เซียนหมากข้ามมิติ 201 ปราณสดใสและเที่ยงตรง
ตอนที่ 201 ปราณสดใสและเที่ยงตรง
ตอนนี้เมื่อจี้หยวนเดินไป เขามองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาทั้งหมดของท่าเรือใหญ่ที่อยู่ไกลลิบ ทว่าขาดความคึกคัก มีความเงียบสงบขึ้นมาแทนที่ กระนั้นเทียบกับภายในจังหวัดชุนฮุ่ยที่พื้นที่ส่วนใหญ่ดับโคมพักผ่อนแล้ว ที่นั่นยังคงมีแสงโคมส่องสว่างซึ่งนับว่าหาได้ยาก บางระดับเรียกได้ว่าให้ความรู้สึกคล้ายกับตลาดกลางคืนเมื่อชาติก่อนของจี้หยวน
จี้หยวนและจิ้งจอกแดงในเวลายืนอยู่ที่ช่วงแม่น้ำนอกกำแพงเมืองทางใต้ จากนั้นเดินเลียบฝั่งแม่น้ำไปทางตะวันออก จะไปท่าเรือใหญ่ความจริงต้องเดินขึ้นเหนือไปตลอดทางจนถึงมุมตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง ผ่านศาลเทพแม่น้ำ ข้ามกำแพงเมืองกึ่งใหญ่ทางตะวันออกของเมือง ระยะทางทั้งหมดไม่นับว่าสั้นเลย
ดังนั้นที่จริงหูอวิ๋นไม่แน่ใจอยู่บ้างว่าท่านจี้อยากเดินเท้าหรือไม่ หรืออยากไปท่าเรือใหญ่ แต่จี้หยวนไม่พูด มันก็ไม่กล้าถาม ทำได้เพียงตามไปเงียบๆ
จี้หยวนในวันนี้แม้ไม่ได้โมโห แต่กลับมอบแรงกดดันให้หูอวิ๋นมหาศาล หรืออาจเป็นความกดดันที่จิตใจของหูอวิ๋นสร้างขึ้นเองก็ได้
ลมเอื่อยเหนือผิวแม่น้ำพันจนเสื้อผ้าจี้หยวนพลิ้วไสว ผมยาวก็ปลิวไปตามลมเช่นกัน ศาลเทพแม่น้ำอยู่ตรงหน้า ทว่าตอนนี้เป็นยามวิกาล ประตูศาลปิดสนิทโคมดับมืด มีแสงตะเกียงเล็กน้อย กระนั้นส่องสว่างจากในตำหนัก
“หูอวิ๋น เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้างหน้าเป็นสถานที่ใด”
ในที่สุดท่านจี้ก็เอ่ยปากพูด จิ้งจอกแดงโล่งใจเล็กน้อย ย่อมมองไปข้างหน้าเช่นกัน ที่นั่นคือศาลเทพแม่น้ำที่มีขนาดใหญ่ ถึงแม้เคยมาเยือน แต่หูอวิ๋นรู้ว่าสถานที่นี้เป็นสถานที่ซึ่งฝีพายหลายวันก่อนพร่ำพูดถึงอยู่ตลอด
“ที่นั่นคือศาลเทพแม่น้ำวสันต์กระมัง ฝีพายผู้นั้นบอกว่าศาลหลังนี้เป็นศาลแรกของแม่น้ำวสันต์”
“อืม”
จี้หยวนหยุดฝีเท้า พยักหน้าก่อนกล่าวต่อ
“เทพแม่น้ำวสันต์ในตอนนี้เป็นมังกรเจียวขาวที่ฝึกปราณอย่างลึกซึ้งมาเนิ่นนาน พูดถึงพลัง มรรควิถี และพรสวรรค์ล้วนไม่รู้ว่ามากกว่าเจ้าจิ้งจอกกี่เท่า บุคคลเช่นนี้อนาคตสดใสหรือไม่”
หูอวิ๋นตอบโดยจิตใต้สำนึก
“สดใส!”
“ใช่ สดใสมาก ทว่าบนโลกนี้ไม่มีใครเป็นอมตะได้ หยินหยางห้าธาตุก็หนีไม่พ้นเช่นกัน เทพที่มีอนาคตสดใสเช่นนี้ฝีกปราณยากลำบาก เพื่อกลายร่างเป็นมังกรแท้ มังกรเจียวขาวล้มเหลวถึงสองครั้ง เจ็บปวดจากเกล็ดร่วงหมดตัว”
จี้หยวนพูดพลางหันมองจิ้งจอกแดง
“รู้หรือไม่ว่าอะไรคือความเจ็บปวดจากเกล็ดร่วงหมดตัวของมังกร”
ไม่รอหูอวิ๋นตอบ จี้หยวนพูดต่อทันที
“โดยคร่าวก็เท่ากับเจ้าดึงเล็บของตนเองออก เจ็บไปถึงวิญญาณเช่นนั้น!”
เกล็ดร่วงไม่ใช่ความเจ็บปวดธรรมดาหรือเทียบกับเกล็ดเก่าหลุดเกล็ดใหม่ขึ้นได้ เมื่อร่วงก็จะเสียเกล็ด ไม่มีทางที่เกล็ดใหม่จะขึ้นมาอีก
จิ้งจอกแดงหดคอหดกรงเล็บ ก่อนหน้านี้ไม่ระวังคว้าของแข็งจนเล็บฉีกไปบ้าง เท่านั้นก็เจ็บอยู่พักใหญ่แล้ว ดึงทิ้งเจ็บมากยิ่งกว่ามันไม่คิดลอง เจ็บไปจนถึงวิญญาณนั้นเจ็บเพียงใดยิ่งไม่กล้าคิดเลย
หูอวิ๋นเข้าใจความหมายของท่านจี้ ประเด็นอยู่ที่การฝึกปราณไม่ง่ายและยากลำบาก หากเป็นเมื่อก่อนอาจฟังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก ตอนนี้แม้ขาดประสบการณ์ส่วนตัวอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยก็เข้าใจจดจำไว้แล้ว
“ไปเถอะ ไปกินมื้อดึกที่ท่าเรือ หากมีไก่ย่างล่ะก็ วันนี้ข้าจะมอบให้เจ้าตัวหนึ่งเป็นพิเศษ!” ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ไอรีนโนเวล ขอบคุนจ้า
จี้หยวนยิ้มเพื่อคลายความตึงเครียดของจิ้งจอกที่ดำเนินยาวนานตลอดทั้งเย็น ฝ่ายหลังได้ยินคำว่าไก่ย่าง บนใบหน้าจิ้งจอกเผยรอยยิ้มอย่างอดไม่อยู่ทันที น้ำลายสอเลยทีเดียว
ท่าเรือใหญ่นอกจังหวัดชุนฮุ่ยแม้ไม่ว่าวัดจากขนาดหรือการการขนส่งสินค้า ล้วนเทียบท่าเรือขนสินค้าของจังหวัดจิงจีไม่ติด แต่วิถีชีวิตยามค่ำคืนที่มีสีสันเต็มเปี่ยมมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งต้าเจิน
โดยเฉพาะมีชื่อเรียกไพเราะท่ามกลางนักประพันธ์ว่า ‘ตรอกบุปผา’ และชื่อตรอกบุปผานี้ค่อยๆ ใช้เรียกกันอย่างแพร่หลายในหมู่ชาวบ้าน ตอนนี้ถึงชาวบ้านทั่วไปยังเคยชินเรียกท่าเรือใหญ่ตะวันออก ทว่าเรียกตรอกบุปผาแล้วไม่มีใครไม่รู้จัก
เวลาที่ท่าเรือใหญ่ตะวันออกคึกคักสุดขีดมักจะเป็นช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกดิน พนักงานท่าเรือรับหน้าที่ขนสินค้ายังคงยุ่งอยู่ คนจำนวนหนึ่งที่มาเล่นน้ำเริ่มทยอยลงเรือ ส่วนคนที่มาเพื่อเรือดอกไม้ทยอยออกจากเมืองเช่นกัน
สำหรับที่นี่ตอนนี้ย่อมผ่านเวลาที่ดีที่สุดในการทำการค้าแล้ว เรือประดับหอ เรือแสดง และเรือดอกไม้หลายลำออกจากริมฝั่งไปไปแล้ว แต่ก็มีเรือใหญ่ทำการค้าริมฝั่งยังคงต้อนรับลูกค้าอยู่
จี้หยวนพาหูอวิ๋นไปยังร้านค้าขนาดพอเหมาะ สั่งอาหารจำนวนหนึ่งในนั้นมาเป็นมื้อดึก
ถึงภายในร้านค้ามีรายการอาหารไม่มาก แต่ความจริงแล้วสั่งรายการอาหารส่วนใหญ่ได้ เพราะจะมีเสี่ยวเอ้อร์ไปยังร้านค้าใกล้เคียงเพื่อช่วยสั่งและนำมาให้ ตอนคิดเงินก็คิดรวมกับร้านค้านี้ เป็นรูปแบบการร่วมมือกันที่ได้ผลมาก
ตอนจี้หยวนและหูอวิ๋นเพลิดเพลินกับมื้อดึกและสุรารสเลิศที่ท่าเรือใหญ่จนพอใจแล้ว อิ๋นชิงพลิกหน้าตำราอ่านอยู่ภายในสำนักศึกษาเมตตา ในใจกระวนกระวายอยู่บ้าง
เริ่มแรกออกเดินทางไกล หลังจากนั้นต้องอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย สหายสนิทจากบ้านเกิดไม่อยู่ข้างกาย ท่านจี้และจิ้งจอกน้อยต้องกลับอำเภอหนิงอันแล้วแน่ๆ
อิ๋นชิงยืมแสงจันทร์ที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา มองเห็นสถานการณ์ภายในห้องคร่าวๆ ที่นี่อยู่กันสี่คน สามคนที่เหลืออยู่ในสภาวะหลับสนิทลมหายใจสม่ำเสมอ ไม่มีใครกรนนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่เลวกระมัง
‘เฮ้อ พวกท่านจี้น่าจะหลับไปนานแล้ว ไม่คิดแล้วๆ ต้องรีบนอนถึงจะใช้ได้’
เขาคิดในใจ หลับตาปรับลมหายใจผ่อนคลายร่างกาย ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาก็เข้าสู่ห้วงฝัน
นอนหลับดึกที่สุดแท้ๆ แต่คนที่ตื่นเช้าที่สุดกลับยังคงเป็นอิ๋นชิง ลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย ออกจากประตูไปได้ไม่นานเท่าไหร่เสียงไก่ขันในสำนักศึกษาเพิ่งดังขึ้น คนอื่นๆ ตื่นนอนแล้วเช่นกัน
ตอนอิ๋นชิงกลับมา เห็นเพื่อนร่วมห้องสามคนกำลังจัดเครื่องแต่งกายตนเอง
“อรุณสวัสดิ์!”
“โอ้ อรุณสวัสดิ์ๆ!”
“อรุณสวัสดิ์!”
“เมื่อครู่ข้าตื่นนอนแล้วออกไปข้างนอกมา นำชาร้อนมาจากคนงานด้วยกาหนึ่ง ทุกคนดื่มสักหน่อยให้ชุ่มคอ ข้าวเช้าวันนี้มีซาลาเปาไส้เนื้อด้วย ข้าสั่งไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าพวกเจ้าไปเปิดซึ้งก็กินได้เลย”
อิ๋นชิงเขย่ากาชาในมือ ปากพร่ำพูดจบแล้ว สามคนในห้องยิ้มขึ้นอย่างอดไม่ได้ เพื่อนร่วมห้องใหม่ผู้นี้มีน้ำใจและมารยาท สมแล้วที่เป็นบุตรชายท่านอิ๋น
การปฏิบัติตัวต่อผู้อื่นของอิ๋นชิงได้รับอิทธิพลจากอิ๋นจ้าวเซียนและจี้หยวน ได้รับความประทับใจจากนักเรียนคนอื่นและอาจารย์สำนักศึกษาง่ายมาก กอปรกับอุปนิสัยคล่องแคล่วสดใส เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ในสำนักศึกษาเมตตาได้รวดเร็ว สี่ห้าวันให้หลัง อิ๋นชิงรู้จักนักเรียนทุกคนแล้ว ย่อมคุ้นเคยกับอาจารย์หลายท่านแล้วเช่นกัน ความสัมพันธ์แน่นแฟ้น
วันนี้วันที่ยี่สิบเดือนแปดเป็นวันหยุดเรียนของสำนักศึกษาเมตตา เหล่านักเรียนตื่นเต้นเตรียมตัวออกไปข้างนอกแล้ว
ภายในห้องพักนักเรียนหมายเลขหก อิ๋นชิงนั่งอ่านตำราพื้นฐานอยู่ข้างเตียง ตำราเล่มหนึ่งในนั้นเป็น ‘ธรรมรู้แจ้ง’ ผลงานของบิดาตนเอง
ตอนนี้มีเพื่อนร่วมห้องสองคนอาบน้ำล้างหน้าเสร็จแล้ววิ่งเข้ามาในห้อง นักเรียนคนหนึ่งนามเหลยอวี้เซิงกล่าวกับอิ๋นชิงและอีกคนหนึ่งในห้องด้วยความตื่นเต้น
“อิ๋นชิง ซินเจี๋ย ตอนพวกข้ากลับมาเห็นหลายคนกำลังไปดูที่สนามสอบขุนนาง พวกเจ้าจะไปหรือไม่”
“ใช่ๆ ใกล้ถึงการสอบระดับเมืองหลวงแล้ว ละแวกสนามสอบขุนนางมีคนมีชื่อเสียงจากรัฐจีมาหลายคน อีกเดี๋ยวพวกข้าจะไปเข้าร่วมเชาว์ปัญญา จะไปดูหน่อยหรือไม่”
“ดีเลย เช่นนั้นวันนี้พวกเราไปลองกินอาหารที่สนามสอบนั้นกัน!”
หลินซินเจี๋ยที่อยู่ในห้องเห็นดีเห็นงามทันที
ทว่าอิ๋นชิงเกาศีรษะกลับปฏิเสธ
“ฟังดูน่าสนใจทีเดียว แต่วันนี้ข้ามีธุระต้องทำ ขอไม่ไปกับพวกเข้าแล้วกัน”
“เอ๋? ธุระอะไร ให้พวกข้าช่วยหรือไม่”
อิ๋นชิงยิ้มพลางส่ายหน้า
“ไม่ต้องๆ เรื่องเล็กน้อย พวกเจ้าไปเถอะ หากต้องการความช่วยเหลือข้าต้องหาจากพวกเจ้าอยู่แล้ว”
หลังจากปฏิเสธอย่างมีมารยาทแล้ว บัณฑิตสองร้อยกว่าคนของสำนักศึกษาเมตตาออกไปด้วยจุดประสงค์ต่างกัน บ้างไปทางสนามสอบขุนนาง บ้างมีนัดหมายชมทิวทัศน์ บ้างมุ่งหน้าไปยังโรงสุรา บ้างไปตรอกบุปผาตรงกำแพงเมืองตะวันออก
อิ๋นชิงไปทางใต้ของกำแพงเมืองตามลำพัง ผ่านตลาดและตรอกมากมาย ออกจากประตูเมืองแล้วถึงเดินตรงไปยังช่วงแม่น้ำทางตะวันตกเฉียงใต้
ระหว่างทางอิ๋นชิงมุ่นคิ้วมองไปรอบๆ คนเดินเท้าเป็นกลุ่มมีอยู่ตลอด ยังมีคนเล่นว่าวอยู่แถวนี้ด้วย บนผิวแม่น้ำก็มีเรือเล็กลอยโคลงเคงอยู่ไม่น้อย
‘คนเยอะจัง…’
นำพาความกังวลเดินไปได้ครู่หนึ่ง ในที่สุดมองเห็นต้นหลิวมากมายเอนไปทางแม่น้ำ จี้หยวนกำลังนั่งอยู่บนต้นหลิวต้นสักต้นในนั้น ส่วนหูอวิ๋นหมอบอยู่บนลำต้นใกล้ฝั่ง ฝ่ายแรกถือคันเบ็ดไม้ไผ่ในมือ ข้างๆ ยิ่งมีคนบนฝั่งมองเขาอยู่ไม่ไกล
อิ๋นชิงหอบตำราเร่งฝีเท้าไปข้างหน้า เข้าไปใกล้แล้วทักทายจี้หยวน
“อรุณสวัสดิ์ท่านจี้!”
เขาพูดพลางกะพริบตามองหูอวิ๋น
“มาแล้วรึ นั่งริมฝั่งสิ ไม่ต้องสนใจคนรอบข้าง เจ้าอ่านตำราของเจ้า อยากอ่านอะไรก็อ่านไป คิดว่าอะไรน่าสนใจก็อ่านมากหน่อยได้”
อิ๋นชิงมองรอบข้าง จากนั้นมองผิวแม่น้ำริมฝั่ง ข้างก้อนหินสีดำขนาดใหญ่ลึกลงไปใต้น้ำมีสีเขียวขยับไหวอยู่รางๆ หากไม่ได้มองให้ละเอียดดีก็ยากนักจะพบอะไร และคิดแล้วว่าหูอวิ๋นลบเลี่ยงหูตาคนทั่วไปได้ ปลาชิงฮื้อที่อยู่ใต้น้ำก็คงทำได้เหมือนกัน
อิ๋นชิงวางตำราลง เลื่อนก้อนหินขนาดพอเหมาะ สะบัดชายชุดคลุมไปด้านหลังก่อนนั่งลงบนนั้น จากนั้นค่อยหยิบตำราเล่มแรกขึ้นมา เห็นจี้หยวนไม่คิดจะพูดอะไรจึงกระแอมขึ้นเล็กน้อย
“บัณฑิตพึงรักษามารยาท รู้จักแยะแยก เข้าใจหลักการและศีลธรรมเพื่อใต้หล้า มารยาทและความชอบธรรมคือสิ่งใด ผู้มีคุณธรรมย่อมไม่เอนเอียงหาสิ่งใด…”
เต่าเฒ่าที่เดิมทีหลับตาอยู่ใต้น้ำลืมตาขึ้นเล็กน้อย บัณฑิตผู้นี้อ่านตำราต่างจากการอ่านออกเสียงทั่วไปอยู่บ้าง ดูเหมือนว่าทุกประโยคมีอารมณ์ของตนเอง ราวกับว่าเขากำลังมองหาหนทางแก้ปัญหา ไม่ใช่เพียงอ่านเนื้อหาเพียงอย่างเดียว ชักนำอารมณ์ของผู้ฟังได้ง่ายยิ่ง
ผู้ที่ถูกชักนำอารมณ์ลึกซึ้งที่สุดในตอนนั้นคือตู้เหิงนักดาบแขนเดียว ตอนนี้เต่าเฒ่าเข้าใจเขาบ้างแล้ว
เต่าเฒ่าเงยหน้ามองริมฝั่งอย่างอดไม่ได้ ผ่านคลื่นน้ำเลือนราง มองเห็นใบหน้าที่สั่นไหวเพราะสายน้ำของอิ๋นชิง
มองไปเช่นนี้ไม่มีความรู้สึกเลือนรางเลยสักนิด ปราณรอบกายเขาบริสุทธิ์ผิดแปลก เห็นตัวตนดุจเห็นจิตใจ ดูเหมือนท่วงทำนองวิญญาณชัดเจนและเติมเต็มซึ่งกันและกัน
Comments