ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ! 9 งานศพของมิสเตอร์ไบรอัน

Now you are reading ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ! Chapter 9 งานศพของมิสเตอร์ไบรอัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ผ่านไปราวๆสองสัปดาห์ นับตั้งแต่ที่วาคาดะ ซายูริมายังโลกใบนี้

เด็กสาวเรียนคำศัพท์ภาษาสุริยันได้ถึงห้าร้อยคำแล้ว ระหว่างที่ฝึกก็มีบ้างที่หลงลืมคำศัพท์เก่าๆ ทำให้ในหลายๆครั้งเธอต้องทวนใหม่ทั้งหมด เด็กสาวใช้กลยุทธ์ช่วยจำด้วยการนำคำศัพท์ไปเปรียบเทียบกับภาพของสิ่งของ ยกตัวอย่างเช่นคำว่าแอปเปิ้ล เธอก็จะนึกถึงผลแอปเปิ้ล และด้วยวิธีนั้น เธอก็สามารถจดจำคำศัพท์ได้มากขึ้น

แน่นอน สำหรับเรื่องการเขียน เธอยังทำได้ไม่ดีสักเท่าไหร่ ตัวอักษรของโลกใบนี้ทั้งอ่านยากและจำยากมาก เธอสามารถเขียนได้แค่ตัวอักษรไม่กี่สิบตัว และเขียนคำศัพท์ใหม่ๆด้วยตัวเองได้แค่ไม่กี่คำเท่านั้น

กิจวัตรประจำวันก็ไม่มีอะไรมากนอกจากกิน นอน ฝึกคำศัพท์ ช่วยงานบ้านนิดๆหน่อยๆ เป็นกิจวัตรที่น่าเบื่อ แต่มันก็ทำให้เธอสนิทกับฮันน่ามากขึ้น อีกฝ่ายมักจะเล่าเรื่องต่างๆที่น่าสนใจให้ฟัง เรื่องของผู้คนที่เคยพบเจอ ประสบการณ์น่าสนใจ มันช่วยแก้เบื่อได้บ้าง

เป็นกิจวัตรที่น่าเบื่อ แต่ก็สงบสุข วาคาดะ ซายูรินอนหลับบนโซฟาหลังจากที่ฝึกท่องคำศัพท์เพิ่มอีกสิบคำ อาการวิงเวียนศีรษะทำให้เธออยากนอนหลับพักผ่อน

ฮันน่าที่พึ่งจะสอนคำศัพท์ไปก็กำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่ข้างๆ ทั้งคู่นอนซบไหล่กันและกัน แดดร้อน และฝนไม่ตกเลยแม้แต่หยดเดียว ฮันน่าบอกว่าฤดูฝนปีนี้ไม่ค่อยมีฝนตกมากนัก นึกไม่ถึงเลยว่าสภาพอากาศของโลกนี้ก็ผิดปกติพอๆกับโลกเก่า

ยูริครุ่นคิดกับตัวเอง เป้าหมายต่อไปคืออะไร ตอนนี้เธอสามารถอ่านประโยคง่ายๆของภาษาสุริยันได้แล้ว จะเขียนได้หรือไม่ก็ไม่สำคัญขนาดนั้น เพราะเป้าหมายของเธอมีเพียงแค่การหาข้อมูลของโลกใบนี้เท่านั้น

ก็อกๆ เสียงเคาะประตูทำให้ทั้งคู่สะดุ้งเฮือก ใครมาที่บ้านกัน? เธอจำได้ว่าบ้านหลังนี้อยู่ใจกลางป่าและอยู่ห่างจากชุมชนเมืองไปราวๆร้อยไมล์ การที่มีคนมาเคาะประตูแบบนี้มันผิดปกติอย่างมาก

เด็กสาวกระโดดถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว เธอเกิดความระแวงอย่างเห็นได้ชัด ฮันน่าเดินไปเปิดประตูด้วยท่าทีระมัดระวัง

แสงแดดจากด้านนอกสาดส่องเข้ามา ชายคนหนึ่งในชุดคลุมตัวยาวสีดำ สวมหมวกทรงสูงคล้ายกับพ่อมด สวมแว่นตาเลนด์ใสยืนอยู่ด้านหน้าประตู สีหน้าเคร่งขรึมผิดปกติ

“มิสเตอร์อัลเฟน็อก?” ฮันน่าพูดด้วยเสียงประหลาดใจ “คุณมาทำอะไรที่นี่คะ”

ที่นี่อยู่ห่างจากเมืองรัตติกาลเป็นอย่างมาก การเดินทางมาล้วนใช้เวลาอย่างต่ำสองชั่วโมงถ้าใช้เวทบิน ถึงฮันน่าจะรู้จักคนมากมายที่เมืองรัตติกาล แต่ก็ใช่ว่าพวกนั้นจะมาหาเธอถึงบ้านบ่อยๆ

การที่มีคนเดินทางมาหาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แปลว่ามีโอกาสสูงมากที่เรื่องที่เกิดขึ้นจนทำให้ต้องมาหานั้นเป็นเรื่องเร่งด่วนพอสมควร ไม่อย่างงั้นอีกฝ่ายคงไม่เสียเวลาเดินทางมาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง

“มิสเตอร์ไบรอันตายแล้ว ผมมาชวนให้เข้าร่วมงานศพของเขา” ชายที่ฮันน่าเรียกว่าอัลเฟน็อกดันแว่นขึ้นเล็กน้อย “เฮ้อ เป็นเรื่องน่าเศร้า คุณคงรู้จักเขาดีใช่ไหม?”

ฮันน่าดูตกตะลึง สีหน้าเศร้าใจพลางเอามือขึ้นมาปิดปากตัวเอง เธอเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ

“ช ใช่ค่ะ ฉันนำผ้าไปซักที่ร้านของเขาบ่อยๆ–” น้ำเสียงของหญิงสาวเจือความหดหู่ “มิสเตอร์อัลเฟน็อก เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือคะ”

พึ่งได้ไปเจอกับมิสเตอร์ไบรอันเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง เธอพึ่งจะนำเสื้อผ้าไปให้อีกฝ่ายซักให้ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะจากไปอย่างกระทันหันแบบนี้

ยูริครุ่นคิดในใจ ไบรอันงั้นเหรอ? ใครกันล่ะ?

เธอจำไม่ได้ว่ามิสเตอร์ไบรอันคือคนที่นำเสื้อผ้าของเธอไปซักให้ตอนที่ฉี่รดที่นอนในครั้งนั้น เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว ไม่แปลกที่เธอจะยังนึกไม่ออก

“เขาติดวัณโรคตาย” อัลเฟน็อกเอ่ยพลางพ่นลมหายใจหดหู่ “มีครั้งหนึ่งที่เขาเข้าไปในเขตสลัมด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ระหว่างที่กำลังจะออกมาจากที่นั่นมีเด็กไร้บ้านคนหนึ่งฉกกระเป๋าของเขาไป พอเขาไล่ตามก็พบว่าเด็กนั่นหายไปแล้ว”

แบบนั้นมัน? ยูริขมวดคิ้ว แล้วไปทำมะเขืออะไรในเขตสลัมกัน? ขอเดานะว่าติดวัณโรคมาจากเด็กนั่นแน่นอน ฮันน่าเคยเล่าให้ฟังว่าเด็กไร้บ้านส่วนใหญ่ในสลัมจะอยู่อาศัยในท่อระบายน้ำเน่าๆ ย่อมไม่แปลกที่จะมีเชื้อโรคหรืออะไรต่อมิอะไรติดมากับร่างกาย

ขโมยของของคนอื่นแล้วทำคนตายอีกงั้นหรือ? ถึงจะไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ แต่แบบนี้มันน่าโมโหไม่ใช่หรือถ้ามองจากมุมมองของคนปกติน่ะ หึหึ ดีล่ะ ใช้โอกาสนี้เลยแล้วกัน

“มิสเตอร์อัลเฟน็อก ฉันจะไปค่ะ ขอเวลาเตรียมตัวหน่อยนะคะ” ฮันน่าเอ่ยกับอีกฝ่าย พ่อมดเบื้องหน้าพยักหน้าเบาๆอย่างเข้าใจ ก่อนจะหันหลังและบินจากไป

“ยูริจัง พวกเราจะไปเข้าร่วมงานศพกัน” ฮันน่าหันมาบอกกับเด็กสาว ยูริพยักหน้าเบาๆ นั่นคือเป้าหมายของเธออยู่แล้วไม่ใช่รึไงกัน คิดไปคิดมาฮันน่านี่ก็รู้จักคนไปทั่วเลยแฮะ แถมยังมีคนรักมากมายอีก เพราะถ้าฮันน่าไม่รู้จักใครเลย เธอก็ไม่มีทางได้รับคำเชิญให้ไปเข้าร่วมงานศพแบบนี้หรอก

หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เตรียมของที่จะไปร่วมงานศพ เด็กสาวสวมฮู้ดสีน้ำตาลตัวเดิมที่เคยใส่ ก่อนจะขอเงินค่าขนมกับฮันน่ามาราวๆสิบปอนด์ เธอวางแผนบางอย่างเอาไว้ในใจอยู่แล้ว และหลังจากที่เตรียมเสื้อผ้าและข้าวของที่จำเป็นจนเสร็จสรรพ ฮันน่าก็พาเธอบินขึ้นฟ้า

ผ่านไปราวๆครึ่งชั่วโมง เด็กสาวอาเจียนออกมาอีกครั้งหลังจากลงจอดบนพื้น ไม่ชินเอาซะเลย ไม่มีวิธีเดินทางที่รวดเร็วกว่านี้แล้วหรือไงนะ ให้ตายสิ ลมบนฟ้าค่อนข้างแรงเลยด้วย แถมแดดก็ร้อนอีกต่างหาก

ทั้งคู่เข้าไปในตัวเมือง ผู้คนยังคงใช้ชีวิตประจำวันของตัวเองไปตามกิจวัตร เด็กส่งหนังสือพิมพ์เที่ยวแจกจ่ายหนังสือพิมพ์ไปทั่ว คนสูบซิการ์ยืนพิงกำแพงอาคาร และตำรวจกำลังเดินตรวจตราพื้นที่

เป็นภาพที่คุ้นเคย ฮันน่าบอกว่าศพของมิสเตอร์ไบรอันจะถูกนำไปฝังไว้ที่สุสานกรีน มันตั้งอยู่ในบริเวณชานเมืองซึ่งเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยสุสานมากมาย 

สำหรับพิธีฝังศพของเมืองนี้ ฮันน่าเล่าให้ฟังว่าจะมีคนที่ทำหน้าที่เป็นประธานฝังศพ ประธานจะเรียนเชิญบาทหลวงมาทำพิธีพรมน้ำมนตร์เพื่อชำระล้างดวงวิญญาณของผู้ตาย มีความเชื่อกันว่าผู้ตายมีสิทธิ์ไปอยู่อาศัยในดินแดนเดียวกับเทพธิดา

และเทพธิดาที่ว่าก็คือเทพธิดาอโลวีนัส เป้าหมายในการฆ่าของเธอ

และการทำพิธีจะใช้เวลาราวๆสามวัน วันแรกจะพรมน้ำมนตร์ วันที่สองผู้คนจะมายืนร่วมกันไว้อาลัยให้กับศพ และวันที่สามคือขั้นตอนการฝัง ซึ่งพิธีทั้งหมดนี่มักจะเป็นพิธีกรรมที่ชนชั้นกลางถึงสูงทำกัน ส่วนชนชั้นล่าง พวกนั้นจะฝังเอาไว้แบบไม่ใส่โลงศพและไม่ทำพิธี คงเพราะไม่มีเงินมากพอจะซื้อโลงหรือจ้างประธานมาประกอบพิธีกรรม

“เนื่องจากการตายของมิสเตอร์ไบรอันเป็นเรื่องกระทันหัน ทำให้ตอนนี้ยังหาประธานมาเพื่อประกอบพิธีไม่ได้ พวกเราจะจองที่พักในโรงแรมก่อนแล้วกันนะ”

“ตกลงค่ะ”

ดูเหมือนฮันน่าจะเสียใจพอประมาณกับการที่มิสเตอร์ไบรอันอะไรนั่นตายลง ช่างเป็นสาวน้อยที่อ่อนโยนอะไรแบบนี้นะ ไม่เข้าใจเอาซะเลยพวกที่เสียใจกับการตายของผู้อื่นแบบนี้ ถ้าเสียผลประโยชน์จากการตายของอีกฝ่ายแล้วเสียใจก็ว่าไปอย่าง

จริงสิ ไบรอันคือเจ้าของร้านซักรีดนี่ บางทีที่ฮันน่าเสียใจอาจจะเป็นเพราะว่าไม่มีคนคอยช่วยซักรีดงั้นหรือ? ไม่สิ จะเป็นไปได้ไง คนอย่างไบรอันต้องมีผู้สืบทอดกิจการร้านมั่งแหละ

แล้วฮันน่าจะเสียใจไปทำไมกัน? ยังไงกิจการนั่นก็ยังคงสืบทอดต่อไป อีกอย่าง ถ้ากิจการนั่นปิดตัว ฮันน่าก็น่าจะเอาเงินของตัวเองไปซื้อเครื่องซักผ้ามาได้สักเครื่องสิ

จะว่าไปเธอไม่เคยเห็นฮันน่าทำงานเลยนี่น่า กิจวัตรส่วนใหญ่หมดไปกับการทำอาหาร ซื้อของ ทำงานบ้านและสอนภาษาให้เธอ แล้วฮันน่าไปเอาเงินมาจากไหนกัน?

ปริศนาใหม่โพล่มาอีกแล้วงั้นหรือ? แต่ปริศนาเก่ายังไม่ได้รับการแก้ไขเลยนะ

ตอนนี้ฮันน่าและเด็กสาวกำลังยืนอยู่หน้าบ้านของใครสักคน มันเป็นบ้านแบบบ้านแถวชั้นเดี่ยวที่ตั้งอยู่ติดกับถนนสักสาย เมื่อออกมาหน้าบ้านก็จะเป็นถนนใหญ่ในทันที ไม่มีสวนหน้าบ้านหรืออะไรแบบนั้น

“พวกเราต้องมาหามาดามแองเจลิก้า เพราะมิสเตอร์อัลเฟน็อกไม่รู้จักกับอีกฝ่าย พี่เลยไม่รู้ว่ามาดามได้รับข่าวรึยัง”

ฮันน่า เส้นสายเธอจะเยอะเกินไปแล้ว ว่าแต่แองเจลิก้างั้นเหรอ? นั่นใช่อีป้าในห้องสมุดรอบที่แล้วรึเปล่า? ถึงเธอจะจำมิสเตอร์ไบรอันไม่ได้ในทันที แต่กลับสามารถจดจำยัยป้านั่นได้เพียงแค่เอ่ยชื่อ บางทีคงเป็นเพราะผูกใจอาฆาตไปตั้งแต่ต้นๆแล้ว

ดูเหมือนแองเจลิก้าจะรู้จักกับไบรอัน แต่ไม่รู้จักกับอัลเฟน็อก แต่ฮันน่ากลับรู้จักทั้งหมดนั่น มีใครในเมืองที่เธอไม่รู้จักบ้างรึเปล่าเนี่ย?

เด็กสาวไม่อยากเสียเวลาฟังผู้ใหญ่คุยกัน และไม่อยากเห็นหน้าอีป้านั่นด้วย มันชวนให้รู้สึกหงุดหงิด ฝ่าเท้าคันขยุบขยิบทุกทีเวลานึกถึงยัยป้าที่ทำสายตารังเกียจนั่น

เกลียดเด็กงั้นหรือ? พูดเหมือนฉันชอบแกมากนักแหละ สาบานได้เลยว่าถ้ายังทำท่าทีน่ารังเกียจแบบนั้นอีก เธอจะหาโอกาสจุดไฟเผาบ้านของมันซะ

หญิงชราร่างท้วมสวมแว่นตากรอบทองเดินออกมาจากบ้าน ท่าทางเหมือนคนหงุดหงิดตลอดเวลา หรือบางทีอาจจะแค่เป็นพวกสีหน้าดูเป็นแบบนั้นเฉยๆก็ได้

“มาดามแองเจลิก้าคะ ฉันมาแจ้งข่าวว่ามิสเตอร์ไบรอันเสียชีวิตแล้วค่ะ” ฮันน่าบอกไปตามตรง ยูริแอบคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะตกใจมากจนช็อกตายหรืออะไรแบบนั้น เท่านี้ก็จะมีงานศพถูกจัดเพิ่ม

แต่น่าเสียดาย แองเจลิก้าไม่สะทกสะท้าน อีกฝ่ายขยับปากอย่างเชื่องช้า

“งั้นหรือ” แล้วก็ปิดประตูดังปั้ง เป็นการบอกนัยๆว่าเธอไม่สนใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

ฮันน่าหันมามองยูริด้วยสีหน้าลำบากใจ อย่ามองอย่างงั้น ถ้ายัยป้านั่นไม่สนใจก็ไม่ต้องไปชวน และถึงจะไม่ชอบยัยป้านั่นยังไง เด็กสาวก็พอเข้าใจเรื่องที่อีกฝ่ายปฏิเสธจะไปร่วมงาน บางทีอาจจะไม่ว่าง หรือแค่ไม่ชอบหน้ามิสเตอร์ไบรอันชนิดที่ว่าไม่อยากเห็นหน้าเลยทีเดียว

แต่เดี๋ยวนะ ไม่ใช่ว่าถ้าเกลียดมิสเตอร์ไบรอันขนาดนั้น การไปดูศพของอีกฝ่ายก็ควรจะทำให้รู้สึกดีไม่ใช่รึไงกัน ไม่เข้าใจตรรกะของคนธรรมดาเอาซะเลยแฮะ

“ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจไปร่วมงานนะคะ” เธอเอ่ย ไอ้คนแก่มารยาททรามเอ้ย อย่างน้อยก็ช่วยรักษามารยาทต่อคนตายหน่อยเถอะ อยากรู้ชะมัดว่ามีชีวิตอยู่มาได้ยังไงโดยไม่โดนกระทืบเนี่ย

“คงจะเป็นอย่างงั้นแหละจ่ะ” ฮันน่าเอ่ยด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก จะไปใส่ใจทำไม มันก็แค่คนแก่มารยาททรามไม่ใช่หรือ? ไม่จำเป็นต้องไปกังวลกับคนแบบนั้นหรอก

ทั้งสองตัดสินใจไม่อยู่ตรงนั้นต่อ ฮันน่าพาเด็กสาวไปจองที่พัก การเดินทางจากหน้าบ้านหลังนั้นไปยังที่พักที่ว่าต้องนั่งรถม้าไป และที่พักที่ว่านั่นก็คือโรงแรมในเขตชุมชนของชนชั้นกลาง

เบื้องหลังของทั้งคู่คือถนนหลักที่มีรถม้าขับผ่านไปมา ทางเท้าที่ทั้งคู่ยืนอยู่มีคนมากมายเดินเบียดเสียด ทำให้ทั้งคู่ต้องรีบก้าวเดินก่อนจะพลัดหลงกันเอง

โรงแรมสูงตระหง่านเบื้องหน้าตั้งอยู่ติดกับถนน ป้ายหน้าโรงแรมเด่นหราเป็นสง่าเขียนเอาไว้ว่า’โรงแรมเชตเตอร์’ มันเป็นโรงแรมที่ดูเก่าและทำมาจากไม้แทบจะทั้งหลัง ฮันน่าเล่าให้ฟังว่าโรงแรมแห่งนี้ถูกสร้างมาตั้งแต่ร้อยปีก่อน และยังคงเปิดให้บริการจนถึงปัจจุบัน

ทั้งคู่เปิดประตูโรงแรม และย่างเท้าเข้าไปข้างใน กลิ่นไม้เก่าแก่ฟุ้งเข้าจมูก ยูริจามเล็กน้อย ฝุ่นเยอะมาก ไม่มีพนักงานทำความสะอาดเลยหรือยังไงนะ?

“ยินดีต้อนรับค่าา” พนักงานต้อนรับสาวสวยยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์รับแขก ผมสั้นสีน้ำตาลอ่อน ดวงตาสีฟ้าใส หูแมวทั้งสองกระดิกไปมาบนหัว และสวมชุดทักซิโด้ดูภูมิฐาน เป็นชุดทักซิโด้สำหรับผู้ชาย

แต่เรามันใจนะว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง ยูริคิดอย่างฉงน บางทีโรงแรมนี้อาจจะมีธรรมเนียมประหลาดที่บังคับให้พนักงานต้อนรับใส่เฉพาะชุดแบบนี้ก็เป็นได้

“ฮันน่า สมิธ เป็นผู้ที่จองเอาไว้ก่อนหน้านี้ค่ะ” ฮันน่าบอก ว่าแต่ไปจองเอาไว้ตอนไหนกัน? ก็ตัวติดกันมาตลอดไม่ใช่เหรอ?

“สักครู่นะคะ” อีกฝ่ายก้มหน้าลงเล็กน้อยพลางเปิดสมุดที่ใช้บันทึกรายชื่อแขกเอาไว้ สีหน้านิ่งและเรียบเฉยตอนที่เปิดอ่าน และเมื่ออีกฝ่ายพบรายชื่อที่ตัวเองกำลังค้นหา หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นพลางยิ้ม

“คุณฮันน่า สมิธ ห้องเลขที่เจ็ด ชั้นสองค่ะ สามารถรับกุญแจได้ที่โรนานะคะ”

ถึงจะยิ้มอยู่ แต่ยูริก็สังเกตุว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ค่อนข้างฝืนตัวเอง เป็นรอยยิ้มที่ผู้คนมักจะใช้เวลาออกงานสังคมหรือพบปะกับผู้อื่น หรือก็คือ รอยยิ้มรักษามารยาทนั่นเอง บางทีการเป็นพนักงานต้อนรับอาจจะเหนื่อยกว่าที่คาดเอาไว้

“ขอบคุณค่ะ” ฮันน่าตอบ พลางเดินไปยังทิศทางที่อีกฝ่ายชี้ให้เมื่อกี้ เด็กสาวเดินตามไป พนักงานต้อนรับแอบมองจากด้านหลังด้วยสีหน้าเอ็นดู

คนที่ชื่อว่าโรนามีผมยาวสีน้ำเงิน ดวงตาสีเขียวมรกต ดูเฉื่อยชาและพูดน้อย อีกฝ่ายยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ที่ติดอยู่กับผนังโรงแรม มันคือห้องรับกุญแจที่ฮันน่าต้องมารับกุญแจห้องของตัวเองที่นี่ ถ้าเปิดประตูออกไปจากห้องนี้ก็จะพบกับบันไดที่พาไปสู่ชั้นสอง

“กุญแจห้องเจ็ด…” โรนาพึมพัมอย่างไร้อารมณ์ สีหน้าเบื่อหน่ายและเฉื่อยชา น้ำตาเล็กๆแอบไหลออกมาเป็นบางครั้ง เด็กสาวรู้ว่านั่นเกิดจากการพยายามกลั้นหาว ทำให้บางครั้งหน้าของอีกฝ่ายก็ดูประหลาดพิกล

“ทำงานกะดึกเหรอคะ?” ฮันน่าซักถามอย่างเป็นมิตร ยิ้มด้วยท่าทางของคนที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี 

“ค่ะ…” โรนาพยักหน้าเบาๆ “ห้องเจ็ดอยู่ทางขวามือหลังจากขึ้นบันไดไปนะคะ”

จากนั้นอีกฝ่ายก็ยื่นกุญแจมาให้ พลางไม่พูดอะไรต่ออีก ฮันน่ารับมาด้วยท่าทางสุภาพ ก่อนจะเปิดประตูห้องและขึ้นไปบนบันได

“แถวๆรอบนอกโรงแรมมีร้านน้ำมะนาวอยู่” เธอพึมพัมพลางหันมาพูดกับยูริที่กำลังตามมา “เดี๋ยวพี่ฝากไปซื้อให้หน่อยนะ”

“อย่าบอกนะคะว่า?” เด็กสาวเลิกคิ้ว ถ้าเป็นแบบที่เธอคิด ฮันน่าก็ควรได้รางวัลคนดี–ไม่สิ แวมไพร์นิสัยดีดีเด่นประจำปีได้เลยนะ

“ใช่แล้ว” อีกฝ่ายยิ้มแฉ่ง “พนักงานต้อนรับที่ง่วงใส่ลูกค้าอาจจะถูกไล่ออกเข้าสักวัน น้ำมะนาวสักแก้วคงจะพอทำให้สดชื่นได้บ้าง จริงไหมล่ะ?”

ให้ตายสิ เด็กสาวคิดอย่างอ้ำอึ้ง ฮันน่า เธอโตมาแบบไหนกันแน่ถึงได้เอาใจใส่คนอื่นขนาดนี้ ยังกับ–แม่พระมาโปรด ให้ตายสิ นี่ฉันคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย เอาเป็นว่าตามอีกฝ่ายขึ้นไปเพื่อยืนยันห้องแล้วก็ไปซื้อน้ำมะนาวตามที่อีกฝ่ายบอกดีกว่า

หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เดินขึ้นจนไปถึงชั้นสอง ฮันน่าพาเธอไปยังห้องหมายเลขเจ็ด ซึ่งเป็นห้องที่ได้จองเอาไว้

“เผื่อยูริจังสงสัยนะว่าพี่จองห้องเอาไว้ตอนไหน คือคุณอัลเฟน็อกเขาจองให้น่ะ ต้องขอบคุณเขาเลยนะ”

ไอ้คนที่ดูเหมือนพ่อมดนั่นน่ะหรือ? อ่า เข้าใจล่ะ ว่าแต่ฮันน่ารู้ได้ไงว่าเธอสงสัยอะไรอยู่ อ่านใจได้? ไม่สิ ไม่ใช่แน่นอน ไม่งั้นความลับของเธอที่เป็นคนต่างโลกคงแตกไปนานแล้ว

“กลิ่นเลือดน่ะ” อีกฝ่ายบอกพลางใช้กุญแจไข “แวมไพร์มีความสามารถพิเศษในการรับรู้ถึงความรู้สึกของเป้าหมาย ทั้งความไม่สบายใจ ความสงสัย ความโกรธและเศร้า ผ่านกลิ่นเลือดที่ออกมาจากร่างกาย”

เข้าใจแล้ว เพราะตอนนั้นเธอเกิดความสงสัยพอดีทำให้ฮันน่ารับรู้ได้สินะ แต่คงระบุอย่างชัดเจนไม่ได้ว่าอีกฝ่ายสงสัยอะไร ได้แต่อนุมานเอา เข้าใจแล้วล่ะ

เมื่อฮันน่าไขประตูห้องได้สำเร็จ ยูริก็ชะเง้อไปมองข้างในห้อง

เตียงนอนแบบเดี่ยวหนึ่งเตียงหันหัวไปทางซ้ายถ้านับจากหน้าห้อง ตัวเตียงอยู่ชิดมุมกำแพงไม้เก่าๆ และสองสามก้าวจากท้ายเตียงจะมีบานหน้าต่างที่เผยให้เห็นวิวทิวทัศน์ข้างนอก ข้างๆประตูทางซ้ายมีโต๊ะไม้สำหรับวางของ และทางขวาของห้องจะมีประตูที่นำไปสู่ห้องน้ำ เป็นสไตล์การตกแต่งที่เรียบง่ายและดูไม่มีอะไรมากมายนัก

ฮันน่าหันมาทางเด็กสาว ก่อนจะยื่นธนบัตรมาให้

“เดี๋ยวพี่จัดของก่อน ยูริจังนำเงินนี่ไปซื้อน้ำมะนาว และส่วนที่เหลือเก็บไว้ใช้เองนะ”

“เข้าใจแล้วค่ะ” เด็กสาวรับเงินมาอย่างเต็มใจ พูดตามตรงนะ นิสัยแบบนี้ทำไมฮันน่ายังโสดอยู่อีก ปกติเธอไม่ใช่พวกสงสัยในเรื่องแบบนี้นะ แต่บางทีมันก็อดคิดไม่ได้

ว่าแต่ จะเอาเงินพวกนี้ไปใช้ซื้ออะไรดีนะ?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด