[นิยายแปล]Yuushashi Gaiten บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า 13: -คาราสุมะ คุมิโกะไม่ใช่มิโกะ- 3 หากโลกนี้ ไร้ซึ่งซากุระ ฤดูใบไม้ผลิ คงไม่เหลือความสงบในดวงจิต

Now you are reading [นิยายแปล]Yuushashi Gaiten บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า Chapter 13: -คาราสุมะ คุมิโกะไม่ใช่มิโกะ- 3 หากโลกนี้ ไร้ซึ่งซากุระ ฤดูใบไม้ผลิ คงไม่เหลือความสงบในดวงจิต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

{เจ้านางแอ่นบินกลับมาหา เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข บอกเล่าถึงการที่ได้ทำไป

“มันน่าแปลก” มันสังเกต

“ตอนนี้ฉันรู้สึกอบอุ่นทีเดียว ทั้ง ๆ ที่อากาศมันหนาวมาก”

“นั่นเพราะเจ้าได้กระทำในสิ่งที่ดีนะสิ” เจ้าชายตรัส

นกนางแอ่นเริ่มครุ่นคิดแต่แล้วมันก็ผล็อยหลับไป การคิดมักจะทำให้มันง่วงนอนเสมอ 

———ออสก้า ไวลด์, เจ้าชายเปี่ยมสุข}

 

    ฉันเป็นคนธรรมดาสามัญ

    ส่วนสูงของฉันอยู่ประมาณกลางๆ เมื่อเทียบกับเด็กผู้หญิงคนอื่นในชั้นเรียน คะแนนสอบกับทักษะกีฬาก็กลางๆ เช่นกัน ฉันเกิดในครอบครัวทั่วๆ ไปและเติบโตในบ้านทั่วๆ ไป ไม่มีอดีตที่แสนวิเศษ ไม่มีความลับ ไม่มีแม้แต่พรสวรรค์

    ฉันเป็นคนธรรมดาสามัญ

    ยูจังนั้นแตกต่าง คุณคุมิโกะก็แตกต่าง ในวันนั้น วันที่สัตว์ประหลาดสีขาวปรากฏตัว ฉันไม่สามารถทำอะไรเพื่อปกป้องคนสำคัญได้เลย

    ความสามารถตรวจจับสัตว์ประหลาดของฉันก็ไม่ได้พิเศษอะไรเมื่อเทียบกับความสามารถในการกำจัดพวกมันของยูจัง

    ถ้ายูจังเป็นฉัน เธอจะต้องสามารถช่วยคุณแม่กับคุณพ่อได้แน่

    คุณคุมิโกะมีทั้งมันสมองกับความคล่องแคล่วที่สามารถเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดได้อย่างไม่เกรงกลัว เธออาจจะสามารถช่วยคุณแม่กับคุณพ่อได้เหมือนกัน

    สองคนนั้นเป็นคนพิเศษ

    แล้วทำไมฉันถึงไม่พิเศษเหมือนสองคนนั้นบ้างล่ะ

    ทำไมฉันถึงไม่ใช่คนพิเศษ

    ทำไมฉันถึงต้องจมปลักอยู่กับความธรรมดาแบบนี้

 

                                 X                                                X                                       X

 

“พ่อแม่ของมัตสึริถูกพวกสัตว์ประหลาดฆ่าตายอย่างงั้นเหรอ?”

“ค่ะ…”

    ฉันพูดคุยกับยูนะระหว่างขับรถบัสไปสะพานใหญ่เซโตะ มัตสึริกำลังนอนหลับสนิท จะเรียกสลบไปก็ว่าได้ เพราะเหนื่อยล้าจากการอดนอน แถมยังต้องมาเห็นเลือดจนส่งผลกระทบต่อจิตใจอีก

    ท่าทางของมัตสึริตอนเห็นเลือดของผู้หญิงดูค่อนข้างเกินกว่าเหตุ มันไม่แปลกที่คนเราจะไม่ชอบเห็นเลือด แม้แต่ในมหาลัยของฉันก็มีนักศึกษาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติกับนักศึกษาแพทย์ที่ไม่สามารถทนมองเลือดระหว่างทำการทดลองได้ แต่ท่าทางของมัตสึริตอนเห็นเลือดมันเกินกว่าคำว่า [ไม่ชอบ]

    พอฉันถามยูนะเรื่องนี้ดู เธอก็ส่งสายตาไม่อยากพูดออกมา ฉันจึงคะยั้นคะยอจนยูนะยอมพูด

“ดูเหมือนว่าคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณมัตสึริ… จะถูกพวกสัตว์ประหลาดฆ่าตายค่ะ หนูไม่เห็นตอนที่พวกเขาถูกฆ่า แต่… ครั้งแรกที่หนูเจอกับคุณมัตสึริ ตัวของเธอเต็มไปด้วยเลือด และดวงตาดูว่างเปล่า… คุณมัตสึริเป็นคนบอกเองว่าพ่อแม่ของเธอถูกสัตว์ประหลาดสีขาวฆ่าต่อหน้าต่อตา…”

    ก่อนหน้านี้ฉันเคยถามมัตสึริว่าเจอกับยูนะได้ยังไง แต่สิ่งที่เธอตอบมากลับไม่ตรงกับสิ่งที่ยูนะบอก ดูท่ามัตสึริจะหลีกเลี่ยงที่จะพูดเรื่องที่พ่อแม่ตัวเองถูกฆ่าให้ฉันฟัง

    เห็นพ่อแม่ของตัวเองตายต่อหน้าต่อตา นั่นคือสาเหตุที่มัตสึริเป็นโรคกลัวเลือด

“ขอโทษนะครับ แต่คงถึงเวลาแล้ว”

    ชายวัยสามสิบคนหนึ่งเดินมาที่ที่นั่งคนขับ และเรียกฉันไป เขาทำหน้าที่เป็นหมอ คอยดูแลสุขภาพของผู้โดยสารคนอื่นๆ ในรถบัส เขาเป็นคนต้นคิดให้หยุดรถบ่อยๆ เพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้าทางกายและจิตใจจากการนั่งรถบัสเป็นเวลานาน

“อา นั่นสินะ”

    ฉันพยักหน้าตอบหมอ แล้วหยุดรถบัสที่ลานจอดรถร้านสะดวกซื้อที่ฉันเห็นอยู่ใกล้ๆ  พวกเราหยุดพักแทบจะทุกสามสิบนาที

“นี่ หยุดอีกแล้วเหรอ?”

    หญิงสาวผมสีน้ำตาลที่นั่งใกล้ๆ ที่นั่งคนขับถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เธอดูอายุพอๆ กับฉัน หรืออาจจะอายุน้อยกว่านิดหน่อย น้ำเสียงและรอยย่นระหว่างคิ้วของเธอแสดงออกชัดเจนถึงความฉุนเฉียว

“พวกเรามีผู้สูงอายุกับคนเจ็บอยู่ด้วย จะดีกว่าถ้าเราหยุดพักระหว่างทางให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้นะครับ”

    หมออธิบายให้สาวผมน้ำตาลฟังอย่างใจเย็น

“เออ แล้วรู้หรือเปล่าว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าจะถึงชิโกกุ มันไม่ดีกว่าเหรอถ้าจะไปถึงที่นั่นให้เร็วที่สุดแล้วลงจากรถบัสนี่ซะ”

    สาวผมน้ำตาลตอบ

    สิ่งที่เธอพูดก็ไม่ผิด พวกเราไม่รู้ว่าระหว่าง ไปอย่างช้าๆ โดยพักระหว่างทางกับรีบไปให้ถึงจุดหมายให้เร็วที่สุดโดยไม่พัก อันไหนดีกว่ากัน พวกเราทำได้แค่พูดว่า [นี่เป็นทางเลือกที่ถูกต้อง] [เราควรทำอย่างนี้ดีกว่า] หลังจากเรื่องมันจบแล้ว รู้อะไรไม่สู้รู้งี้

“นี่เป็นทางเลือกของผมที่เป็นผู้เชียวชาญทางการแพ-”

“ฉันตัดสินใจจะทำเอง”

    ฉันตัดบทหมอ พูดใส่สาวผมน้ำตาล

“ฉันขับรถบัสคันนี้ ฉันคือคนตัดสินว่าเราจะไปที่ไหนและไปยังไง ถ้าไม่ชอบก็เชิญลงรถไปได้เลย”

    พอตอบไปอย่างนั้น สาวผมน้ำตาลก็เงียบไป เหลือไว้เพียงสายตาที่มองมาที่ฉันอย่างฉุนเฉียว

 

    ฉันลงจากรถบัสแล้วเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ

    ผ่านมากว่าสามวันแล้วตั้งแต่ที่ออกมาจากโกเสะ ยากที่จะบอกว่านานแค่ไหนแล้วที่เราได้เห็นผู้รอดชีวิตคนอื่นนอกจากคนที่นั่งรถบัสมาด้วยกัน

    หน้าต่างร้านสะดวกซื้อพังยับ เชลวางสินค้าล้มระเนระนาดและแตกเป็นชิ้นๆ พวกสัตว์ประหลาดสีขาวคงพังเข้ามาในร้านนี้และทำลายทุกอย่าง

    แทบไม่เหลืออะไรบนเชลที่สามารถใช้ได้ นอกจากอาหารกับเครื่องดื่มแล้ว พวกของสุขอนามัยอย่างทิชชูกับแบตเตอรี่ก็เละด้วยเหมือนกัน

    ทุกครั้งที่หยุดพัก เราพยายามเลือกที่จอดที่เป็นซุปเปอร์มาร์คเก็ตหรือไม่ก็ร้านสะดวกซื้อเพื่อกักตุนอาหาร แต่ช่วงนี้ร้านที่เราแวะมักจะไม่ค่อยเหลือของบนเชลสักเท่าไหร่ คงมีใครบางคนมาถึงที่นี่ก่อนเรา

    ปัญหาหลักของเราตอนนี้คือเรื่องปากท้อง

    ฉันเดินเข้าไปดูข้างหลังเคาเตอร์ดูว่าน้ำยังใช้งานได้หรือเปล่า มันใช่ไม่ได้

    ขาดน้ำเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าขาดอาหาร ร่างกายของมนุษย์สามารถอยู่รอดโดยไม่กินอาหารได้นานอย่างเหลือเชื่อ แต่ไม่สามารถอยู่รอดได้ถ้าขาดน้ำแม้แต่วันเดียว

    ถ้าพวกเรายังไปไม่ถึงชิโกกุสักที ปัญหาขาดอาหารจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เข้าไปอีก

    ฉันเข้าไปในห้องเก็บของ ก็เจอชายเชิ้ตดำกับลิ่วล้อที่เข้ามาในห้องก่อนฉัน พวกเขากำลังเอาเครื่องดื่มที่เหลืออยู่ใส่ลงในถุง

“เหลือให้คนอื่นด้วยล่ะ”

    ชายเชิ้ตดำเขม่นใส่แล้วตอบคำยั่วยุของฉัน

“รู้แล้วน่า ฉันไม่ได้คิดจะเก็บของนี่ไว้กับตัวเองซะหน่อย ไอ้นี่น่ะเอาไว้แบ่งให้พวกที่ยังอยู่บนรถบัสต่างหากเล่า”

    เขาพูดออกมาอย่างรำคาญแล้วเก็บเครื่องดื่มต่อ

“งั้นฉันขอนี่ไปนะ”

    ฉันหยิบขวดน้ำแร่สามขวดออกมาจากถุงโดยไม่รอคำตอบ พวกเขาหันมามองราวกับจะฆ่ากัน แล้วก็หันกลับไปเก็บของต่อโดยไม่พูดอะไร

    ฉันเดินออกมาจากร้านแล้วกลับไปที่รถบัส

    ทุกคนมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ในเวลาพัก แต่ช่วงที่ผ่านมาจำนวนคนที่ลงจากรถบัสลดลงเรื่อยๆ คงเพราะความเหนื่อยล้าสะสมทำให้พวกเขาไม่มีแรงแม้แต่จะเดินลงจากรถ

    ที่ข้างรถบัส ยูนะยืนเหม่อลอยมองท้องฟ้าที่ยังคงมืดอยู่

“เอ้า ยูนะ”

    ฉันส่งขวดน้ำหนึ่งขวดที่ได้จากชายเชิ้ตดำให้ยูนะ

“ขอบคุณมากค่ะ”

“ตอนนี้ แม้แต่เธอก็คงเหนื่อยแล้วสินะ?”

“อาฮะฮะ… ใช่ค่ะ แต่หนูรู้สึกมีอะไรมากกว่านั้นค่ะ…”

    ยูนะพยายามฝืนยิ้มออกมาอย่างอ่อนแรง แต่ก็หยุดไประหว่างที่พูด

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

“บางทีหนูอาจคิดไปเอง แต่บางอย่างมันแปลกไปน่ะค่ะ หนูหมายถึงคนบนรถบัส…”

“แปลก?”

    ฉันนั่งบนที่นั่งคนขับ จึงไม่สามารถมองในรถได้ทั่ว แต่ยูนะเปลี่ยนที่นั่งและพูดคุยกับผู้โดยสารคนอื่นบ่อยครั้ง เธอจึงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นบนรถบัสมากกว่าฉัน

“คนที่ไม่อยากลงจากรถบัสเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ตอนพัก”

“ใช่ ฉันสังเกตเหมือนกัน อาจเป็นเพราะพวกเขาเหนื่อยจากการเดินทางเป็นเวลานานหรือเปล่า?”

“หนูคิดว่ามันมากกว่านั้นค่ะ อย่างกับว่าพวกเขาไม่ได้เหนื่อย แต่… กลัวข้างนอกล่ะมั้งคะ?”

    กลัว…?

    ถ้าข้อสันนิษฐานของยูนะเป็นจริง มันก็ต่างจาก [เหนื่อยเกินไปจนไม่อยากออกข้างนอก] อย่างสิ้นเชิง ถือว่ามีเหตุผลตามหลักจิตวิทยาที่พวกเขาจะกลัวสัตว์ประหลาด แต่ตอนที่ออกจากโกเสะก็ไม่มีใครกลัวที่จะออกมาจากรถบัสนี่นา อาจเป็นไปได้ว่าฉันไม่ทันสังเกตตอนนั้น

    เกิดอะไรบางอย่างขึ้นในจุดที่ฉันมองไม่เห็นอย่างงั้นเหรอ?

        

    เวลาพักหมดลงและทุกคนกลับขึ้นรถบัส พวกเราเดินทางไปชิโกกุต่อ แต่ก็หยุดหลังขับไปได้สามสิบนาที จุดจอดรถครั้งนี้คือปั๊มน้ำมัน ที่จอดที่นี่เพราะจำเป็นต้องเติมน้ำมันสำหรับเดินทางต่อ

    พอรถบัสจอด มัตสึริก็ตื่นพอดี

“พวกเราอยู่ที่ไหนแล้ว?”

“บนรถบัส เธอหมดสติแล้วสลบไป แต่ก็ไม่ได้นานหรอก พวกเรายังอยู่เฮียวโกอยู่เลย”

“รู้สึกดีขึ้นหรือเปล่าคุณมัตสึริ? ดื่มน้ำสักหน่อยนะ คุณคุมิโกะให้มาน่ะ”

    ยูนะส่งน้ำแร่ให้มัตสึริ

“ขอบคุณ…”

    มัตสึริรับน้ำมาแล้วยกดื่มอย่างช้าๆ หน้าเธอซีดไม่เปลี่ยน

    ยังมีบางคนลงจากรถบัสอยู่ แต่จำนวนน้อยกว่าครั้งที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด เกือบทุกคนที่นั่งอยู่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก พวกเขาไม่แม้แต่มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยซ้ำ

“มัตสึริ ขอโทษที่ตั้งถามเรื่องนี้หลังจากที่เพิ่งตื่นมานะ แต่ตอนนี้มีสัตว์ประหลาดใกล้ๆ เราหรือเปล่า?”

“อืม… ไม่ หนูว่าไม่มีนะคะ บางทีน่ะนะ…”

    ฉันหันไปทางยูนะ

“งั้นยูนะนอนพักเถอะ พวกเราไม่รอดแน่ถ้าเธอไม่สามารถสู้ได้ในเวลาคับขัน”

“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ”

    ยูนะดูเป็นห่วงมัตสึริ แต่เธอเข้าใจหน้าที่ของตัวเอง เธอปรับที่นั่งแล้วหลับตาลง

    ฉันลงจากรถบัสไปเติมน้ำมัน

    ท้องฟ้ายังคงมืดอยู่

    ไม่รู้ว่าผ่านไปนานกี่วันแล้วตั้งแต่ออกจากโกเสะ ระหว่างที่กำลังเตรียมหัวจ่ายน้ำมันอยู่นั้น มัตสึริก็ลงมาพอดี

“ออกมาจากรถบัสจะดีเหรอ?”

“ค่ะ… ถึงจะรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก็เถอะ”

“ไม่ใช่แค่ที่เธอรู้สึกไม่ดีนะ คนอื่นๆ ในรถบัสเริ่มพากันกลัวข้างนอกไปหมด”

“อย่างนั้นเหรอคะ?”

“ใช่ มันไม่เคยเกิดขึ้นตอนเราออกจากโกเสะ จิตใจมนุษย์เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ซึ่งก็สมเหตุสมผลแล้วที่จิตวิทยากับจิตเวชเป็นหนึ่งในสาขาใหญ่ของวิทยาศาสตร์ ฉันเดาไม่ออกเลยว่าเหตุอะไรทำไมเธอถึงปิดบังเรื่องที่พ่อแม่ตัวเองถูกฆ่าตายเช่นกัน”

“…ยูจังบอกคุณเหรอคะ?”

“ใช่ ถึงยูนะจะไม่ค่อยอยากพูดเรื่องนี้สักเท่าไหร่ แต่สุดท้ายฉันก็ทำให้เธอพูด พวกเขาตายต่อหน้าเธอจริงๆ สินะ?”

    รถบัสมีทั้งแบบใช้น้ำมันเบนซินกับดีเซล ส่วนรถของเราใช้ดีเซล พวกเราคุยกันต่อระหว่างที่ฉันเติมน้ำมัน

“…ค่ะ… ตอนที่สัตว์ประหลาดโผล่มา… ตอนที่หนูบอกว่าไปตรวจสอบที่ศูนย์อพยพ มันก็มืดมากแล้ว คุณแม่กับคุณพ่อเลยห้ามหนูไว้ พวกเขาบอกว่าไว้ค่อยทำพรุ่งนี้ก็ได้ แน่นอนว่าพวกเขาต้องห้ามหนูไว้อยู่แล้ว สถานที่ที่ถูกจัดเป็นศูนย์อพยพเป็นโรงเรียนที่อยู่ใกล้บ้าน เลยไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปตรวจสอบก่อน อีกอย่าง ที่นาระไม่ได้เจอกับภัยพิบัติรุนแรงเท่าที่อื่น… เลยไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอะไรตอนดึกดื่นแบบนี้ ถ้าตอนนั้นหนูใช้ความคิดสักนิดก็คงเข้าใจ… แต่ในคืนนั้นหนูถูกอะไรบางอย่างเข้าควบคุม”

    ฉันฟังเรื่องราวของมัตสึริต่อขณะน้ำมันกำลังไหลเข้าถัง

“หนูยืนกรานจะออกไปข้างนอกให้ได้จนคุณแม่คุณพ่อยอม แต่ต้องมีพวกเขาไปด้วย… พวกเราสามคนเลยออกไปข้างนอกกัน”

“ไม่แปลกที่พ่อแม่จะอยากไปกับลูกสาวที่พยายามจะออกไปข้างนอกตอนดึกดื่น โดยเฉพาะลูกสาวที่มีปัญหาทางสภาพจิตยิ่งแล้วใหญ่”

    มัตสึริก้มหน้าลงแล้วเล่าต่อ อย่างช้าๆ

“พวกเราสามคนออกไปข้างนอก… และพอมาถึงบริเวณโรงเรียน… แผ่นดินก็ไหวและสัตว์ประหลาดก็โผล่มา สัตว์ประหลาดตัวหนึ่งอ้าปากใส่หนู… จากนั้นคุณพ่อก็ผลักคุณแม่และหนูเพื่อช่วยพวกเราไว้… จากนั้นร่างของเขาก็ถูกกัดจนเป็นชิ้นๆ… หนูเห็นกระดูกและส่วนอื่นๆ ของคุณพ่อถูกบดจนเละ แต่ไม่มีเสียงดังมันเหมือนในมังงะกับหนังที่เคยดู มีแค่… เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของคุณพ่อ คุณแม่กับหนูเปื้อนเลือดที่สาดกระเซ็นออกมาจากปากและท้องของเขา… คุณแม่บอกให้หนูวิ่งหนีไป หนูก็ทำตามพร้อมส่งเสียงกรีดร้อง… แต่คุณแม่กลับพุ่งไปหาสัตว์ประหลาดตัวนั้นและพยายามช่วยคุณพ่อ… แม้จะรู้ดีว่าไม่สามารถทำได้ ตั้งแต่นั้น ทุกครั้งที่หนูเห็นเลือด… ภาพการตายของคุณพ่อกับคุณแม่ก็ลอยมา…”

    มัตสึริเสียงสั่น

“สุดท้ายหนูเป็นเพียงคนเดียวที่รอด… ถ้าคุณพ่อกับคุณแม่ไม่มากับหนู… ถ้าหนูไม่ยืนกรานจะออกไปข้างนอกตอนกลางคืน… พวกเขาก็คงยังมีชีวิตอยู่… ทั้งหมดเป็นความผิดของหนูเอง”

    แล้วมัตสึริก็เจอกับยูนะหลังจากเรื่องนี้เกิดขึ้น

“พวกสัตว์ประหลาดโผล่มาทั่วทุกที่ในคืนนั้น ต่อให้พ่อแม่ของเธอไม่ตามไปด้วยก็ต้องเจอพวกมันอยู่ดี”

“…”

“ตอนที่ยูนะใส่ปลอกแขน พลังกายของเธอก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ตอนที่ฉันลองทำแบบเดียวกันกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หมายความว่าปลอกแขนคู่นั้นเป็นของยูนะเพียงคนเดียว และเพราะอย่างนั้นยูนะจึงสามารถใช้มันกำจัดสัตว์ประหลาดได้ และมัตสึริ เธอเป็นคนเจอปลอกแขนนั่นใช่ไหมล่ะ?”

“…ใช่ค่ะ…”

“เพราะพ่อแม่ของเธอ ทำให้เธอมีชีวิตรอดรอด และมอบปลอกแขนคู่นั้นให้กับยูนะ และเพราะยูนะสามารถสู้ได้ ผู้คนมากมายจึงได้รับการช่วยเหลือ ผู้คนบนรถบัสและในซุปเปอร์มาร์คเก็ตที่โกเสะ ทุกคนถูกเธอกับยูนะช่วยไว้ การเสียสละของพ่อแม่ของเธอได้ช่วยชีวิตผู้คนมากมายเอาไว้นะ”

“แต่…”

“ยอมรับไม่ได้สินะ?  ยังไงซะเราก็วัดคุณค่าชีวิตของคนด้วยจำนวนไม่ได้”

    มัตสึริพูดพึมพำ เธอยังคงก้มหน้าอยู่

“…มันจะดีกว่าถ้าคนที่ตายมีแค่หนูคนเดียว…”

 

    มัตสึริมองขึ้นไปบนท้องฟ้ามืดสนิทสักพักหนึ่ง แล้วเดินกลับไปขึ้นรถ ก้าวเดินของเธอสั่นเครือ

    ฉันเติมน้ำมันรถบัสเสร็จแล้ว

    หันไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มองไปทั่วรถบัสอย่างวิตกกังวล เธอคือคนที่ได้รับบาดเจ็บที่ขาขณะวิ่งหนีสัตว์ประหลาดในตอนที่หยุดพักครั้งก่อน

“ทำอะไรน่ะ? ขาของคุณเจ็บอยู่นะ อย่าขยับมากจะดีกว่า”

“แต่ลูกสาวของฉัน… หายไป”

“หายไป?”

“ค่ะ เธอเดินออกไปข้างนอกระหว่างที่ฉันพักอยู่… และยังไม่กลับมาเลย ฉันเป็นห่วงเลยเดินออกมาดู แต่ก็หาไม่เจอเลยค่ะ”

    ฉันมองไปทั่วปั๊มน้ำมัน ที่นี่เป็นปั๊มน้ำมันเดี่ยวๆ ตั้งอยู่ก่อนทางขึ้นภูเขา จึงไม่ค่อยมีอะไรอยู่รอบๆ นอกจากบ้านเดี่ยวไม่กี่หลัง ป่า และรถหลายคันที่ถูกทิ้งไว้ แต่บ้านกับป่านี่แหละที่ซ่อนชั้นดีเลย

“ลูกของคุณลงจากรถบัสตอนไหนเหรอ?”

“ประมาณยี่สิบสามสิบนาทีก่อน คิดว่านะ เธออายุห้าขวบและผูกโบ ถ้าเธอไปไกลเกินไปล่ะก็ อาจจะหาทางกลับไม่ได้…”

    เด็กผูกโบ… คนที่สนิทกับมัตสึรินิ

    ด้วยระยะเวลาประมาณยี่สิบสามสิบนาที ต่อให้เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กก็สามารถไปได้ค่อนข้างไกล มีความเป็นไปได้สูงที่เธอจะหลงทาง

    ฉันกลับเข้าไปในรถบัสและอธิบายสถานการณ์ให้ผู้โดยสารคนอื่นๆ ฟัง

    พอมัตสึริรู้เรื่องก็ตัวสั่น ไม่แปลกใจ เพราะพวกเธอเป็นเพื่อนกันแล้ว

“ไปหาน้องกันเถอะค่ะ! ถ้าเกิดสัตว์ประหลาดโผล่มาจะไม่ดีเอานะคะ!”

    เสียงของมัตสึริเต็มไปด้วยความร้อนรน แต่ผู้โดยคนอื่นๆ กลับนิ่งเฉย ไม่มีใครลุกออกมาจากที่นั่งเลยสักคน

“ถึงจะบอกว่าตามหาก็เถอะ… แต่ว่า”

“นั่นลูกเธอไม่ใช่เหรอ… ทำไมไม่ดูแลให้ดีๆ ล่ะ”

“ชิ…”

    บรรยากาศกลายเป็นตึงเครียดและเกลียดชัง เสียงถงเถียงปลุกยูนะขึ้นมา

“อือ เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”

“เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มากับเราหายไปน่ะ เธอลงไปจากรถบัสตัวคนเดียว และน่าจะหาทางกลับไปเจอ”

    หลังจากได้ยินมัตสึริอธิบาย ยูนะก็รีบกระโดดลงจากที่นั่ง

“จริงเหรอ!? พวกเราต้องไปหาแล้ว!”

    มัตสึริ ยูนะ และแม่ของเด็กผูกโบลงจากรถบัสไป

    แต่ไม่มีใครอื่นลุกจากที่นั่ง ส่วนใหญ่ทำเป็นหลับตาแกล้งหลับ หรือไม่ก็หลบหน้าหลบตาจากฉัน

    ทุกคนเหนื่อยแล้ว

    แต่มันมีอะไรบางอย่างมากกว่าแค่ความเหนื่อยล้า

“ผมจะไปหาด้วยเหมือนกัน”

    หมอพูดออกมาอย่างห้วนๆ แล้วลุกขึ้น เขาดูเหนื่อยไม่ต่างจากคนอื่น แต่ก็เดินออกไปข้างนอกอย่างเชื่องช้า ฉันเดินตามเขาไป

“ดูเหมือนคุณจะยังพอคุยด้วยได้อยู่นะ พอดีฉันมีคำถาม”

    ฉันเข้าไปใกล้หมอ

“…อะไรเหรอ”

    เขามองมาที่ฉันด้วยความสับสน

“ผู้โดยสารคนอื่นๆ เริ่มไม่สามารถออกมาข้างนอกได้ทีละคนๆ บางคนแค่เหนื่อยที่จะเดิน แต่บางคนบอกว่ากลัวเกินกว่าที่จะออกมาข้างนอก คุณหมอคิดว่ายังไง?”

    หมอเงียบไปพักหนึ่ง ราวกับกำลังเลือกคำตอบดีๆ อยู่ แล้วก็พูดขึ้น

“…อาจจะเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่แค่ผู้สูงอายุที่ปฏิเสธจะออกมาข้างนอก แต่พวกวัยรุ่นก็ด้วย… และผมคิดว่ามันมีแนวโน้มจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เราเจอกับสัตว์ประหลาด”

    เป็นเพราะความกลัวที่มีต่อสัตว์ประหลาดทำให้พวกเขาไม่สามารถออกมาข้างนอกได้จริงด้วย

“เข้าใจแล้ว แล้วมีอะไรอย่างอื่นที่คุณหมอกังวลอยู่หรือเปล่า?”

“คิดก่อนนะ… ผมได้รับอาหารมา…”

“อาหาร?”

“ครับ ชายสวมเชิ้ตดำที่นั่งอยู่ข้างหลังผมและเพื่อนของเขาเอาอาหารที่ได้มาระหว่างพักให้ผู้โดยสารคนอื่นๆ เขาดูเป็นมิตรแปลกๆ ราวกับเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้”

    การกระทำของผู้ชายคนนั้นมีความหมายอะไรกันนะ ฉันครุ่นคิด

 

    ยูนะ มัตสึริ แม่ของเด็ก หมอ และฉันใช้เวลากว่าสามสิบนาทีตามหาเด็กผูกโบที่มีชื่อว่ารูริจัง แต่ก็หาไม่เจอ ระหว่างที่กำลังหาอยู่นั้น ฉันก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว

“มัตสึริ เธอใช้พลังตามหาเด็กได้หรือเปล่า?”

“เอ๋?”

“พลังในการตรวจจับสัตว์ประหลาดของเธอใช้ตรวจจับสิ่งอื่นได้หรือเปล่า?”

    มัตสึริส่ายหัวอย่างรู้สึกผิด

“น่าจะไม่ได้ค่ะ… หนูไม่รู้ว่าตอนไหนที่หนูจะรู้สึกแปลกๆ หนูไม่สามารถตรวจจับได้ในทันที… และมันไม่บอกอย่างอื่นนอกจากพวกสัตว์ประหลาด”

“งั้นเหรอ…”

    งั้นทางเลือกของเราก็มีแค่ใช้กำลังอย่างเดียว

    ระหว่างที่ตามหาเด็กหญิงอยู่นั้น ขาที่บาดเจ็บของแม่เด็กก็เริ่มออกอาการ และทำให้เธอเดินลำบาก พวกเราจึงตัดสินใจกลับไปที่รถบัสกันซะเดี๋ยวนั้น

“ขอโทษนะคะ พวกเรายังไม่เจอน้องเลย! ช่วยรออีกสักหน่อยนะคะ!”

    ยูนะก้มหัวต่อหน้าผู้โดยสารคนอื่นๆ

“พอสักทีเถอะ!” สาวผมน้ำตาลตะโกน “จะให้รออีกนานขนาดไหนกัน!? รีบออกเดินทางได้แล้ว! เดี๋ยวสัตว์ประหลาดก็โผล่มาหรอก!”

    เสียงของเธอดังก้องไปทั่วรถบัส คนอื่นๆ เงียบไปขณะสาวผมน้ำตาลส่งตะโกน

“จะ… จะบอกว่า… พวกเราควรทิ้งเด็กคนหนึ่งไว้เหรอคะ?”

    มัตสึริถามอย่างหวาดกลัว

“ใช่ ก็ไม่รู้ไม่ใช่เหรอว่าเด็กนั่นอยู่ที่ไหนน่ะ ยังไงก็หาไม่เจอหรอก! แล้วคิดจะใช้เวลาหานานแค่ไหนกันหะ!? กี่ชั่วโมง!? หรือจะสักกี่วัน!? พวกเรารอไม่ได้หรอกนะ! พวกเราต้องไปที่ปลอดภัยให้เร็วที่สุด!”

    ไม่มีใครในรถบัสเถียงสาวผมน้ำตาลได้ ความจริง เธออาจพูดแทนผู้โดยสารคนอื่นอยู่

“ขอโทษค่ะ… ขอโทษค่ะ… ขอโทษค่ะ…”

    แม่เด็กพูดขอโทษซ้ำไปซ้ำมาพร้อมน้ำตา

    ยูนะมองมาที่ฉันราวกับขอความช่วยเหลือ แต่ก่อนที่ฉันจะพูดอะไร ชายเชิ้ตดำก็เข้ามาตัดบทสนทนา

“เฮ้ พวกเรามาลองถามความเห็นของคนในรถบัสกันดีกว่าไหม? ว่าพวกเราจะไปตามหาเด็กจนกว่าจะเจอหรือลืมเรื่องนี้ไปซะแล้วเดินทางต่อ ไง สนใจไหม?”

“เดี๋ยวก่อนค่ะ!”

    ยูนะพยายามหยุดเขา แต่สาวผมน้ำตาลไม่สนใจและพูดต่อ

“เอาเลย! ทุกคนว่ายังไง!? ใครคิดว่าควรตามหาเด็กต่อให้ยืนขึ้น! พวกเราไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่วันกว่าจะหาเจอ! ไม่รู้ด้วยว่าสัตว์ประหลาดจะโผล่มาเมื่อไหร่! มีใครคิดว่าไม่ว่ายังไงก็ต้องตามหาเด็กให้ได้บ้าง!? พวกเราจะตัดสินจากเสียงข้างมาก ถ้าคิดจะตามหาเด็กก็ลุกขึ้นซะ!”

    สายตามากมายหันไปมาภายในรถบัส ทุกคนพยายามหาว่าคนอื่นคิดยังไง ต่างคนต่างตกอยู่ในความคิด ไม่รู้ว่าคนอื่นจะทำอะไร และในเมื่อหาคำตอบไม่ได้ ก็ไม่มีใครลุกขึ้นยื่น

“เห็นไหม ไม่มีใครลุก! ไม่มีใครอยากหาเด็ก! เอ้า รีบไปได้แล้ว! ไม่มีใครรู้ว่าสัตว์ประหลาดจะมาเมื่อไหร่นะ! สตาร์ทรถแล้วออกไปจากที่นี่กันสักที!”

    สาวผมน้ำตาลได้ใจ เพราะถือไพ่เหนือกว่า

“เลิกเสียเวลาสักที! เรามีคนแก่กับคนเจ็บอยู่ด้วยนะ! ถ้าอาการพวกเขาเกิดแย่ลงหรือคนแก่เริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมาจะทำยังไง?”

    ชายเชิ้ตดำพูดถูก แม่ของเด็กร้องไห้แต่ไม่พูดอะไร

“แต่…!”

    ยูนะมองมาที่ฉันสลับกับผู้โดยสารที่เหลือ

“พอสักที!”

“รีบไปที่ปลอดภัยเร็วๆ เถอะ!”

“ถ้าเอาแต่หาก็ไม่มีทางเจอหรอก…”

“ใช่”

“ไม่มีแรงแล้ว… เจ็บเหลือเกิน…”

    เสียงไม่พอใจเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

“ได้ยินใช่ไหมล่ะ? สตาร์ทรถสักทีสิ!”

    สาวผมน้ำตาลพูด ทันใดนั้นมัตสึริก็พูดออกมาอย่างแผ่วเบา แต่ปฏิเสธออกมาอย่างหนักแน่น

“ไม่…”

    เสียงของเธอสั่นเครือ

“ไม่ได้นะ พวกเราทิ้งเด็กคนนั้นไปไม่ได้ พวกเราจะตามหาจนกว่าจะเจอ หนูสาบาน จะต้องหาให้เจอ”

    ชายเชิ้ตดำเขม่นใส่มัตสึริ เธอตกใจจนตัวเกร็ง

“เฮ้ย…”

    มือของชายเชิ้ตดำยื่นมาทางมัตสึริ แต่ฉันก้าวไปขว้างไว้

“เดี๋ยวก่อน [เสียงส่วนใหญ่] ที่พวกคุณสองคนตัดสินมันไม่ค่อยยุติธรรมสักเท่าไหร่นะ ถามว่าอะไรนะ? [พวกเราไม่รู้ว่าสัตว์ประหลาดจะโผล่มาเมื่อไหร่ เพราะงั้นใครที่อยากตามหาเด็กจนกว่าจะเจอให้ลุกขึ้น] ใช่ไหม? พวกคุณตั้งคำถามโดยไม่มีอะไรเลยนอกจากทำให้คนอื่นตอบอย่างที่ตัวเองต้องการ และคนที่ไม่ลุกไม่ได้มีแค่คนที่อยากให้สตาร์ทรถ ยังมีคนที่คิดคำตอบไม่ได้อีกด้วย ขอฉันพิสูจน์อะไรสักหน่อยนะ…” ฉันมองไปทั่วรถ “ถ้าฉันถามว่า [ใครอยากเดินทางต่อ เพราะคิดถึงแค่เรื่องความปลอดภัยของตัวเอง ปล่อยให้เด็กหนึ่งคนตายๆ ไปซะ ขอให้ลุกขึ้น] เสียงส่วนใหญ่จะยังคงนั่งอยู่หรือเปล่านะ?”

“นั่นมัน…”

    ชายเชิ้ตดำกับสาวผมน้ำตาลพูดไม่ออก

“และรู้ไหมว่าอะไรที่พลาดอย่างมหันต์? เสียงส่วนใหญ่ไม่มีความหมายอะไรกับรถบัสคันนี้ ทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่กับความคิดของทาคาชิม่า ยูนะ โยโคเตะ มัตสึริ และฉัน ยูนะต่อสู้กับสัตว์ประหลาดและปกป้องพวกคุณ มัตสึริกับฉันพาพวกคุณไปที่ปลอดภัย พวกคุณไม่สามารถบังคับพวกเราให้ทำอะไรสักอย่างได้ เพราะพวกคุณทุกคนได้รับการคุ้มครองจากพวกเรา จำใส่หัวไว้ด้วยล่ะ และตอนนี้ มัตสึริ ยูนะ และฉันตัดสินใจที่จะตามหาเด็ก ถือเป็นอันสรุป”

        

    เป็นอันตกลงที่พวกเราจะตามหาเด็กผู้หญิงต่อ มีเพียงไม่กี่คนที่ให้ความร่วมมือ พวกเขาส่วนใหญ่หวาดกลัวข้างนอก และทุกคนก็ดูเหนื่อย บางคนมองฉันด้วยสายตาต่อต้าน

    นอกจากฉัน มัตสึริ ยูนะ แม่ของเด็ก และหมอแล้วยังมีอีกสองสามคนที่เข้ามาช่วยหาเด็ก

    ระหว่างที่กำลังค้นหาบริเวณปั๊มน้ำมัน มัตสึริก็เริ่มพูดคุยกับฉัน

“คือว่า… ก่อนหน้านี้ขอบคุณมากๆ นะคะ ที่ช่วยตอนที่หนูบอกว่าอยากจะหาน้องต่อ…”

“จริงๆ ฉันไม่สนหรอกว่าเราจะตามหาเด็กต่อหรือเปล่า ที่ทำไป เพราะเมื่อกี้เธอดูหมดอาลัยตายอยาก”

“…หนูแค่ไม่สามารถทำใจทิ้งน้องคนนั้นไว้ที่นี่ได้…”

“พยายามชดใช้เรื่องพ่อแม่เหรอ?”

“…”

“เธอคิดว่าที่พ่อแม่ตายเพราะตัวเอง ก็เลยอยากช่วยชีวิตคนอื่นชดใช้ให้พวกเขาอย่างนั้นสินะ?”

“…ค่ะ…  แบบว่า… มีแค่เรื่องนี้ที่รักษาสมดุลชีวิตได้ ถ้ามีใครสักคนตายเพราะหนู หนูจะต้องช่วยใครอีกสักคนเอาไว้…”

“โง่จริงๆ ที่พ่อแม่ของเธอตายไม่ใช่เพราะเธอ และสมดุลอะไรนั่นมันไม่มีจริงหรอก ชีวิตของคนไม่ใช่ตัวเลข จะเป็นหรือตายมันวัดค่าไม่ได้ด้วยการบวกลบหรอกนะ”

“แต่… หนูยกโทษให้ตัวเองไม่ได้…”

    สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของมัตสึริ

    ฉันจุดบุหรี่แล้วมองไปรอบๆ เริ่มคิดแล้วว่าเราสามารถหาเด็กหลงทั้งแบบนี้ได้จริงหรือเปล่า

    มีหลายเคสที่กลุ่มค้นหากลุ่มใหญ่ไม่สามารถหาเด็กเจอได้ทั้งที่ใช้เวลาหลายวัน นั่นแหละคือการหาคนหาย

    และยิ่งกว่านั้น ตอนนี้พวกเรากำลังเผชิญกับอันตรายที่อยู่ในรูปร่างของสัตว์ประหลาดสีขาวที่พร้อมโผล่มาได้ทุกเมื่อ

“คุณคุมิโกะคะ…”

    มัตสึริมองมาที่ฉันอย่างสงสัย

“มีอะไรเหรอ?”

“อะ… เออ… ไม่มีอะไรค่ะ”

    ฉันไม่เข้าใจว่าเธอต้องการอะไร แต่จะยังไงก็ไม่สำคัญ

“มัตสึริ แถวนี้มีสัตว์ประหลาดหรือเปล่า?”

“ไม่ค่ะ… หนูคิดว่าไม่นะคะ”

“แล้วสัตว์ประหลาดที่อยู่ใกล้ที่สุดล่ะ? เธอบอกได้หรือเปล่า?”

“อืม… หนูมีความรู้สึกไม่ค่อยดีเมื่อกี้นี้ค่ะ แต่มันอยู่ในที่ที่ไกลมากๆ จากเส้นทางของเรา…”

“บอกฉันที”

    มัตสึริหยิบสมุดสะเก็ตออกมาจากกระเป๋าเป้ พลิกหน้ากระดาษสักพักแล้วเอาแผนที่ที่วาดไว้ให้ดู

    ฉันเปิดแอพฯ แผนที่ในสมาร์ทโฟนแล้วเอามาเทียบกับภาพวาดของมัตสึริ ที่นี่ไม่มีสัญญาณเลยทำได้แค่เข้าแผนที่แบบออฟไลน์ แต่อย่างน้อยฉันก็พอรู้ทิศทางและวิธีดูแผนที่อยู่เล็กน้อย

    ฉันเอาสมุดคืนมัตสึริ

“ขอบคุณ ฉันมีเรื่องต้องไปทำ ไม่ต้องห่วงนะเดี๋ยวอีกไม่กี่ชั่วโมงฉันจะกลับมา”

    ฉันเดินมาจากมัตสึริแล้วไปที่รถบัส

 

    ฉันมองคุณคุมิโกะเดินตรงไปที่รถบัส เธอไม่ช่วยเรื่องการค้นหาเลย บางทีอาจนึกอะไรขึ้นมาได้ล่ะมั้ง

    ตอนที่คุยกันก่อนหน้านี้… เธอกำลังกลั้นยิ้มอยู่ บางที… ฉันอาจคิดไปเอง

    ยังไงคุณคุมิโกะก็ไม่ใช่คนไม่ดี แต่เธอค่อนข้างเข้าใจยาก

    เธอเป็นคนใจดีที่เข้ามาช่วยฉันตอนที่คนในรถบัสถกเถียงกัน แต่เธอก็ก้าวร้าวเกินไปตอนที่รับมือกับชายเชิ้ตดำและผู้หญิงผมน้ำตาล คุณคุมิโกะเป็นคนฉลาด เธอสามารถปรามพวกเขาได้โดยไม่ต้องทำให้มันตึงเครียดแบบนั้น ทำไมถึงพูดอย่างนั้นกันนะ

    หรือว่าคุณคุมิโกะจะ…

    เลิกคาดเดาอะไรแปลกๆ แล้วหันมาตั้งใจค้นหาเด็กหลงดีกว่า

“รูริจัง!”

    ฉันไม่รู้ว่าจะไปหาที่ไหน เลยเดินตะโกนไปทั่ว

    ผ่านไปนานแค่นั้นแล้วนะตั้งแต่ที่ฉันเริ่มตามหารูริจัง? สักชั่วโมงไหมนะ ไม่ อาจจะมากกว่านั้น แม้แต่เด็กก็สามารถไปได้เป็นกิโลถ้าปล่อยไว้สักชั่วโมง ยิ่งหานานเท่าไหร่ก็ยิ่งไปไกลมากเท่านั้น

    ฉันมองไปรอบๆ ตัว มีบ้านหลายหลังกับป่า มีจุดให้ซ่อนตั้งมากมาย ฉันจำข่าวที่ตำรวจกับเจ้าหน้าที่ดับเพลิงตามหาเด็กหลงทางคนหนึ่งบนภูเขาได้ มีกลุ่มค้นหาหลายกลุ่มพร้อมสุนัขตำรวจ ต้องใช้เวลาและกำลังคนมากมายเพื่อตามหาเด็กเพียงคนเดียว แต่จำนวนคนของเรามีเพียงน้อยนิด จะต้องใช้เวลามากขนาดไหนกันในการตามหารูริจัง

“ไม่เป็นไร พวกเราต้องเจอน้องแน่!”

    ยูจังคงรู้สึกกังวลเลยหันมาให้กำลังใจฉัน คำพูดของยูจังช่วยฉันได้เสมอ

    ฉันเป็นคนธรรมดาสามัญ คนจืดจางที่ไม่เคยโดดเด่นในห้องเรียน ปานกลางในทุกๆ อย่าง ถ้าฉันหายไปก็ไม่มีใครรู้ การที่ฉันสามารถสัมผัสได้ถึงสัตว์ประหลาด ทำให้ฉัน [พิเศษ] ขึ้นมานิดหน่อย แต่นอกจากนั้นฉันก็ไม่มีอะไรเลย

    แต่คุณพ่อกับคุณแม่กลับมาตาย เพราะคนไร้ตัวตนที่ไม่มีอะไรดีสักอย่างแบบฉัน 

    ฉันจะต้องชดใช้ ฉันจะต้องทำดีเพื่อรักษาสมดุล ไม่อย่างนั้นมันจะเอนเอียงไปทางที่ไม่ดี

    ฉันตามหาเด็กหลงต่อ

    พอมองไปที่รถบัส ฉันเห็นบางคนกำลังมองเราผ่านหน้าต่าง นัยน์ตาของเขาดูเหนื่อยล้าและเลื่อนลอย ฉันคือตัวปัญหาของพวกเขา

    แต่ถึงอย่างนั้น

    ฉันอยากจะช่วยใครสักคนหนึ่ง

    ฉันไม่อยากให้ใครตายต่อหน้าฉัน

    ฉันไม่อยากให้ใครตายอีกแล้ว และไม่ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน ฉันก็จะตามหารูริจังให้เจอ

    เท้าของฉันมีแผลพุพอง เพราะเดินมากเกินไป ทันใดนั้นเสียงของยูจังก็ดังขึ้น

“เจอแล้ว! คุณมัตสึริ หนูเจอรูริจังแล้ว”

 

    เด็กหญิงนั่งอยู่บนพื้นไกลจากปั๊มน้ำมันไม่กี่ร้อยเมตร

“รูริจัง เราไม่ควรอยู่ตรงนี้ตาลำพังนะ กลับกันเถอะ”

    ฉันก้มลงข้างๆ เธอ แต่เด็กหญิงไม่แม้แต่จะมองมาทางฉัน

“กลับ… ที่ไหนเหรอ?”

    รูริจังพึมพำ

    ฉันจะพูดว่ากลับไปที่รถบัส… แต่มันติดอยู่ในลำคอ

    เธอไม่ควรจะกลับไปที่รถบัสคันนั้น เธอควรจะกลับไปที่บ้าน สำหรับเด็กคนนี้ มันควรจะเป็นบ้านที่นาระ… ที่ที่เราจากมา

“คุณย่าป่วยขยับไปไหนไม่ได้เลยต้องอยู่บ้าน…. คุณพ่อก็ทำงานอยู่เลยไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน… หนูอยากกลับบ้าน… พวกเขาบอกว่าถ้าฟ้ามืดให้กลับบ้าน…”

    เด็กน้อยพูดเสียงสั่น

    เธอกับแม่เดินทางจากนาระมาถึงที่นี่ เธอมีคุณย่าอยู่ที่บ้าน เธอไม่สามารถติดต่อพ่อของตัวเองได้ เธอเดินทางมาไกลโดยมีเพียงแม่ที่มาด้วยกัน บางที่เด็กคนนี้แค่พยายามกลับบ้าน กลับไปบ้านของตัวเองที่นาระ ถึงแม้จะเป็นไปไม่ได้

    ฉันกอดเด็กคนนี้เอาไว้อย่างนุ่มนวลที่สุดที่ทำได้

“ไม่เป็นไรนะ รูริจังจะได้กลับแน่ๆ ไม่ช้าก็เร็วจะได้กลับบ้านแน่นอน ถึงตอนนี้จะมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้น แต่สักวันหนึ่งมันจะกลับมาปกติอีกครั้ง ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย รูริจังจะได้กลับบ้าน…. เพราะงั้นกลับกันเถอะนะ กลับไปที่ที่ปลอดภัยสำหรับตอนนี้”

    เด็กหญิงส่งเสียงมาอย่างเบาๆ “อืม”

    ฉันให้รูริจังขี่หลังและพากลับไปที่ปั๊มน้ำมันกับยูจัง

    เมื่อแม่ได้เห็นรูริจัง เธอก็เข้ามากอดลูกเอาไว้แน่นด้วยใบหน้าอาบน้ำตา

“มัตสึริ เจอเด็กแล้วเหรอ?”

    จู่ๆ คุณคุมิโกะก็โผล่มาข้างๆ ฉัน

“ค่ะ… ยูจังเป็นคนเจอค่ะ”

“งั้นเหรอ ฉันไปหาที่ที่ไกลจากตรงนี้ไปน่ะ ดีจริงๆ ที่หาเจอ”

    คุณคุมิโกะมองไปที่เด็กหญิงที่ถูกสวมกอดโดยแม่ของเธอ

“มัตสึริ เธอช่วยเด็กนั่นไว้ ถ้าเธอไม่ยืนกรานจะตามหาล่ะก็เด็กคนนั้นคงถูกทิ้งไว้ที่นี่ แล้วที่ทำไปช่วยให้รู้สึกดีขึ้นจากเรื่องพ่อแม่หรือเปล่า?”

“…ไม่เลยค่ะ”

“ว่าแล้ว ในโลกนี้เธอไม่สามารถรักษาสมดุลของเรื่องร้ายๆ โดยการทำดีได้ แต่สิ่งที่เธอทำคือสิ่งที่ดี นั่นคือเรื่องจริง เธอช่วยชีวิตเด็กคนหนึ่งไว้”

“ที่คุณพ่อกับคุณแม่เสียสละเพื่อให้หนูมีชีวิตอยู่… มันมีความหมาย… สินะคะ…?”

“หนึ่งชีวิตถูกช่วยเหลือเพราะเธอ แน่นอนว่ามันมีความหมายอยู่แล้ว ฉันรับประกันเลย”

“…ขอบคุณค่ะ…”

    คุณคุมิโกะมีด้านแปลกๆ และเย็นชา แต่ยังไงก็เป็นคนดี

“รูริจัง… เด็กคนนั้น บอกว่าอยากกลับบ้าน”

“อย่างนั้นเหรอ”

“ตอนนี้โลกมันแปลกไปหมด… แต่หนูแน่ใจ… ว่ามันจะต้องกลับมาเหมือนเดิมสักวันหนึ่ง พวกเราจะหลบภัยอยู่ที่ชิโกกุสักพัก… แล้วกลับบ้านกัน”

“แล้วมัตสึริล่ะ? เธอเองก็อยากกลับบ้านเหมือนกันเหรอ?”

“หนู… ไม่มีที่ให้กลับ เพราะคุณพ่อกับคุณแม่ตายไปแล้ว แต่หนูอยากจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ หนูอยากกลับไปในวันที่ที่ก่อนสัตว์ประหลาดจะโผล่มาค่ะ…”

    คุณคุมิโกะมองขึ้นไปบนท้องฟ้ามืดมิดไร้แสงตะวัน

 

    พวกเราสตาร์ทรถอีกครั้ง มุ่งหน้าไปสะพานใหญ่เซโตะ

    ก็อยากจะพูดอยู่หรอกว่าดีแล้วที่การค้นหาเด็กหลงจบไปได้ด้วยดี… แต่มันไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น ถึงจะเจอเด็ก แต่แลกกับที่เราต้องเดินทางล่าช้าไปหลายชั่วโมง ทุกคนเหนื่อยล้า และบรรยากาศในรถบัสก็หนักขึ้นจนแทบไม่มีใครพูดคุยกันเลย

    ผู้โดยสารคนอื่นๆ มองเราด้วยความเชื่อถือน้อยลง รู้สึกราวกับมีคนมองเราด้วยสายตาไม่เป็นมิตรมากขึ้นเรื่อยๆ

“…ที่เราทำไปมันถูกต้องหรือเปล่านะ…?” ยูนะที่นั่งหลังที่นั่งคนขับกระซิบ

“เราจะทิ้งรูริจังไม่ได้… แต่เราก็สร้างปัญหาให้กับคนอื่นเหมือนกัน…”

“อย่าไปสนใจเลย พวกเธอไม่มีทางแก้ทุกปัญหาชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบหรอก ที่สำคัญกว่า เธอยังนอนไม่เต็มที่ใช่ไหม? เอ้า นอนเอาแรงอีกสักหน่อยเถอะ”

    ฉันตอบขณะขับ

“ค่ะ…”

    ยูนะตอบ แต่แทนที่จะหลับตากลับมองไปที่มือทั้งสองข้างของตัวเอง

    มีเสียงดนตรีข้างนอกหน้าต่าง มันคือเพลง [กำลังกลับบ้าน] ของดีโวแร็ค ฉันมองไปที่นาฬิกา มันขึ้นว่าหกโมงเย็น ถึงโลกนี้จะพังไปแล้ว แต่ดนตรียังคงส่งสัญญาณว่านี่เป็นเวลากลับบ้านแล้ว ชักสงสัยแล้วว่ายังมีคนรอดชีวิตอยู่ที่สถานีออกอากาศหรือเปล่า

    ทันใดนั้นโดยไม่ทันตั้งตัว ฉันก็ได้ยินเสียงเจ็บปวดมาจากที่นั่งข้างๆ

“แฮ่ก แฮ่ก…. แฮ่ก แฮ่ก….”

    เสียงมาจากสาวผมน้ำตาลที่ฉันเคยมีเรื่องด้วย

“เป็นอะไรไหมคะ?”

    มัตสึริถามด้วยความเป็นห่วง

    ใบหน้าของสาวผมน้ำตาลซีดเผือด น้ำตาไหลอาบเข่า และพูดออกมาราวกับขาด

“กลัว… ท้องฟ้า… น่ากลัว…”

 

                                  บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า บทที่ 3 ตอนที่ 3 จบ

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล]Yuushashi Gaiten บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า 13: -คาราสุมะ คุมิโกะไม่ใช่มิโกะ- 3 หากโลกนี้ ไร้ซึ่งซากุระ ฤดูใบไม้ผลิ คงไม่เหลือความสงบในดวงจิต

Now you are reading [นิยายแปล]Yuushashi Gaiten บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า Chapter 13: -คาราสุมะ คุมิโกะไม่ใช่มิโกะ- 3 หากโลกนี้ ไร้ซึ่งซากุระ ฤดูใบไม้ผลิ คงไม่เหลือความสงบในดวงจิต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

{เจ้านางแอ่นบินกลับมาหา เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข บอกเล่าถึงการที่ได้ทำไป

“มันน่าแปลก” มันสังเกต

“ตอนนี้ฉันรู้สึกอบอุ่นทีเดียว ทั้ง ๆ ที่อากาศมันหนาวมาก”

“นั่นเพราะเจ้าได้กระทำในสิ่งที่ดีนะสิ” เจ้าชายตรัส

นกนางแอ่นเริ่มครุ่นคิดแต่แล้วมันก็ผล็อยหลับไป การคิดมักจะทำให้มันง่วงนอนเสมอ 

———ออสก้า ไวลด์, เจ้าชายเปี่ยมสุข}

 

    ฉันเป็นคนธรรมดาสามัญ

    ส่วนสูงของฉันอยู่ประมาณกลางๆ เมื่อเทียบกับเด็กผู้หญิงคนอื่นในชั้นเรียน คะแนนสอบกับทักษะกีฬาก็กลางๆ เช่นกัน ฉันเกิดในครอบครัวทั่วๆ ไปและเติบโตในบ้านทั่วๆ ไป ไม่มีอดีตที่แสนวิเศษ ไม่มีความลับ ไม่มีแม้แต่พรสวรรค์

    ฉันเป็นคนธรรมดาสามัญ

    ยูจังนั้นแตกต่าง คุณคุมิโกะก็แตกต่าง ในวันนั้น วันที่สัตว์ประหลาดสีขาวปรากฏตัว ฉันไม่สามารถทำอะไรเพื่อปกป้องคนสำคัญได้เลย

    ความสามารถตรวจจับสัตว์ประหลาดของฉันก็ไม่ได้พิเศษอะไรเมื่อเทียบกับความสามารถในการกำจัดพวกมันของยูจัง

    ถ้ายูจังเป็นฉัน เธอจะต้องสามารถช่วยคุณแม่กับคุณพ่อได้แน่

    คุณคุมิโกะมีทั้งมันสมองกับความคล่องแคล่วที่สามารถเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดได้อย่างไม่เกรงกลัว เธออาจจะสามารถช่วยคุณแม่กับคุณพ่อได้เหมือนกัน

    สองคนนั้นเป็นคนพิเศษ

    แล้วทำไมฉันถึงไม่พิเศษเหมือนสองคนนั้นบ้างล่ะ

    ทำไมฉันถึงไม่ใช่คนพิเศษ

    ทำไมฉันถึงต้องจมปลักอยู่กับความธรรมดาแบบนี้

 

                                 X                                                X                                       X

 

“พ่อแม่ของมัตสึริถูกพวกสัตว์ประหลาดฆ่าตายอย่างงั้นเหรอ?”

“ค่ะ…”

    ฉันพูดคุยกับยูนะระหว่างขับรถบัสไปสะพานใหญ่เซโตะ มัตสึริกำลังนอนหลับสนิท จะเรียกสลบไปก็ว่าได้ เพราะเหนื่อยล้าจากการอดนอน แถมยังต้องมาเห็นเลือดจนส่งผลกระทบต่อจิตใจอีก

    ท่าทางของมัตสึริตอนเห็นเลือดของผู้หญิงดูค่อนข้างเกินกว่าเหตุ มันไม่แปลกที่คนเราจะไม่ชอบเห็นเลือด แม้แต่ในมหาลัยของฉันก็มีนักศึกษาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติกับนักศึกษาแพทย์ที่ไม่สามารถทนมองเลือดระหว่างทำการทดลองได้ แต่ท่าทางของมัตสึริตอนเห็นเลือดมันเกินกว่าคำว่า [ไม่ชอบ]

    พอฉันถามยูนะเรื่องนี้ดู เธอก็ส่งสายตาไม่อยากพูดออกมา ฉันจึงคะยั้นคะยอจนยูนะยอมพูด

“ดูเหมือนว่าคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณมัตสึริ… จะถูกพวกสัตว์ประหลาดฆ่าตายค่ะ หนูไม่เห็นตอนที่พวกเขาถูกฆ่า แต่… ครั้งแรกที่หนูเจอกับคุณมัตสึริ ตัวของเธอเต็มไปด้วยเลือด และดวงตาดูว่างเปล่า… คุณมัตสึริเป็นคนบอกเองว่าพ่อแม่ของเธอถูกสัตว์ประหลาดสีขาวฆ่าต่อหน้าต่อตา…”

    ก่อนหน้านี้ฉันเคยถามมัตสึริว่าเจอกับยูนะได้ยังไง แต่สิ่งที่เธอตอบมากลับไม่ตรงกับสิ่งที่ยูนะบอก ดูท่ามัตสึริจะหลีกเลี่ยงที่จะพูดเรื่องที่พ่อแม่ตัวเองถูกฆ่าให้ฉันฟัง

    เห็นพ่อแม่ของตัวเองตายต่อหน้าต่อตา นั่นคือสาเหตุที่มัตสึริเป็นโรคกลัวเลือด

“ขอโทษนะครับ แต่คงถึงเวลาแล้ว”

    ชายวัยสามสิบคนหนึ่งเดินมาที่ที่นั่งคนขับ และเรียกฉันไป เขาทำหน้าที่เป็นหมอ คอยดูแลสุขภาพของผู้โดยสารคนอื่นๆ ในรถบัส เขาเป็นคนต้นคิดให้หยุดรถบ่อยๆ เพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้าทางกายและจิตใจจากการนั่งรถบัสเป็นเวลานาน

“อา นั่นสินะ”

    ฉันพยักหน้าตอบหมอ แล้วหยุดรถบัสที่ลานจอดรถร้านสะดวกซื้อที่ฉันเห็นอยู่ใกล้ๆ  พวกเราหยุดพักแทบจะทุกสามสิบนาที

“นี่ หยุดอีกแล้วเหรอ?”

    หญิงสาวผมสีน้ำตาลที่นั่งใกล้ๆ ที่นั่งคนขับถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เธอดูอายุพอๆ กับฉัน หรืออาจจะอายุน้อยกว่านิดหน่อย น้ำเสียงและรอยย่นระหว่างคิ้วของเธอแสดงออกชัดเจนถึงความฉุนเฉียว

“พวกเรามีผู้สูงอายุกับคนเจ็บอยู่ด้วย จะดีกว่าถ้าเราหยุดพักระหว่างทางให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้นะครับ”

    หมออธิบายให้สาวผมน้ำตาลฟังอย่างใจเย็น

“เออ แล้วรู้หรือเปล่าว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าจะถึงชิโกกุ มันไม่ดีกว่าเหรอถ้าจะไปถึงที่นั่นให้เร็วที่สุดแล้วลงจากรถบัสนี่ซะ”

    สาวผมน้ำตาลตอบ

    สิ่งที่เธอพูดก็ไม่ผิด พวกเราไม่รู้ว่าระหว่าง ไปอย่างช้าๆ โดยพักระหว่างทางกับรีบไปให้ถึงจุดหมายให้เร็วที่สุดโดยไม่พัก อันไหนดีกว่ากัน พวกเราทำได้แค่พูดว่า [นี่เป็นทางเลือกที่ถูกต้อง] [เราควรทำอย่างนี้ดีกว่า] หลังจากเรื่องมันจบแล้ว รู้อะไรไม่สู้รู้งี้

“นี่เป็นทางเลือกของผมที่เป็นผู้เชียวชาญทางการแพ-”

“ฉันตัดสินใจจะทำเอง”

    ฉันตัดบทหมอ พูดใส่สาวผมน้ำตาล

“ฉันขับรถบัสคันนี้ ฉันคือคนตัดสินว่าเราจะไปที่ไหนและไปยังไง ถ้าไม่ชอบก็เชิญลงรถไปได้เลย”

    พอตอบไปอย่างนั้น สาวผมน้ำตาลก็เงียบไป เหลือไว้เพียงสายตาที่มองมาที่ฉันอย่างฉุนเฉียว

 

    ฉันลงจากรถบัสแล้วเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ

    ผ่านมากว่าสามวันแล้วตั้งแต่ที่ออกมาจากโกเสะ ยากที่จะบอกว่านานแค่ไหนแล้วที่เราได้เห็นผู้รอดชีวิตคนอื่นนอกจากคนที่นั่งรถบัสมาด้วยกัน

    หน้าต่างร้านสะดวกซื้อพังยับ เชลวางสินค้าล้มระเนระนาดและแตกเป็นชิ้นๆ พวกสัตว์ประหลาดสีขาวคงพังเข้ามาในร้านนี้และทำลายทุกอย่าง

    แทบไม่เหลืออะไรบนเชลที่สามารถใช้ได้ นอกจากอาหารกับเครื่องดื่มแล้ว พวกของสุขอนามัยอย่างทิชชูกับแบตเตอรี่ก็เละด้วยเหมือนกัน

    ทุกครั้งที่หยุดพัก เราพยายามเลือกที่จอดที่เป็นซุปเปอร์มาร์คเก็ตหรือไม่ก็ร้านสะดวกซื้อเพื่อกักตุนอาหาร แต่ช่วงนี้ร้านที่เราแวะมักจะไม่ค่อยเหลือของบนเชลสักเท่าไหร่ คงมีใครบางคนมาถึงที่นี่ก่อนเรา

    ปัญหาหลักของเราตอนนี้คือเรื่องปากท้อง

    ฉันเดินเข้าไปดูข้างหลังเคาเตอร์ดูว่าน้ำยังใช้งานได้หรือเปล่า มันใช่ไม่ได้

    ขาดน้ำเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าขาดอาหาร ร่างกายของมนุษย์สามารถอยู่รอดโดยไม่กินอาหารได้นานอย่างเหลือเชื่อ แต่ไม่สามารถอยู่รอดได้ถ้าขาดน้ำแม้แต่วันเดียว

    ถ้าพวกเรายังไปไม่ถึงชิโกกุสักที ปัญหาขาดอาหารจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เข้าไปอีก

    ฉันเข้าไปในห้องเก็บของ ก็เจอชายเชิ้ตดำกับลิ่วล้อที่เข้ามาในห้องก่อนฉัน พวกเขากำลังเอาเครื่องดื่มที่เหลืออยู่ใส่ลงในถุง

“เหลือให้คนอื่นด้วยล่ะ”

    ชายเชิ้ตดำเขม่นใส่แล้วตอบคำยั่วยุของฉัน

“รู้แล้วน่า ฉันไม่ได้คิดจะเก็บของนี่ไว้กับตัวเองซะหน่อย ไอ้นี่น่ะเอาไว้แบ่งให้พวกที่ยังอยู่บนรถบัสต่างหากเล่า”

    เขาพูดออกมาอย่างรำคาญแล้วเก็บเครื่องดื่มต่อ

“งั้นฉันขอนี่ไปนะ”

    ฉันหยิบขวดน้ำแร่สามขวดออกมาจากถุงโดยไม่รอคำตอบ พวกเขาหันมามองราวกับจะฆ่ากัน แล้วก็หันกลับไปเก็บของต่อโดยไม่พูดอะไร

    ฉันเดินออกมาจากร้านแล้วกลับไปที่รถบัส

    ทุกคนมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ในเวลาพัก แต่ช่วงที่ผ่านมาจำนวนคนที่ลงจากรถบัสลดลงเรื่อยๆ คงเพราะความเหนื่อยล้าสะสมทำให้พวกเขาไม่มีแรงแม้แต่จะเดินลงจากรถ

    ที่ข้างรถบัส ยูนะยืนเหม่อลอยมองท้องฟ้าที่ยังคงมืดอยู่

“เอ้า ยูนะ”

    ฉันส่งขวดน้ำหนึ่งขวดที่ได้จากชายเชิ้ตดำให้ยูนะ

“ขอบคุณมากค่ะ”

“ตอนนี้ แม้แต่เธอก็คงเหนื่อยแล้วสินะ?”

“อาฮะฮะ… ใช่ค่ะ แต่หนูรู้สึกมีอะไรมากกว่านั้นค่ะ…”

    ยูนะพยายามฝืนยิ้มออกมาอย่างอ่อนแรง แต่ก็หยุดไประหว่างที่พูด

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

“บางทีหนูอาจคิดไปเอง แต่บางอย่างมันแปลกไปน่ะค่ะ หนูหมายถึงคนบนรถบัส…”

“แปลก?”

    ฉันนั่งบนที่นั่งคนขับ จึงไม่สามารถมองในรถได้ทั่ว แต่ยูนะเปลี่ยนที่นั่งและพูดคุยกับผู้โดยสารคนอื่นบ่อยครั้ง เธอจึงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นบนรถบัสมากกว่าฉัน

“คนที่ไม่อยากลงจากรถบัสเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ตอนพัก”

“ใช่ ฉันสังเกตเหมือนกัน อาจเป็นเพราะพวกเขาเหนื่อยจากการเดินทางเป็นเวลานานหรือเปล่า?”

“หนูคิดว่ามันมากกว่านั้นค่ะ อย่างกับว่าพวกเขาไม่ได้เหนื่อย แต่… กลัวข้างนอกล่ะมั้งคะ?”

    กลัว…?

    ถ้าข้อสันนิษฐานของยูนะเป็นจริง มันก็ต่างจาก [เหนื่อยเกินไปจนไม่อยากออกข้างนอก] อย่างสิ้นเชิง ถือว่ามีเหตุผลตามหลักจิตวิทยาที่พวกเขาจะกลัวสัตว์ประหลาด แต่ตอนที่ออกจากโกเสะก็ไม่มีใครกลัวที่จะออกมาจากรถบัสนี่นา อาจเป็นไปได้ว่าฉันไม่ทันสังเกตตอนนั้น

    เกิดอะไรบางอย่างขึ้นในจุดที่ฉันมองไม่เห็นอย่างงั้นเหรอ?

        

    เวลาพักหมดลงและทุกคนกลับขึ้นรถบัส พวกเราเดินทางไปชิโกกุต่อ แต่ก็หยุดหลังขับไปได้สามสิบนาที จุดจอดรถครั้งนี้คือปั๊มน้ำมัน ที่จอดที่นี่เพราะจำเป็นต้องเติมน้ำมันสำหรับเดินทางต่อ

    พอรถบัสจอด มัตสึริก็ตื่นพอดี

“พวกเราอยู่ที่ไหนแล้ว?”

“บนรถบัส เธอหมดสติแล้วสลบไป แต่ก็ไม่ได้นานหรอก พวกเรายังอยู่เฮียวโกอยู่เลย”

“รู้สึกดีขึ้นหรือเปล่าคุณมัตสึริ? ดื่มน้ำสักหน่อยนะ คุณคุมิโกะให้มาน่ะ”

    ยูนะส่งน้ำแร่ให้มัตสึริ

“ขอบคุณ…”

    มัตสึริรับน้ำมาแล้วยกดื่มอย่างช้าๆ หน้าเธอซีดไม่เปลี่ยน

    ยังมีบางคนลงจากรถบัสอยู่ แต่จำนวนน้อยกว่าครั้งที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด เกือบทุกคนที่นั่งอยู่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก พวกเขาไม่แม้แต่มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยซ้ำ

“มัตสึริ ขอโทษที่ตั้งถามเรื่องนี้หลังจากที่เพิ่งตื่นมานะ แต่ตอนนี้มีสัตว์ประหลาดใกล้ๆ เราหรือเปล่า?”

“อืม… ไม่ หนูว่าไม่มีนะคะ บางทีน่ะนะ…”

    ฉันหันไปทางยูนะ

“งั้นยูนะนอนพักเถอะ พวกเราไม่รอดแน่ถ้าเธอไม่สามารถสู้ได้ในเวลาคับขัน”

“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ”

    ยูนะดูเป็นห่วงมัตสึริ แต่เธอเข้าใจหน้าที่ของตัวเอง เธอปรับที่นั่งแล้วหลับตาลง

    ฉันลงจากรถบัสไปเติมน้ำมัน

    ท้องฟ้ายังคงมืดอยู่

    ไม่รู้ว่าผ่านไปนานกี่วันแล้วตั้งแต่ออกจากโกเสะ ระหว่างที่กำลังเตรียมหัวจ่ายน้ำมันอยู่นั้น มัตสึริก็ลงมาพอดี

“ออกมาจากรถบัสจะดีเหรอ?”

“ค่ะ… ถึงจะรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก็เถอะ”

“ไม่ใช่แค่ที่เธอรู้สึกไม่ดีนะ คนอื่นๆ ในรถบัสเริ่มพากันกลัวข้างนอกไปหมด”

“อย่างนั้นเหรอคะ?”

“ใช่ มันไม่เคยเกิดขึ้นตอนเราออกจากโกเสะ จิตใจมนุษย์เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ซึ่งก็สมเหตุสมผลแล้วที่จิตวิทยากับจิตเวชเป็นหนึ่งในสาขาใหญ่ของวิทยาศาสตร์ ฉันเดาไม่ออกเลยว่าเหตุอะไรทำไมเธอถึงปิดบังเรื่องที่พ่อแม่ตัวเองถูกฆ่าตายเช่นกัน”

“…ยูจังบอกคุณเหรอคะ?”

“ใช่ ถึงยูนะจะไม่ค่อยอยากพูดเรื่องนี้สักเท่าไหร่ แต่สุดท้ายฉันก็ทำให้เธอพูด พวกเขาตายต่อหน้าเธอจริงๆ สินะ?”

    รถบัสมีทั้งแบบใช้น้ำมันเบนซินกับดีเซล ส่วนรถของเราใช้ดีเซล พวกเราคุยกันต่อระหว่างที่ฉันเติมน้ำมัน

“…ค่ะ… ตอนที่สัตว์ประหลาดโผล่มา… ตอนที่หนูบอกว่าไปตรวจสอบที่ศูนย์อพยพ มันก็มืดมากแล้ว คุณแม่กับคุณพ่อเลยห้ามหนูไว้ พวกเขาบอกว่าไว้ค่อยทำพรุ่งนี้ก็ได้ แน่นอนว่าพวกเขาต้องห้ามหนูไว้อยู่แล้ว สถานที่ที่ถูกจัดเป็นศูนย์อพยพเป็นโรงเรียนที่อยู่ใกล้บ้าน เลยไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปตรวจสอบก่อน อีกอย่าง ที่นาระไม่ได้เจอกับภัยพิบัติรุนแรงเท่าที่อื่น… เลยไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอะไรตอนดึกดื่นแบบนี้ ถ้าตอนนั้นหนูใช้ความคิดสักนิดก็คงเข้าใจ… แต่ในคืนนั้นหนูถูกอะไรบางอย่างเข้าควบคุม”

    ฉันฟังเรื่องราวของมัตสึริต่อขณะน้ำมันกำลังไหลเข้าถัง

“หนูยืนกรานจะออกไปข้างนอกให้ได้จนคุณแม่คุณพ่อยอม แต่ต้องมีพวกเขาไปด้วย… พวกเราสามคนเลยออกไปข้างนอกกัน”

“ไม่แปลกที่พ่อแม่จะอยากไปกับลูกสาวที่พยายามจะออกไปข้างนอกตอนดึกดื่น โดยเฉพาะลูกสาวที่มีปัญหาทางสภาพจิตยิ่งแล้วใหญ่”

    มัตสึริก้มหน้าลงแล้วเล่าต่อ อย่างช้าๆ

“พวกเราสามคนออกไปข้างนอก… และพอมาถึงบริเวณโรงเรียน… แผ่นดินก็ไหวและสัตว์ประหลาดก็โผล่มา สัตว์ประหลาดตัวหนึ่งอ้าปากใส่หนู… จากนั้นคุณพ่อก็ผลักคุณแม่และหนูเพื่อช่วยพวกเราไว้… จากนั้นร่างของเขาก็ถูกกัดจนเป็นชิ้นๆ… หนูเห็นกระดูกและส่วนอื่นๆ ของคุณพ่อถูกบดจนเละ แต่ไม่มีเสียงดังมันเหมือนในมังงะกับหนังที่เคยดู มีแค่… เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของคุณพ่อ คุณแม่กับหนูเปื้อนเลือดที่สาดกระเซ็นออกมาจากปากและท้องของเขา… คุณแม่บอกให้หนูวิ่งหนีไป หนูก็ทำตามพร้อมส่งเสียงกรีดร้อง… แต่คุณแม่กลับพุ่งไปหาสัตว์ประหลาดตัวนั้นและพยายามช่วยคุณพ่อ… แม้จะรู้ดีว่าไม่สามารถทำได้ ตั้งแต่นั้น ทุกครั้งที่หนูเห็นเลือด… ภาพการตายของคุณพ่อกับคุณแม่ก็ลอยมา…”

    มัตสึริเสียงสั่น

“สุดท้ายหนูเป็นเพียงคนเดียวที่รอด… ถ้าคุณพ่อกับคุณแม่ไม่มากับหนู… ถ้าหนูไม่ยืนกรานจะออกไปข้างนอกตอนกลางคืน… พวกเขาก็คงยังมีชีวิตอยู่… ทั้งหมดเป็นความผิดของหนูเอง”

    แล้วมัตสึริก็เจอกับยูนะหลังจากเรื่องนี้เกิดขึ้น

“พวกสัตว์ประหลาดโผล่มาทั่วทุกที่ในคืนนั้น ต่อให้พ่อแม่ของเธอไม่ตามไปด้วยก็ต้องเจอพวกมันอยู่ดี”

“…”

“ตอนที่ยูนะใส่ปลอกแขน พลังกายของเธอก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ตอนที่ฉันลองทำแบบเดียวกันกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หมายความว่าปลอกแขนคู่นั้นเป็นของยูนะเพียงคนเดียว และเพราะอย่างนั้นยูนะจึงสามารถใช้มันกำจัดสัตว์ประหลาดได้ และมัตสึริ เธอเป็นคนเจอปลอกแขนนั่นใช่ไหมล่ะ?”

“…ใช่ค่ะ…”

“เพราะพ่อแม่ของเธอ ทำให้เธอมีชีวิตรอดรอด และมอบปลอกแขนคู่นั้นให้กับยูนะ และเพราะยูนะสามารถสู้ได้ ผู้คนมากมายจึงได้รับการช่วยเหลือ ผู้คนบนรถบัสและในซุปเปอร์มาร์คเก็ตที่โกเสะ ทุกคนถูกเธอกับยูนะช่วยไว้ การเสียสละของพ่อแม่ของเธอได้ช่วยชีวิตผู้คนมากมายเอาไว้นะ”

“แต่…”

“ยอมรับไม่ได้สินะ?  ยังไงซะเราก็วัดคุณค่าชีวิตของคนด้วยจำนวนไม่ได้”

    มัตสึริพูดพึมพำ เธอยังคงก้มหน้าอยู่

“…มันจะดีกว่าถ้าคนที่ตายมีแค่หนูคนเดียว…”

 

    มัตสึริมองขึ้นไปบนท้องฟ้ามืดสนิทสักพักหนึ่ง แล้วเดินกลับไปขึ้นรถ ก้าวเดินของเธอสั่นเครือ

    ฉันเติมน้ำมันรถบัสเสร็จแล้ว

    หันไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มองไปทั่วรถบัสอย่างวิตกกังวล เธอคือคนที่ได้รับบาดเจ็บที่ขาขณะวิ่งหนีสัตว์ประหลาดในตอนที่หยุดพักครั้งก่อน

“ทำอะไรน่ะ? ขาของคุณเจ็บอยู่นะ อย่าขยับมากจะดีกว่า”

“แต่ลูกสาวของฉัน… หายไป”

“หายไป?”

“ค่ะ เธอเดินออกไปข้างนอกระหว่างที่ฉันพักอยู่… และยังไม่กลับมาเลย ฉันเป็นห่วงเลยเดินออกมาดู แต่ก็หาไม่เจอเลยค่ะ”

    ฉันมองไปทั่วปั๊มน้ำมัน ที่นี่เป็นปั๊มน้ำมันเดี่ยวๆ ตั้งอยู่ก่อนทางขึ้นภูเขา จึงไม่ค่อยมีอะไรอยู่รอบๆ นอกจากบ้านเดี่ยวไม่กี่หลัง ป่า และรถหลายคันที่ถูกทิ้งไว้ แต่บ้านกับป่านี่แหละที่ซ่อนชั้นดีเลย

“ลูกของคุณลงจากรถบัสตอนไหนเหรอ?”

“ประมาณยี่สิบสามสิบนาทีก่อน คิดว่านะ เธออายุห้าขวบและผูกโบ ถ้าเธอไปไกลเกินไปล่ะก็ อาจจะหาทางกลับไม่ได้…”

    เด็กผูกโบ… คนที่สนิทกับมัตสึรินิ

    ด้วยระยะเวลาประมาณยี่สิบสามสิบนาที ต่อให้เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กก็สามารถไปได้ค่อนข้างไกล มีความเป็นไปได้สูงที่เธอจะหลงทาง

    ฉันกลับเข้าไปในรถบัสและอธิบายสถานการณ์ให้ผู้โดยสารคนอื่นๆ ฟัง

    พอมัตสึริรู้เรื่องก็ตัวสั่น ไม่แปลกใจ เพราะพวกเธอเป็นเพื่อนกันแล้ว

“ไปหาน้องกันเถอะค่ะ! ถ้าเกิดสัตว์ประหลาดโผล่มาจะไม่ดีเอานะคะ!”

    เสียงของมัตสึริเต็มไปด้วยความร้อนรน แต่ผู้โดยคนอื่นๆ กลับนิ่งเฉย ไม่มีใครลุกออกมาจากที่นั่งเลยสักคน

“ถึงจะบอกว่าตามหาก็เถอะ… แต่ว่า”

“นั่นลูกเธอไม่ใช่เหรอ… ทำไมไม่ดูแลให้ดีๆ ล่ะ”

“ชิ…”

    บรรยากาศกลายเป็นตึงเครียดและเกลียดชัง เสียงถงเถียงปลุกยูนะขึ้นมา

“อือ เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”

“เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มากับเราหายไปน่ะ เธอลงไปจากรถบัสตัวคนเดียว และน่าจะหาทางกลับไปเจอ”

    หลังจากได้ยินมัตสึริอธิบาย ยูนะก็รีบกระโดดลงจากที่นั่ง

“จริงเหรอ!? พวกเราต้องไปหาแล้ว!”

    มัตสึริ ยูนะ และแม่ของเด็กผูกโบลงจากรถบัสไป

    แต่ไม่มีใครอื่นลุกจากที่นั่ง ส่วนใหญ่ทำเป็นหลับตาแกล้งหลับ หรือไม่ก็หลบหน้าหลบตาจากฉัน

    ทุกคนเหนื่อยแล้ว

    แต่มันมีอะไรบางอย่างมากกว่าแค่ความเหนื่อยล้า

“ผมจะไปหาด้วยเหมือนกัน”

    หมอพูดออกมาอย่างห้วนๆ แล้วลุกขึ้น เขาดูเหนื่อยไม่ต่างจากคนอื่น แต่ก็เดินออกไปข้างนอกอย่างเชื่องช้า ฉันเดินตามเขาไป

“ดูเหมือนคุณจะยังพอคุยด้วยได้อยู่นะ พอดีฉันมีคำถาม”

    ฉันเข้าไปใกล้หมอ

“…อะไรเหรอ”

    เขามองมาที่ฉันด้วยความสับสน

“ผู้โดยสารคนอื่นๆ เริ่มไม่สามารถออกมาข้างนอกได้ทีละคนๆ บางคนแค่เหนื่อยที่จะเดิน แต่บางคนบอกว่ากลัวเกินกว่าที่จะออกมาข้างนอก คุณหมอคิดว่ายังไง?”

    หมอเงียบไปพักหนึ่ง ราวกับกำลังเลือกคำตอบดีๆ อยู่ แล้วก็พูดขึ้น

“…อาจจะเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่แค่ผู้สูงอายุที่ปฏิเสธจะออกมาข้างนอก แต่พวกวัยรุ่นก็ด้วย… และผมคิดว่ามันมีแนวโน้มจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เราเจอกับสัตว์ประหลาด”

    เป็นเพราะความกลัวที่มีต่อสัตว์ประหลาดทำให้พวกเขาไม่สามารถออกมาข้างนอกได้จริงด้วย

“เข้าใจแล้ว แล้วมีอะไรอย่างอื่นที่คุณหมอกังวลอยู่หรือเปล่า?”

“คิดก่อนนะ… ผมได้รับอาหารมา…”

“อาหาร?”

“ครับ ชายสวมเชิ้ตดำที่นั่งอยู่ข้างหลังผมและเพื่อนของเขาเอาอาหารที่ได้มาระหว่างพักให้ผู้โดยสารคนอื่นๆ เขาดูเป็นมิตรแปลกๆ ราวกับเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้”

    การกระทำของผู้ชายคนนั้นมีความหมายอะไรกันนะ ฉันครุ่นคิด

 

    ยูนะ มัตสึริ แม่ของเด็ก หมอ และฉันใช้เวลากว่าสามสิบนาทีตามหาเด็กผูกโบที่มีชื่อว่ารูริจัง แต่ก็หาไม่เจอ ระหว่างที่กำลังหาอยู่นั้น ฉันก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว

“มัตสึริ เธอใช้พลังตามหาเด็กได้หรือเปล่า?”

“เอ๋?”

“พลังในการตรวจจับสัตว์ประหลาดของเธอใช้ตรวจจับสิ่งอื่นได้หรือเปล่า?”

    มัตสึริส่ายหัวอย่างรู้สึกผิด

“น่าจะไม่ได้ค่ะ… หนูไม่รู้ว่าตอนไหนที่หนูจะรู้สึกแปลกๆ หนูไม่สามารถตรวจจับได้ในทันที… และมันไม่บอกอย่างอื่นนอกจากพวกสัตว์ประหลาด”

“งั้นเหรอ…”

    งั้นทางเลือกของเราก็มีแค่ใช้กำลังอย่างเดียว

    ระหว่างที่ตามหาเด็กหญิงอยู่นั้น ขาที่บาดเจ็บของแม่เด็กก็เริ่มออกอาการ และทำให้เธอเดินลำบาก พวกเราจึงตัดสินใจกลับไปที่รถบัสกันซะเดี๋ยวนั้น

“ขอโทษนะคะ พวกเรายังไม่เจอน้องเลย! ช่วยรออีกสักหน่อยนะคะ!”

    ยูนะก้มหัวต่อหน้าผู้โดยสารคนอื่นๆ

“พอสักทีเถอะ!” สาวผมน้ำตาลตะโกน “จะให้รออีกนานขนาดไหนกัน!? รีบออกเดินทางได้แล้ว! เดี๋ยวสัตว์ประหลาดก็โผล่มาหรอก!”

    เสียงของเธอดังก้องไปทั่วรถบัส คนอื่นๆ เงียบไปขณะสาวผมน้ำตาลส่งตะโกน

“จะ… จะบอกว่า… พวกเราควรทิ้งเด็กคนหนึ่งไว้เหรอคะ?”

    มัตสึริถามอย่างหวาดกลัว

“ใช่ ก็ไม่รู้ไม่ใช่เหรอว่าเด็กนั่นอยู่ที่ไหนน่ะ ยังไงก็หาไม่เจอหรอก! แล้วคิดจะใช้เวลาหานานแค่ไหนกันหะ!? กี่ชั่วโมง!? หรือจะสักกี่วัน!? พวกเรารอไม่ได้หรอกนะ! พวกเราต้องไปที่ปลอดภัยให้เร็วที่สุด!”

    ไม่มีใครในรถบัสเถียงสาวผมน้ำตาลได้ ความจริง เธออาจพูดแทนผู้โดยสารคนอื่นอยู่

“ขอโทษค่ะ… ขอโทษค่ะ… ขอโทษค่ะ…”

    แม่เด็กพูดขอโทษซ้ำไปซ้ำมาพร้อมน้ำตา

    ยูนะมองมาที่ฉันราวกับขอความช่วยเหลือ แต่ก่อนที่ฉันจะพูดอะไร ชายเชิ้ตดำก็เข้ามาตัดบทสนทนา

“เฮ้ พวกเรามาลองถามความเห็นของคนในรถบัสกันดีกว่าไหม? ว่าพวกเราจะไปตามหาเด็กจนกว่าจะเจอหรือลืมเรื่องนี้ไปซะแล้วเดินทางต่อ ไง สนใจไหม?”

“เดี๋ยวก่อนค่ะ!”

    ยูนะพยายามหยุดเขา แต่สาวผมน้ำตาลไม่สนใจและพูดต่อ

“เอาเลย! ทุกคนว่ายังไง!? ใครคิดว่าควรตามหาเด็กต่อให้ยืนขึ้น! พวกเราไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่วันกว่าจะหาเจอ! ไม่รู้ด้วยว่าสัตว์ประหลาดจะโผล่มาเมื่อไหร่! มีใครคิดว่าไม่ว่ายังไงก็ต้องตามหาเด็กให้ได้บ้าง!? พวกเราจะตัดสินจากเสียงข้างมาก ถ้าคิดจะตามหาเด็กก็ลุกขึ้นซะ!”

    สายตามากมายหันไปมาภายในรถบัส ทุกคนพยายามหาว่าคนอื่นคิดยังไง ต่างคนต่างตกอยู่ในความคิด ไม่รู้ว่าคนอื่นจะทำอะไร และในเมื่อหาคำตอบไม่ได้ ก็ไม่มีใครลุกขึ้นยื่น

“เห็นไหม ไม่มีใครลุก! ไม่มีใครอยากหาเด็ก! เอ้า รีบไปได้แล้ว! ไม่มีใครรู้ว่าสัตว์ประหลาดจะมาเมื่อไหร่นะ! สตาร์ทรถแล้วออกไปจากที่นี่กันสักที!”

    สาวผมน้ำตาลได้ใจ เพราะถือไพ่เหนือกว่า

“เลิกเสียเวลาสักที! เรามีคนแก่กับคนเจ็บอยู่ด้วยนะ! ถ้าอาการพวกเขาเกิดแย่ลงหรือคนแก่เริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมาจะทำยังไง?”

    ชายเชิ้ตดำพูดถูก แม่ของเด็กร้องไห้แต่ไม่พูดอะไร

“แต่…!”

    ยูนะมองมาที่ฉันสลับกับผู้โดยสารที่เหลือ

“พอสักที!”

“รีบไปที่ปลอดภัยเร็วๆ เถอะ!”

“ถ้าเอาแต่หาก็ไม่มีทางเจอหรอก…”

“ใช่”

“ไม่มีแรงแล้ว… เจ็บเหลือเกิน…”

    เสียงไม่พอใจเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

“ได้ยินใช่ไหมล่ะ? สตาร์ทรถสักทีสิ!”

    สาวผมน้ำตาลพูด ทันใดนั้นมัตสึริก็พูดออกมาอย่างแผ่วเบา แต่ปฏิเสธออกมาอย่างหนักแน่น

“ไม่…”

    เสียงของเธอสั่นเครือ

“ไม่ได้นะ พวกเราทิ้งเด็กคนนั้นไปไม่ได้ พวกเราจะตามหาจนกว่าจะเจอ หนูสาบาน จะต้องหาให้เจอ”

    ชายเชิ้ตดำเขม่นใส่มัตสึริ เธอตกใจจนตัวเกร็ง

“เฮ้ย…”

    มือของชายเชิ้ตดำยื่นมาทางมัตสึริ แต่ฉันก้าวไปขว้างไว้

“เดี๋ยวก่อน [เสียงส่วนใหญ่] ที่พวกคุณสองคนตัดสินมันไม่ค่อยยุติธรรมสักเท่าไหร่นะ ถามว่าอะไรนะ? [พวกเราไม่รู้ว่าสัตว์ประหลาดจะโผล่มาเมื่อไหร่ เพราะงั้นใครที่อยากตามหาเด็กจนกว่าจะเจอให้ลุกขึ้น] ใช่ไหม? พวกคุณตั้งคำถามโดยไม่มีอะไรเลยนอกจากทำให้คนอื่นตอบอย่างที่ตัวเองต้องการ และคนที่ไม่ลุกไม่ได้มีแค่คนที่อยากให้สตาร์ทรถ ยังมีคนที่คิดคำตอบไม่ได้อีกด้วย ขอฉันพิสูจน์อะไรสักหน่อยนะ…” ฉันมองไปทั่วรถ “ถ้าฉันถามว่า [ใครอยากเดินทางต่อ เพราะคิดถึงแค่เรื่องความปลอดภัยของตัวเอง ปล่อยให้เด็กหนึ่งคนตายๆ ไปซะ ขอให้ลุกขึ้น] เสียงส่วนใหญ่จะยังคงนั่งอยู่หรือเปล่านะ?”

“นั่นมัน…”

    ชายเชิ้ตดำกับสาวผมน้ำตาลพูดไม่ออก

“และรู้ไหมว่าอะไรที่พลาดอย่างมหันต์? เสียงส่วนใหญ่ไม่มีความหมายอะไรกับรถบัสคันนี้ ทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่กับความคิดของทาคาชิม่า ยูนะ โยโคเตะ มัตสึริ และฉัน ยูนะต่อสู้กับสัตว์ประหลาดและปกป้องพวกคุณ มัตสึริกับฉันพาพวกคุณไปที่ปลอดภัย พวกคุณไม่สามารถบังคับพวกเราให้ทำอะไรสักอย่างได้ เพราะพวกคุณทุกคนได้รับการคุ้มครองจากพวกเรา จำใส่หัวไว้ด้วยล่ะ และตอนนี้ มัตสึริ ยูนะ และฉันตัดสินใจที่จะตามหาเด็ก ถือเป็นอันสรุป”

        

    เป็นอันตกลงที่พวกเราจะตามหาเด็กผู้หญิงต่อ มีเพียงไม่กี่คนที่ให้ความร่วมมือ พวกเขาส่วนใหญ่หวาดกลัวข้างนอก และทุกคนก็ดูเหนื่อย บางคนมองฉันด้วยสายตาต่อต้าน

    นอกจากฉัน มัตสึริ ยูนะ แม่ของเด็ก และหมอแล้วยังมีอีกสองสามคนที่เข้ามาช่วยหาเด็ก

    ระหว่างที่กำลังค้นหาบริเวณปั๊มน้ำมัน มัตสึริก็เริ่มพูดคุยกับฉัน

“คือว่า… ก่อนหน้านี้ขอบคุณมากๆ นะคะ ที่ช่วยตอนที่หนูบอกว่าอยากจะหาน้องต่อ…”

“จริงๆ ฉันไม่สนหรอกว่าเราจะตามหาเด็กต่อหรือเปล่า ที่ทำไป เพราะเมื่อกี้เธอดูหมดอาลัยตายอยาก”

“…หนูแค่ไม่สามารถทำใจทิ้งน้องคนนั้นไว้ที่นี่ได้…”

“พยายามชดใช้เรื่องพ่อแม่เหรอ?”

“…”

“เธอคิดว่าที่พ่อแม่ตายเพราะตัวเอง ก็เลยอยากช่วยชีวิตคนอื่นชดใช้ให้พวกเขาอย่างนั้นสินะ?”

“…ค่ะ…  แบบว่า… มีแค่เรื่องนี้ที่รักษาสมดุลชีวิตได้ ถ้ามีใครสักคนตายเพราะหนู หนูจะต้องช่วยใครอีกสักคนเอาไว้…”

“โง่จริงๆ ที่พ่อแม่ของเธอตายไม่ใช่เพราะเธอ และสมดุลอะไรนั่นมันไม่มีจริงหรอก ชีวิตของคนไม่ใช่ตัวเลข จะเป็นหรือตายมันวัดค่าไม่ได้ด้วยการบวกลบหรอกนะ”

“แต่… หนูยกโทษให้ตัวเองไม่ได้…”

    สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของมัตสึริ

    ฉันจุดบุหรี่แล้วมองไปรอบๆ เริ่มคิดแล้วว่าเราสามารถหาเด็กหลงทั้งแบบนี้ได้จริงหรือเปล่า

    มีหลายเคสที่กลุ่มค้นหากลุ่มใหญ่ไม่สามารถหาเด็กเจอได้ทั้งที่ใช้เวลาหลายวัน นั่นแหละคือการหาคนหาย

    และยิ่งกว่านั้น ตอนนี้พวกเรากำลังเผชิญกับอันตรายที่อยู่ในรูปร่างของสัตว์ประหลาดสีขาวที่พร้อมโผล่มาได้ทุกเมื่อ

“คุณคุมิโกะคะ…”

    มัตสึริมองมาที่ฉันอย่างสงสัย

“มีอะไรเหรอ?”

“อะ… เออ… ไม่มีอะไรค่ะ”

    ฉันไม่เข้าใจว่าเธอต้องการอะไร แต่จะยังไงก็ไม่สำคัญ

“มัตสึริ แถวนี้มีสัตว์ประหลาดหรือเปล่า?”

“ไม่ค่ะ… หนูคิดว่าไม่นะคะ”

“แล้วสัตว์ประหลาดที่อยู่ใกล้ที่สุดล่ะ? เธอบอกได้หรือเปล่า?”

“อืม… หนูมีความรู้สึกไม่ค่อยดีเมื่อกี้นี้ค่ะ แต่มันอยู่ในที่ที่ไกลมากๆ จากเส้นทางของเรา…”

“บอกฉันที”

    มัตสึริหยิบสมุดสะเก็ตออกมาจากกระเป๋าเป้ พลิกหน้ากระดาษสักพักแล้วเอาแผนที่ที่วาดไว้ให้ดู

    ฉันเปิดแอพฯ แผนที่ในสมาร์ทโฟนแล้วเอามาเทียบกับภาพวาดของมัตสึริ ที่นี่ไม่มีสัญญาณเลยทำได้แค่เข้าแผนที่แบบออฟไลน์ แต่อย่างน้อยฉันก็พอรู้ทิศทางและวิธีดูแผนที่อยู่เล็กน้อย

    ฉันเอาสมุดคืนมัตสึริ

“ขอบคุณ ฉันมีเรื่องต้องไปทำ ไม่ต้องห่วงนะเดี๋ยวอีกไม่กี่ชั่วโมงฉันจะกลับมา”

    ฉันเดินมาจากมัตสึริแล้วไปที่รถบัส

 

    ฉันมองคุณคุมิโกะเดินตรงไปที่รถบัส เธอไม่ช่วยเรื่องการค้นหาเลย บางทีอาจนึกอะไรขึ้นมาได้ล่ะมั้ง

    ตอนที่คุยกันก่อนหน้านี้… เธอกำลังกลั้นยิ้มอยู่ บางที… ฉันอาจคิดไปเอง

    ยังไงคุณคุมิโกะก็ไม่ใช่คนไม่ดี แต่เธอค่อนข้างเข้าใจยาก

    เธอเป็นคนใจดีที่เข้ามาช่วยฉันตอนที่คนในรถบัสถกเถียงกัน แต่เธอก็ก้าวร้าวเกินไปตอนที่รับมือกับชายเชิ้ตดำและผู้หญิงผมน้ำตาล คุณคุมิโกะเป็นคนฉลาด เธอสามารถปรามพวกเขาได้โดยไม่ต้องทำให้มันตึงเครียดแบบนั้น ทำไมถึงพูดอย่างนั้นกันนะ

    หรือว่าคุณคุมิโกะจะ…

    เลิกคาดเดาอะไรแปลกๆ แล้วหันมาตั้งใจค้นหาเด็กหลงดีกว่า

“รูริจัง!”

    ฉันไม่รู้ว่าจะไปหาที่ไหน เลยเดินตะโกนไปทั่ว

    ผ่านไปนานแค่นั้นแล้วนะตั้งแต่ที่ฉันเริ่มตามหารูริจัง? สักชั่วโมงไหมนะ ไม่ อาจจะมากกว่านั้น แม้แต่เด็กก็สามารถไปได้เป็นกิโลถ้าปล่อยไว้สักชั่วโมง ยิ่งหานานเท่าไหร่ก็ยิ่งไปไกลมากเท่านั้น

    ฉันมองไปรอบๆ ตัว มีบ้านหลายหลังกับป่า มีจุดให้ซ่อนตั้งมากมาย ฉันจำข่าวที่ตำรวจกับเจ้าหน้าที่ดับเพลิงตามหาเด็กหลงทางคนหนึ่งบนภูเขาได้ มีกลุ่มค้นหาหลายกลุ่มพร้อมสุนัขตำรวจ ต้องใช้เวลาและกำลังคนมากมายเพื่อตามหาเด็กเพียงคนเดียว แต่จำนวนคนของเรามีเพียงน้อยนิด จะต้องใช้เวลามากขนาดไหนกันในการตามหารูริจัง

“ไม่เป็นไร พวกเราต้องเจอน้องแน่!”

    ยูจังคงรู้สึกกังวลเลยหันมาให้กำลังใจฉัน คำพูดของยูจังช่วยฉันได้เสมอ

    ฉันเป็นคนธรรมดาสามัญ คนจืดจางที่ไม่เคยโดดเด่นในห้องเรียน ปานกลางในทุกๆ อย่าง ถ้าฉันหายไปก็ไม่มีใครรู้ การที่ฉันสามารถสัมผัสได้ถึงสัตว์ประหลาด ทำให้ฉัน [พิเศษ] ขึ้นมานิดหน่อย แต่นอกจากนั้นฉันก็ไม่มีอะไรเลย

    แต่คุณพ่อกับคุณแม่กลับมาตาย เพราะคนไร้ตัวตนที่ไม่มีอะไรดีสักอย่างแบบฉัน 

    ฉันจะต้องชดใช้ ฉันจะต้องทำดีเพื่อรักษาสมดุล ไม่อย่างนั้นมันจะเอนเอียงไปทางที่ไม่ดี

    ฉันตามหาเด็กหลงต่อ

    พอมองไปที่รถบัส ฉันเห็นบางคนกำลังมองเราผ่านหน้าต่าง นัยน์ตาของเขาดูเหนื่อยล้าและเลื่อนลอย ฉันคือตัวปัญหาของพวกเขา

    แต่ถึงอย่างนั้น

    ฉันอยากจะช่วยใครสักคนหนึ่ง

    ฉันไม่อยากให้ใครตายต่อหน้าฉัน

    ฉันไม่อยากให้ใครตายอีกแล้ว และไม่ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน ฉันก็จะตามหารูริจังให้เจอ

    เท้าของฉันมีแผลพุพอง เพราะเดินมากเกินไป ทันใดนั้นเสียงของยูจังก็ดังขึ้น

“เจอแล้ว! คุณมัตสึริ หนูเจอรูริจังแล้ว”

 

    เด็กหญิงนั่งอยู่บนพื้นไกลจากปั๊มน้ำมันไม่กี่ร้อยเมตร

“รูริจัง เราไม่ควรอยู่ตรงนี้ตาลำพังนะ กลับกันเถอะ”

    ฉันก้มลงข้างๆ เธอ แต่เด็กหญิงไม่แม้แต่จะมองมาทางฉัน

“กลับ… ที่ไหนเหรอ?”

    รูริจังพึมพำ

    ฉันจะพูดว่ากลับไปที่รถบัส… แต่มันติดอยู่ในลำคอ

    เธอไม่ควรจะกลับไปที่รถบัสคันนั้น เธอควรจะกลับไปที่บ้าน สำหรับเด็กคนนี้ มันควรจะเป็นบ้านที่นาระ… ที่ที่เราจากมา

“คุณย่าป่วยขยับไปไหนไม่ได้เลยต้องอยู่บ้าน…. คุณพ่อก็ทำงานอยู่เลยไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน… หนูอยากกลับบ้าน… พวกเขาบอกว่าถ้าฟ้ามืดให้กลับบ้าน…”

    เด็กน้อยพูดเสียงสั่น

    เธอกับแม่เดินทางจากนาระมาถึงที่นี่ เธอมีคุณย่าอยู่ที่บ้าน เธอไม่สามารถติดต่อพ่อของตัวเองได้ เธอเดินทางมาไกลโดยมีเพียงแม่ที่มาด้วยกัน บางที่เด็กคนนี้แค่พยายามกลับบ้าน กลับไปบ้านของตัวเองที่นาระ ถึงแม้จะเป็นไปไม่ได้

    ฉันกอดเด็กคนนี้เอาไว้อย่างนุ่มนวลที่สุดที่ทำได้

“ไม่เป็นไรนะ รูริจังจะได้กลับแน่ๆ ไม่ช้าก็เร็วจะได้กลับบ้านแน่นอน ถึงตอนนี้จะมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้น แต่สักวันหนึ่งมันจะกลับมาปกติอีกครั้ง ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย รูริจังจะได้กลับบ้าน…. เพราะงั้นกลับกันเถอะนะ กลับไปที่ที่ปลอดภัยสำหรับตอนนี้”

    เด็กหญิงส่งเสียงมาอย่างเบาๆ “อืม”

    ฉันให้รูริจังขี่หลังและพากลับไปที่ปั๊มน้ำมันกับยูจัง

    เมื่อแม่ได้เห็นรูริจัง เธอก็เข้ามากอดลูกเอาไว้แน่นด้วยใบหน้าอาบน้ำตา

“มัตสึริ เจอเด็กแล้วเหรอ?”

    จู่ๆ คุณคุมิโกะก็โผล่มาข้างๆ ฉัน

“ค่ะ… ยูจังเป็นคนเจอค่ะ”

“งั้นเหรอ ฉันไปหาที่ที่ไกลจากตรงนี้ไปน่ะ ดีจริงๆ ที่หาเจอ”

    คุณคุมิโกะมองไปที่เด็กหญิงที่ถูกสวมกอดโดยแม่ของเธอ

“มัตสึริ เธอช่วยเด็กนั่นไว้ ถ้าเธอไม่ยืนกรานจะตามหาล่ะก็เด็กคนนั้นคงถูกทิ้งไว้ที่นี่ แล้วที่ทำไปช่วยให้รู้สึกดีขึ้นจากเรื่องพ่อแม่หรือเปล่า?”

“…ไม่เลยค่ะ”

“ว่าแล้ว ในโลกนี้เธอไม่สามารถรักษาสมดุลของเรื่องร้ายๆ โดยการทำดีได้ แต่สิ่งที่เธอทำคือสิ่งที่ดี นั่นคือเรื่องจริง เธอช่วยชีวิตเด็กคนหนึ่งไว้”

“ที่คุณพ่อกับคุณแม่เสียสละเพื่อให้หนูมีชีวิตอยู่… มันมีความหมาย… สินะคะ…?”

“หนึ่งชีวิตถูกช่วยเหลือเพราะเธอ แน่นอนว่ามันมีความหมายอยู่แล้ว ฉันรับประกันเลย”

“…ขอบคุณค่ะ…”

    คุณคุมิโกะมีด้านแปลกๆ และเย็นชา แต่ยังไงก็เป็นคนดี

“รูริจัง… เด็กคนนั้น บอกว่าอยากกลับบ้าน”

“อย่างนั้นเหรอ”

“ตอนนี้โลกมันแปลกไปหมด… แต่หนูแน่ใจ… ว่ามันจะต้องกลับมาเหมือนเดิมสักวันหนึ่ง พวกเราจะหลบภัยอยู่ที่ชิโกกุสักพัก… แล้วกลับบ้านกัน”

“แล้วมัตสึริล่ะ? เธอเองก็อยากกลับบ้านเหมือนกันเหรอ?”

“หนู… ไม่มีที่ให้กลับ เพราะคุณพ่อกับคุณแม่ตายไปแล้ว แต่หนูอยากจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ หนูอยากกลับไปในวันที่ที่ก่อนสัตว์ประหลาดจะโผล่มาค่ะ…”

    คุณคุมิโกะมองขึ้นไปบนท้องฟ้ามืดมิดไร้แสงตะวัน

 

    พวกเราสตาร์ทรถอีกครั้ง มุ่งหน้าไปสะพานใหญ่เซโตะ

    ก็อยากจะพูดอยู่หรอกว่าดีแล้วที่การค้นหาเด็กหลงจบไปได้ด้วยดี… แต่มันไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น ถึงจะเจอเด็ก แต่แลกกับที่เราต้องเดินทางล่าช้าไปหลายชั่วโมง ทุกคนเหนื่อยล้า และบรรยากาศในรถบัสก็หนักขึ้นจนแทบไม่มีใครพูดคุยกันเลย

    ผู้โดยสารคนอื่นๆ มองเราด้วยความเชื่อถือน้อยลง รู้สึกราวกับมีคนมองเราด้วยสายตาไม่เป็นมิตรมากขึ้นเรื่อยๆ

“…ที่เราทำไปมันถูกต้องหรือเปล่านะ…?” ยูนะที่นั่งหลังที่นั่งคนขับกระซิบ

“เราจะทิ้งรูริจังไม่ได้… แต่เราก็สร้างปัญหาให้กับคนอื่นเหมือนกัน…”

“อย่าไปสนใจเลย พวกเธอไม่มีทางแก้ทุกปัญหาชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบหรอก ที่สำคัญกว่า เธอยังนอนไม่เต็มที่ใช่ไหม? เอ้า นอนเอาแรงอีกสักหน่อยเถอะ”

    ฉันตอบขณะขับ

“ค่ะ…”

    ยูนะตอบ แต่แทนที่จะหลับตากลับมองไปที่มือทั้งสองข้างของตัวเอง

    มีเสียงดนตรีข้างนอกหน้าต่าง มันคือเพลง [กำลังกลับบ้าน] ของดีโวแร็ค ฉันมองไปที่นาฬิกา มันขึ้นว่าหกโมงเย็น ถึงโลกนี้จะพังไปแล้ว แต่ดนตรียังคงส่งสัญญาณว่านี่เป็นเวลากลับบ้านแล้ว ชักสงสัยแล้วว่ายังมีคนรอดชีวิตอยู่ที่สถานีออกอากาศหรือเปล่า

    ทันใดนั้นโดยไม่ทันตั้งตัว ฉันก็ได้ยินเสียงเจ็บปวดมาจากที่นั่งข้างๆ

“แฮ่ก แฮ่ก…. แฮ่ก แฮ่ก….”

    เสียงมาจากสาวผมน้ำตาลที่ฉันเคยมีเรื่องด้วย

“เป็นอะไรไหมคะ?”

    มัตสึริถามด้วยความเป็นห่วง

    ใบหน้าของสาวผมน้ำตาลซีดเผือด น้ำตาไหลอาบเข่า และพูดออกมาราวกับขาด

“กลัว… ท้องฟ้า… น่ากลัว…”

 

                                  บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า บทที่ 3 ตอนที่ 3 จบ

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+