กำเนิดเทพเจ้าเหนือยุทธ์เล่มที่ 3 บทที่ 8

Now you are reading กำเนิดเทพเจ้าเหนือยุทธ์ Chapter เล่มที่ 3 บทที่ 8 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 8 งานประชันโอสถ

 

ภายในโรงหลอม/ คนทั้ง 5 ยังคงยืนล้อมกองวัตถุดิบชั้นเยี่ยม /หลังจากเห็นสิ่งของพวกนี้/ ในใจของบรรพชนก็พลันอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที/ ด้วยสายตาของเขา /เพียงรู้ว่าวัตถุดิบพวกนี้กำลังจะถูกนำมาสร้างเป็นอาวุธให้กับหยางอี้ /

นี่ก็ทำให้ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น /ดวงจิตระดับจักรพรรดิ แร่ระดับ 8/ และเกล็ดของสัตว์อสูรระดับจักรพรรดิ/ นี่มันจะออกมาเป็นอาวุธวิเศษแบบใดกัน/

นอกจากหยางอี้และหั่วโพ่ง /คนอื่นๆไม่มีผู้ใดรู้ถึงแบบแปลนอาวุธอีก /เมื่อในที่นี้มีระดับจักรพรรดิอยู่ถึง 3 คน /เรื่องนี้ทำให้หั่วโพ่งค่อนข้างตื่นเต้น หากบรรพชนที่อยู่ในขั้นสูงสุดของจักรพรรดิขั้นต้น/ยอมช่วยเหลือ/ความลึกล้ำของอาวุธชิ้นนี้จะมากขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง/

การหลอมศาสตราขั้นสุดท้าย /เป็นการเปิดประจุพลังปราณ/ และใช้พลังปราณจากภายนอกของผู้สร้างอัดกระแทกเข้าไป /เพื่อขยายประจุพลังปราณภายในอาวุธ/ก่อนจะเติมเต็มให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ /โดยมีแร่บริสุทธิ์ในการช่วยเป็นตัวกลาง/เชื่อมต่อกับพลังปราณธรรมชาติ/ขณะใช้ความสามารถของอาวุธชิ้นนั้นๆ /ลองจินตนาการดูว่า/ประจุพลังปราณที่มีระดับจักรพรรดิถึงสามคนช่วยในการเปิดและขยายมันออกนั้น/จะทำให้ศาสตราวุธชิ้นนี้ทรงพลังมากเพียงใดเมื่อปลดปล่อยมันออกมา /และนี่เป็นเพียงเรื่องของพลังปราณเท่านั้น!/ ยังไม่รวมถึงความสามารถพิเศษของดวงจิตสองราชันย์/ และคุณสมบัติของเกล็ดทั้งสอง/

หั่วโพ่งที่จมอยู่ในความคิดอันเพ้อฝัน/ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ออกมาราวกับคนเสียสติ /ก่อนที่จะถูกกระตุ้นจากบรรพชนให้ตื่นขึ้น/

“หั่วโพ่ง เจ้าจะเริ่มหรือยัง ให้ข้าดูแปลนอาวุธหน่อยได้หรือไม่”

หลังจากบรรพชนกล่าวออกมา/ หั่วโพ่งหันไปมองหยางอี้เล็กน้อย /ก่อนจะตอบออกไปอย่างจริงจัง/

“ท่านบรรพชน แบบแปลนนี้ถือเป็นความลับสุดยอดของอาวุธชิ้นนี้ /เกรงว่าจะไม่สามารถเปิดเผยได้/ แต่หากท่านต้องการ/ ท่านสามารถอยู่ข้างในเช่นเดียวกับผู้อาวุโสทั้งสอง/เพื่อช่วยข้าในขั้นตอนการอัดพลังปราณ /เช่นนั้นท่านจะได้เห็นถึงอาวุธชิ้นนี้เอง”

หั่วโพ่งกล่าวจบ/จึงมองมาทางหยางอี้เล็กน้อยเพื่อให้สัญญาณ/ ส่วนหยางอี้นั้นก็เข้าใจความหมายได้ในทันที/จึงกล่าวออกมาอย่างยิ้มแย้มให้กับบรรพชน

“ท่านบรรพชน หากไม่ลำบากจนเกินไปข้าอยากให้ท่านช่วยเหลืออีกครั้งได้หรือไม่ ส่วนอาวุธชิ้นนี้ชื่อของมันคือ หมื่นสวรรค์เหมันต์โลกันต์”

“หมื่นสวรรค์เหมันต์โลกันต์?”

บรรพชนและสองผู้อาวุโสแทบจะกล่าวอออกมาพร้อมกัน/ สีหน้าเต็มได้ด้วยความสงสัยยิ่งนัก /ช่างเป็นชื่อที่ยิ่งใหญ่ /ความใคร่รู้ของพวกเขายิ่งมายิ่งมากขึ้น/ ซึ่งเดิมทีก็มีความสนใจอยู่แล้ว ยิ่งในตอนนี้หยางอี้เอ่ยปากขอร้อง /บรรพชนจึงไม่มีเหตุผลให้ปฎิเสธเรื่องนี้

หั่วโพ่งยิ้มออกมาอย่างยินดี /การที่เรื่องเป็นเช่นนี้/จะยิ่งให้อาวุธที่เขาหลอมขึ้นทรงประสิทธิภาพมากกว่าเดิม/ เมื่อจัดการธุระเรื่องวัตถุดิบเรียบร้อยแล้ว/ก่อนจะจากไป/หั่วโพ่งได้ขอดาบพยัคฆ์เมฆามาจากหยางอี้ /ชายชรารู้ว่าดาบเล่มนี้เป็นเหมือนสิ่งระลึกถึงบิดาของชายหนุ่ม/ เดิมที/ดาบเล่มนี้ควรเป็นของหยางจื่อส้ง/ ทว่าภายหลังกลับกลายมาเป็นของหยางอี้แทน/และมันก็พังลงในมือของชายหนุ่ม /แม้ว่าตอนนี้/ดาบพยัคฆ์เมฆาจะไม่จำเป็นในการหลอมหมื่นสวรรค์เหมันต์โลกันต์แล้วก็ตาม /แต่หากปรับปรุงใหม่ให้เป็นเพียงของที่ระลึกนั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหั่วโพ่ง/

หยางอี้มอบทุกอย่างให้กับหั่วโพ่ง/ก่อนจะจากเขาโรงหลอมไป/ ชายหนุ่มละเรื่องอาวุธชิ้นใหม่นี้วางไว้ก่อน /เพราะสิ่งจำเป็นในตอนนี้คือการประชันโอสถที่กำลังจะเกิดขึ้น /รางวัลจากการประชันครั้งนี้/หยางอี้ไม่มีความสนใจแม้แต่น้อย /นอกจากใบรับประกันจากสมาพันธ์โอสถ/ที่เป็นหนึ่งในรางวัลของผู้ชนะเลิศระดับศิษย์รุ่นเยาว์/

ด้วยจำนวนของปรมาจารย์โอสถนั้นมีน้อย /ทางสมาพันธ์จึงสนับสนุนให้ทางสำนักใหญ่/จัดการประชันโอสถทุกๆปี/ โดยมีการออกใบรับประกันของสมาพันธ์ทวีปจันทร์กระจ่างให้/ หยางอี้ยังไม่รู้รายละเอียดแน่ชัด/ว่าสมาพันธ์โอสถนั้นคืออะไร /ข้อมูลพวกนี้ชายหนุ่มจำเป็นต้องศึกษาในภายหลัง/ ส่วนใบรับประกันนั้น/แน่นอนว่า/หยางอี้มีวิธีใช้ให้เกิดประโยชน์แน่นอน/

เนื่องจากนักปรุงยานั้นหาได้ยากในทวีปนี้ /การที่คนผู้หนึ่งมีความสามารถในการปรุงยา/ย่อมได้รับความเคารพเป็นอย่างมาก /หากหยางอี้มีใบรับประกันนี้อยู่/ แน่นอนว่ามันจะทำให้ชายหนุ่มสะดวกในการหาข้อมูลมากขึ้น/

หยางอี้จมอยู่ในความคิดเป็นเวลานาน /ก่อนจะตื่นจากภวังค์ความสงสัย และความปรารถนาอันแรงกล้าก็ก่อตัวขึ้นภายในจิตใจของหยางอี้/ ก่อนที่แววตาจะเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น/ หนึ่งในสิ่งที่หยางอี้ต้องทำให้สำเร็จในชีวิตนี้! /การตามหาผู้กวาดล้าง/ และทวงความยุติธรรมให้กับสายโลหิต/ครึ่งหนึ่งที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย/ อีกหนึ่งสายบรรพบุรุษของเขา/ ตระกูลเจียง!

 

วันเวลาผ่านไป/ เหลืออีกสามวันจะถึงงานประชันโอสถ /คราวนี้หยางอี้วางทุกอย่างทิ้งไว้/และมุ่งมั่นศึกษาตำราของกู่เทียนชางในส่วนที่สอง /รายละเอียดและสมุนไพรต่างๆ/ 8 ใน 10 ส่วน/หยางอี้สามารถจดจำและทำความเข้าใจได้หมดแล้ว/ แม้เวลาในมิติจะมากกว่าภายนอกถึง 5 เท่า /แต่ความเร็วระดับนี้ยังเรียกว่าท้าทายสวรรค์อยู่ดี/ เพราะสมุนไพรและวัตถุดิบในส่วนที่สองนั้น/มีเกือบ 5,000 ชนิด/ ความมุ่งมันอันแรงกล้าเพื่อตระกูลเจียง/ได้ผลักดันจนชายหนุ่มสามารถจดจำอีกสองส่วนที่เหลือได้ในที่สุด/ เหลือเพียงกลับมาทำความเข้าใจกับมันอีกครั้งในภายหลัง/

วันสุดท้ายก่อนจะถึงการประชันโอสถ/ หยางอี้ละจากการศึกษาส่วนของสมุนไพร/ และพลิกตำราเล่มหน้าไปยังส่วนสุดท้าย/ ตามที่กู่เทียนชางบอกไว้มันคือ/ การปรุงยาแบบโบราณ/ที่กู่เทียนชางบังเอิญพบเจอในโบราณสถานแห่งหนึ่ง/ ///ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจถึงวิถีนี้เช่นกัน /อาจเนื่องด้วยกู่เทียนชางยกระดับการปรุงยาในวิถีของตนเอง/จนอยู่ในระดับสูงมากๆแล้ว/ ชายชราจึงไม่เต็มใจที่จะละทิ้ง/แล้วมาเริ่มลองผิดลองถูกกับวิถีโบราณนี้ใหม่ /จึงทำเพียงบันทึกไว้ภายในตำรา/

หยางอี้เองก็มิได้เข้าใจแต่อย่างไร/เพียงแต่ความรู้สึกในส่วนลึกของจิตใจ/กลับกู่ร้องราวกับมีแรงดึงดูดเมื่อพบภาพบันทึกเหล่านี้/ เสี่ยวเฮยเองก็ไม่สามารถตอบได้เช่นกันว่ามันคืออะไร /หยางอี้จึงพักมันไว้ก่อนและเปิดย้อนกลับมาเพื่อศึกษาการปรุงยาตามวิธีของกู่เทียนชาง

รายละเอียดที่กู่เทียนชางบันทึกไว้นั้นมีความล้ำลึกเป็นอย่างมาก/ แม้การควบคุมเปลวเพลิงของหยางอี้จะอยู่ในระดับสูงจนน่าตกใจ /แต่สำหรับส่วนอื่นๆชายหนุ่มเป็นเพียงเด็กหัดเดินเท่านั้น /สำหรับยาระดับหนึ่งนั้น/ เพียงมีวัตถุที่ตรงตามตำรับยา /และสามารถควบคุมเปลวเพลิงให้อยู่ในระดับที่คงที่ได้ /ก็สามารถปรุงออกมาได้แล้ว/ แต่สำหรับระดับสองนั้นแตกต่างกัน/ เพราะจำเป็นต้องคอยจัดการวัตถุดิบภายในเตาหลอม/ที่ละเอียดซับซ้อนมากยิ่งขึ้น/ ส่วนระดับที่สูงขึ้นไปก็ยิ่งมีความซับซ้อนมากขึ้นตามระดับ/

หยางอี้พยายามจับใจความสำคัญที่กู่เทียนชางทิ้งไว้/ แม้เวลาจะไม่มากนัก/ทว่าหยางอี้ได้รับความรู้เพิ่มไปไม่น้อย/ ชายหนุ่มเปรียบดังแก้วเปล่าที่ถูกเติมน้ำเข้ามา /ด้วยความที่เป็นเพียงผู้ฝึกหัดที่/เพิ่งเริ่มเดินในวิถีแห่งการปรุงยา/ทำให้ความรู้ทุกอย่างที่กู่เทียนชางบันทึกไว้/ไหลเข้าสู่ความจำของหยางอี้โดยไม่มีข้อโต้แย้ง /ชายหนุ่มเชื่อมั่นในตัวอาจารย์อย่างเต็มเปี่ยม /ทุกสิ่งที่บันทึกอยู่ในตำรานั้นเพียงแค่จดจำและทำความเข้าใจให้ได้ตามนั้นก็เพียงพอ/ ไม่จำเป็นต้องแก้ไขหรือดัดแปลงอะไรทั้งสิ้น/ ผู้ปรุงยาฝึกหัดทุกคนล้วนเป็นแก้วเปล่าเหมือนกับหยางอี้ /ทุกคนจำเป็นต้องรับความรู้จากอาจารย์/เหมือนกับผู้ที่คอยรินน้ำใส่ลงแก้ว/ จะแตกต่างกันเพียงแค่น้ำที่รินลงแก้วของหยางอี้นั้น/เป็นระดับน้ำทิพย์ไม่ใช่น้ำเปล่าดังคนทั่วไป!/

************

หยางอี้ทำความเข้าใจในส่วนนี้ไม่นานนัก/เพราะได้ศึกษามาบ้างแล้วก่อนหน้านี้/ หลักๆเพียงทบทวนอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ /ก่อนจะพลิกเปิดไปยังอีกส่วนหนึ่งของตำรา/ ตามที่เจ้าเขาโอสถบอก/ยังมีความเป็นไปได้ที่การประชันโอสถ/จะจัดให้ผู้เข้าร่วม/ปรุงยาอะไรก็ได้ตามต้องการ/ ในส่วนนี้จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก/

ภายในหน้ากระดาษของตำรา/ รายชื่อตำรับยากว่าร้อยชนิดถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด /หยางอี้คาดการณ์ว่าการทดสอบคงไม่เกินกว่าขอบเขตยาระดับสองขั้นกลาง /ชายหนุ่มจึงเลือกจดจำตำรับยาและวิธีการปรุงไป สิบ ชนิด/

ก่อนจะมองไปยังรายชื่อตำรับยาระดับสองขั้นสูง/มองดูคร่าวๆก่อนจะเลือกมาจดจำไว้อีก 1 ชนิด/

ด้วยเวลาอันสั้น/หยางอี้ไม่คิดที่จะจดจำตำรับยามากไปกว่านี้/ แม้ว่าจะมีความจำที่ดีแค่ไหน/ แต่หากเป็นเรื่องรายชื่อวัตถุดิบในการปรุงยาและวิธีการปรุง /นั้น/สิบชนิดนี้/ถือเป็นขีดจำกัดของชายหนุ่มแล้วสำหรับเวลาเพียงแค่นี้ /หากฝืนมากไปกว่านี้/มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้สับสนเมื่อถึงเวลาลงมือ/

ในเวลานี้ภายนอกเหลือเวลาอีก 2 ชั่วยาม/ดวงตะวันจะโผล่พ้นขอบฟ้าซึ่งเป็นเวลาที่เตียลี่ยี้ได้นัดเอาไว้/ มองดูแล้วภายในมิติ/หยางอี้ยังคงเหลือเวลาอีก 10 ชั่วยามด้านใน/ /แต่ชายหนุ่มกลับเลือกที่จะออกจากมิติในทันทีก่อนจะมุ่งหน้าไปยังยอดผาสูงแห่งหนึ่งที่อยู่นอกเขาทดสอบ/

หยางอี้นั่งลงสูดบรรยากาศธรรมชาติอย่างสดชื่น/และเอนหลังพิงกายกับโขดหินเล็กๆ เพื่อพักผ่อน /

การผ่อนคลาย/คือสิ่งสุดท้ายที่ชายหนุ่มต้องทำ/ก่อนจะถึงการแข่งขันประชันโอสถ อะไรที่ทำได้ตอนนี้หยางอี้ได้ทำไปทุกอย่างแล้ว/ เวลาที่เหลืออยู่หยางอี้จึงใช้เพื่อผ่อนคลาย/และทำให้ตัวเองพร้อมเต็มที่เมื่อเข้าสู่การแข่งขัน/

สายลมพัดหวิว แสงสีแสดสาดขึ้นจากขอบฟ้าทิศตะวันออก/ หยางอี้ที่นั่งเอนอิงพิงโขดหินน้อย/ค่อยๆลืมตาขึ้นเมื่อแสงกระทบกับเปลือกตา/

“หวังว่าในการประชันโอสถครั้งนี้/จะอยู่ในขอบเขตตำรับยาที่ข้าเลือกมาทั้งสิบตำรับนี้”

หยางอี้พูดออกมาอย่างแผ่วเบาก่อนจะลุกขึ้นเรียกกระบี่เหินฟ้าออกมา/แล้วทะยานขึ้นเหยียบกลายเป็นลำแสง/มุ่งหน้าเข้าสู่เขาโอสถ/

 

ย้อนกลับไปยังเขาโอสถ/ ยามค่ำคืนก่อนการประชันโอสถในยามรุ่ง/ ปรมาจารย์ทั้ง 5 /ต่างออกมาจัดเตรียมงานกันอย่างวุ่นวาย /ด้วยครั้งนี้สำนักวิหารสวรรค์เป็นเจ้าภาพ หากมีอะไรผิดพลาดย่อมตกเป็นขี้ปากของสำนักอื่นๆ /ด้วยเหตุนี้ท/างสำนักเขาโอสถ/จึงไม่ยินยอมที่จะทำให้สำนักต้องเสียหน้า/

เตียลี่ยี้ในฐานะประธานในการจัดงานครั้งนี้/มิได้ออกมาดูแลภายนอก /เพียงมอบหมายให้กับศิษย์ทั้ง 5 คนของเขาจัดการแทน/ นั่นคือปรมาจารย์โอสถทั้ง 5 ของสำนักวิหารสวรรค์/

ในการประชันโอสถที่จะเริ่มในวันรุ่งขึ้น /แม้แต่ตัวปรมาจารย์ทั้ง 5 เองก็ร่วมประชันด้วยในรุ่นผู้อาวุโสเช่นกัน /และ ผู้เข้าร่วมในรุ่นเยาว์ก็หนีไม่พ้นศิษย์เอกของพวกเขาแต่ละคน /เรื่องราวควรเป็นเช่นนี้/จนกระทั่งเตียลี่ยี้กลับมาเมื่อวันก่อน/และบอกต่อพวกเขา/ว่าตำแหน่งศิษย์รุ่นเยาว์ที่จะเข้าร่วมการประชันโอสถครั้งนี้/เขาได้มอบให้กับศิษย์ผู้หนึ่งของสำนักแล้ว/

เรื่องนี้มีปัญหาไม่น้อย/ เนื่องจากต้องคัดออกคนหนึ่งจึงทำให้ปรมาจารย์ทั้งห้า/ที่เดิมทีก็แข่งขันกันเองอยู่แล้ว/จึงไม่มีผู้ใดยินยอมที่จะสละตำแหน่งของศิษย์ตัวเองออก/ เรื่องนี้ใช้เวลากว่าสองวันจึงตัดสินลงได้/ ด้วยการให้ศิษย์ทั้ง 5 คนของพวกเขาประชันกันเอง/และคนที่อ่อนแอที่สุดจึงต้องออกจากการแข่งขัน/

แม้ยามพลบค่ำแสงตะวันจะลาลับขอบฟ้าไปแล้ว /แต่ผู้คนบนเขาโอสถ//ยังคงวุ่นวายกันไม่หยุดหย่อน /เสียงเอะอะโวยวายยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง //เมื่องานหลักจัดการเรียบร้อย/ปรมาจารย์ทั้งห้าจึงยกที่เหลือให้กับศิษย์เอกของพวกเขาจัดการ/

“ตรงนั้น ตรงนั้น! เจ้าโง่ฟังที่ข้าพูดไม่รู้เรื่องหรือไง!”

“บัดซบ ทำไมเตาหลอมยังไม่ครบ”

“เจ้าโง่…”

……

เสียงก่นด่าดังระงมมาจากชายร่างกำยำผู้หนึ่ง /ด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวจากความโกรธเกรี้ยว/ เพียงผู้คนพบเห็น/ก็ได้แต่มีใบหน้าซีดขาวด้วยความกลัว/ ศิษย์ของเขาโอสถหลายคนต่างพยายามหลีกเลี่ยงชายผู้นี้/ ทว่าก็ยังคงถูกกราดด่าออกมาอย่างไม่หยุด/

ใบหน้าเหลี่ยมเป็นสันร่างกำยำ /มองแล้วดูดุดันในชุดขาวขลิบเขียว/ ยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าศิษย์ของเขาโอสถที่กำลังง่วนอยู่กับการทำงาน บางคนอดไม่ได้ที่จะนินทาลับหลังกับการกระทำอันไร้ความหมายของเขา/

“ข้าได้ยินว่าปีนี้/ศิษย์พี่เฉินเสียตำแหน่งในการเข้าร่วมประลองให้กับใครก็ไม่รู้”

“ใช่แล้ว ศิษพี่เฉินจึงได้มาอาละวาดระบายอารมณ์กับพวกเรา ช่างไร้เหตุผลเสียจริง”

“ชู่ว … พวกเจ้าอยากโดนทุบตีหรือไง รีบทำงานให้เสร็จเถอะจะได้กลับไปพักเสียที”

แม้จะขุ่นข้องใจ/แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าปริปากบ่น /ต่างคนต่างรีบทำงานให้เสร็จโดยไว/

ศิษย์พี่เฉินที่พวกเขากล่าวถึง/คือศิษย์เอกของผู้อาวุโสสามแห่งเขาโอสถ หรือปรมาจารย์ฉุน /(ขอเรียกเป็นผู้อาวุโส 1-5 นะครับเพื่อไม่เป็นการเปลืองชื่อ) ในใจเขาเต็มไปด้วยเพลิงแห่งโทสะ /เขาเข้าร่วมกับเขาโอสถมาแล้ว 3 ปี/ และได้เป็นศิษย์เอกของผู้อาวุโสสามเมื่อสองปีก่อน /ดังนั้นตำแห่งการเข้าร่วมงานประชันโอสถ/จึงตกเป็นของเขาและศิษย์เอกคนอื่นๆมาตลอด 2 ปีนี้/ ทว่าปีนี้เขากลับถูกตัดออกโดยผู้ใดก็มิรู้//ความสามารถของพวกเขายกเว้นศิษย์ของผู้อาวุโสหนึ่ง/ นามซีเทียน นั้น ล้วนมีเท่าๆกัน /ครานี้บังเอิญเขาโชคร้ายพ่ายแพ้เมื่อวันก่อน ทำให้ต้องถูกคัดออก/

ในใจเขาล้วนไม่ยอมรับกับเรื่องนี้ ทว่าเมื่อเป็นอาจารย์ปู่กล่าวออกมาเอง/จึงทำให้พวกเขารวมทั้งปรมาจารย์ทั้งห้าจึงไม่อาจพูดอะไรได้/ ระหว่างเขากำลังยืนกล้ำกลืนความโกรธอยู่นั้นเสียงเกียจคร้านก็ดังขึ้น/

“ฮ่าๆ เป็นน้องเฉินซินี่เอง /ได้ยินว่าหลังจากพ่ายแพ้เจ้าก็เอาแต่โวยวายกับศิษย์คนอื่นไม่หยุด”/

 

ชายหน้าเหลี่ยมกลับเป็นอารมณ์ขุ่นมัวมากยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนี้ /น้ำเสียงเสียดสีและถ้อยคำบาดใจ /สิ่งนี้เกือบจะทำให้เขาระเบิดโทสะ /ทว่าได้แต่อดทนเอาไว้และตะคอกกลับไป /ภายในเขาโอสถนั้นไม่อนุญาตให้เกิดการต่อสู้กันเด็ดขาด

“อี้หลิง บัดซบ! หากมิใช่กฎของที่นี่ข้าจะจัดการเจ้าซะ”

“ฮ่าๆ น้องเฉินซิ อย่าได้มีโทสะ พี่ชายคนนี้เพียงหยอกล้อเจ้าเล่น”

“หยอกเล่น? ไสหัวไปซะ!”

“เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าไม่อยากรู้ว่าคนที่แย่งตำแหน่งเจ้าไปเป็นใคร /ข้าจะจากไปก็ได้”

อี้หลิงกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจ/และทำท่าจะจากไป ทว่าเฉินซิกลับชะงักขึ้นมา/ แม้จะไม่ชอบขี้หน้าอี้หลิง/ที่ชอบทำตัวโอ่อ่าเพราะเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสสองก็ตาม/ แต่ตอนนี้เจ้าคนที่มาแย่งตำแหน่งของเขาไปสำคัญกว่า/ เพราะกับศิษย์ของผู้อาวุโสคนอื่นๆ /พวกเขาก็ทะเลาะกันเป็นประจำอยู่แล้วนอกจากซีเทียน/ ที่เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสหนึ่งที่ชอบอยู่อย่างสันโดษ/ ซึ่งไม่รู้ว่าเขาชอบความเงียบสงบหรือหยิ่งผยองจนไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตากันแน่ /ทว่าความสามารถในการปรุงยาของเขานั้น/มันคือของจริง อายุเพียง 25 ปี /กลับสามารถปรุงยาระดับ 3 ขึ้นมาได้/ นี่ทำให้เขาแทบจะนั่งแท่นตำแหน่ง/สืบทอดของเจ้าเขาโอสถแล้ว/ อีกทั้งเหตุนี้ยังส่งให้ผู้อาวุโสหนึ่งมีอำนาจมากยิ่งขึ้น

“เจ้ารู้?”

“แน่นอน! ข้าได้ยินจากอาจารย์มาเมื่อสักครู่จึงรีบมาบอกต่อเจ้า /แต่มิคาดเจ้ากลับขับไล่ใสส่งข้า”

น้ำเสียงของอี้หลิง/ทำให้ใบหน้าของเฉินซิเริ่มแดงจากความโกรธ /ทว่าด้วยความอยากรู้จึงต้องกล้ำกลืนไว้และกล่าวออกมา/ด้วยเสียงสั่นเครือที่เก็บอาการไว้เต็มที่/

“แน่นอนว่าข้าอยากรู้ ศิษย์พี่โปรดบอกข้าด้วย”

“ฮ่าๆ แน่นอน แน่นอน เมื่อศิษย์น้องลำบาก /ศิษย์พี่เช่นข้าจะไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือได้อย่างไร”

อี้หลิงหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี /ทว่าเฉินซิกลับกำหมัดแน่นข่มความโกรธเอาไว้จนเลือดเริ่มซิบออกจากฝ่ามือ

“เช่นนั้นท่านคงบอกได้แล้วกระมัง?”

“แน่นอน ข้าได้ยินท่านอาจารย์พูดว่ามันมีชื่อว่า/ หยางอี้! คิดว่าคงเป็นคนเดียวกับหยางอี้ที่นั่น”/

“หยางอี้? ท่านแน่ใจว่าเป็นมัน!”

“แน่นอน ข้าได้ยินมากับหู เรื่องนี้ไม่มีทางผิดพลาด”

“เป็นมัน ตัวบัดซบนั่น! ฮึ่ม! ดูเหมือนข้าและมันไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้แล้ว”

อี้หลิงมองดูเฉินซิพึมพำออกมาอย่างอาฆาต ตัวเขาคราแรกก็แปลกใจเมื่อได้ยินชื่อหยางอี้ ทว่าในทันที/เขากลับนึกได้ว่าเฉินซินั้นจงเกลียดจงชังหยางอี้เป็นอย่างมาก/ เพราะเขาได้หลงรักเทพธิดาเพ่ยเพ่ยอย่างงมงาย /พยายามเข้าใกล้นางอยู่หลายครั้ง/กลับโดนด่าเปิงไม่เหลือเค้าศิษย์ของเขาโอสถ/ จากนั้นเขาจึงเคียดแค้นหยางอี้/ อีกทั้งตอนนี้/ผู้ที่มาแย่งตำแหน่งเขากลับเป็นหยางอี้อีกครั้ง/ อี้หลิงจึงรีบมาบอกต่อเขา/เพื่อต้องการชมดูเรื่องสนุก /ในใจเขาหวังอย่างยิ่งให้เฉินซิระเบิดโทสะลงมือในวันพรุ่งนี้/ เพราะนั่นจะทำให้เขาสามารถตัดคู่แข่งในการชิงตำแหน่งออกไปได้คนหนึ่ง/ (คู่แข่งในการชิงตำแหน่ง)

อี้หลิงหลังจากดูท่าทีไม่นานก็เดินจากไป ทิ้งเฉินซิไว้ให้จมอยู่กับความโกรธเกรี้ยว ก่อนจากไป/สายตาเขามองมายังเฉินซิอย่างสมเพช/ อี้หลิงคิดว่าเขาช่างโง่งม/แม้จะเป็นศิษย์ของปรมาจารย์โอสถ /ทว่าเฉินซิเอง/ก็เป็นเพียงศิษย์สายในที่มีรายชื่อบนผังปฐพีเท่านั้น /แม้จะเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งก็จริง /แต่คนที่แข็งแกร่งกว่าเขายังมีอยู่อีกมาก/ คิดจริงๆหรือ/ว่าถ้าไม่มีหยางอี้แล้ว/แม่นางเพ่ยเพ่ยจะหันมามองเขา/ อนิจจา/สตรีคือศัตรูตัวฉกาจของผู้ฝึกตน/

ยามอี้หลิงจากไป/ เฉินซิเองกลับจมอยู่ในภวังค์/ครุ่นคิดไม่นานดวงตาก็กระจ่างวาบยิ้มออกมาอย่างเหี้ยมเกรียม/

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเกี่ยวข้องกับอาจารย์ปู่อย่างไร/แต่เมื่อเจ้ากล้าแย่งตำแหน่งข้าเช่นนั้น/ ข้าจะทำให้เจ้าต้องเสียใจที่/กล้าเสนอหน้ามาในวันพรุ่งนี้!”

เฉินซิกล่าวออกมาอย่างอารมณ์ดี/ก่อนจะเคลื่อนกายอีกครั้งโดยมีเป้าหมายคือศาลาที่เตรียมไว้เพื่องานประชันโอสถ/

รุ่งเช้ายามแสงตะวันสาดส่อง/หยางอี้เหยียบย่างกระบี่เหินฟ้าเข้ามาภายในเขาโอสถ/ก่อนจะลงเดินเมื่อถึงเขตลานกว้างด้านบนตามที่เตียลี่ยี้กล่าวเอาไว้/ ให้เขาเข้าไปพบที่ตำหนักหลักของเขาโอสถ /หยางอี้เดินมุ่งหน้าไปยังตำหนักหลังใหญ่ในทันที/ ระหว่างทางยัง/คงเห็นศิษย์หลายคนซึ่งมีขลิบสีเขียวบนชุดขาวที่แสดงให้เห็นว่าเป็นศิษย์ของเขาโอสถ/ยังคงวิ่งกันวุ่นวายเพื่อเตรียมความพร้อมในบางส่วน/

หยางอี้เดินไม่นานก็มาถึงตำหนักใหญ่ /พลันแว่วเสียงที่ส่งมาตามสายลมของเตียลี่ยี้/ที่สำผัสได้ว่าหยางอี้มาถึงแล้ว/พร้อมบอกกับชายหนุ่มให้เข้าไปภายในตำหนัก

หยางอี้เดินเข้ามาภายในโถงของตำหนักก่อนจะมองเห็นเตียลี่ยี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านในสุด/และมีผู้อาวุโสห้าคนนั่งอยู่ด้านข้าง/ รวมถึงผู้เยาว์อีกห้าคนที่ยืนอยู่หลังผู้อาวุโสทั้งห้า /หยางอี้กวาดตามอง/ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงแววตามุ่งร้าย/ที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่า/ได้แผ่พุ่งออกมาจากคนผู้หนึ่ง

หยางอี้ปรายสายตามองไปยังบุรุษหน้าเหลี่ยมผู้หนึ่ง/ที่จ้องมองกลับมาด้วยเจตนาร้ายอย่างไม่ปิดบัง/ ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะคิดในใจ ชายผู้นี้เขาไม่เคยรู้จัก กระทั่งหน้าตายังเพิ่งพบครั้งแรก ไฉนเขาจึงได้มีจิตอาฆาตต่อตนเองเช่นนี้/ หยางอี้ลอบสำรวจพลังปราณ/พลันพบว่าคนผู้นั้นอยู่ในจุดสูงสุดของระดับปฐพีขั้นกลาง/ นับว่ายังเหนือกว่าชายหนุ่มเล็กน้อย /ทว่าหยางอี้กลับไม่ใส่ใจ

เวลานี้สถานะของเขาแตกต่างจากเดิมแล้ว /หากมิใช่ระดับสวรรค์มาเอง หยางอี้ล้วนไม่เกรงกลัวผู้ใดในสำนัก!

/ผู้ที่มาหาเรื่องเขานั้นย่อมแตกต่างจากคราวที่ประลองกับอสูรร้ายสายนอกเช่นเล้งซุน /ยามนั้นเล้งซุนอยู่ในระดับกลางขั้นปฐพีเฉกเช่นเดียวกับชายหน้าเหลี่ยม /ทว่านั่นกลับเป็นการต่อสู้อย่างลูกผู้ชายที่มีศักดิ์ศรี /แต่หากเปลี่ยนเป็นการคร่าสังหารแล้ว…./ เช่นนั้น/หยางอี้คงบั่นคอเล้งซุนได้อย่างรวดเร็ว/ และบุรุษหน้าเหลี่ยมผู้นี้เองก็คงไม่แตกต่างกัน/

กฎของสำนักคือห้ามลงมือสังหารศิษย์ด้วยกัน /ทว่ายามนี้หากมีคนมาหาเรื่องแล้วหยางอี้สังหารไปสัก 10 คน /หรือต่อให้ 100 คน /เจ้าสำนักก็คงไม่กล้าพูดอันใดกระมัง/

ทันทีที่เดินเข้ามา/ชายหนุ่มผู้มาใหม่ย่อมตกเป็นเป้าสายตาในทันที /ผู้อาวุโสบางคนยังจดจำหยางอี้ได้/จากการประมูลเมล็ดทานตะวันแสงอาทิตย์และเริ่มพูดคุยกัน/ ส่วนศิษย์ของพวกเขายกเว้นซีเทียน /ที่ปรายตามองสำรวจชายหนุ่มครั้งหนึ่งก็ไม่ให้ความสนใจอีก /สำหรับซีเทียนในสายตาของเขาหยางอี้เป็นเพียงหนอนแมลงอันกระจ้อยร่อยเท่านั้นเอง/

**********

“คารวะผู้อาวุโสเตีย”

หยางอี้กล่าวทักทายเตียลี่ยี้เป็นอันดับแรก/ ก่อนที่คนอื่นๆจะรั้งสายตากลับมามองยังเตียลี่ยี้/ แม้เตียลี่ยี้จะได้บอกกล่าวไปแล้วถึงการมาของหยางอี้ /ทว่ารายละเอียดเรื่องเหตุผลนั้น/ชายชรามิได้เอ่ยออกไป /ปรมาจารย์ทั้งห้าและศิษย์ของพวกเขาจึงได้แต่สงสัย/และหวังจะได้คำตอบในวันนี้/

สายตาดูถูกเหยียดหยามพุ่งตรงมาหาหยางอี้โดยไม่ปกปิด/ นอกจากผู้อาวุโส 4 คน/ยกเว้นผู้อาวุโส 3 ที่เป็นอาจารย์ของเฉินซิแล้ว/ คนอื่นๆ ต่างเบ้ปากเย้ยหยันให้กับหยางอี้/ราวกับอดทนไม่ไหวที่จะกล่าวคำสบประมาทและด่าทอออกมา /นั่นเป็นเพราะชุดที่หยางอี้ใส่คือชุดของศิษย์สายนอก! /ในใจทุกคนต่างตั้งคำถาม ศิษย์สายนอก?/ แล้วมันมาทำไม? /เรื่องตลกร้ายอันใดที่ศิษย์สายนอกจะเข้าประชันโอสถ?/

ต้องรู้ว่าภายในสำนัก/กระทั่งศิษย์สายในที่เป็นคนของเขาโอสถ/ศิษย์หลักบางคนยังต้องให้ความเคารพ /ส่วนพวกเฉินซิทั้ง 5 คนนั้น /เกินเลยขอบเขตไปแล้ว/ แม้จะเป็นเพียงศิษย์สายใน/แต่อำนาจพวกเขาก็ถือว่าเทียบเคียงกับศิษย์หลักอันดับกลางๆของผังฟ้าแล้ว/ นี่เป็นเพราะความสามารถในการปรุงยาของพวกเขา /อีกทั้งยังเป็นศิษย์ของปรมาจารย์โอสถ /ผู้ฝึกตนทุกคนต่างต้องการทรัพยากรในการบ่มเพาะ/ ทั้งการบาดหมางกับนักปรุงยาจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ /อีกทั้งกับนักปรุงยาที่มีอนาคตเช่นพวกเขายิ่งสมควรผูกมิตรด้วย/

“อ่า หยางอี้ มาๆ ไม่ต้องมากพิธี”

เสียงอบอุ่นของชายชราที่กำลังลุกจากเก้าอี้/เข้ามายังหยางอี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอบอุ่นไม่น้อย /แม้ทั้งสองอาจจะเข้าหากันในเชิงผลประโยชน์ /ทว่าสิ่งที่เตียลี่ยี้แสดงออกมา/ก็ยังคงเป็นความจริงที่ออกมาจากใจ/ นับตั้งแต่เห็นเม็ดยาฟื้นพลังปราณและยาต่อกระดูกที่หยางอี้ปรุงขึ้นมา/ ความเอ็นดูที่มีต่อผู้เยาว์มากพรสวรรค์นั้นเป็นของจริง/ แม้เตียลี่ยี้จะไม่รับรู้สถานะของหยางอี้/แต่คาดว่าการกระทำของเขาก็คงไม่ต่างไปจากนี้อยู่ดี/

ขณะเดียวกันกับที่ชายหนุ่มใจกลางโถง/รู้สึกอบอุ่นจากการต้อนรับของชายชรา/ คนอื่นๆโดยเฉพาะซีเทียนที่นิ่งเฉยมาตลอดกลับยิ่งมายิ่งร้อนรุ่ม/ เตียลี่ยี้แสดงออกกับหยางอี้มากเกินไป/ สิ่งนี้ทำให้พวกเขาล้วนอิจฉาและงุนงงกระทั่งตัวปรมาจารย์เองก็ตาม/

ต้องรู้ว่าเตียลี่ยี้มุ่งมั่นในวิถีแห่งการปรุงยา/ หมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนและคิดค้นตำรับยา/ ดังนั้นน้อยครั้งที่จะปรากฏตัวออกมา/ หรือบางการพักผ่อนของเขา/ก็มักจะไปแฝงตัวอยู่ในร้านขายยาที่เขาแลกเปลี่ยน /ดังนั้นเรียกได้ว่านอกจากคำสอนและการชี้แนะ /เตียลี่ยี้ไม่เคยแสดงอาการเช่นนี้กับพวกเขามาก่อน /จะดีหน่อยก็มีเพียงซีเทียนที่ชายชราเอ็นดูอยู่บ้าง/ นี่จึงเป็นเหตุให้ซีเทียนหยิ่งผยองมากขึ้น/เพราะได้รับการยอมรับจากอาจารย์ปู่อย่างเตียลี่ยี้/

************

ดังนั้นการแสดงออกของเตียลี่ยี้ที่มีต่อหยางอี้/จึงทำให้พวกเขาล้วนอิจฉาและรังเกียจในตัวชายหนุ่ม/ ความสงสัยก่อนหน้านี้ที่ข่งเย่หลงยอมลงให้หยางอี้ถูกลืมเลือนไปสนิทแล้ว/ ใครจะไปรู้ว่าการได้รับการสนับสนุนจากเจ้าเขาโอสถ/จะได้รับผลประโยชน์มากเท่าใดกัน/ สิ่งเหล่านี้ไม่รู้เป็นเพราะอิทธิพลจากกู่เทียนชางหรือไม่/ที่ทำให้เตียลี่ยี้แสดงออกต่อหยางอี้เช่นนี้ /แต่อย่างไรการกระทำเช่นนี้/มันได้ส่งผลให้คนอื่นๆมุ่งร้ายต่อชายหนุ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว/

“หยางอี้ ผู้อาวุโสทั้ง 5 นี้คือศิษย์ของข้าเอง/ ผู้คนในสำนักเรียกขานว่าปรมาจารย์ห้าโอสถ/ ส่วนด้านหลังนั่นก็เป็นศิษย์ของพวกเขาเช่นกัน/ และ 4 คนในนี้จะเข้าร่วมการประชันเช่นเดียวกับเจ้า”/

หยางอี้มองไปยังคนที่เตียยี่ลี้แนะนำ/ก่อนจะประสานมือเคารพอย่างสุภาพ/โดยไม่ได้สนใจท่าทีของพวกเขาเลย /ที่ทำไปก็เพราะมารยาทเท่านั้น/ ใครเคารพเขา /เขาย่อมเคารพกลับหลายเท่า /หากผู้ใดไม่ให้เกียรติเขา/ เช่นนั้น/ก็มิจำเป็นต้องใส่ใจ/

เตียลี่ยี้บอกกล่าวหยางอี้อยู่หลายเรื่อง/ถึงกฎการประชันและเวลาเริ่มงาน/โดยที่คนอื่นๆเพียงนั่งเงียบไม่ได้กล่าวอันใด /ปรมาจารย์ทั้งห้าแม้ว่าจะไม่ชอบใจอยู่บ้าง /แต่ก็ไม่ได้สนใจหยางอี้/เนื่องจากการที่ผู้อาวุโสเช่นพวกเขาจะมารังแกศิษย์สายนอกตัวเล็กๆ /มีแต่จะทำให้พวกเขาอับอาย /ยกเว้นผู้อาวุโสสามเพียงคนเดียวที่เป็นอาจารย์ของเฉินซิ/

เดิมทีเขาอยากจะจัดการให้หยางอี้ประชันกับเฉินซิสักตั้งหนึ่ง/ เขามั่นใจว่าศิษย์ของเขามีความสามารถมากกว่าแน่นอน /และเชื่อว่าคนอื่นๆก็ต้องคิดเช่นเดียวกัน /วิถีแห่งการปรุงยามิใช่เรื่องล้อเล่น/ ศิษย์สายนอกที่เพิ่งจะเข้ามาไม่นานจะไปรู้เรื่องอะไร /ต่อให้มีคนสอนมาบ้างแต่ชื่อของปรมาจารย์โอสถแห่งสำนักวิหารสวรรค์ไม่ได้มีไว้เล่นๆ /นอกจากปรมาจารย์ของสำนักใหญ่อื่นๆ/พวกเขาล้วนมั่นใจว่ามีดีที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้/ แล้วเจ้าเด็กนี่เป็นตัวบัดซบอันใด/ บังอาจมาแย่งที่นั่งของศิษย์เขา!

ผู้อาวุโสสามเพียงคิดว่าหยางอี้นั้น/ได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสเหล่ยโหลว/เขาจึงใช้อภิสิทธิ์ในการแทรกแซงเท่านั้น/ ก็เหมือนกับนายน้อยผู้อ่อนแอของตระกูลสูงศักดิ์ที่ชอบทำตัวเบ่งใส่ผู้คน/ แต่หากกล้ามาวางท่าในเขาโอสถแห่งนี้นับว่ามันคิดผิด!/ ผู้อาวุโสสามเป็นหนึ่งในคนที่สนับสนุนข่งยี่จาง/ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องกลัวเหล่ยโหลว/ หากไม่ใช่ว่าอีกไม่กี่ปีเตียลี่ยี้จะสละตำแหน่ง/และปิดด่านฝึกตนในเขาบรรพชนแล้วละก็ /เขาคงจะไม่ยอมเป็นแน่/ ดังนั้นเด็กเหลือขอคนหนึ่งเช่นหยางอี้/จึงยังไม่มีค่าพอจะให้เขาเอาตำแหน่งเจ้าเขาคลุมทองมาเดิมพัน

เตียลี่ยี้จัดการบอกรายละเอียดของหยางอี้อยู่ไม่นาน/ก็ขอตัวจากไปพร้อมกับปรมาจารย์ทั้งห้า /ปล่อยให้หยางอี้ทำความรู้จักกับผู้เข้าร่วมอีก 4 คนเอง/ จากนั้นสายตาของพวกเขาจึงแผ่ความมุ่งร้ายออกมาอย่างไม่ปกปิด/เฉินซิและซีเทียนแทบจะข่มกลั้นตัวเอง/ไม่ให้พุ่งเข้าไปจัดการหยางอี้ไม่ได้ /ดีกว่าหน่อยที่เฉินซิได้กระทำการบางอย่างไว้แล้ว/ เขาจึงเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาก่อนจะกล่าวขึ้น

“เฮอะ ตัวบัดซบเช่นเจ้า/ยังกล้ามายั่วยุข้าถึงที่นี่ นับว่ากล้าดีไม่น้อย”

หยางอี้งุนงงกับคำพูดนี้/ เขาพยายามนึกอยู่นานว่าเคยบาดหมางกับเจ้าหน้าเหลี่ยมนี่เมื่อใด/ สถานการณ์ตอนนี้เริ่มตึงเครียด? /ไม่เลยสักนิด/

 

แม้จะให้พวกมันทั้ง 5 คนโจมตีเข้ามา/หยางอี้มั่นใจว่าจะจัดการได้อย่างง่ายดาย/ ต้องรู้ว่าความเร็วของหยางอี้ตอนนี้/ไม่ใช่เรื่องที่ระดับสวรรค์ขั้นต้นจะสามารถตามทันแล้ว /อีกอย่างตอนที่จัดการกับราชาวานรเผือก/ระดับสวรรค์ขั้นที่ 5นั้น/ หยางอี้เพิ่งจะบรรลุระดับปฐพีเท่านั้น/แต่กลับสู้ได้อย่างสูสี /ดังนั้นมดปลวกพวกนี้ชายหนุ่มไม่ชายตาแลเลยแม้แต่น้อย/

“ฮ่าๆ เฉินซิ ใช่ว่าเจ้ายอมข่มกลืนความอัปยศลงไปแล้ว?”

ศิษย์ร่างเล็กอีกคนกล่าวออกมา/เมื่อเห็นว่าเฉินซิเพียงกล่าวถ้อยคำเล็กน้อย/ไม่ได้ระเบิดความโกรธออกมาอย่างที่ควรจะเป็น /เขาจึงจงใจยั่วยุออกมา /การที่คู่แข่งตกต่ำลงไป /นั่นจึงเป็นผลดีต่อพวกเขา /ทว่าคำพูดนี้/กลับดึงดูดความสนใจของหยางอี้เป็นอย่างมาก/ ก่อนที่ประกายตาของชายหนุ่มจะแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา/และกล่าวถามออกไปทางชายหน้าเหลี่ยม/

“เจ้าคือเฉินซิ?”/

“ฮึ่ม สามหาวยิ่งนัก /สารเลวแม้อาจารย์ปู่จะหนุนหลังเจ้า/ แต่เจ้าคิดว่าศิษย์สายนอกเช่นเจ้า/จะสามารถล่วงเกินศิษย์อาวุโสกว่า/เช่นพวกข้าได้รึ?”/

เฉินซิแม้จะมีนิสัยใจร้อน/ทว่าภายในกลับเยือกเย็น/ เขาจงใจกล่าวคำว่า พวกข้าออกมา/เพื่อจะดึงความเกลียดชังต่อหยางอี้ให้กับคนอื่นๆ/

“เช่นนั้นคงเป็นเจ้าเองสินะ /ที่ตามรังควานข้ามานาน ในที่สุดก็หาตัวเจอเสียที”

หยางอี้กล่าวออกมาอย่างไม่สนใจคำพูดของเฉินซิ/ ศิษย์คนอื่นๆจึงขมวดคิ้วขึ้นมา/ เจ้าเด็กนี่สามหาวเกินไป/ แต่เฉินซิกลับหัวเราะร่าออกมาเมื่อได้ยินคำพูดของหยางอี้/

“ตามหาข้า? ฮ่าๆ แล้วไง? ตอนนี้ข้าอยู่ต่อหน้าเจ้าแล้ว เจ้าจะทำอันใด?”

ทว่าตอนนั้นซีเทียนที่นิ่งเงียบมาตลอด/กลับกล่าวขึ้น

“ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้ามีเรื่องอะไรกัน/ ทว่าการที่เจ้าไม่เคารพพวกข้าเช่นนี้ ในฐานะศิษย์เอกของเขาโอสถ/ข้าจะไม่ยอมให้เจ้า/มาหยามเกียรติเป็นแน่/ จงมาคุกเข่าขอโทษพวกข้าเดี๋ยวนี้”

คำกล่าวของซีเทียนทำให้คนอื่นๆประหลาดใจขึ้นมา/ ทว่าเมื่อเฉินซิได้ยินกลับกลายเป็นยินดีอย่างมาก /หากซีเทียนร่วมมือ/หยางอี้จะต้องไม่รอดแน่นอน อาจารย์ของเขาอาจไม่สามารถกล่าวอะไรได้มาก/ แต่มิใช่กับผู้อาวุโสหนึ่ง!

หยางอี้หรี่ตาเล็กน้อย/ ก่อนจะยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก

“พวกเจ้าต้องการรังแกข้าลับหลังผู้อาวุโส? /งั้นมาดูกันว่าจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่”

หยางอี้หยุดเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าไปทางเฉินซิ

“ส่วนเจ้า เมื่อครู่ถามว่าข้าจะทำอะไรเจ้าใช่หรือไม่?”

หยางอี้ยิ้มเหี้ยมออกมา/ขณะมองไปยังเฉินซิ/ก่อนที่ร่างกายของเขาจะพร่าเลือน/กลายเป็นเงาสีดำเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว/

วูป…

แสงเงาสีดำเคลื่อนผ่านศิษย์ของปรมาจารย์โอสถสองคน /ก่อนจะไปโผล่ยังหน้าของเฉินซิ/ ดวงตาของเขาเบิกกว้างและต่างเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ประหลาดใจ และความกลัว/ เพราะแทบจะทันทีที่มาถึง /ฝ่ามือของหยางอี้ก็คว้าจับไปยังคอของเขาแล้ว /ท่ามกลางความตกตะลึงของคนอื่นๆ เท้าทั้งสองของเฉินซิค่อยๆลอยขึ้นเหนือพื้นทีละน้อย/ สองมือของเขา/คว้าจับแน่นไปยังแขนของหยางอี้/

การจู่โจมกะทันหัน/ทำให้เขาตกใจจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว /สายตาที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่ารุนแรงของหยางอี้/ได้จ้องกลับไปยังแก้วตาของเขาโดยตรง/ สิ่งนี้ทำให้เขามิอาจสงบใจได้อีกต่อไป/ เฉินซิลืมเลือนกระทั่งการระเบิดพลังปราณออกมาจากร่างแล้ว/

หากเป็นปกติแม้จะไม่สามารถต่อต้านหยางอี้ได้/แต่สภาพก็คงจะไม่น่าสมเพชขนาดนี้/ ท่ามกลางอีกสี่คน /ซีเทียนตั้งสติได้ไวที่สุด/ ก่อนจะรีบตะโกนออกมาเมื่อเห็นการกระทำของหยางอี้/

“สารเลว ปล่อยเขาซะ หยุดมือเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้น…”

ก่อนจะพูดจบ/กลับเป็นเสียงของหยางอี้พูดแทรกขึ้นมาก่อน /ชายหนุ่มเอียงคอเล็กน้อยเพื่อหันมามองพวกนั้น/

“ไม่เช่นนั้น? ไม่เช่นนั้นเจ้าจะทำอะไร?/ พวกเจ้ามีความสามารถพอจะสั่งข้า?”

คำพูดที่หยิ่งยโสนี้ปลุกปลั่นให้คนที่เหลือกลายเป็นหน้าชา/ เจ้าเด็กอวดดีนี่กล้าเกินไป /ต่อหน้าศิษย์เอกทั้ง 5 ของเขาโอสถ/ยังกล้ากล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมา หยางอี้มองไปยังเฉินซิอีกครั้ง/ที่ตะเกียกตระกายอย่างลนลานใกล้ตาย/ ชายหนุ่มคิดไม่ออกเลยจริงๆว่าไอ้คนที่หาเรื่องเขา/ตั้งแต่วันแรกที่เข้าสำนักมาจะอ่อนแอเช่นนี้ /ทว่าเห็นแก่หน้าของผู้อาวุโสเตีย/ หยางอี้จึงยังไม่อยากจัดการกับเขาตอนนี้/

ชายหนุ่มปล่อยมือออก/ก่อนซัดกำปั้นเข้าใส่ใบหน้าของเฉินซิจนกระเด็นกลิ้งไปหลายเมตร/จากนั้นจึงหันกลับมามองอีก 4 คนที่เหลืออย่างเย็นชา/ ส่วนเฉินซินั้น/หลังจากลุกขึ้นมาก็ได้แต่ไอ แค่กๆ ไม่หยุด

“ดี ดีมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้แต่อาจารย์ปู่ก็ไม่อาจพูดอะไรได้ พวกเจ้าจัดการมัน”

คนทั้งสี่/ ระเบิดพลังปราณออกมาในทันที /อีกสามคนนั้นอยู่ในขั้นปฐพีที่ 5 และ 6 /ส่วนซีเทียนนั้นก้าวเข้าสู่ระดับปลายขั้นปฐพีแล้ว คือระดับ 7 /พลังปราณภายในห้องโถงกลายเป็นอึดอัดในทันที/หากมีศิษย์คนอื่นเข้ามาภายในตอนนี้คงได้แต่หน้าซีดล้มลงกับพื้น /ทว่า…มันไม่ใช่กับหยางอี้!

ด้วยท่าทีผ่อนคลาย/ชายหนุ่มก้าวเดินมาช้าๆ/ มุ่งตรงเข้าหากลุ่มของซีเทียน /ใบหน้าเย็นชาดวงตาทอประกายเข่นฆ่าจนผู้สบตาต้องขนหัวลุก/ นอกจากซีเทียน/คนอื่นๆ ล้วนหวั่นเกรงไม่น้อย /นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าเฉินซิเลย /แล้วผู้ที่จัดการเฉินซิได้โดยไม่ถึง 3 ลมหายใจพวกเขาจะไปต่อกรได้อย่างไร/ โชคดีที่ตอนนี้มีซีเทียนเป็นผู้นำจึงทำให้พวกเขา/มีความมั่นใจขึ้นมาบ้าง/

“ฮึ่ม พวกเจ้าอย่าได้คิดให้มากความ/ เมื่อครู่เป็นเพียงเพราะมันลงมือทีเผลอ /เฉินซิจึงไม่อาจตั้งตัวทัน /ไม่สังเกตรึ/ว่ามันกระทั่งพลังปราณ/ยังมิได้ปลดปล่อยออกมาแม้แต่น้อย /ตอนนี้พวกเรามีกันถึง 4 คน มันจะสู้เราได้อย่างไร”

คำกล่าวของซีเทียนทำให้พวกเขาได้สติในทันที /แววตาที่เคยเผยแววกังวลเลือนหายไปสนิท/หลงเหลือไว้เพียงใบหน้าเหี้ยมเกรียมเท่านั้น /ตามจริงแล้วซีเทียนคิดเช่นนั้นจริงๆ /เขาไม่ได้กล่าวปลุกใจสหายเลย/ แม้ความเร็วของหยางอี้จะน่าตื่นตระหนก /ทว่าหากป้องกันให้ดีก็ยังรับมือได้ /อีกอย่างในหัวเขาไม่มีความคิดแม้แต่น้อยว่าหยางอี้นั้นจะแข็งแกร่งกว่า/ ต่อให้เป็นการสู้เพียงตัวต่อตัวเขาก็ยังมั่นใจอยู่ 8 ส่วนว่าจะบดขยี้ชายหนุ่มลงได้/

“เฉินซิ เจ้าจะทำให้เราอับอายไปถึงไหน รีบลุกขึ้นมาได้แล้ว”

ซีเทียนกล่าวออกมาอีกครั้ง /เป็นจริงว่าเฉินซิรู้สึกอับอายที่แสดงท่าทีน่าสมเพชเช่นนั้นออกมา /ทว่าตอนนี้ใบหน้าเขาหลงเหลือแต่ความโกรธเกรี้ยวและอาฆาตเท่านั้น/ ด้วยเหตุผลที่หยางอี้โจมตีเขาก่อนหน้านี้ /ทำให้ตอนนี้พวกเขาสามารถลงมือได้อย่างเต็มที่!/

“สารเลว วันนี้ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ /มาดูกันว่าเจ้าจะรอดไปได้อย่างไร”

เฉินซิกล่าวเหี้ยมออกมา/ก่อนจะทะยานเข้ามายืนล้อมหยางอี้เช่นเดียวกับคนอื่นๆ/ ส่วนอีกฝ่ายนั้นหรือ?/ ไม่มีความกดดันแม้แต่น้อย/ ด้วยท่าทีผ่อนคลายหยางอี้กวาดตามองทั้งห้าคนอย่างเหนื่อยใจ/ เขาคร้านเกินจะเล่นกับคนพวกนี้ แต่เมื่อกล้ามาหาเรื่อง/เขาก็ต้องทำใจรับผลกระทบให้ได้/

หยางอี้ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย/ หากเขาจัดการพวกนี้ทั้งหมด/ผู้เข้าร่วมของวิหารสวรรค์คงจะเหลือเขาเพียงคนเดียวใช่หรือไม่?/

หยางอี้ไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อยว่าจะเอาชนะสำนักอื่นได้/กล่าวตามจริงหยางอี้ไม่เคยเห็นผู้อื่นปรุงยาเสียด้วยซ้ำ/ ตลอดมาเขาล้วนฝึกอยู่แต่ในมิติพิเศษ /ผู้ที่ได้เห็นก็มีเพียงงูน้อยเสี่ยวเฮย/ ส่วนคำวิจารณ์นั้น… เฮ้อ… เรื่องนั้นช่างมันเถอะ /อย่าได้คิดให้หมดกำลังใจเสียดีกว่า /นั่นทำให้หยางอี้ไม่รู้ว่าฝีมือของตัวเองนั้นก้าวหน้าถึงเพียงไหน/ แม้จะปรุงยาระดับหนึ่งออกมาได้จนเตียลี่ยี้ชื่นชมก็ตาม/ แต่กับยาระดับสองหยางอี้ยังไม่ชำนาญขนาดนั้น /อีกอย่างในใจลึกๆชายหนุ่มยังคงมีความคิดว่า/ที่เตียลี่ยี้เอ่ยปากชมยาที่เขาปรุง/อาจเป็นเพราะอาจารย์ของเขาก็เป็นได้

‘เฮ้อ ผู้อาวุโสเตียถือว่าดีต่อข้า/ ถึงไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะอาจารย์หรือเปล่าก็ตามเถอะ/ แต่หากจัดการเจ้า 5 ตัวนี้ไป /เกรงว่าข้าจะทำให้ผู้อาวุโสเตียและสำนักเสียหน้าหรือไม่ /หากเป็นเช่นนั้นคงจะไม่ดี /เอาอย่างไรดี? หากไม่จัดการดูเหมือนจะไม่เลิกราเสียด้วย อืม….’

ระหว่างที่หยางอี้ครุ่นคิดนั้น/ คนทั้งห้าต่างค่อยๆ เตรียมพร้อมรอสัญญาณจากซีเทียนเพื่อเข้ากลุ้มรุมหยางอี้ /จะอย่างไรในหัวพวกเขาเพียงต้องการทุบตีสั่งสอนชายหนุ่มเพียงสาหัส /พวกเขาย่อมไม่กล้าสังหารหยางอี้แน่นอน/ เพราะถือว่าผิดต่อกฎของสำนัก/ อีกทั้งความน่ากลัวของผู้อาวุโสเหล่ยโหลวเป็นของจริง

แม้บรรยายออกมายืดยาว/ทว่าเวลากลับผ่านไปเพียง 10 ลมหายใจ/ หยางอี้ที่กำลังครุ่นคิดอยู่ก็ดีดมือดัง เป๊าะ ตอนนี้/เขาหาวิธีได้แล้ว /ชายหนุ่มจึงยิ้มเหี้ยมออกมา/พร้อมกับทวนโลหิตทมิฬที่ปรากฏขึ้นในมือขวา/ เดิมทีทวนเล่มนี้จะถูกหลอมเพื่อนำจิตวิญญาณไปรวมกับดาบเมฆาพยัคฆ์/เพื่อสร้างดาบเล่มใหม่ขึ้นมา แต่เมื่อได้ดวงจิตของสองราชันย์มาแล้ว/หยางอี้จึงไม่จำเป็นต้องให้ทวนกับหั่วโพ่งอีก/ ชายหนุ่มเองก็ยินดีไม่น้อยเพราะอย่างไรหมื่นสวรรค์เหมันต์โลกันต์มิควรนำออกมาใช้มั่วซั่ว/ เพราะด้วยระดับของมันจะดึงดูดปัญหาเข้ามาไม่จบสิ้น /ดังนั้นการใช้ทวนโลหิตทมิฬต่อไปเป็นอาวุธหลักจะดีที่สุด/

ส่วนพวกซีเทียน/เมื่อเห็นหยางอี้นำทวนออกมาก็ตึงเครียดทันที /ผู้ฝึกตนที่มีศาตราวุธกับไม่มีศาสตราวุธนั้น/ต่างกันราวฟ้ากับเหว /เพราะศาสตราวุธสามารถส่งเสริมพลังปราณให้กับผู้ใช้ได้/ อีกทั้งทวนเล่มนี้ยังเป็นระดับปฐพีขั้นสูง

“พวกเจ้ารีบนำอาวุธออกมา /หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องออมมือแล้ว/ มิเช่นนั้นจะเป็นพวกเราที่บาดเจ็บ /ดูเหมือนสารเลวนี่จะได้ใจเกินไปที่มีคนหนุนหลัง /แต่มันช่างโง่เขลาเพราะเจ้าสำนักไม่มีวันอภัยให้คนที่หันคมอาวุธใส่ศิษย์สำนักเดียวกันแน่นอน”/

“ฮ่าๆ ถือว่าเจ้ารนหาที่ตายเอง สารเลว”

****83****

เฉินซิกล่าวออกมาอย่างยินดีเมื่อได้ยินคำของซีเทียน/ กระบี่หยกของเขาถูกชักนำออกมา /กลิ่นอายแผ่กระจายความเย็นซ่าน /ทั้งห้าคนเป็นถึงศิษย์เอกของเขาโอสถจึงมีศาสตราวุธระดับปฐพีขั้นกลางเป็นของตัวเอง/

หยางอี้ยิ้มเหี้ยมมิได้สนใจคำพูดของพวกเขาแม้แต่น้อย /ความคิดของชายหนุ่ม/คือการเชือดไก่ให้ลิงดู/

ถึงแม้ความจริงเรื่องนี้จะสามารถจบลงได้/หากหยางอี้หลบออกไปจากโถงนี้ ยังไงพวกนี้ก็ไล่ตามไม่ทันอยู่แล้ว/ แต่ทำไมต้องหนี? /หยางอี้มิใช่คนอ่อนโยนอยู่แล้ว/ เขาชอบใช้ความรุนแรง!/ ทุกอย่างย่อมสยบลงได้หากมีกำลังที่เหนือกว่า!/

เป้าหมายคือเฉินซิ! /แน่นอนว่าหนึ่งส่วนเป็นเพราะเขามิได้ร่วมการประชัน /และอีกเก้าส่วน/เป็นเพราะเขามาสร้างความรำคาญให้กับชายหนุ่มมากเกินไป!/

ซีเทียนขยับร่างกายทันที/เป็นสัญญาณให้คนอื่นๆเคลื่อนไหว คมอาวุธถูกตวัดออกมาอย่างทันควัน /และเป้าหมายคือหยางอี้ /ทว่าช่วงเวลานั้นชายหนุ่มกลายเป็นแสงเงาสีดำอีกครั้ง /จะแตกต่างก็คือครั้งนี้กลับมีประกายเงาสีแดงของด้ามทวนออกมาด้วย/ คมทวนโลหิตทมิฬพุ่งตวัดฉีกกระชากอากาศในทันที เป้าหมายนั้นคือบุรุษหน้าเหลี่ยม เฉินซิ!

ทว่าก่อนที่คมทวนจะบั่นคอของบุรุษหน้าเหลี่ยมลงนั้น/ กลับบังเกิดเสียงระฆังดังก้องไปทั่วทั้งเขาจนทุกคนต้องหยุดมือลง /ปลายทวนของหยางอี้จ่อไว้ที่คอหอยของเฉินซิ /ขณะที่มีเลือดไหลซึมออกมาช้าๆ /เฉินซิกลายเป็นมีใบหน้าซีดเผือดลงในทันที /คนอื่นๆเองก็เช่นกัน/ หากไม่มีเสียงระฆังดังขึ้นคาดว่าหัวของเขาคงจะหลุดออกจากบ่าไปนานแล้ว/

“สารเลว หยุดมือ ฮึ่ม โชคดีของเจ้าที่ระฆังแรกดังขึ้นพอดี/ พวกข้าไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้าแล้ว”

ซีเทียนกล่าวออกมาอย่างดุดัน/ ทว่าหลังเขาตอนนี้กลับต่างชุ่มไปด้วยเหงื่อ เท้าของเขานั้นสั่นขึ้นเล็กน้อย /เด็กสารเลวตรงหน้านี่ไม่ควรจะยุ่งด้วยจริงๆ/ โชคดีที่ระฆังแรกดังขึ้น /มิเช่นนั้นเฉินซิต้องตกตายอย่างเป็นแน่/ การเคลื่อนไหวของหยางอี้นั้นเร็วเกินกว่าที่ซีเทียนคิดไว้มาก /เพราะครั้งแรกนั้นหยางอี้เพียงขยับกายเล็กน้อยมิได้ใช้ออกด้วยย่างก้าวมายาสวรรค์ /สิ่งนี้ทำให้ซีเทียนอดคิดไม่ได้ว่าหากเปลี่ยนจากเฉินซิเป็นเขา เขาจะทำอย่างไร/

ด้วยคำพูดรักษามาด /ซีเทียนส่งสัญญาณให้คนอื่นๆรีบออกไปในทันที โดย/ปล่อยทิ้งหยางอี้ไว้กับความงุนงง /ส่วนเฉินซินั้นเมื่อหยางอี้หยุดมือเขาจึงเข่าทรุดลงไปอย่างหมดแรง /และเมื่อเห็นว่าหยางอี้ไม่มีทีท่าจะขยับ/เขาจึงกัดฟันรีบวิ่งตามพวกซีเทียนออกไป/

“ข้าโชคดี? กับผีสิ! พวกเจ้าต่างหากที่โชคดี”

หยางอี้ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้/ก่อนจะเดินออกจากห้องโถงตามหลังพวกซีเทียนออกไป/

“ฮ่าๆ ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับ”

เตียลี่ยี้กล่าวออกมา อย่างยิ้มแย้ม/ขณะที่ชายชราในชุดดำคนหนึ่งกำลังเดินลงจากเรือเหาะลมปราณขนาดใหญ่/ ด้านหลังยังคงมีผู้เยาว์ชายหญิงอีก 5 คนเดินตามลงมา/พร้อมกับผู้อาวุโสและผู้คุ้มกันอีกจำนวนหนึ่ง/***

“ฮ่าๆ ท่านเตียอย่าได้มากพิธีเลย ไม่เจอกันเสียนานดูเหมือนท่านจะแกร่งกล้าขึ้นอีกแล้ว”

ชายชราชุดดำกล่าวออกมาอย่างยิ้มแย้ม /เขาคือก่านเจิง /ผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลก่านทางตอนเหนือ /แม้ในด้านอำนาจอาจจะไม่สามารถเทียบเท่ากับสำนักใหญ่ /ทว่าตระกูลก่านเป็นตระกูลนักปรุงยา/ที่สืบทอดสายเลือดและวิชาจากบรรพบุรุษที่โดดเด่นมาจากอดีต/ ทำให้ตลอดพันปีที่ผ่านมานี้ /ตระกูลก่านสรรสร้างนักปรุงยาอัจฉริยะขึ้นมามากมาย /ด้วยเหตุนี้ทำให้ตระกูลก่านทรงอิทธิพลไม่น้อย/ และเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ทางทิศเหนือเช่นเดียวกับตระกูลเทียน/ ของเทียนเจินเซียง/

เตียลี่ยี้พูดคุยกับก่านเจิงอีกเล็กน้อย /ก่อนจะให้ศิษย์คนหนึ่งนำทางไปยังที่นั่งของตระกูลก่าน /ไม่นานเสียงเรือลมปราณขนาดใหญ่อีกลำก็มาถึง/ เรือเหาะสีทองอร่ามด้านบนโบกสะบัดด้วยธงสลักคำว่า ตู่/

“เรือของราชวงศ์มาถึงแล้ว”

ศิษย์คนหนึ่งรีบเข้ามารายงานทันที/ เตียลี่ยี้จึงเดินออกจากตำหนักไป /เนื่องจากผู้คนที่เข้าร่วมการประชันครั้งนี้มีไม่น้อย /ตระกูลขนาดกลางและตระกูลใหญ่อีกหลายตระกูล/ต่างส่งลูกหลานเข้ามาร่วมการประชันโอสถเพื่อหาประสบการณ์ /เตียลี่ยี้นั้นไม่ได้ออกรับหน้าทุกตระกูลที่มาถึง/ เขาเป็นถึงเจ้าภาพครั้งนี้ /จะให้ออกไปต้อนรับทุกคนก็ไม่ไหว /นอกจากมหาอำนาจทั้ง 6 แล้ว/ ตระกูลอื่นๆล้วนเป็นหน้าที่ของศิษย์เขาโอสถ /ส่วนห้าปรมาจารย์นั้น/ต้องเตรียมตัวสำหรับการประชันรุ่นผู้อาวุโส /ดังนั้นจึงมิได้อยู่ที่นี่/

 

เตียลี่ยี้ออกมาต้อนรับคนของราชวงศ์ /ครั้นที่มาถึงนั้นเขาเองก็ตกตะลึงไปไม่น้อย/ เพราะผู้ที่ก้าวนำลงมาจากเรือเหาะ/มิใช่ชายชราตู่เซียว/เช่นครั้งที่มีการจัดงาน 6 มหาอำนาจ/ ที่ได้เข้าร่วมการประชันโอสถทุกปีนั้น คือ 4 สำนักใหญ่ /ราชวงค์ตู่ /และตระกูลก่าน /สำหรับ 4 สำนักใหญ่นั้นลืมไปได้เลยเรื่องผูกมิตร ผู้นำของแต่ละคนต่างคอยกระแทกแดกดันกันอยู่ตลอดเวลา /ต่างฝ่ายต่างหาโอกาสให้อีกฝ่ายต้องเสียหน้า /และในครั้งนี้เป็นเจ้าภาพจึงทำให้เตียลี่ยี้กังวลเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะรวมหัวกันคิดไม่ซื่อหรือไม่/ ส่วนราชวงศ์ตู่นั้นเป็นกลาง /จะมีก็เพียงตระกูลก่านที่มีสัมพันธ์อันดีกับเตียลี่ยี้มานานแล้ว /จึงทำให้พวกเขาสนับสนุนสำนักวิหารสวรรค์/

เตียลี่ยี้จ้องมองไปยังชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีทองลายพยัคฆ์ /กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์แผ่ซ่านออกมาตลอดเวลา /เพียงมองผ่านก็ทำให้รู้ถึงความน่าเกรงขามของชายคนนี้ /ตู่ยี่หลง /องค์จักรพรรดิของจักรวรรดิเมฆาหวน/

“อ่า องค์จักรพรรดิ ทำไมท่านถึงมาด้วยตนเองเช่นนี้”/

เตียลี่ยี้กลายเป็นงงงวยหลังจากตกตะลึง/ เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็กๆ ตู่ยี่หลงนั้นแม้จะด้อยกว่าเจ้าสำนักทั้ง 4 อยู่เล็กน้อยในด้านอิทธิพล /ทว่าด้วยอำนาจขององค์จักรพรรดิ/ที่เป็นผู้ปกครองจักรวรรดิ /ในด้านนี้ 4 สำนักใหญ่ไม่อาจเทียบเท่าได้แม้แต่น้อย /แม้อำนาจของ 4 สำนักใหญ่จะคับฟ้า /ทว่าหากนำคนธรรมดามา 10 คน/ ทั้ง 10 คนนั้นย่อมกล้าดูหมิ่นสำนักใหญ่ทั้ง 4 ลับหลัง /แต่ไม่มีผู้ใดกล้า ดูหมิ่นองค์จักรพรรดิ!

“ตามสบายเถอะท่านเตีย อันที่จริงข้าได้แจ้งต่ออ้าวเทียนไว้แล้ว”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น /เตียลี่ยี้ได้แต่หนวดกระตุกกัดฟันกรอด /ไอ้เด็กบ้านี่เหลาะแหละเกินไปแล้ว/ นี่มันมิใช่เรื่องเล็กๆซะเมื่อไหร่กัน องค์จักรพรรดิเสด็จมาแต่กลับไม่มีการต้อนรับ กระทั่งที่นั่งยังไม่ได้จัดไว้

“อ่า เป็นความผิดข้าเองที่ไม่รอบคอบ /เดี๋ยวข้าจะรีบจัดการให้ในทันทีโปรดอย่าได้ถือสา/ ส่วนเด็กบ้านั่นน่าจะจัดการในภายหลัง”

เตียลี่ยี้กล่าวออกมาอย่างหัวเสียเชิงสำนึกผิด /ก่อนที่ตู่ยี่หลงจะกล่าวและหัวเราะออกมาอย่างไม่ใส่ใจ/ ทำไมเขาจะไม่รู้นิสัยอ้าวเทียน

เตียลี่ยี้เบนสายตาออกจากตู่ยี่หลงเล็กน้อย /ก่อนกล่าวคำทักทายชายชราด้านหลังตู่ยี่หลง/ ใบหน้าคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี /เขาคือหัวหน้าปรมาจารย์โอสถของราชวงศ์/ที่ปกติแล้วจะเป็นผู้นำในการเข้าประชันโอสถทุกครั้งที่ผ่านมา/ ส่วนด้านขวาของตู่ยี่หลงยังคงไว้ด้วยสตรีวัยเยาว์ผู้หนึ่งในชุดสีชมพูอ่อน/ ใบหน้าสวยสดงดงาม/ผิวเนียนขาวราวกับหิมะ /ทว่าตลอดเวลาตั้งแต่มาถึ/งสายตาของนางมิได้จดจ่ออยู่กับการพูดคุยเลย /เพียงแต่กวาดตามองไปรอบราวกับกำลังหาใครบางคน/

“เช่นนั้นข้าไม่รบกวนท่านเตียแล้ว”

ตู่ยี่หลงเดินนำขบวนราชวงศ์เข้าไปภายใน/ตามศิษย์ผู้นำทาง/ ส่วนเตียลี่ยี้หลังจากคำนับอีกครั้ง/ก็รีบแจ้งข่าวไปยังเจ้าสำนักทันที /อย่างไรตู่ยี่หลงก็เป็นองค์จักรพรรดิ /ฐานะตัวเขาเองต่ำต้อยเกินไปที่จะออกหน้า /มิเช่นนั้นจะเป็นการไม่ให้เกียรติแก่ราชวงศ์/

ผ่านไปอีกไม่นาน/ สามสำนักใหญ่ก็มาถึง/ และเป็นดังคาด /ทั้งศิษย์และผู้อาวุโสต่างโต้คารมกันดังระงม /ราวกับงานนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อสงครามฝีปาก/ หากจะให้กล่าวถึง/ ผู้ที่มีความสัมพันธ์กันที่ดีที่สุด/ของ 5 มหาขั้วอำนาจก็คงจะไม่พ้น 5 ตำนานรุ่นปัจจุบัน/

เตียลี่ยี้มิใช่คนมีความสามารถในด้านนี้เลยแม้แต่น้อย/ ท่ามกลางเสียงแดกดัน/ชายชราได้แต่อ้าปากแล้วก็หุบลง/ เส้นเลือดบนหน้าปูดโปนสีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวคล้ำ /ฝีปากของอีกฝ่ายนั้นคมกริบราวกับใบมีด/อีกทั้งยังรวมหัวกันกดดัน /วิจารณ์นั่นนี่ไม่หยุด/ สุดท้ายชายชราได้แต่เดินจากไป/กล่าวเพียงไว้รอดูการประชันเท่านั้น/

4 สำนักใหญ่ย่อมรู้ไส้รู้พุงกันดี/ อีกทั้งอำนาจยังใกล้เคียงกัน /การพูดกดดันออกมาทั้งจริงบ้างไม่จริงบ้างนั้น/ทำให้เตียลี่ยี้แทบคลั่ง /เพราะผู้ร่วมงานนั้นยังมีอีกเกือบ 20 ตระกูลระดับกลาง /และผู้ที่มาเป็นการส่วนตัวอีกหลายสิบคน แน่นอนว่า/พวกเขาย่อมไม่รู้ว่าเรื่องใดจริงเรื่องใดเท็จ /นี่ทำให้วิหารสวรรค์เสียเป็นอย่างมากแล้ว/ตั้งแต่การประชันยังไม่เริ่ม

 

ย้อนกลับไปภายในเขาโอสถ/หลังจากระฆังแรกได้ดังขึ้น /ด้านหน้าตำหนักกลาง /หยางอี้ก็เดินตามพวกซีเทียนออกมา/ก่อนจะรู้จากเสียงของพวกซีเทียน/ที่คุยกันว่า/ ระฆังแรกนั้นคือสัญญาณบอกว่า 6 อำนาจใหญ่ได้มาถึงแล้ว/ ดังนั้นศิษย์ทุกคนต้องรีบไปเตรียมตัวในทันที /โดยเฉพาะผู้เข้าร่วมการประชัน/

ภายในลานกว้างของเขาโอสถ/ ผู้คนนับร้อยต่างแออัดกันอยู่/ นอกจากหกอำนาจใหญ่ที่มีซุ้มนั่งส่วนตัวแล้ว/ ผู้เข้าร่วมคนอื่นๆต่างอยู่ในบริเวณที่จัดเตรียมไว้ให้นั่งรวมกัน/ เสียงพูดคุยมากมายดังเซ็งแซ่ไปทั่วบริเวณ /ในฐานะเจ้าภาพหลังสิ้นระฆังแรก/ผู้เข้าร่วมของวิหารสวรรค์ต้องออกมายังซุ้มทันที/

ปรมาจารย์ทั้งห้าเดินนำมา/ตามด้วยศิษย์รุ่นเยาว์ที่เข้าร่วม/ ภาพนี้ทำให้คนอื่นๆกลายเป็นเงียบเสียงในทันที /กลิ่นอายสูงศักดิ์ของสำนักใหญ่ทำให้พวกเขาสั่นซ่านไปอย่างตื่นเต้น /ในที่นี้ส่วนมากเป็นรุ่นเยาว์ที่มาเข้าร่วม/ สำหรับรุ่นปรมาจารย์นั้น/จะกล่าวให้ถูก/คงเป็นการแลกเปลี่ยนทักษะการปรุงยาของ 6 อำนาจใหญ่เสียมากกว่า/เพราะนอกจากพวกเขาแล้ว/ ตระกูลหรือผู้พเนจรอื่นๆไม่มีศักยภาพพอที่จะเข้าร่วมประชันได้/

เหล่าผู้เยาว์ต่างชี้ไม้ชี้มือพูดคุยกันเบาๆ /บ้างชื่นชม/ บ้างอิจฉา /โดยเฉพาะหญิงสาวต่างเผยแววตาหลงใหลให้กับซีเทียนอย่างปิดไม่มิด/

“อ่า นั่นซีเทียน”

“ปีที่แล้วเขาพลาดอันดับหนึ่งไปเพราะ ชิงโหย่ว การประชันปีนี้ต้องดุเดือดเป็นแน่”

“ซีเทียนนั้นเข้าร่วมการประชันมาแล้ว 4 ครั้ง 2 ครั้งแรกเขาล้วนได้อันดับที่หนึ่ง ทว่าการปรากฏตัวของชิงโหย่วในปีที่แล้วทำให้เขาต้องพลาดโอกาสไป”

“ฮี่ๆ ข้าเดาได้เลยว่าเจ้าขี้เก็กนั่น/ต้องโกรธจนแทบอกระเบิดแน่นอน”

ผู้เยาว์กลุ่มหนึ่งพูดคุยเกี่ยวกับซีเทียน/ เขานั้นนับเป็นอัจฉริยะในด้านการปรุงยาแน่นอน /ทั้งตัวเขาเองและอาจารย์ของเขา/ล้วนภูมิใจในความสามารถนี้ /มีผู้คนไม่น้อยที่ชื่นชอบและเอาซีเทียนเป็นแบบอย่าง/โดยเฉพาะสตรี /ทว่าก็มีคนอีกไม่น้อยที่แม้จะยอมรับความสามารถ/แต่ก็ไม่ชอบหน้าซีเทียน /เพราะบุคลิกเมินเฉยและการแสดงออกอย่างหยิ่งยโสไม่เคยเห็นหัวผู้ที่ต้อยต่ำกว่า/

“เฮ้ เจ้านั่นเป็นใคร นั่นไม่ใช่ชุดของศิษย์ฝ่ายนอกหรอกรึ”

“อืมม ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนของเขาโอสถด้วย”

ผู้คนเริ่มมองไปยังหยางอี้ที่รั้งท้ายขบวนกันในทันที/เมื่อสังเกตเห็นชุดของเขา/ หลายคนต่างสงสัยในตัวของชายหนุ่มเป็นอย่างมาก /เนื่องจากเจ้าภาพการประชันจะผลัดเปลี่ยนเวียนไปใน 4 สำนักใหญ่ /ทำให้นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลายๆคนเคยเข้าร่วม /เรื่องเครื่องแต่งกายของศิษย์เขาโอสถนั้น/พวกเขาย่อมรู้ดี/ทุกครั้งที่ผ่านมา/ตัวแทนของสำนักวิหารสวรรค์จะเป็นศิษย์สายในของเขาโอสถ/และแต่งกายเช่นเดียวกับพวกซีเทียน/

ท่ามกลางความสงสัยและเสียงนินทา /คนของสำนักวิหารสวรรค์ก็ค่อยๆทยอยเข้าไปนั่งรอภายในซุ้มอย่างเงียบๆ /จากนั้นคนของตระกูลก่านก็มาถึงตามลำดับ /และตามมาด้วยขบวนของราชวงศ์/*******

บรรยากาศบริเวณลานกว้างของจัตุรัสเขาโอสถ/ยิ่งมายิ่งคึกคัก /หยางอี้นั้นมิได้สนใจผู้ใดแม้แต่น้อย/ ชายหนุ่มยังคงเข้าสู่สมาธิเพื่อทบทวนตำรับยาอย่างรอบคอบ/ ทุกวินาทีสำหรับชายหนุ่มนั้นมีค่า/ หากนับดูแล้วหยางอี้ถือว่าเป็นมือใหม่/และเสียเปรียบที่สุดในการประชันโอสถครั้งนี้/

ฝึกปรุงยามายังไม่นาน/ เข้าร่วมงานเป็นครั้งแรก /กระทั่งตำรับยาที่เชี่ยวชาญก็มีเพียงเม็ดยาหลอมกระดูก/และยาฟื้นพลังปราณระดับหนึ่งเท่านั้น /ส่วนตำรับยาระดับสองนั้น/หยางอี้ได้แต่ต้องศึกษาให้ถี่ถ้วนที่สุดแล้วค่อยทดลองเอาในการประชัน

ผู้คนค่อยๆทยอยเข้ามาเรื่อยๆ/ มหาอำนาจใหญ่เองก็เช่นกัน/ ทุกครั้งที่มีการปรากฏตัวของพวกเขา/ล้วนสร้างเสียงสั่นสะเทือนไปทั่วยอดเขา /ตระกูลก่าน ราชวงศ์ตู่ /ป้อมปฐพี /ปราการอัคคี/ และสุดท้ายสำนักร้อยตะวัน ก็มาถึง/ การมาถึงของ 3 สำนักใหญ่นั้น/แน่นอนว่า/มาพร้อมกับสงครามฝีปากของศิษย์ผู้ติดตาม

ส่วนผู้อาวุโสนั้น/เพียงสงบเงียบไม่ได้เข้าร่วมกับพวกศิษย์ติดตามแต่อย่างไร /แม้จะแข่งขันกันแต่นี่คือการประชันโอสถ /วิถีแห่งการปรุงยานั้นแตกต่างจากการต่อสู้/ ทุกคนที่ร่วมประชันกัน/ล้วนได้รับประสบการณ์และประโยชน์ไม่มากก็น้อย /กระทั่งบางคนยังสามารถยกระดับความรู้แจ้งได้จากการประชันกับผู้ที่เหนือกว่า /ดังนั้นผู้เข้าร่วมส่วนมากจะมีความเคารพซึ่งกันและกัน/ เว้นก็แต่ว่าศิษย์ผู้โอ้อวดของสำนักใหญ่บางคน/

ในซุ้มของราชวงศ์ /สาวน้อยคนหนึ่งยังคงนั่งเหม่อลอย/ราวกับกำลังคิดถึงใครบางคน /นางนั่งอยู่ด้านข้างของตู่ยี่หลงองค์จักรพรรดิ/ นางมาที่นี่จุดหมายเพียงอย่างเดียวคือการพบกับหยางอี้ /ตั้งแต่หลายเดือนก่อนที่จากกัน/นางไม่รู้ว่าทำไมถึงได้มีความรู้สึกแปลกๆ /เช่นนึกถึงใบหน้าของชายหนุ่ม/ หรือความรู้สึกแปลกๆที่อยากจะพบกับชายหนุ่มอีกครั้ง /ตลอดเวลาที่ผ่านมา/ตู่หลินนั้นทุ่มเทกับการฝึกฝนเป็นอย่างมาก/ มากจนตู่ยี่หลงยังต้องตกตะลึง/ และแรงผลักดันนั้นก็คือการเข้าร่วมงานประลอง 5 จักรวรรดิ /ซึ่งนางมั่นใจว่าหยางอี้ต้องได้รับเลือกอย่างแน่นอน/

ตู่ยี่หลงสัญญากับนางว่า/เมื่อจบการประชันครั้งนี้/จะอนุญาตให้นางไปพบหยางอี้ได้ /เขาเป็นบิดาย่อมรู้ว่าบุตรีของเขารู้สึกอย่างไร /แม้นางจะยังไม่รู้ถึงความรู้สึกของตัวเองก็ตาม/ และเหตุผลที่เขามาในครั้งนี้ก็ยังคงเป็นเรื่องนี้เช่นเดียวกัน/ ตู่ยี่หลงเป็นหนึ่งในผู้คนจำนวนน้อย/ที่รับรู้ถึงขุมอำนาจเบื้องหลังของหยางอี้ /จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะไม่พยายามเชื่อมความสัมพันธ์/

ตู่หลินนั้นตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนจำนวนมาก /แม้กระทั่งศิษย์อันโดดเด่นของขุมอำนาจใหญ่ก็ตาม/ มีหลายคนที่พยายามจะเข้ามาทักทายนาง/ ทว่านางปฏิเสธทั้งหมด/ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาภายในซุ้ม/ แม้จะเป็น 4 สำนักใหญ่ก็ตาม/อย่างไรก็ต้องไว้หน้าองค์จักรพรรดิ /เมื่อถูกปฏิเสธจึงได้แต่หน้าม่อยกลับไป ไม่กล้าวางตัวโอหัง/ ยกเว้นคนผู้หนึ่งที่กำลังเดินเข้ามา/ นางขมวดคิ้วหน้านิ่วในทันที

“คารวะท่านลุงตู่ หลินเอ๋อ ไม่เจอกันนานเจ้ายังคงงดงามเช่นเดิม”

*******

ชายร่างใหญ่กำยำราวกับกระทิงเถื่อนเดินเข้ามาอย่างช้าๆ/ ใบหน้าของเขานั้นคมเข้มเต็มไปด้วยความดุดัน/ แม้จะไม่อาจบอกได้ว่าหล่อเหลาแต่กลับมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก /กลิ่นอายทั่วร่างแผ่ออกมาเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งและดุดัน

“บังอาจนัก เจ้าเป็นใครกัน/ถึงกล้าเรียกเสด็จพ่อเช่นนั้น เจ้าวัวโง่หว่านเจิ้น ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!”

เสียงเล็กแหลมของตู่หลินดังออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว /นางโมโหจริงๆ หว่านเจิ้นกระทำการเช่นนี้/ราวกับว่าเขามีศักดิ์เทียบได้กับตระกูลราชวงศ์!

“เอาเถอะ ลูกหลินอย่าได้คิดมาก /หว่านเจิ้น/ ตอนนี้ใกล้จะได้เวลาแล้วเจ้ากลับไปก่อนดีหรือไม่/ ไว้ค่อยพูดคุยกันคราวหลัง”

ตู่ยี่หลงกล่าวออกมาเสียงเรียบ /หว่านเจิ้นนั้นหยิ่งยโสเป็นอย่างมาก/ ทว่าคุณค่าของหว่านเจิ้นนั้นข่งเย่หลงของสำนักวิหารสวรรค์มิอาจเทียบติด/ เพราะเขาคือบุตรชายของกระทิงเหล็กหว่านถูหนึ่งใน 5 ตำนาน /และยังเป็นหลานชายเพียงคนเดียวของ/ หว่านกัง /ประมุขของป้อมปฐพี!

หว่านเจิ้นนั้นมีศักดิ์ฐานะสูงเป็นอย่างยิ่ง /ด้วยตัวเขามีพรสวรรค์ในระดับสูง/และยังเป็นสายเลือดของตระกูลหว่าน/จึงถูกตามใจและบ่มเพาะด้วยทรัพยากรชั้นเลิศมากมาย/ และกลายเป็นแสงที่เจิดจรัสภาคภูมิใจของป้อมปฐพี! /หว่านเจิ้นพบกับตู่หลินเมื่อหลายปีก่อน /จากนั้นเขาก็ปฏิญาณไว้ว่าจะนำตู่หลินมาเป็นภรรยาของเขาให้จงได้/

ทว่ามีหรือที่ตู่หลินจะยอม /นางกระทำการรุนแรงทุกอย่าง /ด่าทอโดยไม่ไว้หน้า/ ทว่าเจ้าวัวบัดซบที่แข็งแกร่งและหน้าด้านเกินไป /หว่านเจิ้นใช้ทุกอย่างเพื่อกดดันตู่หลิน/ ทว่าโชคดีที่ตู่ยี่หลงนั้นรักและให้ความสำคัญกับตู่หลินเป็นอย่างมาก/จึงยืนกรานยืดเยื้อมาจนถึงตอนนี้ /อีกทั้งป้อมปฐพีเองก็ยังไม่ต้องการแตกหักกับราชวงศ์เพราะเรื่องนี้/ ความสัมพันธ์จึงกลายเป็นยุ่งเหยิงเช่นปัจจุบัน/ แต่หว่านเจิ้นเองก็ยังไม่ยอมเลิกรา/ คอยตามราวีตู่หลินทุกครั้งที่มีโอกาส/ และครั้งนี้เองก็เช่นกัน /ที่เขามาก็เพราะได้ข่าวว่าตู่หลินจะมา/ วัวบ้าเช่นเขาจะรู้วิถีแห่งการปรุงยาได้อย่างไร/ เช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องตลกแล้ว /(กระทิงเหล็กคือหว่านถูคนพ่อ ส่วนหว่านเจิ้นได้ฉายาว่า วัวคลั่ง)

“ฮ่า ๆ เช่นนั้นข้าก็ไม่รบกวนแล้ว/ หลินเอ๋อแล้วเราค่อยพูดกันภายหลัง… อ่า… ท่านลุงข้ามีจดหมายจากท่านปู่มามอบให้ด้วย”

หว่านเจิ้นไม่คัดค้านคำของตู่ยี่หลง /จุดหมายของเขาที่มาตอนนี้แค่เพียงยลโฉมสตรีที่รัก/และนำจดหมายมามอบให้เท่านั้น/ เขายิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์/

ก่อนจะมองไปยังตู่หลินด้วยสายตาปรารถนาอันแรงกล้า/ แล้วหมุนตัวออกจากซุ้มไป/

ตู่ยี่หลงขมวดคิ้วมองไปยังจดหมายอย่างกังวล/ก่อนเหลือบไปมองใบหน้านิ่วกิ่วของตู่หลินแวบหนึ่ง /ในใจเขาปั่นป่วนเล็กน้อย/จดหมายนี่ต้องไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่/ การตัดสินใจครั้งใหญ่ของเขาได้ใกล้เข้ามาแล้ว/

เวลาเลยผ่านไปจากเสียงระฆังแรก 2 ชั่วยาม/ ทั่วทั้งเขาโอสถก็ดังสนั่นกังวาลไปด้วยระฆังที่สอง /เตียลี่ยี้ปรากฎตัวบนเวทีด้านหน้าลานกว้าง

“ข้าเตียลี่ยี้ เป็นเจ้าเขาโอสถของสำนักวิหารสวรรค์/และเป็นเจ้าภาพการจัดงานประชันโอสถในครั้งนี้/ ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติเดินทางมายังสำนักวิหารสวรรค์เพื่อร่วมงาน……”

เตียลี่ยี้กล่าวเปิดงานอย่างเป็นพิธีการ /ก่อนจะไล่ทักทายทั้ง 5 ขุมอำนาจที่เข้าร่วมในครั้งนี้ /เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป พิธีการทุกอย่างก็เสร็จสิ้น/ เตียลี่ยี้ลงจากเวที/ก่อนจะเดินไปยังที่นั่งของชนชั้นสูงที่จัดไว้/ หลังจากเตียลี่ยี้ขึ้นเวทีแล้ว ผู้นำของ 3 สำนักใหญ่และตระกูลก่าน/รวมถึงตู่ยี่หลงและตู่หลินต่างทยอยมายังเขตนี้/ แน่นอนว่าหว่านเจิ้นเองก็เช่นกัน/

////////////

ทั้ง 6 อำนาจต่างพูดคุยกันพอเป็นพิธี/ แน่นอนว่า/ไม่มีใครกล้าเสียมารยาท ต่อให้เป็นองค์จักรพรรดิเองก็ตาม/ เพราะที่แห่งนี้มิได้มีเพียงคนของ 6 อำนาจ/ แต่ยังมีชายชราอีกหนึ่งคนที่นั่งอยู่ /ชายชราผู้นี้ใบหน้าแหลมเล็กคิ้วเรียวดั่งใบดาบ /กลิ่นอายที่แผ่ออกมามีเพียงความสงบเท่านั้น /ด้านหลังยังคงไว้ด้วยผู้ติดตามสองคนเป็นชายวัยกลางคน/

เหล่าผู้เยาว์และตระกูลระดับล่าง/เมื่อมองมายังทั้งสามคนต่างสูดหายใจเข้าลึก /ชุดสวมกายที่พวกเขาใส่ข้างในเป็นสีขาว/และที่สำคัญคือชุดคลุมทับสีเทาที่พวกเขาสวมใส่ /มันคือเครื่องแบบของสมาพันธ์นักปรุงยา/ การเป็นส่วนหนึ่งของสมาพันธ์นักปรุงยานั้น/คือความฝันของผู้ที่มุ่งมั่นในวิถีแห่งการปรุงยาทุกคน /แต่การสอบเข้านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย /ดังนั้นคนของสมาพันธ์จึงถือว่าเป็นชนชั้นสูงในโลกของการปรุงยา/

กฎการสอบนั้นมีทั้งหมด 10 ระดับ/ ไม่ใช่ว่าผู้ที่มีระดับสูงจะสามารถสอบเข้าเป็นส่วนหนึ่งได้โดยง่าย/

เพราะก่อนรับการสอบ /ทุกคนจะถูกวัดระดับเป็นอันดับแรก /และข้อสอบนั้นจะเป็นไปตามระดับของคนๆนั้น /อย่างเช่นว่า /เตียลี่ยี้นั้นตอนนี้มีความสามารถอยู่ในระดับ 5 /ซึ่งเป็นระดับเดียวกับชายด้านหลังทั้งสอง /หากเขาต้องการเข้าร่วมกับสมาพันธ์ก็ต้องรับการทดสอบในระดับ 5/ มิสามารถเข้าสอบด้วยระดับ 1 และไต่เต้าเอาทีหลังได้ /เป็นเพราะสมาพันธ์นั้นคัดกรองเอาแต่อัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะเท่านั้น/ ! ผู้คนส่วนมาก/จึงเข้ารับการทดสอบกันตั้งแต่อยู่ที่ระดับ 1 หรือ 2 /มีน้อยมากที่จะผ่านการทดสอบในระดับ 3 และ 4 /

ชายด้านหลังทั้งสองนั้น/ที่ปกเสื้อคลุมถูกปักไว้ด้วยใบหลิว 5 ใบ /สิ่งนี้/ทำให้ผู้คนต้องสูดหายใจเข้าอีกครั้ง/ เพราะใบหลิว 5 ใบนั้น/หมายถึงชายที่อยู่ด้านหลังอยู่ในระดับ 5 /ซึ่งเป็นระดับเดียวกับผู้นำของมหาอำนาจใหญ่ทั้ง 6 ในโลกการปรุงยาของจักรวรรดิเมฆาสวรรค์ /และน่าจะเป็นระดับหัวหน้าของสมาพันธ์ในจักรวรรดิแห่งนี้/

เมื่อเลื่อนสายตามายังชายชราที่นั่งอยู่ /เลือดลมของเหล่าผู้เยาว์นั้นกลายเป็นสูบฉีดพลุ่งพล่านอีกครั้ง/ ส่วนพวกปรมาจารย์นั้นก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดาย/ เพราะปีนี้ดูเหมือนสมาพันธ์จะให้ความสนใจในการประชันโอสถเป็นอย่างมาก/ จึงถึงกับส่งระดับ 7 ใบหลิวมาด้วยตัวเอง/

ดังนั้นการประชันในปีนี้/หากผู้ใดสามารถแสดงพรสวรรค์และศักยภาพออกมาได้ยอดเยี่ยม/ก็มีโอกาสสูงที่จะได้เข้าร่วมกับสมาพันธ์ /ต้องรู้ว่าสมาพันธ์นักปรุงยานั้น/เป็นขั้วอำนาจระดับทวีป! /และส่งเสริมให้กับวิถีการปรุงยาเป็นที่สุด /ดังนั้นสิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับการฝึกปรุงยา/อย่างทรัพยากรจำนวนมากจะหายไปในทันที/ เพราะสมาพันธ์นั้นสามารถจ่ายสิ่งเหล่านั้นออกมาได้/แม้จะต้องมอบให้กับคนทั้งจักรวรรดิก็ตาม/ แต่เสียดายที่การเข้าร่วมนั้นมันยากจนเกินไป /

ในประวัติศาสตร์ 100 ปีล่าสุดของจักรวรรดิเมฆาหวน/มีเพียงแค่ 5 คนเท่านั้น/ที่สามารถเข้าร่วมกับสมาพันธ์ได้ /และสามคนในนั้นเป็นคนของตระกูลก่าน

/ชายชราที่สวมชุดคลุม 7 ใบหลิว/ กวาดตามองไปยังลานกว้าง /ซึ่งตอนนี้เหล่าผู้ร่วมเข้าทดสอบเอง/ก็ต่างกำลังเตรียมพร้อมในการประชัน

“อืม มีหลายคนที่พอรับได้…แต่ก็ยังอยู่ในมาตราฐานต่ำสุดอยู่ดี”

ชายชรา 7 ใบหลิวกล่าวออกมา/พร้อมกับลูบไปยังหนวดขาวโพลนที่คาง /ก่อนจะกล่าวออกมาอีกครั้ง/เมื่อเหลือบไปเห็นใบหน้าของผู้ร่วมโต๊ะ/

“เอาเถอะ ก็เพียงการมองจากท่าทางโดยรวม/ ยังไงก็เพียงการคาดเดาของข้า/ ความสามารถของนักปรุงยาจะรู้ได้ก็เมื่อเริ่มปรุงยาเท่านั้น/ อย่าได้ใส่ใจ”

เตียลี่ยี้ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะกล่าวอย่างสุภาพ

“ปีนี้ได้ท่านอู่จงเหยียนมาร่วมดูการประชัน/นับเป็นเกียรติแก่วงการนักปรุงยาของจักรวรรดิเมฆาหวนเป็นอย่างมาก ขอท่านอู่จงเหยียนช่วยชี้แนะด้วย”

“ฮ่าๆ พวกเจ้าอย่าได้มากคำพูด/ ชายแก่เช่นข้านั้นอุทิศตนให้กับการปรุงยา /แน่นอนว่าย่อมยินดีที่จะชี้แนะอยู่แล้ว…../เพียงแต่นั่นหมายถึงกับผู้ที่มีความสามารถล่ะนะ/ ลูกไก่ไม่ว่าจะเลี้ยงยังไง/ก็ไม่อาจโตกลายเป็นหงส์ได้”

“ย่อมเป็นตามที่ท่านกล่าว”

เตียลี่ยี้กล่าวออกมา/พร้อมกับมองไปยังกลุ่มผู้เยาว์นับร้อยคน/ที่กำลังเตรียมพร้อมอยู่หน้าลานกว้าง/ ส่วนภายในลานกว้างนั้น/ศิษย์ของเขาโอสถ/ต่างวิ่งวุ่นกันนำเตาหลอมกว่าร้อยใบตามจำนวนผู้เข้าร่วม/ออกมาวางเรียงตามที่จัดไว้อย่างเป็นระเบียบ /การปรุงยานั้นคุณภาพของเตาหลอม/มีความสำคัญกว่า 4 ส่วน /ดังนั้นยิ่งเตาหลอมมีระดับสูง/อัตราการสำเร็จก็ยิ่งสูงตามไปด้วย /อีกทั้งยังมีคุณสมบัติพิเศษอีกมากมายตามที่ผู้สร้างลงอักขระไว้/

สำหรับเหล่าลูกหลานตระกูลร่ำรวย/ย่อมมีเตาหลอมระดับสูงเป็นของตัวเอง/ ทว่ากับคนทั่วไปนั้น/แค่เพียงเตาหลอมระดับหนึ่งก็เป็นเรื่องยากแล้ว /เพื่อความเป็นธรรม/ ทางสำนักจึงจัดให้ใช้เตาหลอมของสำนักแทน/ ซึ่งเป็นเตาระดับหนึ่งเหมือนกันหมด/

เตียลี่ยี่ลุกขึ้นก่อนจะกล่าวออกมาด้วยเสียงดังกังวาน

“ขอให้ผู้เข้าประชันทุกคนก้าวออกมา/และไปยังเตาหลอมที่ได้จัดเตรียมไว้ตามหมายเลขที่ได้ไปเมื่อเช้า”

ผู้เข้าร่วมแต่ละคนต่างเดินไปยังเตาหลอมของตัวเอง/ คนของสำนักใหญ่เองก็เช่นกัน/ หยางอี้นั้นได้หมายเลขที่ 30 /อยู่ในแถวเดียวกับพวกของซีเทียน /เขตหลอมยาของแต่ละคน/ห่างกันรอบทิศจากคนอื่น 5 เมตร /ทุกด้านเป็นจัตุรัส หยางอี้อยู่ริมสุด /ทางด้านซ้ายจึงไม่มีใครอยู่

ขณะที่กลุ่มของวิหารสวรรค์/เดินลงมายังลานกว้างที่โต๊ะของระดับสูงนั้น/ ตู่หลินที่นั่งอย่างเลื่อนลอยด้วยความเบื่อหน่าย/พลันดวงตาเป็นประกายเมื่อเหลือบไปเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย/

“เป็นเขา? เขาก็ปรุงยาได้?”

เสียงตกตะลึงของนางเรียกความสนใจจากคนอื่นๆในโต๊ะทันที/ แต่ก่อนที่ตู่ยี่หลงจะหันไปตำหนินาง/ เขามองไปยังสายตาของนาง/ที่ปลายทางนั้นก็ได้พบกับหยางอี้ /นี่ทำให้เขาตะลึงเช่นกัน /ต้องรู้ว่าชีวิตคนนั้นมิได้ยืนยาว/การประสบความสำเร็จในหนึ่งเรื่องนั้นเป็นเรื่องยาก/ มีคนมากมาย/ที่จิตใจโลเลไม่มั่นคงในเส้นทางที่ตัวเองเลือก/จึงติดอยู่ที่ระดับหนึ่งไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้/

ดังนั้น/ผู้ที่ฝึกฝนในการต่อสู้ก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางสายอื่น/ ผู้ที่มุ่งมั่นในทางสายอื่นก็จะละทิ้งการต่อสู้ /ไม่ว่าจะเป็นหลอมยา/ ฝึกสัตว์/ หลอมอาวุธ /หรือแม้แต่ผู้ศึกษาในอักขระก็ตาม/

ไม่ต้องกล่าวถึงว่าหยางอี้นั้น/มีความสามารถและพรสวรรค์ในการต่อสู้สูงส่ง /ทว่าตอนนี้/เขากลับเข้าร่วมการประชันโอสถ?/ เขาอายุเพียง 16 ปี/ การมีความสามารถระดับนี้ก็เรียกได้ว่า/ต้องทุ่มเทตั้งแต่เกิดแล้ว/ แล้วเขาเอาเวลาที่ไหนไปเรียนรู้การปรุงยา/ ตู่ยี่หลงที่เต็มไปด้วยความสงสัย/จึงหันไปถามเตียลี่ยี้

“ท่านเตีย ทำไมเจ้าหนูหยางอี้ถึงเข้าร่วมการประชันโอสถด้วย”

“ท่านรู้จักเจ้าหนูนั่นด้วย?”

เตียลี่ยี้ถามกลับมา/ เขาก็ประหลาดใจเหมือนกันที่จักรพรรดิรู้จักหยางอี้ /แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าการรับศิษย์นั้น/จัดที่เมืองหลวงจึงเข้าใจ /จงตอบกลับไป

“ท่านอาจจะไม่รู้ แต่นอกจากการต่อสู้แล้วเจ้าหนูนั่นก็ปรุงยาได้ดีเช่นกัน แถมความบริสุทธิ์ยังอยู่ในระดับยอดเยี่ยม”

“เป็นความจริง?”

ตู่ยี่หลงยังคงสงสัย /แต่เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ายืนยันจึงไม่ถามอะไรต่อ/และกลับไปจ้องมองชายหนุ่มแทน/ ส่วนอู่จงเหยียนเอง/ก็หันไปมองยังหยางอี้เช่นกัน /และทันทีที่เขาสำรวจตัวชายหนุ่ม/คิ้วที่เรียวยาวดังใบดาบก็ขมวดแน่นทันที/ก่อนจะรีบถามออกไปยังเตียลี่ยี้

“ท่านเตีย เจ้าหนูนั่นพลังปราณอยู่ในระดับใด”

“คงจะเป็นปฐพีขั้นต้น ท่านมีอะไรหรือเปล่า?”

“ไม่มีอะไร ท่านทำหน้าที่ต่อเถอะ”

อู่จงเหยียนนั้นไม่ได้ประหลาดใจกับระดับของหยางอี้ /แต่ว่าก็ชื่นชมอยู่เล็กน้อย/เพราะถือเป็นระดับแนวหน้า/ที่ถือว่ามีพรสวรรค์อยู่บ้างเมื่อเทียบกับสถานที่ที่เขาจากมา /ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือวิชาปกปิดพลังของหยางอี้ต่างหาก/

‘คงจะเป็นเรื่องบังเอิญ’

เมื่อตอนที่อู่จงเหยียนเอ่ยถามนั้นคนอื่นๆ/ ต่างรู้สึกชื่นชมเขาไม่น้อย /เพราะการลอบสำรวจผู้อื่นถือเป็นการเสียมารยาท /ทว่าหารู้ไม่ว่าอู่จงเหยียนไม่สามารถทำได้/ แม้ว่าเขาเป็นชนชั้นจักรพรรดิขั้นกลางก็ตาม/ แต่เมื่อได้ยินคำตอบของเตียลี่ยี้พวกเขากลับตะลึงจนอ้าปากค้าง/ หยางอี้อายุเพียง 16 ปีเท่านั้นแต่กลับมาถึงขั้นปฐพีแล้ว /นี่มันระดับอัจฉริยะของจักรวรรดิเลยมิใช่รึ/ และเมื่อพวกเขารู้ถึงกลุ่มของเทียนเจินเซียง/ก็ทำให้ 3 สำนักใหญ่/ต่างอิจฉากันจนแทบคลั่ง

เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อม/เตียลี่ยี้จึงกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง

“การประชันโอสถรอบที่หนึ่งระดับรุ่นเยาว์/ ในจำนวนพวกเจ้าทั้งหมด 143 คน /จะมีผู้ผ่านเข้ารอบเพียง 50 คนเท่านั้น /สำหรับโจทย์ของรอบแรกคือยาระดับ 2 /ผู้ที่ปรุงยาออกมาได้ถูกต้องและมีคุณภาพมากที่สุด 50 คนแรก/จะผ่านเข้ารอบ กำหนดเวลา 1 ชั่วยาม/ เริ่มการประชันรอบแรกได้”

เตียลี่ยี้กล่าวออกมาพร้อมกับเสียงระฆังที่สาม/และศิษย์เขาโอสถที่รับหน้าที่ดูแลโต๊ะวางวัตถุดิบ/ก็ดึงผ้าคลุมสีดำออกในทันที/จนเผยให้เห็นสมุนไพรและวัตถุดิบจำนวนมากถูกวางกองเป็นภูเขา/ ภาพนี้ทำให้หลายคนสับสนรวมถึงหยางอี้ด้วยเช่นกัน/

“เริ่มแล้ว? บัดซบแล้วจะให้ปรุงยาอะไรกัน?”

ผู้เข้าทดสอบบางคนรำพึงออกมาอย่างงงงวย /ทำให้หลายคนหันมามองด้วยความสมเพช /นี่ เจ้าโง่นี่ยังกล้ามาร่วมประชันอีกรึ!/ ทว่ากลับไม่มีใครปริปากออกมา/ เพราะมันจะเป็นการช่วยคู่แข่ง/ ผ่านไป 30 ลมหายใจก็เริ่มมีคนขยับ /คนแรกคือบุรุษร่างเล็กนามชิงโหล่ว /อันดับหนึ่งของปีที่แล้ว /ต่อมาก็เป็นซีเทียน และคนของอำนาจใหญ่ทั้ง 6 /

หยางอี้นั้นเข้าใจแล้วว่า/การทดสอบคือปรุงยาที่ถูกต้องตามที่กำหนดไว้/จากปริมาณวัตถุดิบและส่วนผสมที่ให้มา/ แน่นอนว่า/มีสมุนไพรและส่วนผสมหลายอย่างที่ถูกนำเข้ามา/เพื่อให้ผู้เข้าทดสอบหลงทาง/ ทว่าหากเป็นผู้ที่ฝึกฝนมาอย่างหนักแล้ว/ย่อมมองออกได้ไม่ยากถึงตำรับยาแท้จริงที่ซ่อนอยู่

ระหว่างที่หยางอี้กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น/ก็มีสายตาหลายคู่จ้องมองมายังชายหนุ่ม /โดยเฉพาะจากโต๊ะของระดับสูง/ หลายคนให้ความสนใจกับหยางอี้ไม่น้อยและที่ดูเหมือนจะมากที่สุดคือตู่หลิน/ ฉากนี้ทำให้หว่านเจิ้นเริ่มไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย /ทว่าในบรรดาสายตาเหล่านั้น /จากมุมหนึ่งของซุ้มวิหารสวรรค์/ยังคงมีสายตาอีกหนึ่งคู่/ที่จ้องมองไปยังชายหนุ่มพร้อมกับรอยยิ้มอันชั่วร้าย/

“สารเลว บังอาจทำร้ายข้า /ข้าอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้เจ้า แต่หากครั้งนี้เจ้าต้องอับอายและเจ็บตัวแน่นอน ฮ่าๆ/ รอดูไปเถอะ นี่คือผลที่บังอาจมาล่วงเกินข้า”

เฉินซิกล่าวออกมาอย่างยินดี/ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่เขาวางไว้ /เขาเฝ้ามองชายหนุ่ม/และรอคอยอย่างตื่นเต้น/

กลับไปที่ลานประชัน /หยางอี้เป็นเพียงคนเดียวของ 6 อำนาจใหญ่/ที่ยังไม่ได้เริ่มหยิบส่วนผสม/ จนกระทั่งผ่านไปร้อยลมหายใจ/ชายหนุ่มจึงรู้ถึงตำรับยาที่ต้องปรุง/ หยางอี้นั้นไม่เคยปรุงยาระดับ 2 มาก่อน /แม้จะศึกษามาบ้างก็ยังไม่มากนัก/ จึงได้แต่เทียบตำรับยาทั้ง 10 ที่เลือกมาจึงรู้ในที่สุด

หยางอี้เริ่มหยิบวัตถุดิบทีละชนิด/ซึ่งเป็นส่วนผสมของยาทลายฟ้า /ยาระดับสองที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการทะลวงขึ้นระดับปฐพี /ทว่าเมื่อหยิบวัตถุดิบมาถึงอย่างสุดท้าย/ชายหนุ่มก็ต้องขมวดคิ้วแน่น/ก่อนจะตื่นตระหนกขึ้นทันที

“แย่แล้ว ไม่มีรากโสมมังกรเหลือแล้ว หรือว่านี่เป็นหนึ่งในกับดักที่วางไว้”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด