เซียนหมากข้ามมิติ 290 ศพชั่วร้าย

Now you are reading เซียนหมากข้ามมิติ Chapter 290 ศพชั่วร้าย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 290 ศพชั่วร้าย

“เหล่าหวง…คนผู้นี้…เป็นคนบ้าหรือ”

ตรงข้างในเรือนมีคนรู้สึกไม่อาจเข้าใจได้ ค่ำคืนฝนตกหนักแบบนี้ ข้างนอกนอกจากมืดสนิทแล้วพื้นก็ลื่น อีกทั้งค่อนข้างหนาว ทว่ายังคงพาโจรคนหนึ่งออกไปแล้ว

“นั่นสิ ไยพวกเจ้าไม่เรียกคนกลับมา”

หวงจือเซียนมองหลายคนข้าๆ เมื่อครู่พวกเขามองเห็นจี้หยวนเดินไปไกลเช่นเดียวกัน จากสายตาของพวกเขา เขาเข้าใจว่าตนเองไม่ได้ตาฝาด

“ตอนอยากเรียกก็ไม่เคยคนแล้ว เอาเป็นว่าคืนนี้พวกเราระวังตัวหน่อย”

เดิมคิดอยากเก็บกระดาษเหลืองในมือตนไว้ในอกเสื้อ แต่นึกได้ว่าตนเองตัวเปียกแล้ว ข้างๆ ก็เป็นไฟ พลันตระหนักได้ว่าไม่มีที่ใดปลอดภัยเท่าในมือแล้ว

ประตูเรือนถูกปิดแล้ว ไม่ว่าบุรุษที่หน้าประตูเมื่อครู่นี้พูดเล่นหรือไม่ อย่างน้อยก็ทำให้ทุกคนเพิ่มความระมัดระวังตัวยิ่งกว่าเดิมได้สำเร็จ

ท่ามกลางสายฝนยามราตรี จี้หยวนจับคอเสื้อปาจื่อ ใช้วิชามังกรเหินมุ่งหน้าไป

โจรที่แต่เดิมส่งเสียงร้องทั้งเบาและดังว่าอยากกลับไป บัดนี้พูดไม่ออกแล้ว

เพิ่งออกจากในเรือนมาข้างนอกก็รู้สึกว่ามีมืดมิดแม้ยื่นมือออกไปก็มองไม่เห็นนิ้วทั้งฟ้า ทว่าเมื่อฟ้าร้องครืนดังขึ้น สายฟ้าพลันส่องสว่างฟ้าดิน

ภายใต้แสงสว่างเพียงชั่วครู่ ภาพโดยรอบที่ปาจื่อมองเห็นเปลี่ยนผันอย่างรวดเร็ว หมู่บ้านร่างยิ่งถูกสลัดทิ้งอยู่ข้างหลังแล้ว พวกเขาเพิ่งออกมาได้ไม่นานแท้ๆ ตามหลักการแล้วตอนนี้ควรยังไม่ออกจากหมู่บ้านถึงจะถูกต้อง

ตอนนี้ปาจื่อมองบุรุษที่จับตนเองไว้อีกครั้ง กลับพบว่าอีกฝ่ายยังคงเหมือนกับเดินอย่างเชื่องช้า แม้แต่วิ่งก็ไม่ได้วิ่ง ชัดเจนว่าตนเองถูกลมพันตัวไว้จนเกือบเอ่ยปากไม่ได้แล้ว

ปาจื่อตัวสั่นอยู่หลายครั้งแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะตื่นกลัวหรือรู้สึกหนาว แต่คล้ายกับว่าความรู้สึกนี้ดึงดูดความสนใจของจี้หยวนแล้ว หลังจากนั้นสองสามลมหายใจ ปาจื่อรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเสื้อผ้าบนตัวเปลี่ยนเป็นแห้งสนิทอย่างน่าประหลาด

จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาถึงพบโดยไม่รู้ตัวว่าแม้ลมจะตีหน้าอย่างบ้าคลั่ง แต่ร่างกายกลับไม่ถูกน้ำฝนเลยสักนิด

“คอยดูเส้นทางของสายฟ้าด้วย พวกเราจะไปยังตรงที่พวกเจ้าต่อสู้กันเมื่อครู่นี้ก่อน ทิศทางไม่ผิดกระมัง”

เสียงของจี้หยวนดังจากข้างบน โลกท่ามกลางฝนตกหนักในตอนนี้ นอกจากไม่มีสีสันแล้ว สำหรับเขาชัดเจนยิ่งกว่าวันฟ้าใสยิ่งนัก ถึงขนาดที่ว่ารอยเท้าที่จอมยุทธ์ทั้งกลุ่มย่ำไว้บนพื้นก่อนหน้านี้ก็แจ่มชัดมาก

ตอนนี้ถามออกไปเพียงเพื่ออยากแน่ใจเท่านั้น

“ถะ ถูกต้อง อีกเดี๋ยวจะมีเนินดิน ถึงตรงนั้นต้องเปลี่ยนทิศทาง”

ปาจื่อไม่กล้าพูดมั่ว ตอนนี้เขาพลันรู้สึกว่าเรื่องเหล่านั้นที่คนผู้นี้พูดถึงก่อนหน้านี้อาจเป็นความจริง และตนเองอยู่ข้างกายเขาอาจปลอดภัยยิ่งกว่าอยู่ที่หมู่บ้านร้าง

สองคนเคลื่อนที่เร็วมาก ไม่นานนักจี้หยวนก็เหยียบลงบนเนินดินที่ปาจื่อพูดถึง จากนั้นหาทิศทางหนึ่งแล้วเดินตรงไป

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ทั้งสองคนกลับสู่สนามรบระกว่างจอมยุทธ์และกลุ่มโจรแล้ว มองเห็นศพบนพื้นเช่นกัน

“เห็นทีจะเป็นที่นี่ไม่ผิดแล้ว!”

จี้หยวนพูดกับตนเอง ปลุกประสาทการดมกลิ่น ทนกลิ่นเหม็นสายนั้นแล้วเดินเข้าไปตรงที่มีศพอยู่เยอะที่สุด ไม่ต้องตรวจสอบอะไรโดยสิ้นเชิง เพียงสูดลมหายใจเข้าแล้วสัมผัสที่คอของศพโดยตรง

ครืน

มีสายฟ้าวาดผ่านท้องฟ้าอีกครั้ง ในสายตาของปาจื่อ บนคอของศพนี้มีรอยกัดที่น่ากลัวรอยหนึ่ง เกือบกัดคอจนขาดอยู่แล้ว

“เฮ้ย…!”

ปาจื่อตกใจกลัวตัวสั่น ร้องออกมาเสียงหนึ่ง

“เลือดในตัวศพหายไปจนเกลี้ยง อืม พวกนี้ก็เหมือนกัน แต่ทางนั้นมีเลือดเหลืออยู่บ้าง น่าจะตายเพราะการต่อสู้ สิ่งนี้ชอบเลือกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าวิญญาณเหลืออยู่สามส่วนหรือเจ็ดส่วนล้วนถูกดูดไปจนเกลี้ยงพร้อมเลือด”

ยิ่งจี้หยวนพูดเช่นนี้ ปาจื่อยิ่งรู้สึกกลัวเป็นอย่างยิ่ง ทว่าตอนนี้ฝ่ายแรกไม่มีกะใจสนใจความรู้สึกของโจรผู้นี้ สายตามองไปยังศพโจรที่ตายเพราะการต่อสู้เหล่านั้น

มีวิญญาณใหม่ที่มีสีหน้างุนงงหลายตนวนเวียนไม่ไปไหนอยู่ข้างศพ ดูท่าทางไม่น่ามียมทูตดำมารับวิญญาณไป จึงกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนอย่างแท้จริง

“ไป ไปที่รังโจรของพวกเจ้า ชี้ทางที”

“ทะ ทางนั้น!”

ปาจื่อข่มความรู้สึกกลัวในใจ ชี้ไปยังทางที่พวกโจรจากไปก่อนหน้านี้ จี้หยวนเงี่ยหูฟังเงียบๆ ครู่หนึ่ง แยกแยะร่องรอยของคนและม้ากลุ่มใหญ่ได้แล้ว

“อืม ตั้งสติหน่อย อย่าชี้ทางผิด พวกเราไปกัน”

จี้หยวนย่ำเท้า พาปาจื่อตามไปด้วยความเร็วมากกว่าเมื่อครู่นี้

เหล่าโจรไม่ได้กลับรังโจรโดยตรงอย่างชัดเจน กลับอยู่ระหว่างกลาง วนรอบสถานที่ที่สามารถกำจัดรอยเท้าได้อย่างแม่น้ำ แต่ตอนนี้จี้หยวนมีคนนำทางอยู่ด้วย ย่อมเลือกเส้นทางที่สั้นที่สุดโดยปริยาย

จี้หยวนเดินทางไปพลาง ทำความเข้าใจหน้าตารังโจรจากปาจื่อไปพลาง ถามคำถามเช่นข้างในนั้นมีคนอยู่ทั้งหมดเท่าไหร่

ดูจากลมปราณที่เหลืออยู่ตอนนี้ เหมือนกับว่าโจรพวกนั้นล้วนตายด้วยปากของสิ่งชั่วร้าย และดูคล้ายกับเป็นสิ่งที่เรียกว่าผีดิบ

สิ่งนี้ชอบกระหายเลือดมากเป็นพิเศษ แม้แต่ปราณดั้งเดิมทั่วตัวก็ดูดไปด้วยจนเกลี้ยง ในร่างกายผู้ตายไร้เลือดไร้ปราณ ย่อมไม่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงกับศพได้ แต่ระดับความกระหายเลือดนี้ออกจะเกินไปหน่อย คิดจะดูดเลือดคนหลายร้อยให้หมดด้วยตนเองเลยหรืออย่างไร

บนเขาทักษิณน้อยมีค่ายราชาทักษิณ โจรสองสามคนในตอนแรกเริ่มเป็นคนตั้งชื่อรังโจรราชาทักษิณนี้ นับว่าประกาศศักดาว่าตนเองเป็นราชาแห่งทางใต้ที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ได้

พวกเขามีความสามารถที่จะประกาศศักดาได้จริงๆ นั่นแหละ บัดนี้มีโจรอยู่ในกลุ่มทั้งหมดสี่ห้าร้อยคน ถึงขนาดมีคนเคยเข้าร่วมกองทัพอยู่ไม่น้อย หัวหน้ารองของรังโจรก็เคยเป็นทหารนายหนึ่งเช่นกัน

แม้เขาทักษิณน้อยที่รังโจรตั้งอยู่จะมีคำว่าน้อย แต่หนทางกลับคดเคี้ยวจนน่าประหลาดใจ ส่วนตัวรังโจรตั้งอยู่บนเนินเขาหิน พื้นที่รอบข้างสูงชัน ทางเข้าภูเขาแคบและยาว นับว่าป้องกันง่ายโจมตียาก

กลุ่มโจรที่จู่โจมจอมยุทธ์สิบกว่าคนก่อนหน้านี้ก็คือโจรจากค่ายราชาทักษิณ

ประมาณครึ่งชั่วยามก่อน โจรที่ทั้งเหนื่อยและล้าเหล่านี้เพิ่งกลับถึงที่นี่ คนไม่น้อยรีบเติมท้องให้อิ่ม จากนั้นเข้าไปนอนหลับในเรือนของตนเอง

ตอนที่จี้หยวนพาปาจื่อเดินทาง ภายในเรือนใหญ่หลังหนึ่งของค่ายราชาทักษิณ หัวหน้าหกคนและรองหัวหน้าจำนวนหนึ่งภายในค่ายกำลังรวมกลุ่มกันกินดื่มอย่างเต็มที่ แตกต่างกับเหล่าพี่น้องข้างนอกที่เข้านอนเร็ว

เนื้อแกะและผักตุ๋น เซาปิ่งและสุรา คนกลุ่มหนึ่งกินดื่มด้วยความปีติ ปากก็สนทนากันต่อเนื่องไม่หยุด

“นี่! หากพาสตรีหลายคนนั้นกลับมาได้ คืนนี้คงจะเป็นสุขยิ่งกว่านี้ ข้าต้องการสตรีมาดับความต้องการของข้าเสียหน่อย!”

ได้ฟังหัวหน้าสามบ่นแล้ว หัวหน้าใหญ่ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น

“เหล่าซาน พวกเจ้าเจอสิ่งชั่วร้ายอะไรกันแน่”

หัวหน้าห้าที่อยู่ข้างๆ ซึ่งไปด้วยกันดื่มสุราคำหนึ่งแล้วรีบตอบ

“พี่ใหญ่ ท่านไม่เห็น ก่อนหน้านี้พี่สามเรียกข้ากับพี่รองไป พวกข้าตรวจสอบศพพี่น้องพวกนั้นหมดแล้ว ทุกศพล้วนถูกกัดคอ มีรอยสองรอยที่ลึกเป็นพิเศษ ทะลุเส้นเลือดที่คอของพี่น้องที่ตายอย่างน่าอนาถเหล่านั้น”

“ถูกต้อง อีกทั้งคนพวกนั้นตายอย่างเงียบเชียบ เห็นแล้วชวนหวาดกลัวจนตัวสั่น ข้ายังตรวจสอบศพจำนวนหนึ่งด้วย บนศพล้วนมีรอยกรงเล็บ พื้นดินข้างศพก็มีรอยเท้าอันเกิดจากการดิ้นรน คิดว่าถูกสิ่งที่มีเรี่ยวแรงมากกดไว้บนพื้น จากนั้นถูกกัดตายทั้งเป็น”

หัวหน้าสามพูดถึงตรงนี้แล้วเสริมอีกว่า

“เลือดบนตัวศพแห้งกรังแล้วด้วย ถูกดูดเลือดหมดตัวจนตาย”

“ซี้ด…”

หัวหน้าที่ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนี้หลายคนฟังแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกว่าชั่วร้ายทีเดียว

“ดังนั้นพวกข้าจึงถอย ทิ้งจอมยุทธ์กลุ่มนั้นไว้ที่นั่น แม้จะมีหญิงงามและเงินทองมากมาย แต่ก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อถึงจะถูกต้อง”

หัวหน้าใหญ่ยกถ้วยสุราขึ้นชนกับพี่น้องหลายคน

“พูดได้ไม่เลว มาๆๆ ดื่ม!”

“ดื่มๆ!”

“ใช่ ดื่มสุรากัน!”

ท่ามกลางการพูดคุยที่เร่าร้อน รองหัวหน้าคนหนึ่งดื่มมากจนปวดปัสสาวะแล้ว จึงออกไปปลดทุกข์ข้างนอก

ข้างนอกยังคงมีฝนตกลงมา เขาเปิดประตูโถงใหญ่ออกไป ถูกลมหนาวพัดเข้าใส่ พาให้ตัวสั่นงันงกระลอกหนึ่ง

ฝนห่าใหญ่ทำให้ไม่สะดวกไปไกลเกิน ดังนั้นเขาอ้อมประตูหน้าโถงใหญ่ของค่าย เดินเลียบทางเดินไปยังด้านหลัง จากนั้นปลดกางเกงลงเพื่อปลดทุกข์

หลังจากปัสสาวะเรียบร้อย ร่างกายพลันเย็นลงหลายส่วน นับว่าเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว

“ฮู่…เดือนสามแล้วยังหนาวอยู่เลย”

ตอนนี้มีสายฟ้าสว่างวาบขึ้นหลังเสียงฟ้าร้อง

ครืน…

สายฟ้าส่องสว่างค่ายบนภูเขาชั่วขณะสั้นๆ ทำให้รองหัวหน้าที่กำลังผูกเชือกกางเกงพลันมองเห็นข้างนอกเรือนไกลๆ มีคนจับคนอีกคนหนึ่งอยู่ตรงนั้น

คนที่ถูกจับไว้สองเท้าห่างจากพื้น ชักกระตุกไปทั้งตัว มองแล้วชวนขนหัวลุก

‘ทางนั้นเกิดอะไรขึ้น’

ขณะที่กำลังคิดอยู่ มีเสียงฟ้าร้องและสายฟ้าฟาดอีกครั้ง ตอนที่รองหัวหน้าหมุนกาย ทันใดนั้นเขามองเห็นบนพื้นด้านข้างมีอะไรนูนๆ กำลังเคลื่อนที่เข้าหาตนเองอย่างรวดเร็ว

“อะไรน่ะ”

พรวด…

มือพร้อมกรงเล็บแหลมคมยื่นออกจากพื้นดินคว้าเข้าที่เท้าเขาโดยพลัน

“อ๊าก…อึก…”

เสียงร้องแหลมดังขึ้นแล้วก็หยุดในทันที แต่นับว่ายังคงส่งเสียงออกไปแล้ว

ภายในห้องโถงของค่าย หัวหน้าหลายคนที่กำลังดื่มสุรากินเนื้อสัตว์หยุดการกระทำในมือ พวกเขามีวิชายุทธ์ไม่ต่ำต้อย รองหัวหน้าคนอื่นไม่ได้ยิน แต่พวกเขากลับได้ยินเสียงร้องน่าเวทนาด้วยความหวาดกลัวนั่นอย่างชัดเจน

“เงียบ!”

หัวหน้าใหญ่ตะโกนเสียงหนึ่ง ภายในห้องโถงพลันเงียบกริบ ขณะนี้ได้ยินเพียงเสียงลมฝนข้างนอกและเสียงฟ้าร้องดังขึ้นบ้าง ความเงียบนี้แสดงถึงความไม่สบายใจอย่างหนึ่ง

“เจ้า เจ้า แล้วก็เจ้าออกไปดูหน่อย!”

หัวหน้าสามสั่งคนสองสามคนใกล้ประตู ฝ่ายหลังมองหน้ากันและกันก่อนจะพกดาบของตนเอง แล้วเปิดประตูเดินออกไป

พวกเขาออกไปแล้วคล้ายไม่มีอันตรายใด ทว่าไม่นานก็มีเสียงร้องสั้นๆ ดังขึ้นสามเสียง

“อ๊า…”

“อ๊าก…”

“ไม่…”

ตึง

ผนังด้านหนึ่งของห้องโถงถูกอะไรบ้างอย่างกระแทกอย่างแรง

“แย่แล้ว มีภัยมาเยือน พวกเราเตรียมตัว”

โครม..

โครม…

ประตูหน้าและผนังด้านหนึ่งของห้องโถงถูกกระแทกจนเป็นรูขนาดใหญ่สองรู อาศัยแสงไฟมองไป แต่ละรูล้วนมีเงาร่างสวมเสื้อผ้ามอมแมมยืนอยู่สองสามร่าง

“ใครน่ะ!”

“ระวังบนพื้น!”

“เฮ้ย…”

หัวหน้าหลายคนโคจรท่าร่างหลบหนี ขณะเดียวกันนั้นมีเสียงร้องน่าเวทนาจากเหล่าลูกน้อง บนพื้นระเบิดออกเป็นสองรู ก่อนจะมีสัตว์ประหลาดน่ากลัวตัวสีน้ำตาลถ้วนสองตัวทั่วโผล่ออกมา

หนึ่งในนั้นสะบัดมือ เสียงกรอบดังขึ้น มันหักคอของรองหัวหน้าคนหนึ่งแล้ว

เลือดสดๆ ไหลออกมาอย่างบ้าคลั่ง สัตว์ประหลาดสองตัวพุ่งไปยังร่างไร้ศีรษะ ประคองร่างนั้นแล้วกัดคอที่เลือดทะลักออกมา

หัวหน้าสามรู้สึกหนาวสะท้าน ตะโกนเสียงดังขึ้นมา

“มารดาสิ สิ่งสกปรกนี่ตามมาถึงค่ายแล้ว! หากสู้ก็ต้องตายแน่!”

เสียงนี้ดึงดูดความสนใจของสิ่งชั่วร้ายข้างนอก แต่ละตัวต่างพุ่งเข้ามา กระโจนตัวถึงตรงหน้ากลุ่มโจรราวกับบินได้

“สู้ตาย!”

“ฆ่า…”

ผัวะ…

เคร้ง…

หัวหน้าใหญ่เห็นว่ามีสัตว์ประหลาดเข้ามาหาตนเอง รวดเร็วเสียจนมองไม่ชัด เขาไม่ทันคิดมาก ปลุกปราณแท้ทั่วร่าง ใช้มีดขนาดใหญ่ที่คล้องคอตนเองอยู่ฟันไปตรงหน้าอย่างแรง

ฉึก…

ข้างหน้าประกฎประกายไฟ มือเขาเกือบชาแล้ว ทว่าไม่อาจฟันร่างอีกฝ่ายได้ อีกทั้งสัตว์ประหลาดตัวนี้ไม่ได้หยุดเลย

ตึง…

หัวหน้าใหญ่ถูกกระแทกหน้าอกอย่างจัง ข้างหลังยิ่งถูกกรงเล็บแหลมคู่หนึ่งแทงทะลุร่าง หัวไหล่และลำคอเกิดเป็นช่องขนาดใหญ่

“อ๊าก!”

สัตว์ประหลาดอุ้มร่างหัวหน้าใหญ่แล้วทำลายผนังด้านหลังของห้องโถงเป็นผุยผงเพื่อออกไป แสดงให้เห็นถึงพลังมหาศาลของมันแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด