คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง 80 หนี้มากกลุ้มใจ

Now you are reading คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง Chapter 80 หนี้มากกลุ้มใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 80 หนี้มากกลุ้มใจ

เซียวอี้นำกองทัพเหนือลงใต้เพื่อสยบความโกลาหล แต่เขาก็ยังให้คนมาส่งเงินทองอัญมณีลังหนึ่งแก่เยียนอวิ๋นเกอ

โดยใช้ข้ออ้างว่า ‘มัดจำ!’

จับจองเสบียงปีหน้าล่วงหน้า

มองดูอัญมณีเต็มลัง เยียนอวิ๋นเกออุทานออกมา

“เขากวาดล้างจวนของผู้ใดมา กวาดล้างสิ่งของล้ำค่ามากมายเพียงนี้”

ล้วนเป็นเงินตราที่แข็งค่า

แต่เสียดายไม่อาจใช้ได้โดยตรง

ต้องหาร้านอัญมณี หรือร้านแลกเงินเปลี่ยนเป็นเงินตราจึงสามารถใช้ได้

สมัยนี้ เงินทองล้ำค่ำ แต่มีจำนวนน้อย

ทำให้เงินทองไม่ไหลลื่น

สามัญชนส่วนใหญ่ทั้งชีวิตไม่มีโอกาสสัมผัสเงินทอง

เยียนอวิ๋นเกอลูบคางของตนเอง “หรือข้าจะไปขุดเหมืองทอง เหมืองเงิน ทำให้เงินทองไหลลื่น?”

นางส่ายหน้า

ช่างเถิด ขุดเหมืองโดดเด่นเกินไป

เวลานี้นางเหมาะกับการปลูกพัก ขายอาหาร เป็นเกษตรกรตัวน้อย

เครื่องประดับอัญมณีทั้งลังทำให้เยียนอวิ๋นเกอกลุ้มใจ

กลุ้มใจเรื่องใด

ย่อมต้องเป็นเรื่องเสบียง

เวลานี้คนที่จับจองเสบียงมีสี่ฝ่าย

เสบียงสองพันหาบขององค์ชายสองถือเป็นค่าตอบแทนเขา

ทางสำนักเซ่าฝู่หนึ่งปีหลาบพันหรือหลายหมื่นหาบเพราะติดหนี้

หลิงฉางจื้ออย่างน้อยหนึ่งพันหาบเพื่อเป็นการแสดงความจริงใจในการร่วมมือ

เซียวอี้ย่อมต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งพันหาบ อีกฝ่ายให้แม้กระทั่งเงินมัดจำแล้ว ไม่อาจไม่ให้เสบียงแก่เขา

อีกทั้งตนเองต้องเลี้ยงคน นางต้องเพาะปลูกเสบียงมากเท่าใดจึงจะบรรลุภารกิจในปีหน้ากัน!

ฮือๆ…

ยากเสียจริง!

เวลานี้ยังแม้แต่เงาของเสบียงยังไม่เห็น นางก็ติดหนี้มากมายเพียงนี้แล้ว นางช่างยากลำบากเหลือเกิน

เยียนอวิ๋นเกอหยิบอัญมณีในลังขึ้นมาเล่น สิ่งเหล่านี้ไม่อาจนำไปแปลงนาได้ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ใช้ในแปลงนา

นางกำชับองครักษ์ “ส่งลังนี้กลับไปให้เหนียงเหนียง จากนั้นเจ้านำสิ่งของที่เหนียงเหนียงมอบให้เจ้าไปแปลงนา พาคนไปมากหน่อย เพื่อความปลอดภัย”

องครักษ์รับคำสั่ง นำอัญมณีเต็มลังมุ่งหน้ากลับจวนองค์หยิง

อาเป่ยร้อนใจอย่างมาก “คุณหนูไม่อาจพูดได้อีกแล้ว ระวังคอจะเสีย บ่าวจะเชิญแม่นมชิวมา ให้แม่นมชิวดูคอของคุณหนู”

แม่นมชิวอยู่บนรถม้าอีกคัน

อาเป่ยเชิญแม่นมชิวมา

เยียนอวิ๋นเกอทำหน้ารู้สึกผิด หัวเราะเสียงแห้ง

นางทำท่าสองที ‘เพียงแค่พูดมากไปไม่กี่ประโยค’

แม่นมชิวทำหน้าบึ้ง “คุณหนูอ้าปากให้บ่าวดูหน่อยเจ้าค่ะ หากร้ายแรงมาก เมื่อหยุดพักในอี้จ้านตอนกลางคืนยังต้องฝังเข็มกรอกยา”

เยียนอวิ๋นเกออ้าปากอย่างเชื่อฟัง แม่นมชิวสังเกตอย่างละเอียด ทันใดนั้นขมวดคิ้วขึ้นมา

“บวมแดงเล็กน้อย ต้องระงับอาการบวม คุณหนูกินยาก่อน กลางคืนค่อยฝังเข็มเจ้าค่ะ”

ยาขมปี๋หนึ่งเม็ด นางต้องทำหวางเหลียงหกลงไปอย่างแน่นอน

เยียนอวิ๋นเกอกลืนลงไป สุดท้ายยาเม็ดใหญ่เกิดไป ติดอยู่ในคอ ทรมานยิ่งนัก

หมดหนทาง ทำได้เพียงกัดให้แตก กลืนลงไปทีละน้อย

เวลาราวหนึ่งก้านธูป นางจะกินยาจนหมด

ขมมาก นางแลบลิ้น ทำหน้าขมขื่น

ดื่มน้ำตามไปสามแก้วก็ยังไม่อาจดับความขมในปากได้

นางกินน้ำตาลอ้อยลงไปเจ็ดแปดเม็ดถึงได้ระงับความขมนั้นลงไป

พูดถึงน้ำตาลอ้อย เยียนอวิ๋นเกอเสียดายอย่างมาก

เมืองหลวงอยู่ทางเหนือ ไม่อาจปลูกอ้อยได้

หากนางมีโอกาสไปบุกเบิกทางใต้ นางจะปลูกอ้อนหลายแสนไร่ เอาไว้มาต้มน้ำตาล ต้มจนกลายเป็นน้ำตาลขาว

ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลขาว หรือน้ำตาลเหลือง หรือแม้แต่น้ำตาลตำที่ปนเปื้อน ล้วนมีมูลค่าในสมัยนี้

ตระกูลทั่วไปไม่มีโอกาสได้กินน้ำตาลด้วยซ้ำ

บางคราอาจโชคดี ได้กินน้ำผึ้งธรรมชาติสองคำ

โอกาสกินน้ำผึ้งมีน้อย น้ำตาลได้มาง่ายกว่า แค่มีเงินก็พอ

แต่ผู้คนในสมัยนี้ยากจน สิ่งที่ขาดแคลนคือเงิน

“เหตุใดจึงยากจนเพียงนี้!”

เยียนอวิ๋นเกออุทานออกเสียง

ทุกคนต่างยากจน นางอยากทำการค้าย่อมต้องครุ่นคิดอย่างระวัง

คนที่นั่งอยู่ในพระราชวังเป็นคนโลภมาก ต้องการทุกสิ่ง

หากนางมีการเคลื่อนไหวใหญ่เกินไปบนการค้า มีความเป็นไปได้ที่จะถูกฮ่องเต้จับจ้อง

เฮ้อ…

นางถอนหายใจอีกครั้ง เป็นนางช่างลำบาก!

ที่อื่นกำลังสู้รบ แต่พื้นที่นครบาลกลับเงียบสงบ

ไม่ต้องเร่งเวลา รถม้าเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า

เดินไปตามทางหลวง หนึ่งวันเดินทางได้เพียงห้าหกสิบลี้

ยามค่ำมาถึงอี้จ้าน พวกเขาพักลงในอี้จ้านทันที

แม่นมชิวกำลังฝังเข็มกรอกยาให้เยียนอวิ๋นเกอ กำชับนางไม่ให้พูดก่อนพรุ่งนี้เช้า

กว่านางจะเปิดปากพูดได้ไม่ใช่เรื่องง่าย หากพูดมากมายอาจเป็นการทำลายคอ

ครานี้หากคอเสียหายก็ไม่อาจรักษาได้อีก

เยียนอวิ๋นเกอเชื่อฟังอย่างมาก รับรองว่าต่อจากนี้จะลดการพูดลง เพื่อในอนาคต นางจะสามารถพูดได้อย่างสาแก่ใจ

ทำท่าได้ทำท่า ใช้ดินสอเขียนได้ใช้ดินสอเขียน

รับรองว่าคอจะกลับมาสู่ปกติ ด่าคนจนตายได้

เดินทางมาสามวัน ในที่สุดก็มาถึงเรือนพักร่ำรวย

ผ่านไปสองเดือน เรือนพักมีการเปลี่ยนแปลงใหม่อีกครั้ง

สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ มีเรือนฟางมากขึ้นหลายสิบแถว

เด็กมากขึ้น อากาศร้อน แต่ละคนล้วนเปลือยท่อนล่าง วิ่งลงเชิงเขาไปเก็บฟืน

ด้านข้างของเรือนพักร่ำรวยกำลังก่อสร้าง

คราก่อนมา เยียนอวิ๋นเกอเคยบอกกับเยียนสุย จะขยายเรือนพักให้ใหญ่ขึ้น อีกทั้งยังต้องการสร้างสนามที่สามารถบรรจุได้สามพันถึงห้าพันคน

สร้างเรือนอิฐเรียงรายลอบสนาม ใช้เป็นหอพักสำหรับทหาร

แน่นอนว่ายังขาดสนามและหอพัก

ในเวลานี้กำลังสร้างเรือนพัก

ตามการขยายพื้นที่บุกเบิก ผู้อพยพในบุกเบิกทะลุหมื่นคน พ่อบ้านและบ่าวรับใช้ก็เพิ่มขึ้นตาม

ในเมื่อเป็นพ่อบ้านและบ่าวรับใช้ ย่อมไม่อาจพักในเรือนฟางบริเวณเนินเขาอีก

ต้องแยกออกจากผู้อื่น นับแต่การกินการใช้ แยกจากกันในทุกด้าน เช่นนี้ทุกคนถึงจะมีแรงทำงาน

พยายามทำงาน ทำได้ดี ยอมใช้สมอง ย่อมสามารถถูกเลื่อนขั้นเป็นบ่าวรับใช้หรือพ่อบ้าน

มันเป็นวิธีสนับสนุนที่ไม่เลว

แต่เยียนอวิ๋นเกอคิดว่ามันยังไม่พอ

สองสามวันแรกที่เพิ่งถึงเรือนพัก นางไม่ได้ออกเสียง

นางออกจากเรือนทุกวัน เดินเล่นอยู่ท่ามกลางแปลงนา

เมล็ดพันธุ์ที่หว่านในฤดูใบไม้ผลิถึงเวลาแก่การเก็บเกี่ยวแล้ว

อีกสิบกว่าวัน เรือนพักร่ำรวยก็สามารถเก็บเกี่ยวเสบียงชุดแรกได้แล้ว

บุกเบิกในที่สุดก็เห็นผลแล้ว

ในเวลาเดียวกัน นางคัดเลือกคนส่วนหนึ่งจากผู้อพยพ นางจะใช้ประโยชน์

เดินวนมาหลายวัน เยียนอวิ๋นเกอพบปัญหาไม่น้อย

เมื่อคนมาก คนที่มีนิสัยต่างกันย่อมมี มีคนที่ใช้กลอุบายปรากฏขึ้น อีกทั้งยังไม่น้อย

เนื่องจากทุกคนกินข้าวหม้อเดียวกัน ทำมากทำน้อยล้วนมีกิน ดังนั้นจึงมีคนจับปลาในน้ำขุ่น อู้งานทั้งวัน

ทำงานเล็กน้อย แต่กินมากกว่าผู้ใด

เยียนอวิ๋นเกอโกรธ!

นางหยิบทุนของตนเองออกมาซื้อเสบียงเพื่อไม่ให้ทุกคนต้องอดข้าว สุดท้ายมีคนคิดว่านางรังแกง่าย

เหอะๆ…

สถานการณ์นี้ต้องเปลี่ยนแปลง

โม้ง โม้ง โม้ง!

เสียงฆ้องดังขึ้น

เสียงฆ้องดังขึ้นสามครั้งเป็นสัญญาณการรวมตัว

คนที่มาอยู่ในพื้นที่บุกเบิกของเรือนพักร่ำรวยมีฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติกับเสียงฆ้อง

ทุกวัน เสียงฆ้องดังขึ้นเมื่อฟ้ายังไม่สว่าง ทุกคนรวมตัวเพื่อรับกหมั่นโถว รวมทั้งอุปกรณ์การเกษตรเพื่อทำงาน

กลางวัน เสียงฆ้องดังขึ้นอีกครั้ง มันเป็นสัญญาณเรียกกินข้าว

หลังจากกินข้าวเที่ยง พักผ่อนครึ่งชั่วยาม เสียงฆ้องดังขึ้นอีกสิบครั้ง มันเป็นสัญญาณเริ่มทำงาน

ครานี้เสียงฆ้องดังขึ้นสามครั้ง เป็นสัญญาณการรวมตัว

พื้นที่รวมตัวคือพื้นที่ราบข้างโรงอาหาร

ครานี้ยังอยู่ในเวลากลางวัน ดวงอาทิตย์แขวนอยู่บนฟ้า

“เหตุใดจึงรวมตัวเร็วเพียงนี้”

มีคนพึมพำ

วันอื่นจะรวมตัวกันเมื่อดวงอาทิตย์ตกดิน

“อาจมีเรื่องใดเกิดขึ้น!”

ทุกคนต่างถกเถียง แบกอุปกรณ์การเกษตร มุ่งหน้าไปรวมตัวยังที่ราบ

คนพเนตรถูกแบ่งเป็นกลุ่มในการเพาะปลูกจำนวนมาก

แต่ละคนหาหัวหน้ากลุ่มของตนเอง ส่งมอบอุปกรณ์การเกษตร หัวหน้ากลุ่มรับผิดชอบรวบรวม

คนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ด้วยกัน

ระหว่างกลุ่มมีการเว้นระยะอย่างเห็นได้ชัด

เยียนสุยเป็นพ่อบ้านใหญ่ของเรือนพักร่ำร่ำ เขาเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นในสายตาของเหล่าคนพเนตร

เขาหยิบโทรโข่งเหล็กขึ้นมา ยืนอยู่บนแท่นสูง กระแอมไอสองที

“นี่ๆ ได้ยินหรือไม่”

โฮ่!

ผู้อพยพต่างประหลาดใจ เหตุใดจึงเสียงดังเพียงนั้น

ตามมาด้วยเสียงหัวเราะ ตอบอย่างพร้อมเพรียง ‘ได้ยิน’

เยียนสุยกระแอมไอ “ได้ยินก็ดี! วันนี้เรียกรวมทุกคน เพราะมีเรื่องดีจะประกาศ เรื่องดีอันใดนั้น มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับกับบุกเบิก”

กลุ่มผู้อพยพที่เดินทางมาเป็นกลุ่มแรกนั้นล้วนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญหลังจากหลายเดือนผ่านไป พวกเขากล้าที่จะปะทะกับเยียนสุยแล้ว

แน่นอนว่ามันเป็นแค่การหยอกล้อ

เยียนสุยไปมาหาสู่กับคนเหล่านี้ด้วยทีท่าอ่อนโยน รายละเอียดเล็กน้อยเขาไม่สนใจนัก

เขาตะโกน “อย่าโหวกเหวก อย่าโหวกเหวก จะฟังต่อหรือไม่ ข้าบอกพวกเจ้า เรื่องต่อไปล้วนเกี่ยวข้องกับอาหารของพวกเจ้า เกี่ยวข้องกับเสบียงในฤดูหนาวของพวกเจ้า เรื่องแรก…”

เยียนสุยประกาศสามเรื่อง

เรื่องแรก ยกเลิกหม้อข้าวรวม เปลี่ยนเป็นการรับเสบียงตามการทำงาน

เมื่อรับเสบียงแล้ว ปัญหาอาหารจัดการเอง

กินแห้งหรือกินเปียก ตัดสินใจด้วยตนเอง

เสบียงพอกินหรือไม่ ต้องดูว่าเจ้าตั้งใจทำงานหรือไม่

ทำงายยิ่งมาก เสบียงที่ได้รับในแต่ละวันยิ่งมาก

เพียงแค่ไม่อู้งาน ขยันทำงาน ประหยัดกิน เมื่อถึงฤดูหนาวย่อมเหลือเสบียง

หากไม่อยากได้เสบียง สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงิน

เรื่องที่สอง สวัสดิการใหญ่ คนที่บุกเบิกได้ห้าสิบไร้ สามารถรับแปลงนาเช่าราคาถูกห้าไร่

สิ่งใดคือแปลงนาเช่าราคาถูก

แปลงน่าเช่าราคาถูกคือแปลงนาที่เก็บค่าเช่าเพียงสามส่วน

ต้องรู้ว่าราคาตลาดในสมัยนี้ ค่าเช่าแปลงนาเป็นห้าต่อห้า การเช่นแปลงนาปกติ ต้องจ่ายเงินค่าเช่าห้าส่วน

มีเจ้าของที่ดินที่ใจดำบางคนเก็บค่าเช้าหกส่วนถึงเจ็ดส่วนด้วยซ้ำ

เกษตรกรเหน็ดเหนื่อยทั้งมี ได้เสบียงเพียงแค่สามส่วน อีกทั้งยังต้องจ่ายส่วย เห็นได้ชัดว่าเสบียงไม่พอกิน

เสบียงไม่พอกินทำอย่างไร ทำได้เพียงกู้ยืม

ดอกเบี้ยทบดอกเบี้ย ไม่มีวันคืนหมดสิ้น ติดหนีสินตลอดไป

สุดท้ายจึงล้มละลาย กลายเป็นคนพเนตร หรือขายตัวเป็นทาสเป็นบ่าว เป็นวันเป็นหมา ตายไปก็เปล่าประโยชน์

ดังนั้นเมื่อเสนอแผนการเก็บค่าเช่าแปลงนาเพียงสามส่วน ทันใดนั้น ดวงตาของผู้อพยพทั้งหลายต่างลุกวาว

จ่ายค่าเช่าเพียงสามส่วน ถึงแม้ต้องจ่ายส่วย แต่เสบียงที่เหลือ หากประหยัดย่อมพอกิน

เมื่อมีเสบียง ย่อมไม่ต้องแทะเปลือกไม้ กินผักป่า ไม่ต้องหนีความยากจนอีกต่อไป

เสบียงมากมายเพียงนั้น เพียงพอให้คนทั้งครอบครัวกินอิ่ม

หากบุกเบิกถึงหนึ่งพันไร่ ย่อมได้รับแปลงน่าค่าเช่าถูกสิบไร่

หากคนในครอบครัวขยันทำงาน บุกเบิกสองร้อยไร่ ย่อมได้แปลงน่าค่าเช่าถูกถึงยี่สิบไร่ไม่ใช่หรือ!

ผู้อพยพทั้งหลายต่างตื่นเต้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด