คัดลอกพรสวรรค์ 3: พรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะระดับปานกลางอยู่ในมือแล้ว!

Now you are reading คัดลอกพรสวรรค์ Chapter 3: พรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะระดับปานกลางอยู่ในมือแล้ว! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เปลี่ยนคำว่า “วิทยาลัย” เป็นคำว่า “สถาบันการต่อสู้” 

 

เปลี่ยนคำว่า “นักสู้” เป็นคำว่า “ผู้ใช้วรยุทธ์” 

 

เปลี่ยนคำว่า “นักรบผู้ยิ่งใหญ่” เป็นคำว่า “สุดยอดนักรบ”

 

 

ณ สถาบันการต่อสู้ที่ 5 สนามฝึกที่ 3

 

 

“ถ้าพวกนายอยากเป็นผู้ใช้วรยุทธ์ล่ะก็ จะต้องมีความสามารถที่มากกว่าคนทั่วไป ในตอนนี้พวกนายส่วนใหญ่ยังไม่สามารถเป็นผู้ใช้วรยุทธ์ได้ แต่ตราบใดที่พวกนายสามารถเป็นได้ พวกนายจะมีเงินมากกว่าคนทั่วไป ตอนนี้พวกนายยังเป็นนักเรียนอยู่ พวกนายจะต้องฝึกฝนให้มากเข้าไว้”

 

 

ชายวัยกลางคนกำลังพูดบรรยายให้แก่เหล่านักเรียน

 

 

นักเรียนที่อยู่ด้านล่างตั้งใจฟังมากๆ ทุกคนนั้นเป็นคนธรรมดา วิธีเดียวที่จะเรียนรู้วิธีการฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่งได้คือ เข้าสถาบันการต่อสู้

 

 

เย่ เทียนก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาเข้าเรียนที่สถาบันการต่อสู้มา 10 วันแล้ว

 

 

เป็นเวลา 10 วันแล้ว ที่ครูวัยกลางคนจะสอนวิธีการฝึกฝนร่างกายทุกวัน และสาธิตการเคลื่อนไหวของวิธีการหลอมรวมร่างกายทั้งหมด 18 กระบวนท่า ด้วยตนเอง

 

 

อาจเป็นเพราะการข้ามเวลา ทำให้จิตวิญญาณของเย่ เทียนแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดา และความจำของเขาก็ดีมากเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเชี่ยวชาญวิธีการหลอมรวมร่างกายทั้งหมด 18 กระบวนท่า ในเวลาเพียง 10 วัน และเขารับประกันว่าจะไม่ทำผิดพลาดแน่นอน

 

 

สำหรับนักเรียนคนอื่นๆเป็นเรื่องยากมากที่จะฝึกฝนวิธีการหลอมรวมร่างกายให้ชำนาญ โดยใช้เวลาน้อยกว่า 1-2 เดือน

 

 

การที่จ้างโค้ชมาสอนตัวต่อตัวเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ราคาของการจ้างโค้ชมาสอนตัวต่อตัวนั้นแพงเกินไปสำหรับคนธรรมดา

 

 

“การฝึกหลอมรวมร่างกายจะต้องมีความชำนาญถึงจะฝึกจริงได้ นี่คือท่าแรก…”

 

 

ครูวัยกลางคนแสดงท่าทีของการฝึกหลอมรวมร่างกายทีละท่า

 

 

1 ชั่วโมงผ่านไป การสอนสิ้นสุดลง และนักเรียนก็ค่อยๆแยกย้ายกันไป

 

 

“เย่ เทียน นายเรียนเป็นอย่างไรบ้าง ฉันฝึกจนชำนาญ 13 ท่าแล้วนะ และฉันจะฝึกท่าทั้งหมดได้ในไม่ช้า!” ชายร่างอ้วนเตี้ยพูดกับเย่ เทียนอย่างตื่นเต้น

 

 

ชายร่างอ้วนเตี้ยชื่อจาง เป่า เพื่อนร่วมชั้นที่เย่ เทียนพบในสถาบันการต่อสู้ตั้งแต่เข้าเรียนมาจนถึงตอนนี้ และความสัมพันธ์ของเขาก็ดูจะเป็นมิตรกับเย่ เทียนด้วย

 

 

“ฉันชำนาญแค่ 8 ท่าเอง”

 

 

เย่ เทียนกล่าวอย่างจงใจ

 

 

เขาไม่ต้องการที่จะพูดว่าเขานั้นชำนาญทั้ง 18 กระบวนท่าแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาจะสร้างปัญหาที่ยุ่งยากอย่างแน่นอน เขาเพิ่งมาถึงยุคนี้ ดังนั้นเขาควรจะทำตัวไม่สะดุดตาคนอื่นจนเกินไป

 

 

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันเชื่อว่านายทำได้ แล้วเราจะเป็นนักรบที่ทรงพลังในอนาคตไปด้วยกัน!”

 

 

จาง เป่ากล่าว

 

 

แต่เย่ เทียนมองเห็นความผิดหวังจากส่วนลึกของดวงตาจาง เป่า

 

 

“ก็ไม่รู้สินะ”

 

 

เย่ เทียนยิ้ม

 

 

เขาตรวจสอบดูพรสวรรค์ของจาง เป่าด้วยพรสวรรค์ลอกเลียนแบบแล้ว แม้ว่ามันจะดีกว่าเขา แต่ก็เป็นเพียงพรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะระดับอ่อนแอ สำหรับพรสวรรค์ระดับดังกล่าวมีโอกาสที่จะกลายเป็นนักรบ แต่ฉันไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาและทรัพยาการเท่าไหร่ และจาง เป่าไม่ใช่ลูกของครอบครัวที่ร่ำรวย การบ่มเพาะของเขาไม่ใช่เรื่องง่ายๆอย่างแน่นอน

 

 

อนาคตของจาง เป่าที่ดีที่สุดคือการเป็นผู้ใช้วรยุทธ์ จากนั้นก็หางานที่มั่นคงและตายอย่างสงบท่ามกลางดงสัตว์ร้ายและอสูร

 

 

“จาง เป่าใครคือคนที่เก่งที่สุดในสถาบันของเรางั้นเหรอ?”

 

 

เย่ เทียนถามด้วยเสียงต่ำ

 

 

เขามาที่สถาบันการต่อสู้เพียงแค่ 10 วัน และจาง เป่าอยู่ที่นี่นานกว่า 1 เดือน อีกทั้งยังคุ้นเคยกับคนจำนวนมากและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนมากมาย ดังนั้นเขาต้องรู้อะไรมากกว่านี้แน่

 

 

“เก่งที่สุดงั้นเหรอ?” จาง เป่าไม่รู้ว่าทำไมเย่ เทียนถึงถามเรื่องนี้ แต่เขาก็พูดว่า “พรสวรรค์เป็นความลับมากไม่มีใครเขามาเปิดเผยหรอก แต่สามารถเห็นได้จากความก้าวหน้าในการฝึกฝน สถาบันการต่อสู้ทั้ง 5 แห่งในฐานลี้ภัยหลินไห่นั้นไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก และคนที่เก่งๆจะไปเข้าสถาบันที่หนึ่ง แต่สถาบันของเราก็มีอัจฉริยะอยู่คนหนึ่ง”

 

 

“ใครงั้นเหรอ?”

 

 

เย่ เทียนถามอย่างสงสัย

 

 

“ก็เฉิน ตงน่ะสิ!” จาง เป่าพูดเบาๆ 

 

 

“เฉิน ตงเกิดในครอบครัวธรรมดาและพ่อแม่ของเขาก็เป็นคนธรรมดา เขามาที่สถาบันที่ห้าของพวกเราเมื่อเดือนที่แล้ว ในเวลาเพียงครึ่งเดือนเขาก็กลายเป็นผู้ใช้วรยุทธ์ จากนั้นคณบดีของสถาบันเราก็รับเขาเป็นศิษย์ และตอนนี้เฉินตงไม่ได้ฝึกร่วมกันกับนักเรียนคนอื่นอีกต่อไป แต่มีคณบดีเป็นผู้ฝึกสอนด้วยตนเอง”

 

 

ชู่ว!

 

 

ดวงตาของเย่ เทียนสั่นไหวด้วยความตื่นเต้นในทันที

 

 

เขามั่นใจว่าพรวรรค์ด้านการบ่มเพาะของเฉิน ตงนั้นต้องดีมากแน่ๆ ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่ถูกยอมรับให้กลายเป็นศิษย์ของคณบดีแห่งสถาบันการต่อสู้ที่ห้าหรอก

 

 

ต้องรู้ก่อนว่าสถาบันการต่อสู้ที่ห้า มีคญบดีเป็นนักรบชั้นยอดซึ่งมีความแข็งแกร่งกว่านักรบระดับสูงทั่วไป และนักรบธรรมดาก็เหมือนมดในสายตาของเขา

 

 

ในฐานลี้ภัยหลินไห่ คณบดีของสถาบันการต่อสู้ที่ห้าเป็นคนที่แข็งแกร่งเป็นอันดับต้นๆ และความสามารถดาษดื่นทั่วไปไม่เข้าตาของคณบดีอย่างแน่นอน และอัจฉริยะที่คณบดีเลือกมาเป็นศิษย์ต้องมีพรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะระดับกลางเป็นอย่างน้อย

 

 

เพราะมีเพียงพรสวรรค์ระดับกลางเท่านั้นที่จะกลายเป็นนักรบชั้นยอดอย่างแน่นอน และโอกาสเพียงเล็กน้อยที่จะกลายเป็นสุดยอดนักรบ

 

 

“แล้วฉันจะติดต่อกับเฉินตงได้อย่างไรล่ะ”

 

 

เย่ เทียนคิด

 

 

ทันใดนั้นก็เกิดความวุ่ยวายขึ้น

 

 

“เฉิน ตงมาที่นี่ด้วยล่ะ!” 

 

 

“อะไรนะ! เฉิน ตงคนที่เป็นศิษย์ของคณบดีมาคนนั้น ที่นี่งั้นเหรอ!?”

 

 

“เขามีคณบดีสอนเขาตัวต่อตัวไม่ใช่เหรอ? ทำไมเขาถึงมาที่สนามฝึกของพวกเราล่ะ?”

 

 

นักเรียนคนอื่นๆต่างมองเฉิน ตงด้วยความอิจฉา แต่นี่คือยุคที่คนตัดสินด้วยพรสวรรค์ และเฉินตงคือคนที่พวกเขาส่วนใหญ่ไม่สามารถเอื้อมถึงได้ตลอดชีวิต

 

 

เย่ เทียนสังเกตเห็นเฉิน ตงในทันทีและเดินเข้าหาเขาอย่างช้าๆ

 

 

โดยไม่มีใครสังเกต เขาเข้าใกล้ตำแหน่งของเฉิน ตงในระยะ 3 เมตร และเปิดใช้งานพรสวรค์ลอกเลียนแบบของเขาทันที

 

 

มนุษย์ : เฉิน ตง

ระดับพรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะ : กลาง

 

 

“มันเป็นพรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะระดับกลางจริงๆด้วย!”

 

 

เย่ เทียนระงับความตื่นเต้นเอาไว้ ดวงตาของเขาสั่นไหว และเขาวางแผนในใจ

 

 

“คุณเฉิน ตงครับ ผมได้ยินมาว่าคณบดีรับคุณเป็นศิษย์ ตอนนี้คุณแข็งแกร่งถึงระดับไหนแล้วเหรอครับ”

 

 

นักเรียนคนหนึ่งมองเฉิน ตงด้วยความชื่นชมและถามออกมา

 

 

“ตอนนี้ฉันมีพละกำลัง 100 กิโลน่ะ”

 

 

เฉิน ตงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

 

 

เงียบสงัด!!!!

 

 

ทุกคนอึ้งกันเป็นแถบ!

 

 

ในการเป็นผู้ใช้วรยุทธ์ ต้องมีความแข็งแกร่ง 50 กิโลกรัม และเฉินตงเพิ่งเป็นผู้ใช้วรยุทธ์ แต่เขามีความแข็งแกร่ง 100 กิโลกรัม ด้วยความเร็วระดับนี้ เฉินตงจะไม่กลายเป็นนักรบในเร็วๆนี้หรอกเหรอ

 

 

จะโอ้อวดเกินไปแล้ว

 

 

ในที่สุดเย่ เทียนก็รู้ว่าทำไมเฉิน ตงจึงมาที่นี่  เห็นได้ชัดว่าเฉินตงจะมาอวดความก้าวหน้าของเขาหลังจากฝึกฝนกับคณบดี

 

 

นี่ก็เหมือนความคิดแบบรู้เขารู้เรา

 

 

“คุณเฉิน ตงคะ ขอลายเซ็นหน่อยได้ไหมคะ”

 

 

“คุณเฉิน ตงครับ ขอลายเซ็นหน่อยได้ไหมครับ”

 

 

นักเรียนคนหนึ่งได้หยิบปากกาและกระดาษออกมาโดยหวังที่จะให้เฉินตงเซ็นลายเซ็นนี้ เมื่อเขาได้รับบลายเซ็นของนักรบในอนาคต นั่นจะถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และในอนาคตถ้าเฉินตงกลายเป็นนักรบชั้นยอดเหมือนคณบดี ลายเซ็นดังกล่าวอาจมีมูลค่ามหาศาลได้ในไม่กี่เดือน

 

 

“ได้สิครับ เดี๋ยวจะเซ็นให้”

 

 

รอบตัวเฉินตงค่อยๆมีคนเข้ามาหาเขาพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเขาก็ยังให้ลายเซ็นกับนักเรียนทีละคนๆ

 

 

เย่ เทียนก็เช่นกัน แต่แทนที่จะขอลายเซ็น เขาต้องการลอกเลียนพรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะของเฉินตง

 

 

“ผมขอจับมือหน่อยครับ!”

 

 

ขณะที่เย่ เทียนสัมผัสมือซ้ายของเฉินตง เขาได้คัดลอกพรสวรรค์ขด้านการบ่มเพาะของเฉินตง แล้วรีบดึงแขนของเขาออกอย่างรวดเร็ว

 

 

กระบวนการทั้งหมดไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากคนอื่นนัก เพราะการเผชิญหน้ากับเฉิน ตงนั้นเป็นธรรมชาติมาก

 

 

“คัดลอกพรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะระดับปานกลางสำเร็จ ท่านต้องการผสานพรสวรรค์หรือไม่”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คัดลอกพรสวรรค์ 3: พรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะระดับปานกลางอยู่ในมือแล้ว!

Now you are reading คัดลอกพรสวรรค์ Chapter 3: พรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะระดับปานกลางอยู่ในมือแล้ว! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เปลี่ยนคำว่า “วิทยาลัย” เป็นคำว่า “สถาบันการต่อสู้” 

 

เปลี่ยนคำว่า “นักสู้” เป็นคำว่า “ผู้ใช้วรยุทธ์” 

 

เปลี่ยนคำว่า “นักรบผู้ยิ่งใหญ่” เป็นคำว่า “สุดยอดนักรบ”

 

 

ณ สถาบันการต่อสู้ที่ 5 สนามฝึกที่ 3

 

 

“ถ้าพวกนายอยากเป็นผู้ใช้วรยุทธ์ล่ะก็ จะต้องมีความสามารถที่มากกว่าคนทั่วไป ในตอนนี้พวกนายส่วนใหญ่ยังไม่สามารถเป็นผู้ใช้วรยุทธ์ได้ แต่ตราบใดที่พวกนายสามารถเป็นได้ พวกนายจะมีเงินมากกว่าคนทั่วไป ตอนนี้พวกนายยังเป็นนักเรียนอยู่ พวกนายจะต้องฝึกฝนให้มากเข้าไว้”

 

 

ชายวัยกลางคนกำลังพูดบรรยายให้แก่เหล่านักเรียน

 

 

นักเรียนที่อยู่ด้านล่างตั้งใจฟังมากๆ ทุกคนนั้นเป็นคนธรรมดา วิธีเดียวที่จะเรียนรู้วิธีการฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่งได้คือ เข้าสถาบันการต่อสู้

 

 

เย่ เทียนก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาเข้าเรียนที่สถาบันการต่อสู้มา 10 วันแล้ว

 

 

เป็นเวลา 10 วันแล้ว ที่ครูวัยกลางคนจะสอนวิธีการฝึกฝนร่างกายทุกวัน และสาธิตการเคลื่อนไหวของวิธีการหลอมรวมร่างกายทั้งหมด 18 กระบวนท่า ด้วยตนเอง

 

 

อาจเป็นเพราะการข้ามเวลา ทำให้จิตวิญญาณของเย่ เทียนแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดา และความจำของเขาก็ดีมากเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเชี่ยวชาญวิธีการหลอมรวมร่างกายทั้งหมด 18 กระบวนท่า ในเวลาเพียง 10 วัน และเขารับประกันว่าจะไม่ทำผิดพลาดแน่นอน

 

 

สำหรับนักเรียนคนอื่นๆเป็นเรื่องยากมากที่จะฝึกฝนวิธีการหลอมรวมร่างกายให้ชำนาญ โดยใช้เวลาน้อยกว่า 1-2 เดือน

 

 

การที่จ้างโค้ชมาสอนตัวต่อตัวเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ราคาของการจ้างโค้ชมาสอนตัวต่อตัวนั้นแพงเกินไปสำหรับคนธรรมดา

 

 

“การฝึกหลอมรวมร่างกายจะต้องมีความชำนาญถึงจะฝึกจริงได้ นี่คือท่าแรก…”

 

 

ครูวัยกลางคนแสดงท่าทีของการฝึกหลอมรวมร่างกายทีละท่า

 

 

1 ชั่วโมงผ่านไป การสอนสิ้นสุดลง และนักเรียนก็ค่อยๆแยกย้ายกันไป

 

 

“เย่ เทียน นายเรียนเป็นอย่างไรบ้าง ฉันฝึกจนชำนาญ 13 ท่าแล้วนะ และฉันจะฝึกท่าทั้งหมดได้ในไม่ช้า!” ชายร่างอ้วนเตี้ยพูดกับเย่ เทียนอย่างตื่นเต้น

 

 

ชายร่างอ้วนเตี้ยชื่อจาง เป่า เพื่อนร่วมชั้นที่เย่ เทียนพบในสถาบันการต่อสู้ตั้งแต่เข้าเรียนมาจนถึงตอนนี้ และความสัมพันธ์ของเขาก็ดูจะเป็นมิตรกับเย่ เทียนด้วย

 

 

“ฉันชำนาญแค่ 8 ท่าเอง”

 

 

เย่ เทียนกล่าวอย่างจงใจ

 

 

เขาไม่ต้องการที่จะพูดว่าเขานั้นชำนาญทั้ง 18 กระบวนท่าแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาจะสร้างปัญหาที่ยุ่งยากอย่างแน่นอน เขาเพิ่งมาถึงยุคนี้ ดังนั้นเขาควรจะทำตัวไม่สะดุดตาคนอื่นจนเกินไป

 

 

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันเชื่อว่านายทำได้ แล้วเราจะเป็นนักรบที่ทรงพลังในอนาคตไปด้วยกัน!”

 

 

จาง เป่ากล่าว

 

 

แต่เย่ เทียนมองเห็นความผิดหวังจากส่วนลึกของดวงตาจาง เป่า

 

 

“ก็ไม่รู้สินะ”

 

 

เย่ เทียนยิ้ม

 

 

เขาตรวจสอบดูพรสวรรค์ของจาง เป่าด้วยพรสวรรค์ลอกเลียนแบบแล้ว แม้ว่ามันจะดีกว่าเขา แต่ก็เป็นเพียงพรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะระดับอ่อนแอ สำหรับพรสวรรค์ระดับดังกล่าวมีโอกาสที่จะกลายเป็นนักรบ แต่ฉันไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาและทรัพยาการเท่าไหร่ และจาง เป่าไม่ใช่ลูกของครอบครัวที่ร่ำรวย การบ่มเพาะของเขาไม่ใช่เรื่องง่ายๆอย่างแน่นอน

 

 

อนาคตของจาง เป่าที่ดีที่สุดคือการเป็นผู้ใช้วรยุทธ์ จากนั้นก็หางานที่มั่นคงและตายอย่างสงบท่ามกลางดงสัตว์ร้ายและอสูร

 

 

“จาง เป่าใครคือคนที่เก่งที่สุดในสถาบันของเรางั้นเหรอ?”

 

 

เย่ เทียนถามด้วยเสียงต่ำ

 

 

เขามาที่สถาบันการต่อสู้เพียงแค่ 10 วัน และจาง เป่าอยู่ที่นี่นานกว่า 1 เดือน อีกทั้งยังคุ้นเคยกับคนจำนวนมากและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนมากมาย ดังนั้นเขาต้องรู้อะไรมากกว่านี้แน่

 

 

“เก่งที่สุดงั้นเหรอ?” จาง เป่าไม่รู้ว่าทำไมเย่ เทียนถึงถามเรื่องนี้ แต่เขาก็พูดว่า “พรสวรรค์เป็นความลับมากไม่มีใครเขามาเปิดเผยหรอก แต่สามารถเห็นได้จากความก้าวหน้าในการฝึกฝน สถาบันการต่อสู้ทั้ง 5 แห่งในฐานลี้ภัยหลินไห่นั้นไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก และคนที่เก่งๆจะไปเข้าสถาบันที่หนึ่ง แต่สถาบันของเราก็มีอัจฉริยะอยู่คนหนึ่ง”

 

 

“ใครงั้นเหรอ?”

 

 

เย่ เทียนถามอย่างสงสัย

 

 

“ก็เฉิน ตงน่ะสิ!” จาง เป่าพูดเบาๆ 

 

 

“เฉิน ตงเกิดในครอบครัวธรรมดาและพ่อแม่ของเขาก็เป็นคนธรรมดา เขามาที่สถาบันที่ห้าของพวกเราเมื่อเดือนที่แล้ว ในเวลาเพียงครึ่งเดือนเขาก็กลายเป็นผู้ใช้วรยุทธ์ จากนั้นคณบดีของสถาบันเราก็รับเขาเป็นศิษย์ และตอนนี้เฉินตงไม่ได้ฝึกร่วมกันกับนักเรียนคนอื่นอีกต่อไป แต่มีคณบดีเป็นผู้ฝึกสอนด้วยตนเอง”

 

 

ชู่ว!

 

 

ดวงตาของเย่ เทียนสั่นไหวด้วยความตื่นเต้นในทันที

 

 

เขามั่นใจว่าพรวรรค์ด้านการบ่มเพาะของเฉิน ตงนั้นต้องดีมากแน่ๆ ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่ถูกยอมรับให้กลายเป็นศิษย์ของคณบดีแห่งสถาบันการต่อสู้ที่ห้าหรอก

 

 

ต้องรู้ก่อนว่าสถาบันการต่อสู้ที่ห้า มีคญบดีเป็นนักรบชั้นยอดซึ่งมีความแข็งแกร่งกว่านักรบระดับสูงทั่วไป และนักรบธรรมดาก็เหมือนมดในสายตาของเขา

 

 

ในฐานลี้ภัยหลินไห่ คณบดีของสถาบันการต่อสู้ที่ห้าเป็นคนที่แข็งแกร่งเป็นอันดับต้นๆ และความสามารถดาษดื่นทั่วไปไม่เข้าตาของคณบดีอย่างแน่นอน และอัจฉริยะที่คณบดีเลือกมาเป็นศิษย์ต้องมีพรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะระดับกลางเป็นอย่างน้อย

 

 

เพราะมีเพียงพรสวรรค์ระดับกลางเท่านั้นที่จะกลายเป็นนักรบชั้นยอดอย่างแน่นอน และโอกาสเพียงเล็กน้อยที่จะกลายเป็นสุดยอดนักรบ

 

 

“แล้วฉันจะติดต่อกับเฉินตงได้อย่างไรล่ะ”

 

 

เย่ เทียนคิด

 

 

ทันใดนั้นก็เกิดความวุ่ยวายขึ้น

 

 

“เฉิน ตงมาที่นี่ด้วยล่ะ!” 

 

 

“อะไรนะ! เฉิน ตงคนที่เป็นศิษย์ของคณบดีมาคนนั้น ที่นี่งั้นเหรอ!?”

 

 

“เขามีคณบดีสอนเขาตัวต่อตัวไม่ใช่เหรอ? ทำไมเขาถึงมาที่สนามฝึกของพวกเราล่ะ?”

 

 

นักเรียนคนอื่นๆต่างมองเฉิน ตงด้วยความอิจฉา แต่นี่คือยุคที่คนตัดสินด้วยพรสวรรค์ และเฉินตงคือคนที่พวกเขาส่วนใหญ่ไม่สามารถเอื้อมถึงได้ตลอดชีวิต

 

 

เย่ เทียนสังเกตเห็นเฉิน ตงในทันทีและเดินเข้าหาเขาอย่างช้าๆ

 

 

โดยไม่มีใครสังเกต เขาเข้าใกล้ตำแหน่งของเฉิน ตงในระยะ 3 เมตร และเปิดใช้งานพรสวรค์ลอกเลียนแบบของเขาทันที

 

 

มนุษย์ : เฉิน ตง

ระดับพรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะ : กลาง

 

 

“มันเป็นพรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะระดับกลางจริงๆด้วย!”

 

 

เย่ เทียนระงับความตื่นเต้นเอาไว้ ดวงตาของเขาสั่นไหว และเขาวางแผนในใจ

 

 

“คุณเฉิน ตงครับ ผมได้ยินมาว่าคณบดีรับคุณเป็นศิษย์ ตอนนี้คุณแข็งแกร่งถึงระดับไหนแล้วเหรอครับ”

 

 

นักเรียนคนหนึ่งมองเฉิน ตงด้วยความชื่นชมและถามออกมา

 

 

“ตอนนี้ฉันมีพละกำลัง 100 กิโลน่ะ”

 

 

เฉิน ตงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

 

 

เงียบสงัด!!!!

 

 

ทุกคนอึ้งกันเป็นแถบ!

 

 

ในการเป็นผู้ใช้วรยุทธ์ ต้องมีความแข็งแกร่ง 50 กิโลกรัม และเฉินตงเพิ่งเป็นผู้ใช้วรยุทธ์ แต่เขามีความแข็งแกร่ง 100 กิโลกรัม ด้วยความเร็วระดับนี้ เฉินตงจะไม่กลายเป็นนักรบในเร็วๆนี้หรอกเหรอ

 

 

จะโอ้อวดเกินไปแล้ว

 

 

ในที่สุดเย่ เทียนก็รู้ว่าทำไมเฉิน ตงจึงมาที่นี่  เห็นได้ชัดว่าเฉินตงจะมาอวดความก้าวหน้าของเขาหลังจากฝึกฝนกับคณบดี

 

 

นี่ก็เหมือนความคิดแบบรู้เขารู้เรา

 

 

“คุณเฉิน ตงคะ ขอลายเซ็นหน่อยได้ไหมคะ”

 

 

“คุณเฉิน ตงครับ ขอลายเซ็นหน่อยได้ไหมครับ”

 

 

นักเรียนคนหนึ่งได้หยิบปากกาและกระดาษออกมาโดยหวังที่จะให้เฉินตงเซ็นลายเซ็นนี้ เมื่อเขาได้รับบลายเซ็นของนักรบในอนาคต นั่นจะถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และในอนาคตถ้าเฉินตงกลายเป็นนักรบชั้นยอดเหมือนคณบดี ลายเซ็นดังกล่าวอาจมีมูลค่ามหาศาลได้ในไม่กี่เดือน

 

 

“ได้สิครับ เดี๋ยวจะเซ็นให้”

 

 

รอบตัวเฉินตงค่อยๆมีคนเข้ามาหาเขาพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเขาก็ยังให้ลายเซ็นกับนักเรียนทีละคนๆ

 

 

เย่ เทียนก็เช่นกัน แต่แทนที่จะขอลายเซ็น เขาต้องการลอกเลียนพรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะของเฉินตง

 

 

“ผมขอจับมือหน่อยครับ!”

 

 

ขณะที่เย่ เทียนสัมผัสมือซ้ายของเฉินตง เขาได้คัดลอกพรสวรรค์ขด้านการบ่มเพาะของเฉินตง แล้วรีบดึงแขนของเขาออกอย่างรวดเร็ว

 

 

กระบวนการทั้งหมดไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากคนอื่นนัก เพราะการเผชิญหน้ากับเฉิน ตงนั้นเป็นธรรมชาติมาก

 

 

“คัดลอกพรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะระดับปานกลางสำเร็จ ท่านต้องการผสานพรสวรรค์หรือไม่”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+