เซียนหมากข้ามมิติ 236 กระบี่ตำราแสงจันทร์

Now you are reading เซียนหมากข้ามมิติ Chapter 236 กระบี่ตำราแสงจันทร์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 236 กระบี่ตำราแสงจันทร์

ไม่นานเท่าไหร่นักแมวสีเทาก็กระโดดจากไป ศพไหลไปตามกระแสน้ำของแม่น้ำ ลอยไปอย่างเชื่องช้า

ประมาณไม่ถึงหนึ่งเค่อ ศพในแม่น้ำถูกพบแล้ว เงาดำเลือนรางที่ผ่านมาสองสาย จากความเร็วคงที่เปลี่ยนเป็นว่องไวฉับพลัน วิญญาณผีแฉลบกายปรากฏตัวที่ริมแม่น้ำ เป็นผู้ลาดตระเวนราตรีสองคนจากศาลมืด

ผู้ลาดตระเวนราตรีที่ปรากฏร่างบริเวณริมฝั่งสวมชุดปฏิบัติหน้าที่สีดำสนิท เอวข้างซ้ายเหน็บดาบยาว หนึ่งคนในนั้นแขวนแส้ยาวไว้ที่เอวข้างขวา ส่วนอีกคนหนึ่งสะพายคันธนูสีดำขลับไว้ข้างหลัง ในกระบอกลูกธนูกลับมีลูกธนูสีดำเพียงสามดอก

ตอนนี้ผู้ลาดตระเวนราตรีสองคนกำลังหรี่ตามองศพในแม่น้ำ ด้วยสายตาของพวกเขาย่อมรู้ว่านี่คือร่างภาชนะที่บริสุทธิ์ ไม่มีจิตวิญญาณและปราณชีวิตแม้แต่น้อย คนธรรมดาตายแล้วไม่มีทางหมดจดขนาดนี้

แน่นอนว่านอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ร่องรอยและลมปราณที่เหลือจากการฝึกฝนวิธีชั่วร้ายบนศพนั้น ผู้ลาดตระเวนราตรีมองเห็นอย่างไม่บกพร่องเช่นกัน

“ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไรที่ลงมือ เห็นทีต้องแฝงกายเข้าไปในสถานพักม้าที่ตั้งขึ้นพิเศษข้างแท่นพิธีสร้างใหม่เหล่านั้นแล้ว”

“หึ ไม่ต้องสนใจว่าใครเป็นคนลงมือ แต่ไม่ว่าอย่างไรจะกระโตกกระตากไม่ได้”

“ฮ่าๆ พูดถูกต้อง เจ้าหน้าที่ศาลมืดปวดหัวแย่แล้วกระมัง!”

ทันใดนั้นผู้ลาดตระเวนราตรีสองคนร่างเลือนรางลง แฉลบกายไปยังจุดที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง นำพาความรู้สึกไม่ชัดเจนไปด้วย

บนหลังคาเรือนไกลๆ แมวสีเทาตัวหนึ่งนั่งเลียกรงเล็บอยู่ตรงบัวหลังคา ดวงตาเยือกเย็นชำเลืองมองทิศทางที่ผู้ลาดตระเวนราตรีจากไป จากนั้นมองศพในน้ำอีกครั้ง

สวบ

ทันใดนั้นลูกธนูสีแดงไร้แสงเงาดอกหนึ่งพลันพุ่งมายังแมวสีเทา ฝ่ายหลังหลบลูกธนูสีดำดอกนั้นราวกับย้ายร่างเปลี่ยนเงา ทว่าลูกธนูดอกนั้นหักเลี้ยวกลางอากาศ พุ่งเข้าใส่แมวสีเทาอีกครั้ง

พร้อมกันนั้นผู้ลาดตระเวนราตรีที่อยู่ไกลออกไปง้างคันธนูเต็มที่เหมือนจันทร์เต็มดวง ลูกธนูสีดำดอกหนึ่งหายไปจากกระบอกและปรากฏบนคันธนูด้วยตนเอง

สวบ

ลูกธนูอีกดอกหนึ่งบินมา ฉีกพลังที่จุดเชื่อมต่อกันของหยินและหยางพลังแห่งการโจมตีขนาบข้าง พุ่งหาแมวสีเทาที่กระโดดไปมารวดเร็วต่อเนื่อง

“โดน”

ตูม

ปราณหยินเหนือหลังคาเรือนระเบิด แมวสีเทาอยู่ในนั้นเหมือนกับเงาลวงตา ราวกับหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที

ลูกธนูสองดอกบินกลับสู่กระบอกที่ผู้ลาดตระเวนราตรีแห่งจังหวัดจิงจีสะพายอยู่ข้างหลังอีกครั้ง

“เคล็ดวิชาอัศจรรย์ระดับสูง ปีศาจตัวนี้ไม่ธรรมดา!”

“อืม ให้มันสบายใจอีกสักพักเถอะ”

หลังจากสองประโยคนี้ ผู้ลาดตระเวนราตรีทั้งสองถึงกลายเป็นร่างวิญญาณหายไปจากมุมถนนเล็กๆ ที่มืดมน

ใต้เพิงสักแห่งห่างออกไปหลายร้อยจั้ง แมวสีเทาปรากฏกายอีกครั้ง รูม่านตาในดวงตาคลุมเครือไม่มั่นคง

‘คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ลาดตระเวนราตรีกระจ้อยร่อยสองคนจะมีมรรควิถีขนาดนี้ จังหวัดจิงจีแห่งต้าเจินไม่ธรรมดาเลยจริงๆ’

แมวสีเทาไม่คิดมากอีก เร่งฝีเท้ากระโดดไปอย่างว่องไวกลับไปยังสถานพักม้า แน่นอนว่ามันจำทางได้

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ศพสองศพถูกคนพบอยู่ตรงประตูกั้นน้ำตรงประตูเมืองใกล้แม่น้ำสายเล็ก

แม่น้ำสายนี้แม้เชื่อมกับนอกเมือง กำแพงเมืองอันเป็นทางเข้าออกมีประตูกั้นน้ำ ปลาว่ายผ่านได้ ทว่าศพใหญ่กว่าย่อมผ่านไม่ได้

พลทหารที่กำแพงเมืองและเจ้าหน้าที่เพียงรีบแบกศพขึ้นมา แต่พวกเขาไม่ได้มีอำนาจเหมือนศาลมืด แค่มองอย่างเดียวไม่อาจแยกแยะฐานะศพทั้งสองว่าเป็นใคร ใช่คนจังหวัดจิงจีหรือไม่ ดังนั้นศาลาว่าการจำต้องยุ่งวุ่นวายเช่นกัน หากไม่มีใครมารายงานกับทางการว่ามีคนหาย เช่นนั้นก็จำต้องปิดคดีโดยไม่คลี่คลายแล้ว

แน่นอนว่าในใจเจ้าหน้าที่มีการคาดเดาอยู่บ้าง ไม่แน่ว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนที่อยู่ตรงแท่นพิธีอยู่บ้าง หลังจากเข้าฤดูใบไม้ผลิ ผู้สูงส่งนักเวทหลายแขนงมาที่จังหวัดจิงจีไม่น้อย คดีแปลกประหลาดเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

ช่วงนี้จี้หยวนเช่าเรือนข้างของบ้านส่วนตัวพักอยู่ ที่ตั้งนั้นเป็นตรอกเดียวกับที่นักเล่าเรื่องเช่าอยู่พอดี ท่ามกลางชาวบ้านที่นี่มีบ้านว่างให้คนต่างถิ่นเช่าไม่น้อย มีบัณฑิตเตรียมสอบที่เมืองหลวงอยู่จำนวนหนึ่ง และมีจอมยุทธ์จากยุทธภพด้วยเช่นกัน ราคาค่าเช่าเป็นธรรมมาก

เวลากลางคืนของเทศกาลไหว้พระจันทร์ ทุกครัวเรือนในตรอกล้วนประดับโคมไฟ ให้ความรู้สึกของการเฉลิมฉลองมองแล้วเหมือนกับปีใหม่ แต่กลับเป็นวิธีการฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์อย่างหนึ่ง อีกทั้งวางของบูชาพระจันทร์บนโต๊ะเล็กด้วย

“ท่านจี้ ท่านจี้!”

เสียงสดใสของบุรุษดังมาจากข้างนอก

“มาแล้วๆ!”

จี้หยวนในเรือนวางแท่งหยกในมือลง ลุกขึ้นไปเปิดประตู เห็นบุรุษข้างนอกถือจานใบหนึ่ง บนนั้นมีขนมไหว้พระจันทร์หลายชิ้น

“ท่านจี้ ขนมไหว้พระจันทร์พวกนี้มอบให้ท่าน เป็นท่านลุงสามของข้าทำด้วยตนเอง แม้ไม่ใช่ขนมประณีตอะไร แต่รสชาติไม่เลวเลย”

“โอ้ ดีเลย ขอบคุณมาก ข้าคนแซ่จี้กำลังจะออกไปชมจันทร์ พกขนมไหว้พระจันทร์ไปด้วยหลายชิ้นย่อมดีมาก”

จี้หยวนไม่รับจาน คว้าขนมไหว้พระจันทร์ชิ้นเล็กห้าหกชิ้นไว้ในมือทั้งหมดโดยตรง จากนั้นประสานมือให้กับเจ้าของบ้านเตรียมออกไปข้างนอก

“เอ่อ…ท่านจี้จะออกไปข้างนอกหรือ”

เจ้าของบ้านเห็นจี้หยวนเตรียมตัวออกไป จึงถามด้วยความกังวลเสียงหนึ่ง

“ข้าว่าตกกลางคืนพักนี้ท่านอย่าออกไปข้างนอกเลย ในตรอกรู้กันถ้วนทั่ว ชาวบ้านออกนอกบ้านตอนกลางคืนน้อยนัก เล่ากันว่าช่วงนี้เกิดเรื่องขึ้นค่อนข้างมาก”

จี้หยวนที่เดินไปถึงกลางลานแล้วหมุนกายมองเขา พยักหน้ากล่าว

“ที่จริงกลางคืนออกนอกบ้านน้อยหน่อยดีที่สุด ข้าเพียงเดินเล่นที่ตรอกสันตินิรันดร์ไม่นาน คนที่ออกไปชมจันทร์วันนี้น่าจะไม่น้อยนะ”

หลังจากพยักหน้าให้เจ้าของบ้านอีกครั้ง จี้หยวนถึงออกจากเรือนไผ หลายบ้านในตรอกเล็กล้วนฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ด้วยวิธีการของตนเอง และมีคนนั่งชมจันทร์อยู่ในลานบ้านเช่นกัน

หลังจากจี้หยวนออกจากตรอกไป ฝีเท้าว่องไวขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างทางไม่มองคนเดินยิ่งไม่มองแสงจันทร์บนท้องฟ้า ไม่น่าเท่าไหร่นักก็ถึงที่หมายของการเดินทาง นั่นก็คือแท่นพิธีที่ใหญ่ที่สุดทางตะวันออกของจังหวัดจิงจี

แท่นพิธีสูงประมาณสามจั้ง บนนั้นมีความกว้างและความยาวหลายร้อยจั้ง ทั้งสี่ด้านล้วนมีบันไดสำหรับขึ้นลง อีกสองสามวันที่นี่จะเป็นแท่นพิธีหลักของงานชุมนุมวารีปฐพี หากใช้คำพูดในชาติก่อนของจี้หยวนมาอธิบายก็เป็นเวทีเปิดฉาก

แต่ตอนนี้โดยรอบแท่นสูงที่ซ้อนกันด้วยหินขนาดยักษ์เงียบเชียบมาก อย่างไรเสียบริเวณแท่นพิธีก็ค่อนข้างว่างไม่มีบ้านคนเท่าไหร่ และมีคนเดินมาไกลถึงที่นี่ในตอนกลางคืนน้อยมาก สถานพักม้าของนักเวทผู้สูงส่งเหล่านั้นส่วนใหญ่อยู่ตรงขอบแท่นพิธี

“อืม ที่นี่สงบดี”

จี้หยวนสะบัดแขนเสื้อ ย่างสามขุมขึ้นไปบนบันไดโดยตรง ไม่นานก็ถึงบนแท่นสูงที่เป็นพื้นที่กว้างขนาดใหญ่

เมื่อเงยหน้ามองท้องฟ้า ดวงจันทร์กลมโตลอยคว้างอยู่กลางท้องฟ้า ล้อมรอบด้วยแสงดาวสลัว

“ดังคำกล่าวที่ว่าจันทร์เต็มดวงขึ้นสิบห้าค่ำ กระนั้นวันที่สิบหกกลมโตกว่า วันที่แสงจันทร์ส่องสว่างที่สุดก็คือวันนี้!”

จี้หยวนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม สายตามองจากบนลงล่าง กวาดมองเงาร่างสองสายที่อยู่ข้างบันไดไกลลิบ คนหนึ่งในนั้นเป็นขอทานชราในเสื้อผ้าซอมซ่อม งอขาข้างหนึ่ง ส่วนขาอีกข้างวางอยู่บนเข่าที่งอนั้น รองเท้าหญ้าสานสภาพย่ำแย่สั่นไหวขึ้นลงทว่าไม่หล่นลง

แล้วคนที่สองเล่า คนผู้นั้นเป็นบัณฑิตขงจื๊อวัยกลางคนไว้หนวดยาวแต่งกายอย่างพิถีพิถัน กำลังยืนมองจันทราดาราอยู่ข้างๆ ขอทาน

จี้หยวนตั้งใจมองบุรุษที่ตนไม่รู้จักคนนั้น หลังจากใช้ตาทิพย์เพ่งมองอยู่ครู่หนึ่งก็ค่อยเดินไปหาขอทานชราอย่างเชื่องช้า ตัวคนยังไม่ถึงแต่เสียงดังขึ้นก่อนแล้ว

“ผู้อาวุโสหลู่ เป็นเสมียนสถานพักม้าละเลยท่าน หรือท่านยืนกรานสวมเสื้อผ้าขาดๆ ตัวนี้”

เสียงจี้หยวนราวกับทำให้บัณฑิตขงจื๊อผู้นั้นตกใจ ทำให้เขาประหลาดใจหันมามอง ด้วยไม่แน่ใจว่าคนผู้นี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่

“ฮ่าๆ ข้ารู้ว่าคืนนี้อาจมีเรื่องสนุกให้ดู คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นท่านจี้ พระจันทร์ในวันไหว้พระจันทร์กลมโต อีกหลายวันหลังจากนี้คนกลุ่มใหญ่จะมาเข้าร่วมงานชุมนุม ฮ่าๆ…”

“ผู้อาวุโสหลู่คาดการณ์เรื่องราวดุจเทพ คงไม่ใช่ว่าจะขวางข้าคนแซ่จี้กระมัง”

“ไอ้หยา…ทำได้ที่ไหนเล่า!”

ขอทานชราลุกขึ้นยืนแล้ว

“ข้าเป็นขอทานคนหนึ่ง ไม่ได้มีความสามารถอะไร เพียงสงสัยว่าท่านจี้ใช้วิชาอัศจรรย์ขั้นสูงอะไรได้บ้าง!”

จี้หยวนยิ้มพลางส่ายหน้า ตอนนี้ถึงเดินเข้าไปใกล้ เขาประสานมือให้ขอทานชราก่อน จากนั้นคารวะบัณฑิตขงจื๊อวัยกลางคนผู้นั้น

ขอทานชราแม้คารวะกลับอย่างขอไปที แต่อย่างไรเสียก็ยังลุกขึ้นแล้ว ทักทายเสร็จถึงค่อยนั่งลงอีกครั้ง ฝ่ายบัณฑิตขงจื๊อเห็นท่าทางขอทานชราแล้วยิ่งไม่ล้าชักช้า โค้งกายคารวะจี้หยวนอย่างจริงจัง

“ท่านนี้คือ”

จี้หยวนถามเสียงหนึ่ง ขอทานชรายังไม่ทันพูด ชายวัยกลางคนรีบแนะนำตัวเองก่อน

“ข้าน้อยหัวหน้าหอดูดาวหลวง เหยียนฉาง!”

จี้หยวนร้องอ๋อเสียงหนึ่ง ตอบไปว่า “ที่แท้ก็เป็นไต้เท้าเหยียน ข้าน้อยแซ่จี้”

“อยู่ต่อหน้าเซียน ข้าไม่กล้าถือตนเป็นใต้เท้า!”

หัวหน้าหอดูดาวหลวงมีอีกชื่อเรียกที่ต้าเจินคือทูตดารา หรือสำนักหอดูดาวหลวง เชี่ยวชาญในการสังเกตการณ์ท้องฟ้า รับหน้าที่คำนวณฤดูกาลและกำหนดปฏิทิน

คนผู้นี้เหมือนกับรู้ว่าขอทานชราไม่ธรรมดา ยิ่งรับรู้ได้ถึงความพิเศษของจี้หยวน ไม่มีความน่าเกรงขามของขุนนางราชสำนักเลยสักนิด นอบน้อมเป็นอย่างยิ่งอย่างเห็นได้ชัด

ขอทานชราที่อยู่บนพื้นหัวเราะเสียงหนึ่ง

“ฮ่าๆ ต้าเจินแห่งนี้เป็นแดนอัศจรรย์ของอัจฉริยะจริงๆ ไม่คิดเลยว่าขอทานชราอย่างข้าปะปนกินอยู่อยู่ในสถานพักม้า อีกทั้งถูกใต้เท้าเหยียนเรียกตัวออกมา พาเขามาพบท่านจี้ด้วยคงไม่กล่าวโทษข้ากระมัง?”

“เอ๋?”

คำพูดนี้ทำให้จี้หยวนประหลาดใจอยู่บ้าง จึงตั้งใจสังเกตโหรผู้นี้อีกครั้ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าเป็นคนธรรมดา ในใจคิดว่าขอทานชราผู้นี้สนิทสนมกับขุนนางราชสำนักขนาดนี้เชียวหรือ

“อ้อจริงสิ ข้ามีขนมไหว้พระจันทร์อยู่หลายชิ้น อีกเดี๋ยวพวกเราสามคนแบ่งกันคนละสองชิ้นได้พอดี แต่ตอนนี้ข้าคนแซ่จี้ต้องขอตัวไปทำธุระก่อน”

จี้หยวนคล้ายกับเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ หยิบขนมไหว้พระจันทร์หกชิ้นออกจากแขนเสื้อ วางไว้บนขอบแท่นพิธี จากนั้นเดินไปยังใจกลางโดยไม่สนใจว่ามีขุนนางราชสำนักอยู่ด้วยคนหนึ่ง

เหยียนฉางมองจี้หยวนแล้วมองขอทานชรา เหมือนกับลังเลอยู่บ้างว่าควรไปดูหน่อยหรือไม่ แต่เห็นขอทานชรานั่งนิ่ง สุดท้ายจึงยืนอยู่ข้างๆ ไม่ไหวติง

จี้หยวนยืนอยู่กลางแท่นพิธี ใช้นิ้วชี้วาดท้องฟ้า กระบี่เครือเขียวข้างหลังปรากฏตัวออกจากความว่างเปล่า ก่อนจะกลายเป็นประกายสีเขียวบินขึ้นสู่ท้องฟ้า

ภายใต้ดวงจันทร์ที่ลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า แสงจันทร์ไร้สิ้นสุดรวมกลุ่มที่กระบี่เครือเขียวอยู่เลือนรางไม่หยุด ราวกับรับรู้ได้ถึงสัญญาณนี้ ตอนนี้เจ้าที่จังหวัดจิงจีที่รูปร่างสูงใหญ่อย่างยิ่งปรากฏกายอยู่ตรงมุมหนึ่งของแท่นพิธี ใช้ไม้เท้าเถาวัลย์ชี้ไปบนนั้น

ผิวหินของแท่นพิธีทั้งหมดราวกับกลายเป็นผิวกระจกชัดแจ๋ว แสงจันทร์บนท้องฟ้าไหลตามกระบี่เครือเขียว บรรจบกันลงมาเหมือนกับกรวย

ท่วงท่าของจี้หยวนบนแท่นพิธีราวกับรำกระบี่ ระหว่างโบกมือเชื่อมต่อจุดต่างๆ ด้วยนิ้วชี้ วาดแนวนอนและแนวตั้ง แสงจันทร์ที่ถูกกระบี่เซียนบนท้องฟ้าชักนำขยับไปมาเหมือนพู่กันเช่นกัน

ในสายตาของเหยียนฉาง นี่เป็นภาพที่งดงามจับตา อีกทั้งอัศจรรย์ไม่ธรรมดาอย่างชัดเจน คล้ายกับแสงจันทร์ทั่วทั้งฟ้ารวมกลุ่มขยับไหวตามการใช้นิ้วชี้ร่ายรำของท่านจี้ วาดผ่านแท่นพิธีที่กว้างขวางทั้งหมด

“หัตถ์พู่กัน! วิชาบัญชายอดเยี่ยมเช่นนี้หาชมยากจริงๆ!”

ขอทานชรานอนนิ่งอยู่ไม่ไหวแล้ว ลุกขึ้นนั่งชม ความสนใจของเหยียนฉางรวมอยู่ที่ตัวจี้หยวน แม้ไม่มีความสามารถมองภาพใหญ่ทั้งหมดได้ เขากลับมองออกว่าจี้หยวนกำลังวาดตัวอักษรขนาดใหญ่ ดูเหมือนแสงจันทร์นุ่มนวลสุกสกาว แต่ความจริงแล้วมันรวมตัวไหลลงสู่ทั่วทั้งแท่นพิธีที่เหมือนกระจกอย่างแข็งแกร่งและอ่อนโยนอยู่ในที

ผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชา แสงจันทร์กระจายหายไป บนผิวกระจกแท่นพิธีมีตัวอักษรขนาดใหญ่ปรากฏ แท่นพิธีที่เหมือนกับกระจกนี้ค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิม กลายเป็นแท่นหินแล้ว

“ฮ่าๆ กินขนมไหว้พระจันทร์ได้แล้ว ใต้เท้าเหยียนกินเร็วเถอะ”

“ไม่ๆๆ ท่านกินเถอะ ข้าไม่หิว!”

“เอ๋? ใต้เท้าเหยียนแน่ใจหรือ ขนมไหว้พระจันทร์นี้ทั้งชีวิตนี้อาจไม่ได้กินเป็นครั้งที่สองนะ”

เหยียนฉางที่เดิมทีตอบไปอย่างนั้นพลันฉุกคิดได้ ก้มหน้ามองขนมไหว้พระจันทร์หกชิ้นที่วางเรียงกันอยู่ รัศมีของแสงจันทร์นั้นยังพอเห็นได้เลือนราง ทว่าค่อยๆ จืดจางลงแล้ว

เห็นขอทานชราหยิบไปแล้วสองชิ้น บนใบหน้าเหยียนฉางเริ่มมีความหงุดหงิด ร่างกายกลับนั่งยองลงอย่างสัตย์ซื่อ หยิบสองชิ้นในนั้นไว้บนมือ

แต่ขอทานชรากลับไม่กินขนมไหว้พนะจันทร์ เพียงใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ จากนั้นกวักมือไปทางหลังคาเรือนที่อยู่ไกลๆ คล้ายกับมีแรงดึงดูดมหาศาลสายหนึ่งฉุดรั้ง แมวสีเทาตัวหนึ่งถูกลากมาอยู่ข้างกายเขาโดยตรง กดศีรษะมันไว้บนบันไดหิน

“เมี๊ยว…”

ตอนนี้จี้หยวนเดินเข้ามาช้าๆ เช่นกัน ชำเลืองมองแมวสีเทาตัวนี้อย่างไม่ยี่หระ ยิ้มกล่าว

“โอ้ มาก็มาแล้ว คิดจะไปที่ใดอีก”

ขอทานชราลงมือจับแมวตัวนี้ไว้ จี้หยวนจึงอารมณ์ดีมาก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด