเองออก ร่างบางนั่งลงกับพื้น เทยาห้ามเลือดลงบนบริเวณปากแผล และใช้เสื้อของตนพันรอบแขนข้างนั้นเอาไว้แน่น หากช่วยห้ามเลือดได้ก็จะช่วยยืดชีวิตออกไปได้ด้วย จากนั้นก็ต้องสืบหาพิษที่เคลือบอยู่บนอาวุธลับ ทว่าที่นี่ไม่มีทางทำเช่นนั้นได้ ทันยองดึงตัวชังฮโยขึ้นพาดบ่าและก้าวเดินไปทางองครักษ์ฮวังรยง 

 

 

เหล่าองครักษ์ฮวังรยงเห็นเหตุการณ์อยู่ก่อนแล้ว ส่วนหนึ่งจึงเข้ามาช่วยเหลือทันยอง และอีกส่วนหนึ่งก็คอยคุ้มกัน เนื่องจากพวกเขาอยู่ตรงประตู ดังนั้นเหล่ามือสังหารยาอึมจึงถูกต้อนไปจนสุดทางหนี 

 

 

“หากยอมตามมาแต่โดยดี ฝ่าบาทจะทรงเมตตาพิจารณาในส่วนนั้น พวกเจ้าแค่บอกมาว่าทำงานอะไรและผู้ใดเป็นคนสั่งก็พอ อีกอย่างฝ่าบาทจะทรงรับฟังด้วยพระองค์เอง” 

 

 

คำกล่าวจากปากของหนึ่งในบรรดาองครักษ์ฮวังรยงทำให้เหล่ามือสังหารยาอึมกระวนกระวาย กล่าวว่าฝ่าบาทจะทรงสละเวลามารับฟังเรื่องราวของพวกเขาอย่างนั้นหรือ 

 

 

หัวหน้าองครักษ์ฮวังรยงจึงได้กล่าวเสียงดังขึ้นอีกครั้ง 

 

 

“ชุดนี้คือชุดเครื่องแบบของหน่วยฮวังรยง หน่วยองครักษ์ที่ขึ้นตรงต่อฝ่าบาทพระองค์เดียว สมาชิกหน่วยฮวังรยงมีทั้งสายเลือดขุนนาง ชาวบ้านธรรมดา รวมถึงทาสด้วย ฝ่าบาทมิใช่ผู้ทรงตัดสินผู้คนจากชาติกำเนิด” 

 

 

คำกล่าวนั้นยิ่งทำให้เกิดความวุ่นวายมากยิ่งขึ้นไปอีก ลองไปดีหรือไม่… ข้าเองก็ลองดูดีหรือไม่ อย่างไรเสีย หากถูกจับได้ พวกเราทั้งหมดก็ต้องตายอยู่แล้ว… ถ้อยคำต่างๆ เหล่านี้ดังระงมเซ็งแซ่ หลังจากนั้นก็มีนักฆ่าสองคนยอมวางดาบลง  

 

 

และการเริ่มต้นนั้นก็ส่งผลให้คนอื่นๆ พร้อมใจกันวางอาวุธลงเช่นกัน เหล่าองครักษ์ฮวังรยงจึงเข้าจับกุมโดยละม่อม และมัดมือกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยเชือก 

 

 

 

 

 

ช่วงเวลาเดียวกัน ณ ร้านผ้าไหมบนเส้นทางเขตชองรยง เหล่าทหารหลวงก็โผล่พรวดพราดเข้ามาภายใน จนเถ้าแก่เจ้าของร้านผ้าไหมจ้องมองผู้บุกรุกด้วยสีหน้าตื่นตระหนก 

 

 

“คงต้องไปด้วยกันหน่อย” 

 

 

ทันทีที่หนึ่งในเหล่าทหารพูดจาไร้หางเสียง เจ้าของร้านผ้าไหมก็โมโหพร้อมกับถ่มน้ำลายใส่ ทหารผู้นั้นจึงคว้าผ้าไหมพับหนึ่งที่วางอยู่บนแผงขึ้นมาเช็ดใบหน้าตนก่อนจะโยนลงบนพื้น จากนั้นก็ร่วมมือกับสหายทหารเข้าจับกุมเจ้าของร้านผ้าไหมที่ดิ้นรนขัดขืน 

 

 

ผู้คนที่อาศัยอยู่ในละแวกเดียวกับร้านผ้าไหม ต่างหยิบยกเรื่องที่เถ้าแก่ถูกทหารหลวงลากตัวไปตลอดทั้งวัน 

 

 

 

 

 

*** 

 

 

 

 

 

ณ ห้องตำรา ภายในจวนของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ 

 

 

แพคมีกังนั่งอยู่บนเก้าอี้และจ้องมองตัวอักษรที่เขียนอย่างเป็นระเบียบบนกระดาษด้วยสีหน้าเครียดขึง เพราะถึงแม้จะลองรวมส่วนนั้น ส่วนนี้เข้าด้วยกันอย่างไร ก็ไม่อาจเกิดคำที่พอจะบอกตำแหน่งที่ตั้งใดๆ ได้เลย ยามเขียนรหัสลับ หรือพูดคุยถึงความลับก็จะใช้ตัวอักษรทั่วไป ดังนั้น ชายชราจึงคิดว่าอาจจะเป็นอักษรอื่น ทว่าเมื่อลองทำดูแล้ว จะอย่างไรก็เหมือนไม่ใช่ทั้งสิ้น มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการเริ่มเกิดความคิดว่ามันอาจไม่ใช่อักษรเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อวาน 

 

 

จากนั้นก็เกิดความลนลานว่าอาจจะเป็นข้อมูลปลอม อีกทั้งช่วงนี้หากไม่มีเรื่องด่วนจำเป็น เขาก็สั่งทุกคนเอาไว้ว่าไม่ต้องเข้ามารายงาน แพคมีกังจึงเรียกตัวทาสผู้หนึ่งเข้ามา 

 

 

“ขอรับ นายท่าน” 

 

 

“รีบไปที่ร้านผ้าไหมตรงเส้นทางชองรยง บอกให้มาพบข้าเดี๋ยวนี้ เพียงบอกเช่นนี้ทางนั้นจะเข้าใจเอง” 

 

 

“ขอรับ” 

 

 

อีกฝ่ายตอบรับและออกจากห้องตำราไป ทว่าดูคล้ายจะลืมบางสิ่งถึงได้หวนกลับเข้ามาอีกครั้ง สายลมที่โบกพัดจนประตูห้องเปิดออก มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการที่ยืนอยู่ด้านในจึงเอ่ยตำหนิทาสผู้นั้นว่าทำอะไรไม่เรียบร้อย ทว่ากลับต้องสงบปากสงบคำลงทันที เพราะตรงประตูนั้น มีองค์จักรพรรดิและบุรุษที่เพิ่งเคยเห็นหน้าเป็นครั้งแรก รวมถึงเหล่าองครักษ์ฮวังรยงและทหารหลวงกำลังพากันเข้ามาในจวน จาฮอนมีรอยยิ้มประดับอยู่บนริมฝีปากและกล่าวกับชายชรา 

 

 

“เราถึงกับมารับเจ้าด้วยตนเองเลยนะ” 

 

 

“ฝ่าบาท” 

 

 

“แล้วก็ไม่จำเป็นต้องส่งทาสผู้นั้นไปตามตัวหรอก หากตามหาเจ้าของร้านผ้าไหมอยู่ล่ะก็… อีกประเดี๋ยวก็คงจะได้เจอกันแล้ว” 

 

 

คำกล่าวเช่นนั้นทำให้สีหน้าของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการไม่สู้ดีนัก และความขุ่นเคืองก็พลุ่งพล่านขึ้นมาเช่นกัน มีคำสั่งห้ามไม่ให้มารบกวนก็จริง แต่เหตุการณ์มาถึงขนาดนี้ก็ยังไม่ยอมมารายงานเชียวหรือ… ใบหน้าชายชราเครียดขึง ทั้งยังยืนนิ่งอยู่เช่นเดิมจนทำให้จาฮอนมีสีหน้าเข้มขึ้น 

 

 

“ต่อหน้าเราผู้นี้ เจ้ายังไม่คิดทำความเคารพอีกหรือ เพียงแค่นั้นก็ทำให้เจ้าต้องโทษได้แล้วกระมัง” 

 

 

“ถวาย เอ่อ ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ทันทีที่ได้ยินถ้อยคำตำหนิขององค์จักรพรรดิผู้เย็นชาเสมือนน้ำค้างแข็ง แพคมีกังก็รีบคุกเข่าค้อมคำนับ สองวันที่แล้วทหารหลวงและองครักษ์ฮวังรยงบุกเข้าจู่โจมถึงที่ซ่อนตัวของยาอึมและร้านผ้าไหม และตอนนี้มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการก็ถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวง 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด