เซียนหมากข้ามมิติ 307 ท่านจี้ผู้ลึกล้ำยากหยั่งถึง

Now you are reading เซียนหมากข้ามมิติ Chapter 307 ท่านจี้ผู้ลึกล้ำยากหยั่งถึง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 307 ท่านจี้ผู้ลึกล้ำยากหยั่งถึง

เมื่อเจอคู่สามีภรรยาเกาเทียนหมิง ในใจจี้หยวนมีความคิดอื่นเล็กน้อย รับการคารวะแล้วยิ้มกล่าวกับทั้งสองคน

“เอาล่ะ ท่านทั้งสองไม่ต้องมากพิธี เจอท่านทั้งสองที่นี่ถือเป็นเรื่องดี”

จี้หยวนผายมือแนะนำไปด้านข้าง

“ท่านนี้คือจอมยุทธ์เยี่ยนเฟย ท่านนี้เป็นเผ่าปีศาจเช่นกัน มีนามว่าหนิวป้าเทียน”

เกาเทียนหมิงกับฮูหยินเกาประสานมือไปทางทั้งสองคนพร้อมกัน

“คารวะท่านทั้งสอง!”

หนิวป้าเทียนกับเยี่ยนเฟยรีบคารวะตอบ ถือว่าทำความรู้จักกับอีกฝ่ายอย่างเรียบง่าย

เมื่อเห็นจี้หยวนอยู่ที่นี่ เกาเทียนหมิงยินดีนัก งานเลี้ยงวันเกิดประมุขมังกรเมื่อปีนั้น เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะคุยกับจี้หยวน ตอนนี้ได้คุยกันบนถนนเมืองผีสองสามประโยคแน่นอนว่าเป็นเรื่องดี

“ท่านจี้ ท่านรู้จักซินอู๋หยาด้วยหรือ ถึงถูกเขาเชิญมาร่วมงานฉลองของเขา”

“ซินอู๋หยา? ชื่อของเจ้าเมืองผีแห่งนี้หรือ”

จี้หยวนใคร่ครวญครู่หนึ่งค่อยตอบ

ประโยคนี้ทำให้เกาเทียนหมิงเดาออกว่าท่านจี้ไม่รู้จักมักคุ้นกับเจ้าเมืองผี

“เจ้าเมืองซินไม่ได้เชิญมาหรือ ท่านมาร่วมยินดีกับเขาเองกระมัง”

เกาเทียนหมิงแสดงออกทางสีหน้าว่าแปลกใจ ขณะเดียวกันยังค่อนขอดอยู่ในใจไม่หยุด

‘เจ้าซินอู๋หยามีหน้ามีตาขนาดนี้เชียว ทำให้ท่านจี้มาร่วมยินดีกับเขาด้วยตัวเองเลยหรือนี่’

“หึ ร่วมยินดีอะไร พวกเรากับท่านจี้พบว่ามีคนเป็นหลงเคลื่อนรถเข้าเมืองผี ดังนั้นจึงเข้ามาตามหาคนเพื่อช่วยออกไป ที่นี่มีภูตผีรวมตัวนานปี ถ้าเจอคนเป็นมีหรือจะไม่มองตาเขียว”

หนิวป้าเทียนแค่นเสียงอธิบายเหตุผลแทนจี้หยวน ขณะเดียวกันยังถือว่าแสดงถึงความมีตัวตน บอกอีกฝ่ายว่าตนสนิทกับท่านจี้มาก

“หืม? มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ เจ้าผีอู๋หยานั่นทำเช่นนี้แต่ถูกท่านจี้พบเจอ หากรู้ตัวก็ควรส่งคนมาโดยดี ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะกล้าทำชั่วต่อหน้าท่านจี้!”

เอาล่ะ สมเป็นคนจริง เมื่อครู่ยังเรียกว่าเจ้าเมืองซินอู๋หยา ตอนนี้ได้ยินว่าอีกฝ่ายอาจเป็นปรปักษ์กับท่านจี้ มาเรียกว่าเจ้าผีอู๋หยาเสียแล้ว

ปราณปีศาจของเกาเทียนหมิงกับซย่าชิวฮูหยินเขาไม่ตื้นเขิน ทั้งถูกเชิญมาเข้าร่วมงานฉลองโดยเฉพาะ คิดว่าคงสนิทกับเจ้าเมืองผี ทั้งยังมาพร้อมกันด้วย ต้องยอมรับฐานะของเมืองผีแห่งนี้แน่

แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เมื่อฟังจุดประสงค์การมาของท่านจี้ เขากลับแสดงท่าทีว่าอยู่ฝ่ายจี้หยวนโดยไม่ลังเล

นี่ทำให้หนิวป้าเทียนกับเยี่ยนเฟยรู้ว่าท่านจี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม

จี้หยวนพยักหน้าเล็กน้อยพลางกล่าว

“เรื่องนี้เจ้าเมืองผีน่าจะยังไม่ทราบ เท่าที่ข้าคนแซ่จี้รู้คือคนพวกนั้นถูกภูตผีนามว่าทูตบริวารจับตัวไป คิดนำไปให้เจ้าเมืองในงานฉลอง เดิมข้าคนแซ่จี้ยังคิดว่าช่วยคนอย่างไรจึงเหมาะสม ในเมื่อท่านกับฮูหยินมาแล้ว ถ้ามีหนทางคลี่คลายย่อมลองขอคนจากอีกฝ่ายได้”

เกาเทียนหมิงหันมองไปทางส่วนลึกของเมือง หรี่ตาเล็กน้อยค่อยกล่าว

“ท่านจี้วางใจเถอะ เรื่องนี้ข้าคนแซ่เกาจัดการเอง เหล่าอู๋หยาคนนี้ข้ารู้จัก ถึงอย่างไรเขาก็ไม่กล้าไม่ส่งคนมา!”

เกาเทียนหมิงพูดถึงตรงนี้แล้วเผยรอยยิ้ม ค้อมตัวเล็กน้อยพลางเชิญไปทางพาหนะของตน

“ท่านจี้ เชิญนั่งเถิด พวกเราไปหาเจ้าผีอู๋หยานั่นพร้อมกัน!”

ดูท่าว่าเกาเทียนหมิงน่าจะสนิทกับเจ้าเมืองผี เมื่อเป็นเช่นนี้จี้หยวนวางใจลงไม่น้อย แน่นอนว่าการไม่ลงมือย่อมดีที่สุด แต่เขาไม่อยากนั่งบนรถที่ดูเหมือนชื้นแฉะนั่น รสนิยมส่วนใหญ่ของเผ่าวารีเขาไม่กล้าชื่นชมจริงๆ

“ไม่ต้องหรอก ข้าคนแซ่จี้เดินไปดีกว่า พวกท่านนั่งเถอะ”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าคนแซ่เกาขอเดินไปพร้อมท่านจี้ด้วย!”

เกาเทียนหมิงพูดจบแล้วโบกมือไปทางพาหนะเล็กน้อย ขบวนรถเริ่มขยับใหม่อีกครั้ง ทว่าครั้งนี้พาหนะกลับว่างเปล่า ผู้ที่คนทั้งขบวนต้องปรนนิบัติกลับเดินอยู่ข้างพาหนะ พูดพลางหัวเราะอยู่กับพวกคุณชายชุดขาว

จี้หยวนพูดคุยกับคู่สามีภรรยาเกาเทียนหมิงสองสามประโยคตามมารยาท ประเด็นหลักคือเรื่องของมังกรเฒ่า หลังจากนั้นก็แค่ฟัง ไม่พูดมากความอีก ใช่ว่าเขาเจตนาทำตัวสูงส่งเย็นชา แต่ไม่มีเรื่องคุยที่เหมาะสมจริงๆ

แม้ว่าเกาเทียนหมิงอยากผูกสัมพันธ์กับจี้หยวนมาก แต่รู้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้สูงส่งเช่นนี้ ไม่ว่าเรื่องใดไม่ควรมากเกินไป ดังนั้นเมื่อเห็นท่านจี้แค่ฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย ยิ้มตามมารยาทเป็นครั้งคราว เขารู้จักวางมือ บอกสาวใช้ซึ่งจำแลงกายจากพรายน้ำตนหนึ่งยกถาดเดินมาข้างกายจี้หยวน ด้านบนคือพวกผลไม้เชื่อมและขนมบางส่วน

“ท่านจี้เชิญ ข้าจะไปทักทายสหายสองคนด้านหลังสักหน่อย”

“อืม”

จี้หยวนตอบรับเบาๆ ถือโอกาสหยิบผลซิ่งตากแห้งมาชิ้นหนึ่ง ถือเป็นการรับน้ำใจครั้งนี้แล้ว

เกาเทียนหมิงส่งสายตาให้ซย่าชิวภรรยาของตน จากนั้นค่อยยิ้มเดินถอยไปด้านหลัง มาถึงข้างกายพวกหนิวป้าเทียนกับเยี่ยนเฟยอย่างเป็นธรรมชาติ เขาประสานมือเล็กน้อยพลางกล่าวเสียงเบา

“ท่านทั้งสองโปรดอภัย เมื่อครู่คุยกับท่านจี้เพลินไปหน่อย”

เยี่ยนเฟยกับหนิวป้าเทียนรีบคารวะตอบ ฝ่ายหลังกลืนขนมถั่วแดงในปากลงคอ กล่าวตอบอย่างเข้าใจยิ่ง

“ไม่เป็นไรๆ ข้าคนแซ่หนิวเข้าใจความรู้สึกของท่าน ถึงอย่างไรการเจอท่านจี้สักครั้งย่อมไม่ง่าย!”

“พี่หนิวกล่าวถูกต้องยิ่ง! ไม่ทราบว่าจอมยุทธ์เยี่ยนกับพี่หนิวรู้จักท่านจี้ได้อย่างไร”

เยี่ยนเฟยกุมกระบี่ยิ้มอย่างจนปัญญา

“ท่านเกาให้เกียรติข้าเกินไปแล้ว ข้าคนแซ่เยี่ยนเป็นแค่จอมยุทธ์ธรรมดาคนหนึ่ง รับคำว่าจอมยุทธ์จากท่านเกาไม่ไหว สิบกว่าปีก่อนท่านจี้ช่วยไว้ หลายวันก่อนถูกท่านจี้ช่วยอีกครั้ง ไม่อาจพูดว่าเป็นมิตรภาพ ล้วนเป็นบุญคุณที่ช่วยชีวิต!”

เกาเทียนหมิงฟังถึงตรงนี้แล้วยิ่งไม่กล้าละเลย เขาพยักหน้ากล่าว

“ที่แท้เป็นเช่นนี้ จอมยุทธ์เยี่ยนรู้จักท่านจี้มาสิบกว่าปี สำหรับคนธรรมดาถือว่าเนิ่นนานแล้ว! พี่หนิวเล่า”

ต่อให้เยี่ยนเฟยพูดว่าไม่ต้องเรียกจอมยุทธ์ เกาเทียนหมิงถือว่าไม่ได้ยิน ท่านจี้ยังเรียกเช่นนี้ เขาเรียกว่าเสี่ยวเยี่ยนหรือเสี่ยวเฟยได้หรือ

“อ้อ ข้าคนแซ่หนิวรึ หึๆ ความจริงไม่ต่างจากน้องเยี่ยนนัก ก่อนหน้านี้เจอศัตรูร้ายกาจตามล่า คิดไม่ถึงว่าระหว่างทางอีกฝ่ายกลับหาเรื่องน้องเยี่ยน ดึงท่านจี้มาเกี่ยวข้อง ผลคือเมื่อสตรีชั่วร้ายนั่นจำท่านจี้ได้ก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ…”

เจ้าวัวเล่าเรื่องวันนั้นอย่างเรียบง่ายโดยคร่าว ทำให้เกาเทียนหมิงพูดต่อเนื่องว่า ‘โชคดี’

พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว หนิวป้าเทียนมองจี้หยวนที่อยู่ข้างหน้า ขยับเข้าใกล้เกาเทียนหมิงก้าวหนึ่งก่อนกล่าวเสียงเบา

“พี่เกา ท่านจี้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ เขามีความสามารถมากแค่ไหน”

เกาเทียนหมิงมองเงาหลังของจี้หยวน ต่อให้อยู่เมืองผีแห่งนี้ เมื่อมองไปยังคงมีความรู้สึกไม่ทุกข์ร้อนเป็นเอกลักษณ์

“ฐานะของท่านจี้ลึกลับยิ่ง ข้าคนแซ่เกาก็รู้ไม่มาก ถ้าถามจริงคงมีแค่ประมุขมังกรที่รู้ ปีนั้นข้าคนแซ่เกาเจอท่านจี้ครั้งแรกในงานเลี้ยงวันเกิดพันปีของประมุขมังกร ตอนนั้นสัตว์น้ำพันภูผาหมื่นวารีมาร่วมยินดี ได้ยินว่า…”

เสียงเกาเทียนหมิงเบาลงเล็กน้อย

“ข้าได้ยินอ๋องมังกรกล่าวลอยๆ ได้ยินว่าปีนั้นประมุขมังกรเกือบมางานเลี้ยงวันเกิดตัวเองไม่ทัน ใช้เวลาหลายปีเพื่อตามหาท่านจี้สหายคนนี้ทุกหนแห่ง ด้วยต้องการเชิญเขาไปร่วมงานเลี้ยง สัตว์น้ำพันหมื่นทั่วหล้าซึ่งรีบเร่งมาร่วมยินดีในงานวันเกิดของประมุขมังกร มีฐานะในใจประมุขมังกรสู้ท่านจี้คนเดียวไม่ได้…”

“เฮือก…”

หนิวป้าเทียนขนพองสยองเกล้า เยี่ยนเฟยฟังแล้วขนลุกชันทั้งตัวเช่นกัน ใช่ว่าหวั่นหวาด แต่เป็นความตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกเท่านั้น

งานเลี้ยงวันเกิดพันปีของประมุขมังกร? สัตว์น้ำพันหมื่นทั่วหล้ามาร่วมยินดี? แค่ฟังยังจินตนาการภาพนั้นออก เปรียบเทียบกันแล้วงานฉลองของเมืองผีแห่งนี้คงไม่ได้เป็นแม้แต่ฝุ่น

ยิ่งเห็นการตอบสนองเช่นนี้ของหนิวป้าเทียนกับเยี่ยนเฟย ในใจเกาเทียนหมิงยิ่งรู้ว่าสองคนนี้ไม่คุ้นเคยกับท่านจี้นัก แต่เยี่ยนเฟยเป็นคนธรรมดา ด้วยนิสัยท่านจี้ไม่เล่าเรื่องพวกนี้มากนักถือว่าปกติ แต่ดูท่าเจ้าวัวนั่นคงรู้จักท่านจี้ไม่นานจริงๆ

“ส่วนความสามารถของท่านจี้ ข้าคนแซ่เกาคาดว่าอย่างน้อยคงเป็นบุคคลระดับเซียนแท้!”

“เซียนแท้!”

หนิวป้าเทียนเอ่ยเสียงเบาตามจิตใต้สำนึก นี่ถือว่าเป็นบุคคลในตำนานอย่างแท้จริงแล้ว

“ไม่ผิด! อย่างน้อยคงเป็นเซียนแท้! ข้าคนแซ่เการู้จักมักคุ้นกับบุตรชายประมุขมังกรหรือก็คืออิงอ๋อง แม้นอกต้าเจินไม่ถือว่ามีคนรู้มากนัก แต่เท่าที่ข้าคนแซ่เการู้คือวิชาร้ายกาจที่สุดของท่านจี้น่าจะเป็นวิชาคุมกระบี่ รองลงมาคือมรรคบัญชา จากนั้นค่อยเป็นวิชาคุมเทพ มีความอัศจรรย์เหมือนวาจาแปรเป็นกฎ”

เกาเทียนหมิงพูดถึงตรงนี้แล้วนึกสนุกรีบกล่าวเสริม

“อย่างอื่นยากอธิบาย แต่วิชากระบี่ของท่านจี้อัศจรรย์มาก ถึงขั้นพูดได้ว่าชวนประหวั่น ได้ยินว่าท่านจี้มีวิชากระบี่กระบวนหนึ่งนามว่า ‘ท่ากระบี่ทลายฟ้า’ จากชื่อก็รู้แล้วว่าเมื่อกระบี่ปรากฏย่อมเผยอานุภาพดังทลายฟ้าได้ หากไม่มีพลังต้านแผ่นฟ้าทรุดถล่ม ถือว่าไม่อาจต้านท่ากระบี่ทลายฟ้าได้ ยามข้าคนแซ่เกาได้ยินครั้งแรกไม่อาจนึกภาพของอานุภาพกระบี่ อิงอ๋องบอกให้ข้าลองคิดว่ายืนอยู่บนพื้นดินลำพัง แต่เหนือศีรษะฟ้าถล่มลงมา…”

เมื่อกล่าวเช่นนี้แม้แต่เยี่ยนเฟยยังจินตนาการอานุภาพของวิชาเซียนเช่นนี้ออก หนิวป้าเทียนกับเขาเงยหน้ามองท้องฟ้าตามจิตใต้สำนึก กลืนน้ำลายดังอึกโดยไม่รู้ตัว

แต่ตอนนี้หนิวป้าเทียนประหลาดใจที่ไม่ได้ยินวิชาคุมเพลิงของท่านจี้ บางทีอาจเทียบอานุภาพดังฟ้าถล่มลงมาไม่ได้ ทว่าคงไม่ถึงขั้นไม่มีคุณสมบัติจนกล่าวชื่อไม่ได้กระมัง เมื่อคืนเขาแค่นึกถึงปราณเพลิงนั่นยังเกือบตาย

“เอ่อ พี่เกา วิชาคุมเพลิงของท่านจี้เล่า วิชาอัศจรรย์ร้ายกาจขนาดนี้ท่านลองเล่ามาหน่อยเถอะ!”

เจตนาเดิมของหนิวป้าเทียนคืออยากรู้เรื่องมากหน่อย แต่กลับเห็นเกาเทียนหมิงเผยสีหน้าสงสัย

“ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องวิชาคุมเพลิงเยี่ยมยอดของท่านจี้ ถึงขั้นไม่เคยได้ยินว่าท่านจี้ใช้วิชาคุมเพลิง พี่หนิวเคยเห็นหรือ”

“ไม่กระมัง ท่านไม่เคยได้ยินหรือ”

“ไม่เคยได้ยินจริงๆ พี่หนิวรู้อะไรใช่หรือไม่”

หนิวป้าเทียนอึ้งงันสักพัก จากนั้นไม่รู้ทำไมถึงได้ใจอย่างบอกไม่ถูกอยู่บ้าง แต่การแสดงออกทางสีหน้ากลับเคร่งขรึม กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“ความจริงข้าคนแซ่หนิวไม่เคยเห็นภาพรวม แต่เห็นชัดว่าท่านจี้คุมเพลิงเป็น อีกทั้งอภินิหารต้องอยู่เหนือความคาดหมายของพี่เกาแน่ เมื่อคืนท่านจี้ใช้ปราณเพลิงหนึ่งช่วยข้าคนแซ่หนิวกำจัดวิชามารของปีศาจสาวนั่น แค่ปราณเพลิงเดียวเท่านั้น…”

วาจาเจ้าวัวเผยความหวั่นหวาดเสี้ยวหนึ่ง เผยภาพที่เขานึกถึงออกมาจนหมด

“แม้ว่าข้ามองไม่เห็น แต่ประสาทสัมผัสข้าคนแซ่หนิวฉับไว เมื่อปราณเพลิงเข้าตัว ข้ารู้สึกเหมือนว่าด้านหลังสิ่งนั้นคือทะเลเพลิงล้นฟ้าไร้ขอบเขตรางๆ เพลิงผลาญนั่นต้องเผาทุกอย่างได้แน่…”

หนิวป้าเทียนสูดหายใจลึก ครึ่งหนึ่งด้วยตั้งใจอีกครึ่งด้วยประหม่าก่อนกล่าวต่อ

“ข้าเคยถามต้นกำเนิดของปราณเพลิงนั่นกับท่านจี้ ท่านจี้บอกว่าเป็นเพลิงที่เขาหลอมขึ้น บนโลกไม่มีใครใช้เป็นอีก เปลี่ยนเพลิงเทพเป็นเพลิงเตาโอสถ แปรปราณยอดหยางเป็นเพลิงหยางแกร่ง วิวัฒน์ปราณยอดหยินเป็นเพลิงหยินเย็น สามอย่างรวมเป็นหนึ่ง หลอมเป็นสิ่งที่เรียกว่า… เพลิงสมาธิ!”

เกาเทียนหมิงแค่ฟังยังเหงื่อตก เขาเป็นเผ่าวารี น้ำไฟข่มกัน แค่ฟังคำอธิบายนี้ก็รู้สึกว่าน่ากลัวอย่างยิ่ง

เยี่ยนเฟยฟังเรื่องเพลิงสมาธิแล้วไม่สะท้านเหมือนตอนฟังท่ากระบี่ฟ้าทลายก่อนหน้านี้ แต่คำพูดเจ้าวัวกลับเตือนเขา ดังนั้นเขาจึงสอดปากกล่าว

“พี่หนิว ท่านยังลืมอีกเรื่องหนึ่ง จอมพลังเกราะทองของท่านจี้!”

“ใช่ๆๆ! พี่เกา เมื่อครู่ท่านไม่ได้พูดถึงวิชานี้ ท่านจี้ยังใช้กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่ง เรียกขุนพลเทพคุ้มกันเกราะทองนามจอมพลังเกราะทองออกมา หรืออีกชื่อคือจอมพลังผ้าเหลือง ข้าเคยถามท่านจี้ เขาบอกว่าเป็นวิชาป้องกัน แม้ว่าไม่เคยเห็นจอมพลังคนนี้ลงมือ แต่เมื่อเห็นจอมพลังนั่นไม่เห็นใครในสายตาเคารพแค่ท่านจี้ คิดว่าย่อมไม่เลวแน่!”

คำพูดนี้เกาเทียนหมิงย่อมเห็นด้วย วิชาในมือท่านจี้มีหรือจะแย่

แต่ขณะเดียวกันเกาเทียนหมิงยังส่ายหัวอย่างจนปัญญา

“วิชานี้ข้าคนแซ่เกาไม่เคยได้ยินจริงๆ…”

ตอนนี้หนิวป้าเทียนกับเกาเทียนหมิงมองจี้หยวนอีกครั้ง ความลึกล้ำยากหยั่งถึงเหมือนเงยมองภูเขาสูงเด่นชัดยิ่งขึ้น เกาเทียนหมิงรู้สึกว่าครั้งหน้ายามเจออ๋องมังกร ตนอาจมีเรื่องคุยกับอีกฝ่ายมากขึ้นเล็กน้อย

“จริงสิ พี่เกา หากเจ้าเมืองผีนั่นไม่ส่งคนมาเล่า…”

เจ้าวัวพูดแง่ร้ายอยู่บ้าง เกาเทียนหมิงฟังแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย

“หึๆ เช่นนั้นก็รนหาที่ตาย เท่าที่ข้าคนแซ่เกาทราบ แม้ว่าท่านจี้เมตตาสรรพชีวิต ปฏิบัติตัวต่อทุกคนอย่างเสมอภาค แต่รังเกียจพวกทำชั่วที่สุด…!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด