ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา 8 เด็ดดารา

Now you are reading ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา Chapter 8 เด็ดดารา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โลกทุกวันนี้ การบำเพ็ญเพียรใช้คำสอนจากลัทธิเต๋าดั้งเดิมเป็นหลัก แหล่งกำเนิดที่สำคัญที่สุดของพลังปราณก็คือดวงดาวที่ดารดาษเต็มท้องฟ้า นิกายแสงสว่างให้ความสำคัญกับคำว่าแสงสว่างสองคำ แสงสว่างที่เปล่งประกายโอบท้องนภายามราตรีแท้จริงแล้วคือแสงของดวงดาราที่ส่องสะท้อนลงไปจนถึงยมโลก หลังจากนั้นคือการรวมหมู่ดาว อาศัยสรรพดาราส่องแสงลงมาให้พลังแก่โลกมนุษย์ เพื่อเปลี่ยนแปลงพลังในร่างกายของคนธรรมดา นี่คือจุดมุ่งหมายสุดท้ายของการฝึกบำเพ็ญเพียร นอกจากนี้ยังสามารถพบเห็นคำว่า ‘ดวงดาว’ ได้ในขณะที่กำลังฝึกบำเพ็ญเพียร ทุกอาณาจักรทุกสำนักล้วนแต่มีแท่นดูดาว ต้าโจวมีหอชมดาวที่มีชื่อเสียงนับไม่ถ้วน แต่น้อยมากที่จะมองเห็นกลุ่มดาวที่มีชื่อเหล่านั้น อาจเพราะไม่ได้ศรัทธาต่อดวงดาว

แต่ใบรายชื่อของสำนักที่สองในมือของเฉินฉางเซิงกลับมีชื่อว่าสำนักเด็ดดารา

เด็ดดารา สำนักแห่งนี้ตั้งชื่อที่เต็มไปด้วยการตั้งตนเป็นใหญ่ แต่นิกายหลวงกลับไม่มีความคิดเห็นใดๆ ทั้งสิ้น เรื่องนี้เป็นเรื่องตั้งตนเป็นใหญ่ด้วยตัวของมันเอง

ในใต้หล้านี้มีเพียงสำนักนี้เท่านั้นที่กล้าใช้ และมีคุณสมบัติพอที่จะใช้ชื่อนี้

เพราะว่าสำนักแห่งนี้ขึ้นตรงต่อกองทัพต้าโจว หลายปีมานี้ได้สร้างเด็กหนุ่มที่กล้าหาญและเด็ดเดี่ยวนับไม่ถ้วน ก้าวเดินออกไปประหนึ่งกลุ่มดาวที่เต็มไปด้วยขุนพล หลายปีก่อนได้ออกศึกที่ทั่วหล้าหวาดกลัวกับเผ่ามารครานั้น มนุษย์เมื่อตอนเริ่มใกล้จะถึงทางตัน ตั้งแต่เจ้าสำนักจนถึงนักเรียนธรรมดาของสำนักเด็ดดารา ต่างพากันรีบเร่งออกไปสนามรบ ข้างหน้าพลาดท่าเสียทีล้มลง ข้างหลังกระโจนเข้าสู้อย่างมิขาดสาย คนล้มตายในสนามรบประหนึ่งทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา หลังจากการรบสิ้นสุดลง คาดไม่ถึงว่าสำนักที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้จะแห้งเฉาเงียบวิเวกประหนึ่งสุสาน จากเหตุการณ์ครั้งนั้น สำนักเด็ดดาราจึงได้รับความเคารพที่ไม่มีผู้ใดสามารถจะไล่ตามทันและยังมีอำนาจที่ไม่อาจจะคาดคิดได้

เพราะเหตุนี้สำนักแห่งนี้ อย่าพูดว่าใช้ชื่อเด็ดดารา ถึงแม้จะใช้ชื่อว่าเผาดารามาตั้งเป็นชื่อสำนัก คงจะไม่มีผู้ใดกล้าออกความคิดเห็นไม่ใช่หรือ

ผู้คนบนโลกใบนี้ต่างเข้าใจประวัติศาสตร์ที่คละคลุ้งไปด้วยความโหดเหี้ยมของกลิ่นคาวเลือดและเกียรติยศของสำนักเด็ดดาราแห่งนี้ เฉินฉางเซิงก็ไม่เว้น อาจารย์ได้จัดเรียงให้สำนักเด็ดดาราอยู่ในอันดับที่สอง ที่จริงแล้วในความคิดและมุมมองของเขา ได้จัดให้สำนักเด็ดดาราอยู่อันดับแรกสุด ดังนั้นไม่สามารถสอบเข้าสำนักเทียนเต้าได้แม้จะทำให้เขารู้สึกกลัดกลุ้ม แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เขาเชื่อมั่นว่าสำนักเด็ดดาราคงจะไม่ปฏิบัติสิ่งที่มิชอบดั่งเช่นสำนักเทียนเต้าเป็นแน่ อย่างน้อยก็คงจะไม่ปฏิบัติเกินเลยเช่นนั้น คิดได้เช่นนี้ เขาก็มาถึงสำนักเด็ดดาราที่มีกลิ่นอายของความเคร่งครัด เริ่มเตรียมตัวที่จะลงสนามสอบที่สอง

สำนักเด็ดดาราและสำนักเทียนเต้าที่จริงแล้วไม่เหมือนกัน ภายนอกของประตูแม้จะล้อมรอบไปด้วยผู้คนที่แน่นขนัด แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายตาดุจเหยี่ยวของทหารผู้เกรียงไกรที่พรั่งพร้อมไปด้วยอาวุธครบชุดตรงทางเข้าประตู หรืออาจจะเป็นเพราะแผ่นหินก้อนนั้นที่เต็มไปด้วยรายชื่อของขุนพลที่เสียสละเพื่อชาติจึงทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัด ทั่วทั้งลานเงียบสงัด ไม่มีเสียงที่ผสมปนเปใดๆ ใบสมัครให้กรอกอย่างง่ายดาย รับเอาหมายเลข มีนายทหารไม่กี่นายพานักเรียนที่รอการสอบเดินเข้าไปยังสำนัก

มีการตรวจสอบทำนองเดียวกับสำนักเทียนเต้า สำนักเด็ดดาราก็ได้เตรียมทดสอบก่อนการสอบไว้ จุดประสงค์ก็เพื่อคัดเด็กหนุ่มธรรมดาที่ยังไม่สำเร็จการชำระล้างกระดูกออก เพื่อให้การสอบคัดเลือกอย่างเป็นทางการบรรเทาความกดดันลง เพียงแต่สำนักเด็ดดาราโดยแท้จริงแล้วมีลักษณะทางด้านการทหาร วิธีการจึงทำอย่างตรงไปตรงมามากกว่า ที่นี่ไม่ได้มีหินหน่วงนำ มีเพียงแค่จานหินแผ่นหนึ่ง

จานหินแผ่นนี้ใหญ่มาก คล้ายกับจานแผ่นรองโม่หิน ในความเป็นจริงแล้ว แผ่นรองโม่หินนั่นเดิมทีขนมาจากบนแท่นโม่หินที่อยู่ด้านหลังห้องครัวของสำนักเด็ดดาราชั่วคราว หนักสามร้อยจิน* นักเรียนที่สามารถยกแผ่นรองโม่หินแล้วเดินขึ้นบันใดหินไปได้สามสิบขั้น ก็นับว่าสามารถผ่านการทดสอบด่านแรกไปได้ มีคุณสมบัติเข้าร่วมการสอบรับสมัครนักเรียนอย่างเป็นทางการ

น้ำหนักสามร้อยจิน นอกจากสำเร็จการชำระล้างกระดูก กล้ามเนื้อและกระดูกฝึกฝนจนเป็นดั่งต้นสน คนธรรมดายากอย่างยิ่งจะยกขึ้น แล้วยังต้องเดินขึ้นบันไดหินที่มีระยะทางยืดยาวอีก มีคนหนุ่มจำนวนมากที่ยังไม่สำเร็จการชำระล้างกระดูกมองไปที่แผ่นโม่หินแผ่นนั้น ทันใดนั้นใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นอีกสีหนึ่ง มีคนจำนวนมากที่หน้าเศร้าคอตกถอยกลับไป แม้แต่คนที่สำเร็จการชำระล้างกระดูก ทว่าคนหนุ่มเหล่านั้นพละกำลังยังไม่มั่นคง คาดการณ์ว่าปีนี้ตนคงไม่สามารถทำได้ ส่ายหัวติดต่อกัน แม้ไม่ยินยอมแต่กลับต้องจำใจล้มเลิก แน่นอนว่าย่อมมีเด็กหนุ่มธรรมดาที่กล้าหาญใช้พลังร่างกายแต่เดิมของตนมาทดลองฝีมือ แต่กลับไม่มีผู้ใดทำสำเร็จ

ผู้ที่ยังไม่สำเร็จการชำระล้างกระดูกและสามารถยกแผ่นโม่หินแผ่นนั้นขึ้นได้ ในการสอบรับสมัครนักเรียนของสำนักเด็ดดารา ที่จริงแล้วนับว่าพบเห็นอยู่ไม่น้อย ดังเช่นขุนพลเทพไป๋หู่ที่ตอนนี้เป็นผู้พิทักษ์เฉียหลันกวาน ในปีนั้นเขาได้เข้าไปในสำนักทั้งที่ยังไม่สำเร็จการชำระล้างกระดูก อาศัยเพียงกำลังที่มีมาแต่กำเนิด ยกแผ่นโม่หินแผ่นนั้นโยนไปยังทะเลสาบอย่างง่ายดาย…

แต่ว่าในที่สุดแล้วเรื่องเช่นนี้ก็ไม่ได้พบเห็นบ่อยนัก

อาจารย์ผู้ฝึกเสียใจเล็กน้อย มองหาโอกาส เพื่อตัดสินใจเพิ่มการทดสอบให้เร็วยิ่งขึ้น ให้ผู้เข้าสอบรายงานระดับความสามารถด้วยตนเอง หลังจากนั้นให้นักเรียนที่สำเร็จการชำระล้างร่างกายเข้าทดสอบก่อน หลังจากนั้นถึงจะให้คนหนุ่มธรรมดาเข้าทดลองสอบ

น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง จนกระทั่งผ่านพ้นไปครึ่งค่อนวัน ยังคงไม่มีหนุ่มน้อยธรรมดาคนไหนที่สร้างปาฏิหาริย์ได้

เมื่อทุกคนรู้สึกว่าไม่น่าสนใจ ในตอนที่ผู้คนจำนวนมากมายที่มามุงดูเตรียมตัวจะจากไป มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ร่างกายสูงใหญ่กำยำในมือถือป้ายหมายเลขเดินเข้าไปในสนามทดสอบ ยกแผ่นโม่หินแผ่นนั้นอย่างสบาย ตึงตึงตึง แม้แต่ขึ้นบันไดหินสามสิบขั้น ก็ยังไม่หอบหายใจ หน้าไม่แดง ยิ่งไปกว่านั้นยังแบกแผ่นโม่หินกลับมายังที่เดิม!

ทั้งสนามเกิดเสียงดังอื้ออึง

เด็กหนุ่มคนนั้นยกมือขึ้นเป็นสัญญาณโดยรอบ เดินขึ้นไปบนบันไดหินอีกครั้งด้วยความหยิ่งผยอง เดินตรงไปยังด้านในของสำนัก ที่น่าสนใจก็คือ เขาดูมีบุคลิกซื่อตรงเป็นอย่างยิ่ง เหตุใดจึงต้องแสดงความเย่อหยิ่งออกมาอีกครั้งด้วย ท่ามกลางสายตาของผู้คนโดยรอบ เห็นเป็นเพียงแค่ความน่ารักเท่านั้น ไม่มีการเยาะเย้ยถากถางใดๆ มีเพียงเสียงหัวเราะขบขันอย่างเอ็นดู

หลายร้อยปีมานี้ เพราะครั้งหนึ่งเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจเคยร่วมมือกันต่อต้านเผ่ามาร แม้จะบอกไม่ได้ว่ามีความสัมพันธ์ปรองดอง แต่ก็นับว่าสามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างสามัคคี เผ่าปีศาจชนชั้นสูงที่สามารถจำแลงกายได้บางตระกูล อาศัยอยู่แม้กระทั่งในโลกมนุษย์ ในต้าโจวจิงตูเองก็ต้องมีแน่นอน เพียงแต่ว่ามนุษย์กับปีศาจนั้นไม่เหมือนกัน เพราะไม่ว่ามนุษย์จะอยู่ที่ใดในโลกก็ล้วนแต่เป็นมนุษย์ เรื่องนี้ไม่ค่อยน่าหยิบยกมาพูดสักเท่าไรนัก เพียงแค่เผ่าปีศาจเหล่านั้นไม่ก่อเรื่องวุ่นวายก็พอ

เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำที่ถูกสงสัยว่าเป็นเผ่ามารยกแผ่นโม่หินสำเร็จ คล้ายกับเป็นการผลักประตูบานหนึ่งให้เปิดออก จากนั้น นายพรานหนุ่มสองคนที่มาจากต้าเหล่าหลิ่งเองก็ทำสำเร็จ อาศัยเพียงพละกำลังที่มาจากร่างกายก็ยกแผ่นโม่หินเดินขึ้นบันไดหินไป แม้จะเห็นได้ชัดว่ายากลำบาก แต่เมื่อทำสำเร็จแล้วก็ตะโกนดีใจอยู่พักหนึ่ง

ข้างบนบันไดหินมีนายทหารกำลังถือปากกาจดบันทึกพยักหัวเล็กน้อย ดูแล้วคงจะพึงพอใจกับคะแนนสอบของปีนี้

เวลาหมุนผ่าน ในที่สุดก็หมุนมาถึงเฉินฉางเซิง ผู้คนที่มุงดูจ้องมองใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่ม ช่วยส่งเสียงให้กำลังใจด้วยเจตนาอันดี แต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก เพราะเห็นได้ชัดว่าหนุ่มน้อยคนนี้อายุยังเยาว์วัย ร่างกายยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ อย่ากล่าวว่าจะคล้ายกับเด็กหนุ่มเผ่าปีศาจร่างกายสูงใหญ่กำยำคนนั้น แม้แต่นายพรานหนุ่มสองคนนั้นความแข็งแรงยังห่างไกลยิ่งนัก มองอย่างไรก็คงไม่สามารถยกแผ่นโม่หินที่หนักอึ้งขึ้นได้

ที่สำนักเทียนเต้า เฉินฉางเซิงอาศัยกฎระเบียบของสำนักที่เขาชำนาญสามารถข้ามผ่านด่านการคัดเลือกการชำระล้างกระดูก ในเวลานี้อยู่ที่สำนักเด็ดดารา เขาสามารถคิดถึงวิธีอื่นได้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากบรรยากาศของสำนักที่สง่างามทว่ากลับเร่าร้อนฮึกเหิมนี้หรือไม่ หรือเพียงแค่อยากจะลองดูสักหน่อย เขาจึงไม่ได้ลงมือทำอะไร

เขาเดินไปถึงด้านหน้าของแผ่นโม่หิน ค่อยๆ ย่อลงไป มือทั้งสองจับแผ่นโม่หินทั้งสองข้าง สูดลมหายใจทั้งเข้าและออกยาวลึกอย่างช้าๆ ห้าครั้ง นำพลังทั้งหมดของร่างกายถ่ายเทลงไประหว่างหน้าท้องและแขนทั้งสองข้าง ร้องฮึดเสียงต่ำหนึ่งที ทันใดนั้นจึงออกแรง!

ด้านหน้าของขั้นบันไดที่ลาดเอียงพลันเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดทั้งหมด ผู้คนที่กำลังคุยพูดเล่นอยู่เหล่านั้นงงงันจนลืมคำที่จะพูดต่อ อ้าปากค้างจ้องมองไปยังสนามทดสอบ

แผ่นโม่หินค่อยๆ ยกขึ้น ในที่สุดก็ถูกเฉินฉางเซิงยกขึ้นมาถึงหน้าอก ไม่มากไม่น้อย ผ่านข้อบังคับการทดสอบมาหนึ่งนิ้วพอดิบพอดี

ใบหน้าของเขาแดงเล็กน้อย แต่ว่าท่าทางที่แสดงออกมายังนับว่าสงบนิ่ง ในสายตาของเขามองไม่เห็นความรู้สึกที่สับสนวุ่นวายและตื่นตระหนกแต่อย่างใด

เฮ! ในสนามมีเสียงกู่ร้องด้วยความยินดีอย่างคึกคัก ทุกคนไม่หยุดที่จะช่วยกันส่งเสียงร้องแทนเด็กหนุ่ม ส่งเสียงกู่ร้องเป็นจังหวะ ปรารถนาที่จะช่วยเขายกเท้าก้าวเดิน

เฉินฉางเซิงเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เพียงแค่หนึ่งก้าว หัวเข่าของเขาก็สั่นเทาเล็กน้อย

ยกแผ่นโม่หินขึ้นนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง ยกแผ่นโม่หินที่หนักอึ้งแล้วเดินขึ้นบันไดหิน นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ลมหายใจของเขาเปลี่ยนเป็นวุ่นวาย ใบหน้ายิ่งนานยิ่งเปลี่ยนเป็นสีแดง

เขาไม่ได้เปล่งเสียงใดๆ ทั้งสิ้น จากแก้มที่นูนออกเล็กน้อยสามารถมองเห็นว่าเขากำลังออกแรงกัดฟัน

เขาเดินขึ้นบันไดหินไปทีละก้าว ทีละก้าว

เฉินฉางเซิงแท้ที่จริงแล้วยังไม่สำเร็จการชำระล้างกระดูก ระดับความแข็งแรงของกระดูกเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ ตามเหตุผลก็คงจะแข็งแรงระดับเด็กหนุ่มธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น เพราะสาเหตุมาจากโรคในวัยเยาว์ เขาควรจะอ่อนแอกว่าเด็กหนุ่มทั่วไปถึงจะถูก แต่เพราะว่าเป็นโรคนี่เอง และยังเป็นโรคที่รักษายากอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงมีคนสามคนซึ่งอยู่ในวัดทรุดโทรมนอกเมืองซีหนิง รวมถึงตัวเขา ที่ใส่ใจในสุขภาพของเขาที่สุด

ตอนที่เพิ่งจะรู้ความ เขาก็ถูกบังคับให้ท่องมหามรรคสามพันเล่มในวัดทรุดโทรม ในเวลาเดียวกันก็มีอาจารย์นักพรตเต๋าผู้เดินตามวิถีทางแห่งเซียนขุดสมุนไพรนับไม่ถ้วนมาต้มเป็นยาให้เขาแช่ตัว แล้วก็ยังมีศิษย์พี่ที่ถือเส้นเถาวัลย์และไม้กระบองช่วยเคี่ยวยาให้เข้าไปในร่างกายเขาอย่างไม่หยุดมือ สิบปีผ่านมา ผู้คนที่เขาคุ้นเคยที่สุดก็คือสามคนที่อยู่ในวัด กลิ่นที่เขาคุ้นเคยที่สุด คือกลิ่นของตำรา รวมถึงกลิ่นยาและกลิ่นไม้กระบอง

แม้จะผ่านการรักษาและความทุกข์ทรมานเป็นระยะเวลายาวนาน โรคของเขาก็ยังรักษาไม่หาย เขาไม่มีทางเป็นเหมือนเด็กหนุ่มเผ่าปีศาจผู้มีพรสวรรค์ทางด้านพละกำลังคนนั้น แต่เขาผู้ที่สมควรจะอ่อนแอไร้ใครเปรียบ ตอนนี้ร่างกายของเขากลับไม่ได้อ่อนแอดั่งเช่นคนธรรมดาทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้นยังดีกว่ามาก แม้ว่านี่เป็นเพียงสุขภาพและความแข็งแรงที่แสดงออกมาให้เห็นในภายนอก แต่ก็ทำให้เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง

เด็กเยาว์วัยที่มีโรคคนหนึ่ง เด็กหนุ่มที่ถูกปกคลุมไปด้วยเงาอันมืดมนหลังจากอายุได้สิบขวบ จะต้องใส่ใจเรื่องสุขภาพของตนเองมากกว่าคนอื่น จะต้องใส่ใจรายละเอียดในสิ่งเหล่านั้นมากกว่าสิ่งใด ดังนั้น วันนี้อยู่ที่สำนักเด็ดดารา ที่เขาเดินไปยังแผ่นโม่หินอย่างเงียบงันนั้น เพียงแค่อยากอาศัยพละกำลังของตนเองเพื่อผ่านการตรวจสอบครั้งนี้

เขาอยากยกแผ่นโม่หินที่หนักอึ้งนี้ขึ้น เพื่อที่จะพิสูจน์บางเรื่องของตนเอง ในเวลาเดียวกันก็แสดงความซาบซึ้งใจต่ออาจารย์และศิษย์พี่

หนึ่งก้าว

สองก้าว

สามก้าว

สี่ก้าว

ลมหายใจของเฉินฉางเซิงยิ่งมายิ่งหนักหน่วง สีหน้ายิ่งมายิ่งไม่น่าดู ผมดำขลับที่มัดไว้อย่างแน่นหนาชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อนานแล้ว แต่แววตาของเขายังคงสงบนิ่งไม่ลังเลเช่นเดิม

เสียงให้กำลังใจและเสียงกู่ร้องด้วยความยินดีทั้งสองข้างของบันไดหยุดลงแล้ว ผู้คนทั้งหมดจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มที่ก้มหัวลง หนุ่มน้อยผู้มุ่งไปข้างหน้าด้วยความลำบาก ก้าวเดินขึ้นบันไดด้วยอาการสั่นเทา เป็นห่วงและเลื่อมใสอย่างยิ่ง หลายครั้งที่สายตามองเห็นว่าหนุ่มน้อยคนนั้นทำท่าจะล้มลง แต่ไม่รู้ว่าเอาพละกำลังมาจากที่ใด คาดไม่ถึงว่ายังคงประคับประคองให้เขายืนหยัดต่อไปได้!

อาจารย์ผู้ฝึกมองเฉินฉางเซิงอยู่บนบันไดหิน ในสายตาปรากฏความชื่นชม

เจ็ดก้าว

แปดก้าว

เก้าก้าว

แต่ละก้าวเดินของเฉินฉางเซิงยิ่งมายิ่งช้า

ความรู้สึกชื่นชมในสายตาของอาจารย์ผู้ฝึกยิ่งมายิ่งมากขึ้น เขาประหลาดใจกับระดับความสามารถที่เด็กหนุ่มคนนี้แสดงออกมาอย่างยิ่ง ร่างกายประหนึ่งทหาร สิ่งที่เขาสนใจก็คือความเด็ดเดี่ยวและความกล้าหาญที่เฉินฉางเซิงแสดงออกมา เขาได้ตัดสินใจแล้ว ถึงแม้ว่าเฉินฉางเซิงไม่สามารถยกแผ่นโม่หินไปถึงบนบันไดได้ก็จะให้เขาผ่านการทดสอบครั้งแรกนี้ ไม่รู้ว่าจะกระทบต่อชื่อเสียงของสำนักและกองกำลังต้าโจวหรือไม่…

อาจารย์ฝึกกำลังจ้องมองผู้คนที่ตื่นเต้น อารมณ์สงบลง คิดในใจว่าคงจะเป็นไปไม่ได้ ดูแล้วคนจำนวนมากความคิดคงจะเหมือนกับตน

เด็กหนุ่มที่ตั้งใจและมีความพยายาม คุ้มค่าที่จะให้รางวัลชมเชยเป็นอย่างยิ่ง

ขณะคิดถึงเรื่องนี้ อาจารย์ฝึกกำลังตกอยู่ในสมาธิ ไม่ได้มองที่ข้างบนบันไดหินตลอด จนกระทั่งผ่านไประยะเวลาหนึ่ง เขาหลุดออกจากสมาธิ พลันเพ่งความสนใจไปยังใบหน้าของผู้คนที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน

เขาหันหลังไปมอง พบเพียงข้างกายมีคนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน

เป็นเด็กหนุ่มที่อ่อนระโหยโรยแรงร่างกายเปียกชุ่มคนหนึ่ง

อาจารย์ฝึกคิดในใจว่าตนเองไม่ต้องลำบากใจแล้ว ยื่นมือเข้าไปตบไหล่ของเขาเล็กน้อย

เฉินฉางเซิงเดินไปถึงข้างบนบันไดหิน

แผ่นโม่หินที่หนักอึ้งแผ่นนั้นอยู่ใต้เท้าของเขา

เขาทำสำเร็จแล้ว

*จิน หน่วยมาตราวัดของจีน หนึ่งจินเท่ากับห้าร้อยกรัม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด