คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง 301 เรียกร้องมาก

Now you are reading คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง Chapter 301 เรียกร้องมาก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 301 เรียกร้องมาก

เยียนโส่วจ้านไม่ยอมถอนกองกำลังออกจากเมืองป๋อไฮ่

ในที่สุด ฎีกาของเขาก็ถูกส่งไปถึงเมืองหลวง ถึงโต๊ะของฮ่องเต้หย่งไท่

ถ้อยคำจริงใจ แต่ก็ไม่อาจปิงบังความจริงที่ต้องการผลประโยชน์ที่จับต้องได้มากขึ้น

ฮ่องเต้หย่งไท่โยนฎีกาไปให้องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้ “ไม่รู้จักพอเสียจริง!”

เซียวเฉิงอี้กลับหัวเราะ “เสด็จพ่อไม่ต้องทรงโกรธพ่ะย่ะค่ะ! คาดไว้แล้วว่าเยียนโส่วจ้านจะไม่ยอมละทิ้งเมืองป๋อไฮ่ไปง่ายๆ เพราะตัวเขาเองไม่ได้รับผลประโยชน์ที่สามารถจับต้องได้ ผลประโยชน์ทั้งหมดล้วนตกไปอยู่กับภรรยาและบุตรของเขา”

ฮ่องเต้หย่งไท่ส่งเสียงไม่พอใจ “เจ้าก็เห็นเนื้อหาในฎีกา เขาไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการยกตำแหน่งให้บุตรชายคนใดเลยแม้แต่น้อย ข้าว่าเขาจงใจที่จะยื้อเวลาให้ถึงที่สุด”

“กระหม่อมคิดว่าตำแหน่งอาจถูกยกให้กับเยียนอวิ๋นฉวน เยียนอวิ๋นฉวนได้ออกจากเมืองหลวง เดินทางกลับไปยังแคว้นซ่างกูแล้ว หากปราศจากการล่อลวงของตำแหน่งนี้ เขาคงไม่ออกจากเมืองหลวงในเวลานี้ เพราะองครักษ์จินอู่ไม่ได้พยายามที่จะจับเขาแล้ว”

ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะเยาะเย้ย พลันชี้แนะองค์ชายสามเซียวเฉิงอี้ “เจ้าจงจำไว้ บนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเป็นของตาย เมื่อเจ้ามองว่ามันเป็นของตาย สถานการณ์ก็อาจจะต่างไป”

เซียวเฉิงอี้รีบตั้งสติขึ้นมาทันที “เสด็จพ่อทรงสั่งสอนได้ถูกต้อง เสด็จพ่อทรงหมายความว่าเยียนโส่วจ้านอาจทำในทางตรงกันข้าม แต่ถ้าเขาไม่ยกตำแหน่งให้เยียนอวิ๋นฉวนแล้วจะยกให้ผู้ใด”

“ไม่ว่าเขาจะให้ผู้ใด ก่อนมีข้อสรุป เจ้าล้วนอย่าคิดว่าเยียนอวิ๋นฉวนจะได้รับตำแหน่ง เจ้ายังเด็กเกินไป มักมองความคิดของผู้อื่นอย่างเรียบง่าย เจ้าลองดูฎีกาของเยียนโส่วจ้าน ดูถ้อยคำของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นแม่ทัพที่ละโมบและทะเยอทะยาน เขาจะยอมเดินตามทางของราชสำนักอย่างเชื่อฟังได้อย่างไร”

เซียวเฉิงอี้ได้ยินจึงหยิบฎีกาขึ้นมาอีกครั้ง พลันไล่อ่านทีละตัวอักษร

ฮ่องเต้หย่งไท่ชี้แนะเขาอยู่ด้านข้าง “ฎีกาย่อมมีที่ปรึกษาข้างกายเขาเขียนแทน แต่เนื้อหาในจดหมายย่อมเป็นเจตนาของเยียนโส่วจ้านเอง เขาไม่พอใจผลประโยชน์ที่ข้าให้ เพราะเหตุใด เพราะผลประโยชน์ไม่ได้ให้แก่เขาโดยตรง เห็นได้ชัดว่าคนอย่างเขา ความจริงแล้วไม่สนใจสถานการณ์ของภรรยาและบุตรมากนัก”

เซียวเฉิงอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้วต้องทำอย่างไร เขาต้องการผลประโยชน์ที่มากขึ้น เราก็จำเป็นต้องให้ผลประโยชน์เขาอย่างนั้นหรือ สามารถบังคับให้เขาถอนกำลังจากเมืองป๋อไฮ่ได้หรือไม่”

“บังคับอย่างไร อาศัยสำนักราชการท้องถิ่นคงไม่เพียงพอ หากอาศัยแม่ทัพจากท้องถิ่นอื่น มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดสถานการณ์หนีเสือปะจระเข้”

“เสด็จพ่อทรงหมายความว่าพวกเราพึ่งพาได้เพียงกองทัพเหนือหรือกองทัพใต้?”

“เพื่อเมืองป๋อไฮ่เมืองเดียว ไม่ถึงขั้นต้องใช้กองทัพเหนือ สถานการณ์ในเวลานี้ กองทัพเหนือจะออกห่างจากเมืองหลวงไม่ได้เด็ดขาด นอกเสียจากเจ้าตัดสินใจแล้วว่าจะกำจัดเยียนโส่วจ้านรวมทั้งกองกำลังโยวโจว เจ้าพร้อมแล้วหรือไม่”

สีหน้าขององค์ชายสามเซียวเฉิงอี้ซีดเผือด

สุดท้ายทำได้เพียงหัวเราะด้วยเสียงขมขื่น พลันโน้มตัวพูด “กระหม่อมไร้ความสามารถ!”

ฮ่องเต้หย่งไท่ส่งเสียงไม่พอใจ “ในเมื่อยังไม่พร้อมก็อย่าได้เคลื่อนไหวกองทัพเหนืออย่างง่ายดาย เจ้าต้องจำไว้ กองทัพเหนือเป็นวิธีการสุดท้าย!”

“กระหม่อมจดจำคำสอนของเสด็จพ่อ!”

ฮ่องเต้หย่งไท่ถอนหายใจยาว “เรื่องนี้ เจ้ามีวิธีที่ดีหรือไม่”

เซียวเฉิงอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เยียนโส่วจ้านต้องการผลประโยชน์จึงจะยอมถอนกำลัง ปัญหาสำคัญคือผลประโยชน์อย่างไรจึงจะทำไห้เขาพึงพอใจ คงไม่อาจเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งให้เขา หากเป็นเช่นนี้ คงไม่อาจอธิบายทางกองทัพเหลียงโจวได้”

“ใช่! ยังต้องคำนึงถึงกองทัพเหลียงโจว ดังนั้นผลประโยชน์ที่ให้เยียนโส่วจ้านจะเปิดเผยไม่ได้”

เซียวเฉิงอี้ตากระตุก

เปิดเผยไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องทำลับหลังอีกแล้วหรือ

เขาไม่สบายใจ ดังนั้นจึงคิดว่าวิธีนี้ใช้การไม่ได้ในทันที

แต่เขาก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่า

ไม่อาจเลื่อนขั้นได้ จึงทำได้เพียงให้เงินให้เสบียง

หากราชสำนักมีเงินและเสบียงที่เพียงพอ พวกเขาพ่อลูกย่อมไม่ต้องกลุ้มเพียงนี้

สุดท้ายแล้วก็เป็นเพราะไม่มีเงินและเสบียงที่เพียงพอ จึงได้เกิดเรื่องนี้ขึ้น

ตั้งแต่เหนือจรดใต้ล้วนเกิดโจรกบฏ

แม่ทัพเดินทัพปราบปรามล้วนต้องใช้เงิน

จะดูแลเยียนโส่วจ้านเพียงผู้เดียวได้อย่างไร

เขาโน้มตัวเล็กน้อย “ขอเสด็จพ่อโปรดชี้แนะ!”

ฮ่องเต้หย่งไท่พลิกฎีกา เงียบเป็นเวลานาน “เรียกองค์หญิงจู้หยางเข้าเฝ้า!”

ในที่สุด เซียวฮูหยินก็ได้รับพระราชโองการให้เข้าเฝ้า

ฮ่องเต้ราวกับไม่อยากพบนางอย่างมาก

นางส่งป้ายเข้าวังไปทูลขอเข้าเฝ้านับครั้ง ล้วนถูกตีกลับมา

เมื่อได้พระราชโองการให้เข้าวัง เซียวฮูหยินแต่งกายเรียบร้อย ติดตามขุนนางฝ่ายในมุ่งหน้าไปยังวังหลวง

ในที่สุด นางก็ได้พบกับฮ่องเต้ภายในตำหนักซิงชิ่ง

ไม่ได้พบเพียงไม่กี่เดือน ลักษณะของฮ่องเต้ในเวลานี้ทำให้เซียวฮูหยินตกตะลึง

“ฝ่าบาททรงเป็นอันใด” นางเกิดความสงสัยขึ้นในใจ

ฮ่องเต้หย่งไท่บอกให้นางนั่ง “ระยะนี้ข้าชราลงไปมาก”

เซียวฮูหยินขมวดคิ้ว ไม่เพียงชรา ความกระปรี้กระเปร่าของเขาราวกับถูกดึงออกไปจนแห้งเหือด แทบจะกลายเป็นคนชราที่รูปร่างผอมแห้งอยู่แล้ว

เกิดเรื่องใดขึ้น

ระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน เหตุใดจึงเปลี่ยนไปมากเพียงนี้

หลายเดือนก่อน ถึงแม้ฮ่องเต้จะดูชรา แต่อย่างน้อยก็ยังกระปรี้กระเปร่า ยังมีบารมีของจักรพรรดิ

แต่เวลานี้…

เซียวฮูหยินถอนหายใจ “ฝ่าบาททรงรักษาพระวรกาย”

ถึงแม้จะคั่นกลางด้วยโต๊ะ แต่นางยังคงสังเกตเห็น อากาศที่ร้อนเช่นนี้ บนขาของฮ่องเต้หย่งไท่ยังต้องคลุมผ้าห่มขนแกะ ภายในตำหนักใหญ่ มีเพียงบริเวณหน้าประตูตำหนักที่มีอ่างน้ำแข็ง

นางนั่งลงเพียงสักพักก็รู้สึกถึงไอร้อนที่พัดระอุขึ้นมา ต้องดื่มน้ำที่แช่เย็นเอาไว้จึงจะสยบความอบอ้าวได้

แต่ฮ่องเต้กลับไม่รู้สึกถึงความร้อนแม้แต่น้อย น้ำที่ดื่มก็เป็นชาสมุนไพรที่มีไอร้อน

ฮ่องเต้หย่งไท่มีสีหน้าราบเรียบ “เจ้ามีใจแล้ว! ข้าเลื่อนขั้นให้เจ้า ทำเจ้าตกใจหรือไม่”

“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา หม่อมฉันไม่คิดว่าจะถูกเลื่อนขั้นเป็นองค์หญิงในชีวิตนี้”

“เพราะว่าเจ้ามีสามีที่ดี หากไม่มีเขา คงไม่มีตำแหน่งองค์หญิงของเจ้า”

“ฝ่าบาททรงพูดได้มีเหตุผล”

“เพียงแต่ตอนนั้นเจ้าเสนอความคิดให้ข้า บอกให้ข้าสละเมืองป๋อไฮ่ให้เยียนโส่วจ้าน เวลานี้กลับทำให้เกิดเรื่องตามมามากมาย เหมือนดั่งที่ว่าการแก้มัดยังต้องอาศัยคนผูกมัด จะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร ยังคงต้องอาศัยเจ้า”

เซียวฮูหยินเงยหน้าเล็กน้อย “ฝ่าบาททรงต่อว่าหม่อมฉันอยู่หรือเพคะ”

ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะร่า “เจ้าต้องรับผิดชอบ! หากเจ้าไม่ได้เสนอยกเมืองป๋อไฮ่ให้เยียนโส่วจ้านในเวลานั้น เวลานี้ข้าก็คงไม่ต้องกลัดกลุ้ม แต่ละวันยังต้องถูกบรรดาขุนนางพร่ำบ่น”

“แต่เวลานั้นฝ่าบาททรงมีข้อเรียกร้องเพียงหนึ่งเดียวคือทำอย่างไรให้เยียนโส่วจ้านยอมเดินทัพถ่วงกอวงทัพซีหยงเอาไว้ รอกองทัพเหลียงโจวมาโจมตี หม่อมฉันเสนอความคิดให้ฝ่าบาทเสียสละเมืองป๋อไฮ่ จัดการปัญหายากนี้ได้จริง ส่วนเรื่องที่ต้องจัดการในเวลาถัดมา ฝ่าบาทไม่ได้ทรงร้องขอ”

“ตอนนั้นข้าไม่มีข้อเรียงร้องก็จริง แต่เวลานี้ข้ามีข้อเรียกร้อง อีกทั้งยังอยากให้เจ้าช่วยข้า เจ้ายินดีหรือไม่”

เซียวฮูหยินก้มหน้ายิ้ม “ข้อเรียกร้องของฝ่าบาท หม่อมฉันมิกล้าไม่ปฏิบัติตาม แต่หม่อมฉันไม่รู้จะเริ่มลงมือจากที่ใดจึงจะช่วยฝ่าบาทได้เพคะ”

ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะออกมา “เจ้ากับเยียนโส่วจ้านเป็นสามีภรรยากัน บนโลกนี้คนที่รู้จักเขาดีที่สุดก็คือเจ้า ปัญหาในเวลานี้คือ ข้าสละตำแหน่งขุนนาง แต่เขาไม่ยอมถอนกำลังออกจากเมืองป๋อไฮ่ นอกจากนี้ยังถวายฎีกาเรียกร้องขอผลประโยชน์อย่างเปิดเผย เจ้าลองดูเนื้อหาด้านบน ข่มขู่ราชสำนักอย่างเปิดเผยเป็นการกระทำผิดที่ร้ายแรง”

เซียวฮูหยินหยิบฎีกามาจากมือของขุนนางฝ่ายใน พลิกอ่านคร่าวๆ

เนื้อหา นางรู้พอประมาณก่อนเข้าวังแล้ว

เยียนโส่วจ้านเขียนบอกนางในจดหมายอย่างชัดเจน เพียงแค่ไม่พอใจที่ราชสำนักให้ผลประโยชน์น้อยเกินไปราวกับให้ขอทาน

เฮอะๆ …

ในสายตาของเยียนโส่วจ้าน ตำแหน่งขุนนางก็พอๆ กับการขอทาน

เมื่ออ่านฎีการเสร็จ นางโน้มตัวเล็กน้อย “ฝ่าบาททรงต้องการให้หม่อมฉันทำอย่างไรเพคะ”

ฮ่องเต้หย่งไท่เลิกคิ้วเล็กน้อย “ข้าอยากให้เยียนโส่วจ้านถอนกำลังจากเมืองป๋อไฮ่ทันที นับจากนี้อย่าได้ใช้เรื่องนี้มาเรียกร้องผลประโยชน์จากราชสำนัก”

เซียวฮูหยินทำสีหน้าลำบากใจ “อยากให้เขาถอนกำลังจากเมืองป๋อไฮ่เกรงว่าจะไม่ง่ายนัก สู้ให้กองทัพเหนือบังคับให้เขาถอนกองกำลังเสียดีกว่า”

มุมปากของฮ่องเต้หย่งไท่กระตุก “จู้หยาง เจ้ากำลังทำให้ข้าลำบากใจ หรือทำให้เยียนโส่วจ้านลำบากใจ ถึงแม้พวกเจ้าสามีภรรยาจะไม่กลมเกลียวกัน แต่เจ้าก็ไม่ควรให้กองทัพเหนือเคลื่อนไหว”

เซียวฮูหยินเม้มปากยิ้ม “หม่อมฉันเพียงแค่พูด ไม่ได้ต้องการให้กองทัพเหนือเคลื่อนไหวจริง อยากให้เยียนโส่วจ้านถอนกองกำลังออกจากเมืองป๋อไฮ่ ต้องดูว่าฝ่าบาทจะทรงให้ผลประโยชน์ใดได้”

ฮ่องเต้หย่งไท่ส่ายหน้า “หากข้าสามารถให้ผลประโยชน์ที่เพียงพอได้จะกลุ้มใจเพียงนี้ได้อย่างไร อีกทั้งยังเชิญเจ้าเข้าวังมาช่วยคิด แผ่นดินต้าเว่ยกำลังเผชิญกับภัยจากภายในและภายนอก เจ้าในฐานะคนรุ่นหลังของตระกูลเซียว เจ้าไม่ร้อนใจแม้แต่น้อยเชียวหรือ หรือเจ้ายอมทนเห็นแผ่นดินต้าเว่ยพังทลาย ล่มสลาย ราษฎรอดอยากหรือ”

เซียวฮูหยินถอนหายใจ “ถึงแม้หม่อมฉันจะเป็นห่วงบ้านเมือง แต่หม่อมฉันก็ไร้กำลัง”

“แต่เจ้ามีอิทธิพลต่อเยียนโส่วจ้าน เจ้าทำให้เขาถอนกองกำลังออกจากเมืองป๋อไฮ่ได้ย่อมเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง!”

เซียวฮูหยินขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามด้วยความจริงจัง “ฝ่าบาททรงให้เงินและเสบียงเขาได้มากน้อยเพียงใดเพคะ”

ฮ่องเต้หย่งไท่ส่ายหน้า “ไม่มีเงินและเสบียง ข้าสามารถโยกเงินจากสำนักเซ่าฝู่ได้มากสุดสองหมื่นก้วน”

เซียวฮูหยินก้มหน้าหัวเราะ “เงินเพียงสองหมื่นก้วน ไม่สามารถทำให้เยียนโส่วจ้านพึงพอใจได้ ยิ่งไม่ต้องคาดหวังให้เขาถอนกองกำลังออกจากเมืองป๋อไฮ่ สู้เลื่อนขั้นให้เขาเสียดีกว่า”

“ไม่ได้!”

ฮ่องเต้หย่งไท่ปฏิเสธข้อเสนอของเซียวฮูหยิน

เซียวฮูหยินขมวดคิ้ว “เลื่อนขั้นก็ไม่ได้ เช่นนั้นก็เหลือเพียงวิธีเดียว”

“เจ้าพูด!”

เซียวฮูหยินอ้าปาก เรียบเรียงคำพูดเป็นเวลานานจึงเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาททรงให้คำมั่นสัญญากับเขาลับหลัง”

คราวนี้กลายเป็นฮ่องเต้หย่งไท่ที่ขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความว่า?”

เซียวฮูหยินใช้นิ้วแตะน้ำชา พลันเขียนคำว่า ‘ทหาร’ ลงบนโต๊ะ จากนั้นใช้แขนเสื้อเช็ดออก

ฮ่องเต้หย่งไท่ขมวดคิ้วมุ่น ภายในใจเต็มไปด้วยคำสบถมากมาย

เขาถอนหายใจ “เจ้าให้ข้าไตร่ตรองดูก่อน!”

เซียวฮูหยินพูด “หม่อมฉันทำเพื่อฝ่าบาทได้เท่านี้ ขอฝ่าบาทโปรดทรงอภัย!”

ฮ่องเต้หย่งไท่โบกมือ “เจ้าถอยออกไปก่อนเถิด!”

“เพคะ!”

เซียวฮูหยินลุกขึ้น โน้มตัวถอยออกไป

องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้เดินออกมาจากตำหนักด้านข้าง เขาสงสัยอย่างมาก “เสด็จพ่อ องค์หญิงจู้หยางเขียนสิ่งใด”

ฮ่องเต้หย่งไท่ยกพู่กันเขียนคำว่า ‘ทหาร’ ลงไปบนกระดาษ!

เซียวเฉิงอี้ขมวดคิ้วมุ่น “นางหมายความว่าอย่างไร เสนอความคิดพิสดารอีกแล้วหรือ”

ฮ่องเต้หย่งไท่โบกมือเป็นเชิงให้เขาใจเย็น

“เยียนโส่วจ้านเรียกร้องมาก หากเลื่อนขั้นให้เขา ต้องเป็นยศอย่างไรจึงจะทำให้เขาพึงพอใจ ให้ตำแหน่งเขา ต้องให้ตำแหน่งทหารเหลียงโจวด้วยหรือไม่ ต้องให้ตำแหน่งแม่ทัพที่กำลังปราบปรามการจลาจลด้วยหรือไม่ เรื่องนี้ริเริ่มขึ้นไม่ได้!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด