จับพลัดจับผลูมาเป็น ‘ภรรยา’ ของศัตรูหัวใจ 5-6

Now you are reading จับพลัดจับผลูมาเป็น ‘ภรรยา’ ของศัตรูหัวใจ Chapter 5-6 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.3 – ตอนที่ 5-6 นี่ฉันตายแล้ว? ป๊ะป๋าคนนี้ยังไม่เคยแต่งเมียเลยนะ! ฉันยังเวอร์จิ้นอยู่เลย!

Translator : Akanirawan / Author

 

ตอนที่ 5 นี่ฉันตายแล้ว? ป๊ะป๋าคนนี้ยังไม่เคยแต่งเมียเลยนะ! ฉันยังเวอร์จิ้นอยู่เลย! (1/2)

อันอี่เจ๋อไม่ได้รั้งอยู่นานนัก เพียงกล่าวถ้อยคำเรียบง่ายออกมาสองประโยค แล้วก็จากไป

ซูเจี๋ยนนอนแผ่หราอยู่บนเตียง นึกทบทวนบทสนทนาเมื่อครู่ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่ได้หลุดปากพูดอะไรออกไป จึงค่อยผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก อย่างไรก็ตาม ด้วยบางสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ เขาจึงรู้สึกอยู่เสมอว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง

หลังจากนอนนิ่งอยู่อีกพักใหญ่ จู่ๆ ซูเจี๋ยนก็อุทานดัง ‘อ๊ะ’ ออกมา เขารู้แล้วว่าอะไรผิดปกติ! คู่รักข้าวใหม่ปลามันไงล่ะ! อันอี่เจ๋อกับสาวน้อยซูเจี๋ยนคนนี้เพิ่งแต่งงานกันได้เดือนเดียวเองไม่ใช่รึไง? ไม่ใช่ว่าช่วงเวลานี้ควรจะต้องทำตัวติดหนึบรักใคร่กันเป็นตังเมหรอกเหรอ? ภรรยาได้รับบาดเจ็บทั้งยังสูญเสียความทรงจำไปแบบนี้ ทำไมอันอี่เจ๋อถึงดูใจเย็นได้ปานนั้น? ไม่กลัวว่าภรรยาจะหลงลืมตัวเอง แล้วหลังออกจากโรงพยาบาลก็ไปตกหลุมรักชายอื่นบ้างหรือไง?

ซูเจี๋ยนขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่นาน แต่จากนั้นก็คลายหัวคิ้วออกแล้วยกมุมปากยิ้มเยาะหยัน ไม่ว่ายังไง คราวนี้เจ้าอันอี่เจ๋อก็โชคร้ายแน่แล้ว ในเมื่อคนที่มีชีวิตอยู่ตอนนี้เป็นตัวเขาเอง เป็นซูเจี๋ยนเวอร์ชั่นผู้ชาย เรื่องที่จะไปตกหลุมรักชายอื่นนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ผู้แซ่ซูคนนี้ก็จะปรับตัวตามความชอบของตัวเอง เจอสาวๆ สวยน่ารักก็ต้องถูกดึงดูดใจเป็นธรรมดา ตอนที่พบว่าภรรยาทอดทิ้งตัวเอง หันไปชอบสาวงามคนอื่น อันอี่เจ๋อจะไม่ระเบิดโทสะออกมาได้ยังไงไหว?

นึกถึงปฏิกิริยาตอบสนองของอันอี่เจ๋อในอนาคต ซูเจี๋ยนก็พลันรู้สึกขึ้นมาว่า เรื่องการสลับร่างเกิดใหม่แบบฟ้าผ่าครั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีเสียทีเดียว!

……………………………….

หลังลืมตาตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น สิ่งแรกที่ซูเจี๋ยนกระทำก็คือควานคลำหน้าอกของตัวเอง

จากนั้นจึงได้ค้นพบความจริงอันน่าโศกเศร้า ว่าแผงอกที่ควรจะกำยำของตัวเองกลับยังคงมีก้อนเนื้อนุ่มนิ่มอิ่มเต็มอยู่เช่นเคย เขาเฝ้าภาวนาให้เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงฝันร้ายน่าอนาถตื่นหนึ่ง ทว่าความเป็นจริงกลับยังทำให้เขาอยากวิ่งชนกำแพงอยู่เหมือนเดิม

เวรตะไล! ก่อนหน้านี้เวลาฝันถึงเงินห้าล้าน ตื่นมาทีไรก็มีแต่น้ำลายเปียกไปครึ่งหมอนเหลือให้ดูต่างหน้า แล้วทีไอ้ฝันโศกนาฏกรรมขมขื่นแบบนี้ ทำไมตื่นขึ้นมาแล้วมันยังเป็นโศกนาฏกรรมอยู่เหมือนเดิมล่ะ! [1]

ซูเจี๋ยนเอาหัวกระแทกหมอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ถ้าสูญเสียความทรงจำไปจริงๆ ก็คงดี อย่างน้อยก็ไม่ต้องมาคอยสู้รบปรบมือกับความขมขื่นโศกเศร้ากับความเป็นจริงที่ตื่นขึ้นมาแล้วกลายเป็นภรรยาของศัตรูหัวใจของตัวเอง….

ซูเจี๋ยนไว้อาลัยให้ตัวเองอย่างเงียบงัน แล้วทันใดนั้นในใจก็ตึงเครียดขึ้นมา ไม่นะ! ปวดฉี่!

กล่าวได้ว่าการตื่นนอนตามธรรมชาติแบบนี้ ก็เป็นการตื่นขึ้นมาเพราะกระเพาะปัสสาวะที่เต็มแน่นไปด้วยของเหลวนั่นเอง…..

ยังดีที่ห้องพิเศษซึ่งซูเจี๋ยนพักอยู่นั้นค่อนข้างมีระดับ ไม่เพียงแต่จะตกแต่งภายในมาอย่างสวยงาม ยังมีห้องน้ำส่วนตัวให้ด้วย แม้ว่าท่อนขาไปจนถึงฝ่าเท้าจะอยู่ในสภาพไม่สะดวกแบบนี้ ซูเจี๋ยนก็ยังไม่เต็มใจจะให้ใครมาช่วยจัดการเรื่องส่วนตัวให้ เขาจึงไม่ได้เรียกคุณพยาบาล ทว่ากลับขยับกายลงจากเตียงไปด้วยตัวเอง แล้วก็มุ่งหน้าไปยังห้องน้ำด้วยความยากลำบากกินแรงอยู่บ้าง

เขาล้วงมือเข้าไปใต้กางเกงด้วยความเคยชิน ผลลัพธ์ก็คือล้วงควักอยู่นานกลับไม่อาจดึงอะไรออกมาได้สักอย่างเดียว สัมผัสอันว่างเปล่าเตียนโล่งเช่นนี้ทำให้ซูเจี๋ยนแข็งค้างไปทั้งร่าง หลังจากได้สติก็ตระหนักถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของตนเองขึ้นมาได้ ภายในของซูเจี๋ยนได้แต่ร่ำไห้จนน้ำตาแทบหลั่งไหลเป็นสายธาร อ่า วันเวลาอันทรงเกียรติที่ได้ยืนชิ้งฉ่องอย่างภาคภูมินั้น ได้จากไปแบบไม่หวนกลับมา อ่า ไม่มีวันหวนกลับมาอีกแล้ว…..

ซูเจี๋ยนนั่งลงไปบนฝารองนั่งด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ซูเจี๋ยนได้จัดการธุระส่วนตัวประเภทนี้ด้วยวิธีการเช่นนี้ จากเดิมที่ควรจะได้จัดการปัญหาด้วยท่วงท่ายืนตรง ลำพังแค่ความรู้สึกยากลำบากนี่ก็เหมือนกับหญิงสาวที่ได้เติบใหญ่หลังสูญเสียพรหมจรรย์ไปแล้วไม่มีผิด อึดอัดกระวนกระวายจนท้องไส้พลันบิดเป็นเกลียวเหมือนเปียถัก

และแล้ว ยามเช้าของซูเจี๋ยนก็ผ่านพ้นไปด้วยความสิ้นหวังเวิ้งว้างอย่างไร้จุดสิ้นสุดเช่นนี้เอง

โชคดีที่ตอนเที่ยงมีแขกกลุ่มหนึ่งเข้ามาเยี่ยม

เป็นกลุ่มนักเรียนและเพื่อนร่วมงานของซูเจี๋ยนคนที่เป็นเจ้าของร่างนั่นเอง ด้วยข้ออ้างเรื่องความจำเสื่อม ซูเจี๋ยนจึงจัดการรับมือพวกเขาได้ไม่ยากนัก ในขณะเดียวกัน เขาก็เก็บเอาข้อมูลพื้นฐานของเจ้าของร่างคนนี้มาได้อย่างง่ายดาย ซูเจี๋ยนพบว่าสาวงามคนนี้เป็นอาจารย์สอนนักเรียนมัธยมปลายของโรงเรียนในตัวเมืองนี่เอง ทั้งยังสอนเรื่องวรรณกรรมและอักษรจีนเสียด้วย กล่าวได้ว่าเจ้าของร่างนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านอักษรศาสตร์ ทั้งเรียบร้อยและสง่างาม สมเป็นกุลสตรีอย่างที่สุด ปัญหาคือตอนนี้เรือนร่างอันอ่อนโยนนุ่มนวลของกุลสตรีที่ว่ากลับถูกจับจองด้วยจิตวิญญาณบุรุษเพศหยาบกระด้างดวงหนึ่ง แม้ตอนมัธยมปลายเกรดวิชาวรรณกรรมของซูเจี๋ยนจะนับได้ว่าไม่ย่ำแย่ ทว่าในฐานะผู้ชายที่เรียนวิทยาศาสตร์ เขาย่อมไม่ได้ใส่ใจในเรื่องภาษาหรืออักษรจีนสักเท่าไหร่ สำหรับเขา สิ่งเดียวที่ใฝ่หาเช้ากลางวันเย็นทั้งยังเชื่อมโยงกับสาขาวิชาอักษรที่พอจะนึกออกก็คือกลุ่มสาวงามที่เรียนเอกอักษรเท่านั้น เพียงนึกไปว่าตัวเองต้องเป็นคนนำเด็กๆ ทั้งชั้นเรียนท่องบท ‘จือฮูเจ๋อเหย๋’ [2] ซูเจี๋ยนก็รู้สึกปวดขาที่สามในจินตนาการขึ้นมาแล้ว

สิ่งเดียวที่พอจะปลอบประโลมจิตใจเขาได้ก็คือ ในกลุ่มนักเรียนที่มาเยี่ยมนั้น มีเด็กสาวหลายคนที่หน้าตาหมดจดน่ารักพอดูทีเดียว ทั้งยังร่าเริงสดใสตามประสาวัยรุ่น พอให้ผู้ชายที่อายุเข้าใกล้เลขสามอย่างเขาได้เยียวยาหัวใจให้กระชุ่มกระช่วยขึ้นมาได้เล็กน้อย ก่อนจะต้องไปเผชิญหน้ากับอาชีพการงานอันน่าปวดเศียรเวียนเกล้าของตัวเองในอนาคตอันใกล้

……………………………….

หลังแขกที่มาเยี่ยมกลับไปแล้ว ห้องผู้ป่วยก็กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง ซูเจี๋ยนอดไม่ได้ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

แม้ว่าข้ออ้างความจำเสื่อมนี้จะใช้การได้ดี แต่การจะแสร้งทำเป็นผู้ป่วยโรคความจำเสื่อมที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างบริสุทธิ์ใจนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อีกทั้งยังต้องกระทำในสถานะที่เป็นอาจารย์สอนเด็กนักเรียนแบบนี้อีก ดังนั้น ซูเจี๋ยนจึงได้แต่ต้องสะกดข่มจิตวิญญาณความเป็นบุรุษเพศอันหยาบกระด้างของตัวเองลงไป แล้วเพียรพยายามวางตัวเป็นกุลสตรีผู้มากความสามารถด้านวรรณกรรมและอักษรคนหนึ่ง

คิดมาถึงตรงนี้ ยิ่งนึกถึงว่าต่อจากนี้ตัวเองต้องมุ่งหน้าต่อไปในเส้นทางของ ‘กุลสตรีผู้มากความสามารถด้านอักษร’ ซูเจี๋ยนก็พลันรู้สึกเวิ้งว่างว่างเปล่าขึ้นมาเต็มอกอย่างไม่อาจห้าม ตอนนี้เขาถึงได้รู้ ว่าที่แท้แล้วชีวิตหนุ่มเนิร์ดขี้แพ้ของตัวเองในวันเก่าๆ นั้นงดงามเพียงใด…..

ฉับพลันในสมองของซูเจี๋ยนก็คล้ายมีแสงสว่างวาบขึ้นมา : ใช่แล้ว ฉันไม่เคยนึกถึงเส้นทางนี้มาก่อนนี่นา บางทีอาจจะมีวิธีสลับวิญญาณกลับไปร่างเดิมก็ได้!

แม้ว่าแนวคิดเช่นนี้จะค่อนข้างพิสดารพันลึกเกินจริงอยู่บ้าง แต่เรื่องพิสดารพันลึกแบบนี้ก็เกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง งั้นจะเปลี่ยนร่างกลับไปอีกครั้งก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ซะหน่อย! อย่าว่าแต่แผ่นดินจีนอันยิ่งใหญ่ของเรายังเต็มไปด้วยทรัพยากรล้ำค่ามากมาย มีประวัติศาสตร์อารยธรรมกว้างขวางลึกซึ้งยาวนานมาถึงห้าพันปี ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิธีจัดการกับปัญหาพวกนี้!

พอนึกได้แบบนี้แล้ว ซูเจี๋ยนก็พลันรู้สึกว่าทั้งร่างเต็มเปี่ยมไปด้วยขวัญกำลังใจและพละกำลังขึ้นมา ไม่อาจอดรนทนรอต่อไปได้อีก รีบกดกระดิ่งเรียกคุณพยาบาลเข้ามาด้วยความตื่นเต้นทันที

“คือฉันอยากรู้ว่า คนที่ประสบอุบัติเหตุพร้อมกันกับฉันตอนนั้น อาการเขาเป็นยังไงบ้างคะ เขายังอยู่ในโรงพยาบาลรึเปล่า”

“คุณหมายถึงคนขับรถแท็กซี่ที่คุณนั่งมาใช่มั้ยคะ ดูเหมือนเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสพอดูเลยค่ะ แต่โชคดีที่ไม่ร้ายแรงถึงชีวิต”

“ไม่ค่ะ ไม่ใช่ ฉันหมายถึงรถคันที่ชนเข้ากับฉันนั่นน่ะ มีหนุ่มหล่อคนนึงนั่งอยู่ในรถคันนั้นไม่ใช่เหรอ ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้างแล้ว เขาอยู่ห้องไหนเหรอคะ”

คุณพยาบาลเอียงศีรษะคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวขึ้นอย่างไม่แน่ใจ : “เหมือนจะมีอยู่นะคะ แต่ฉันจำได้ว่าคนนั้นเขาถูกส่งออกจากโรงพยาบาลเราไปแล้วค่ะ เพราะได้รับบาดเจ็บมาสาหัสมาก เขาทนอยู่ในโรงพยาบาลได้แค่วันสองวัน ชีวิตเขาก็ช่วยไว้ไม่ได้แล้วค่ะ”

ในสมองซูเจี๋ยนพลันมีเสียงวิ้งดังก้อง แบบนี้ก็เท่ากับว่า เขาตายไปแล้วใช่มั้ย? ร่างกายเดิมของเขา ได้ตายไปแล้วงั้นเหรอ?

ทันใดนั้นซูเจี๋ยนรู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ออก ถึงแม้ตลอดยี่สิบเก้าปีที่ผ่านมา เขาจะเป็นเจ้าเนิร์ดกากๆ ที่ไม่ได้ประสบความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันอะไรสักอย่างเดียว แถมยังชอบก่นด่าชีวิตอันห่อเหี่ยวหดหู่ของตัวเองอยู่บ่อยๆ ทั้งยังไม่มีหวังจะได้กลายเป็นผู้ชายสูงหล่อรวยเหมือนใครเขา….. ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าผู้คนเกิดมาล้วนต้องตาย แถมยังชอบพูดจาเขื่องโขทำนองว่า ‘ป๊ะป๋ามาอยู่บนโลกนี้ ก็ไม่คิดจะกลับไปแบบเป็นๆ อยู่แล้ว’ แต่ถึงอย่างไร….เขาก็ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะต้องตายตั้งแต่ยังหนุ่มแบบนี้……

ป๊ะป๋าคนนี้น่ะ…. เมียก็ยังไม่ทันได้แต่ง ป๊ะป๋าคนนี้ยังเป็นหนุ่มพรหมจรรย์อยู่เลยนะ! ซูเจี๋ยนอยากร้องไห้ทว่าไร้น้ำตา

มองส่งคุณพยาบาลออกไปแล้ว ซูเจี๋ยนก็ยกมือขึ้นกุมหัวใจเย็นยะเยียบของตนไว้ ล้มนอนกลับลงไปบนเตียง เจ็บปวดรวดร้าวเศร้าโศกอยู่ครึ่งค่อนวัน ซูเจี๋ยนจึงค่อยตัดสินใจได้ว่า เขาจะต้องได้กลับไปมองดูด้วยตาตัวเองสักครั้ง

—————————–

เชิงอรรถ

[1] ตรงนี้ต้นฉบับเล่นคำที่เสียงคล้ายกัน ใช้คำว่า (餐具 – cānjù) ที่แปลว่าชุดทานอาหารพวกจานชามช้อนส้อม แผลงรากศัพท์กับคำว่า (惨剧 – cǎnjù) ที่แปลว่าโศกนาฏกรรม

[2] จือฮูเจ๋อเหย๋ (之乎者也) หนังสือแบบเรียนไวยากรณ์ของจีน

ตอนที่ 6 นี่ฉันตายแล้ว? ป๊ะป๋าคนนี้ยังไม่เคยแต่งเมียเลยนะ! ฉันยังเวอร์จิ้นอยู่เลย! (2/2)

จากที่ฟังคุณพยาบาลพูด ดูเหมือนว่าเขาจะตายไปได้ไม่นาน งานศพก็น่าจะจัดขึ้นภายในวันสองวันนี้ ไม่ว่ายังไง เขาก็ต้องหาทางกลับไปดูร่างตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย! นอกจากนี้ ดวงจิตกับกายเนื้อของเขาก็อยู่คู่กันอย่างลึกซึ้งสนิทสนมมานานหลายปี หากได้กลับไปพบเห็น ไม่แน่ว่าอาจจะมีแรงดึงดูดอันแข็งแกร่งทรงพลังอย่างไม่ธรรมดา อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาประหลาดพิสดารเหนือหลักวิทยาศาสตร์บางอย่าง อาจจะทำให้จิตวิญญาณของเขากลับไปอยู่ที่เดิมก็เป็นได้ ใครจะรู้? แม้ปรากฏการณ์ศพฟื้นคืนชีพจะฟังดูน่ากลัว แต่เขาก็ผ่านพ้นประสบการณ์ฟื้นตื่นมาเป็นภรรยาของศัตรูหัวใจตัวฉกาจมาแล้ว ยังมีอะไรที่รับไม่ได้อีก?

หลังจากคิดไปคิดมาหลายตลบ ซูเจี๋ยนก็รู้สึกกระตือรือร้นอย่างมาก จึงเรียกคุณพยาบาลเข้ามาอีกครั้ง น่าเสียดาย คุณพยาบาลกลับห้ามเขาไว้

“ไม่ได้ค่ะ คุณผู้หญิงอัน ขาของคุณเพิ่งผ่านการผ่าตัดรักษามาไม่นาน ยังใช้งานไม่ได้ในเร็วๆ นี้หรอกค่ะ”

“แค่ออกไปแปปเดียวเท่านั้น? ยังไงก็ไม่ได้ค่ะ คุณผู้ชายอันท่านคงจะ….”

พูดถึงคุณผู้ชายอัน คุณผู้ชายอันก็มาพอดี

“มีเรื่องอะไร” อันอี่เจ๋อขมวดคิ้วถาม

คุณพยาบาลรีบแจกแจงให้เขาฟัง ถึงเรื่องที่ซูเจี๋ยนขอออกเดินทางไปข้างนอก อันอี่เจ๋อหันมามองซูเจี๋ยน : “ทำไมจู่ๆ เธอถึงอยากออกไปข้างนอก”

ซูเจี๋ยนสบสายตากับเขาตรงๆ : “ฉันอยากจะไปงานศพคุณผู้ชายที่ตายจากการประสบอุบัติเหตุรถชนพร้อมกับฉัน”

อันอี่เจ๋อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย : “เธอรู้จักเขารึไง”

“ฉัน—” ถ้อยคำ ‘รู้จักเขาแน่นอนอยู่แล้ว’ ที่จ่ออยู่ตรงริมฝีปากพลันหยุดชะงักไป ซูเจี๋ยนตระหนักขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ในสถานะสาวงามซูเจี๋ยน และในสถานะของซูเจี๋ยนคนนี้ เธอก็ควรจะความจำเสื่อมอยู่ เขาจึงเปลี่ยนคำพูดกลางคันด้วยอาการแข็งทื่อเล็กน้อย : “…ถึงแม้ว่าจะไม่รู้จักเขา แต่ได้ยินว่าเขาตายไปแล้วแบบนี้ ฉัน…. ฉันก็อยากจะไปดูเขา” ระหว่างที่กล่าว เขาก็หลุบตาลงต่ำ แสดงออกถึงความรู้สึกผิดและเศร้าสลดใจ

อันอี่เจ๋อไม่ส่งเสียงตอบรับแม้แต่คำเดียว ซูเจี๋ยนเองก็ไม่รู้ว่าเขาเกิดระแวงสงสัยขึ้นมาแล้วหรือว่าแค่ลังเลไม่อาจตัดสินใจกันแน่

ซูเจี๋ยนรู้สึกกระวนกระวายอย่างอดไม่ได้ อย่างอื่นยังพอต่อรองกันได้ แต่สำหรับกับการไปเยี่ยมร่างตัวเองครั้งสุดท้ายนี้ ไม่ว่ายังไงเขาก็จะต้องคิดหาหนทางไปให้จงได้! เพียงแต่….ต่อให้เขาแอบหนีออกไปสำเร็จ ตอนนี้ขาของเขาก็อยู่ในสภาพกึ่งพิการไปแล้วข้างหนึ่ง ยังไม่นับเรื่องที่ทั้งเงินทั้งรถก็คงเป็นของอันอี่เจ๋อทั้งหมด การจะหลบหนีนั้นช่างยากเย็นเกินไปจริงๆ อีกทั้งหากใช้เวลานานเกินไป เขากลัวว่าจะไปไม่ทันงานศพตัวเองด้วยซ้ำ! ดังนั้น วิธีการที่ดีที่สุดก็คือพยายามโน้มน้าวให้อันอี่เจ๋อพาเขาไปที่นั่นให้ได้

ซูเจี๋ยนแอบหยิกเนื้อตัวเองใต้ผ้าห่มอย่างแรง รู้สึกว่าดวงตาแสบร้อนด้วยความเจ็บปวดขึ้นมาทันที ขณะที่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ซูเจี๋ยนก็ขอร้องด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเบาหวิว : “ทั้งฉันและคนขับรถแท็กซี่ต่างก็รอดมาได้ มีแต่เขาที่ต้องตายไป ฉันรู้สึกแย่มาก ได้ยินว่าเขายังอายุน้อยอยู่เลย….”

น้ำเสียงของร่างนี้ เดิมทีก็อ่อนหวานอยู่แล้ว ทั้งยังมีความนุ่มนวลซ่อนแฝงอยู่สายหนึ่ง เมื่อซูเจี๋ยนจงใจเอ่ยออกมาอย่างสั่นเครือ เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยแบบนี้ ก็กลายเป็นเหมือนเครื่องมือเข่นฆ่าถึงจุดตาย ขนาดซูเจี๋ยนเองก็ยังรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นวูบวาบจนขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง ในใจก็ขบคิดอย่างเงียบงัน : ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ช้าทักษะการแสดงของป๊ะป๋าคนนี้จะต้องยอดเยี่ยมเปี่ยมล้นจนแทบระเบิดแน่! ยังจะต้องไปเป็นครูโรงเรียนมัธยมอยู่อีกทำไมกัน ไปเป็นเทพด้านการแสดงแล้วคว้ารางวัลออสการ์มาซะให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลย!

เป็นไปตามคาด แม้แต่จักรพรรดิผู้สงบสุขุมอยู่เป็นนิจอย่างอันอี่เจ๋อก็ยังไม่อาจทนทานรับไม้ตายนี้ได้ หลังจากนิ่งขรึมอยู่ครู่หนึ่ง อันอี่เจ๋อก็ยอมเอ่ยปากออกมา : “ฉันจะไปส่งเธอเอง”

……………………………….

พอมีอันอี่เจ๋อ เรื่องราวก็กลายเป็นง่ายดาย

เขาจำต้องยอมรับว่าอันอี่เจ๋อเป็นคนที่จัดการเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากจริงๆ เพียงครึ่งชั่วโมงต่อมา ซูเจี๋ยนก็ได้รับทราบถึงวันเวลาและสถานที่สำหรับจัดงานอำลาผู้ตายในงานศพของตัวเองเรียบร้อยแล้ว

กลายเป็นว่า หลังจากเสร็จงานอำลาผู้ตายเรียบร้อยแล้ว วันพรุ่งนี้ร่างของเขาก็จะถูกนำไปเผาทันที ซูเจี๋ยนรู้สึกยินดีขึ้นมาจากเบื้องลึกของจิตใจอย่างห้ามไม่ได้ หากเขาล่าช้าไปอีกก้าวเดียว เขาก็คงไม่อาจได้เห็นร่างเดิมของตัวเองอีกแล้ว!

เช้าตรู่วันถัดมา อันอี่เจ๋อทำตามที่สัญญาไว้ เขามาที่โรงพยาบาลและพาซูเจี๋ยนไปยังงานศพตามที่อีกฝ่ายต้องการ

งานอำลาผู้ตายจัดขึ้นที่หอฌาปนกิจในเมืองที่เขาอยู่นี่เอง พอนึกถึงว่ากำลังจะได้เจอพ่อแม่และน้องชายตัวเอง อีกทั้งยังจะได้เห็นศพของตัวเองนอนนิ่งอยู่ในโลง ก้นบึ้งในจิตใจของซูเจี๋ยนก็อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนที่ไม่อาจบรรยายได้

เพื่อบรรเทาความอึดอัดตึงเครียดที่สุมแน่นอยู่ในใจ ซูเจี๋ยนจึงยอมเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนากับอันอี่เจ๋อก่อน

“อันอี่เจ๋อ”

“……”

“อัน อี่ เจ๋อ?”

อันอี่เจ๋อยังไม่ยอมกล่าวคำใดออกมา

ซูเจี๋ยนชักจะหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว เขาหันมามองอันอี่เจ๋ออย่างขุ่นเคือง ทว่ากลับได้เห็นอันอี่เจ๋อที่กำลังปรายตามองตอบกลับมา ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ น้ำเสียงไม่เร็วไม่ช้า : “อี่เจ๋อ”

“ห๊ะ?”

“หรือจะเรียกว่า ‘สามี’ ก็ได้”

ความหงุดหงิดในใจซูเจี๋ยนแล่นพล่านจากช่องท้องขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอย จากนั้นก็ถูกกดกลับลงไปอย่างหักโหม พลางท่องประโยคเตือนใจตัวเอง : ‘ผู้ทำการใหญ่ไม่อาจขุ่นข้องรำคาญใจเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย จะสำเร็จการใหญ่ก็ต้องทนทานเจ้าศัตรูหัวใจน่ารังเกียจคนนี้ให้ได้’ หลังจากสะกดข่มเพลิงพิโรธลงไปได้สำเร็จ เสียงเบาหวิวราวกับยุงก็ถูกเปล่งลอดไรฟันออกมา : “อี่เจ๋อ”

“มีอะไร”

“ฉัน….ฉันลืมแล้ว!”

อันอี่เจ๋อหันหน้ามามองซูเจี๋ยน

ซูเจี๋ยนถูกแววตานี้ของเขาจ้องมองจนจากอับอายก็กลับกลายเป็นโกรธไปแล้ว พลันโพล่งขึ้นทันที : “อัน อี่ เจ๋อ!”

“อี่เจ๋อ”

“….เอาล่ะ คุณอี่เจ๋อเพื่อนรัก อย่างที่คุณรู้ ตอนนี้ฉันเสียความทรงจำไปแล้ว เรื่องราวก่อนหน้านี้ ฉันจำไม่ได้เลยซักอย่าง เพราะงั้นเราก็มาคุยเรื่องในอดีตกันเถอะ”

“ได้”

“คำถามแรก ก่อนหน้านี้คุณชอบทำหน้าเหมือนคนอื่นติดหนี้คุณอยู่ตลอดแบบนี้รึเป— อะแค่กๆ เอิ่ม คุณคงได้ยินไม่ชัดใช่มั้ย? คือฉันแค่อยากจะถามว่า คุณเป็นพวกพูดน้อยประหยัดถ้อยคำแบบนี้อยู่ก่อนแล้วสินะ”

“ก็พูดน้อยกว่าที่เธอเป็นอยู่ตอนนี้”

“….งั้น ก่อนหน้านี้ ฉันเป็นคนแบบไหน”

“ก็เป็นคนที่พูดน้อยกว่าที่เธอเป็นอยู่ตอนนี้”

“อ่า—เอ่อ งั้น—อี่เจ๋อ พวกเราสองคนรู้จักกันที่ไหนเหรอ”

“ที่บาร์”

ซูเจี๋ยนรู้สึกตกใจขึ้นมาเล็กน้อย เดิมทีเขาคิดว่าเจ้าของร่างหญิงงามซูเจี๋ยนคนนี้เป็นกุลสตรีหัวโบราณ ประเภทที่ว่าไม่มีทางก้าวขาเข้าไปในบาร์มาก่อนแน่นอน

“แล้วก่อนหน้านี้ฉัน เอิ่ม แบบว่า ชอบคุณมากเลยเหรอ?” เจ้าหนุ่มหน้าขาวอันอี่เจ๋อคนนี้ช่ำชองเรื่องล่อลวงหญิงสาวเป็นพิเศษ การที่สาวน้อยซูเจี๋ยนคนนี้แต่งงานกับเขา ก็เป็นที่คาดเดาได้ว่าคงจะหลงรักเขาหัวปักหัวปำชนิดฟ้าดินไม่อาจพรากจากเป็นแน่

อันอี่เจ๋อหันมาชำเลืองมองเขาด้วยแววตาครุ่นคิดอีกครั้ง แล้วก็กลับเงียบงันลงไปอย่างเหนือความคาดหมาย

สถานการณ์แบบนี้ ต้องมีอะไรบางอย่างแน่นอน! เพียงแวบแรก ความอยากรู้อยากเห็นในใจของซูเจี๋ยนก็ถูกจุดขึ้นทันที เขาลอบชำเลืองมองอันอี่เจ๋อ แล้วขณะที่กำลังทอดถอนใจกับการวางท่าเป็นจักรพรรดิผู้สงบสุขุมเสียจนกล้ามเนื้อใบหน้าตายด้านของอันอี่เจ๋ออยู่นั่นเอง เขาก็เผลอลดความระวังตัวไป ไม่คาดว่าจู่ๆ อันอี่เจ๋อจะหันมามองเข้าเต็มตา สายตาประสานสบกันเข้าอย่างจัง

หลังจากนั้น ก็ได้ยินเจ้าอันอะไรสักอย่างนั่นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเนิบนาบไม่เร็วไม่ช้าอยู่เช่นเคย : “ชอบฉันมากแค่ไหน ในใจเธอรู้ดีที่สุดไม่ใช่รึไง”

ป๊ะป๋าคนนี้ไม่ได้ชอบแกเลยซักนิด! ซูเจี๋ยนสบถอย่างกราดเกรี้ยวอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ เขากลอกตารอบหนึ่ง พูดออกมาด้วยท่าทางใสซื่อจริงใจ : “ไม่ว่าก่อนหน้านี้ฉันจะชอบคุณแค่ไหน ตอนนี้ฉันก็จำไม่ได้แล้ว ถ้าหาก….จะให้ฉันพูดล่ะก็…ตอนนี้ฉันไม่ได้รู้สึกชอบคุณอีกแล้ว แล้วแบบนี้จะทำยังไงดี”

อันอี่เจ๋อขยับมือเลื่อนเกียร์รถไปข้างหน้า น้ำเสียงยังเรียบนิ่งไม่เปลี่ยน : “เธออยากหย่างั้นเหรอ”

มันก็สมควรจะเป็นแบบนั้นแหละ!

แม้ว่าในใจกำลังพยักหน้ารับอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ซูเจี๋ยนย่อมไม่ได้โง่งมขนาดจะบอกทุกอย่างกับอันอี่เจ๋อตอนนี้ เพราะถึงอย่างไร ช่วงเวลานี้ก็มีแต่อันอี่เจ๋อที่พอจะช่วยเหลือเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นของกินของใช้หรือที่พักอาศัย เขาก็ล้วนแต่ต้องพึ่งพานายท่านอันผู้ร่ำรวยและยิ่งใหญ่ผู้นี้ ก่อนที่เขาจะคิดหาวิธีการที่เหมาะสมออกมาได้ ไม่ว่ายังไงเขาก็ได้แต่ต้องค้อมหลังคล้อยตาม ‘สัมมี’ คนนี้เท่านั้น

ดังนั้น ซูเจี๋ยนจึงตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม : “จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงล่ะ”

อันอี่เจ๋อเงียบงันไปอีกครั้ง ขณะที่ซูเจี๋ยนคิดว่าอีกฝ่ายคงจะเงียบกริบสงบปากสงบคำแบบนี้ไปตลอดทางแล้วนั้น จู่ๆ เขาก็ได้ยินอันอี่เจ๋อเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย : “งั้นต่อไปก็พยายามให้หนักขึ้น”

ซูเจี๋ยนงงงันไป : “พยายามอะไรเหรอ?”

อันอี่เจ๋อตอบกลับด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก : “ชอบฉันไง”

ซูเจี๋ยน : “……”

—————————————

แฟนเพจ ‘Akanirawan’ https://bit.ly/3gBu94T

ได้รับลิขสิทธิ์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด