ภาพเทพอสูรบรรพกาล 34 เยี่ยมย่าทวด

Now you are reading ภาพเทพอสูรบรรพกาล Chapter 34 เยี่ยมย่าทวด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“บอกข้าทีว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมเจ้าทำอะไรลับๆล่อๆ” เมิ่งต้าเจียงมาที่สนามฝึกซ้อมแล้วนั่งลง เพราะว่าสนามฝึกซ้อมนั้นทั้งกว้างขวางและว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ใกล้พวกเขา จึงไม่ต้องกลัวใครแอบฟัง

“พ่อ” เมิ่งชวนยืนอยู่ที่นั่นชี้ไปที่หว่างคิ้วของตัวเองและถามด้วยเสียงเบาๆ “ท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างระหว่างคิ้วหรือไม่” เมิ่งชวนอยากจะรู้ว่าช่องว่างที่อยู่ระหว่างคิ้วของเขาคืออะไร หากเขาไม่รู้อะไรเลย สักวันหนึ่งเขาอาจยุ่งเกี่ยวกับการฝึกวิชาต้องห้ามบางอย่างและอาจได้รับทุกข์ทรมาน

ในแง่ของความไว้วางใจ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมิ่งชวนเชื่อใจพ่อของเขามากที่สุด

“มีช่องว่างระหว่างคิ้วของเราด้วยรึ” เมิ่งต้าเจียงรู้สึกงงงัน “ชวนเอ๋อร์ ข้าไม่ค่อยเข้าใจว่าเจ้าหมายถึงอะไร”

“มันเป็นเช่นเดียวกับตันเถียนของเรา” เมิ่งชวนกล่าว “ตันเถียนของเรานั้นเป็นความว่างเปล่าที่สามารถกักเก็บพลังปราณของเราได้ ช่องว่างด้านหลังหว่างคิ้วก็เช่นเดียวกัน มันมีที่ว่างอยู่ที่นั่น และยังมีคนตัวเล็กๆซ่อนตัวอยู่ด้วย”

“ข้าไม่รู้ ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน” เมิ่งต้าเจียงส่ายหน้า “ชวนเอ๋อร์ ทำไมจู่ๆเจ้าถึงถามแบบนี้ เจ้าได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน”

“นี่ไม่ใช่คำบอกเล่า” เมิ่งชวนกล่าวอย่างจริงจัง “เป็นเพราะข้าสามารถมองเห็นช่องว่างระหว่างคิ้วของข้าได้ ช่องว่างนั้นกว้างใหญ่และมีคนโปร่งแสงเล็กๆอยู่ข้างใน บุคคลนั้นดูเหมือนกับเป็นตัวข้า”

รูม่านตาของเมิ่งต้าเจียงหดเล็กลง “เจ้ารู้สึกอย่างไร” เมิ่งต้าเจียงซักไซ้

“ยอดเยี่ยม สุดยอด” เมิ่งชวนกล่าว “ข้ารู้สึกเหมือนกับข้าได้เกิดใหม่ เมื่อข้าหลับตา ข้าจะสามารถสัมผัสได้ถึงทุกสิ่งในระยะสิบก้าว ข้ายังรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงขนที่อยู่บนขาของมด ภายในรัศมีหนึ่งลี้ข้าจะสัมผัสได้ถึงกระแสปราณทั้งหมด ข้ายังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของแมวและสุนัขเหล่านั้นด้วย”

“เจ้าสามารถ ‘มองเห็น’ ทุกสิ่งในระยะสิบก้าวรอบๆตัวเจ้าได้แม้หลับตาอย่างนั้นรึ ทั้งยังสามารถรับรู้ในพื้นที่หนึ่งลี้ได้ด้วยรึ” เมิ่งต้าเจียงพบว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ “ชวนเอ๋อร์ เจ้าได้รับเคล็ดการฝึกวิชาพิเศษบางอย่างที่เจ้ากำลังฝึกฝนอย่างลับๆอยู่หรือไม่”

“ไม่” เมิ่งชวนส่ายหน้า “ข้าไม่เคยแตะเคล็ดวิชาอื่นเลย หลังจากที่ข้าวาดภาพเสร็จเมื่อวานนี้ ข้ารู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย จากนั้นข้าก็เห็นช่องว่างระหว่างคิ้วผ่านตาจิต”

“นั่นฟังดูดี แต่ก็อาจเป็นอันตรายได้ อย่าประมาท” เมิ่งต้าเจียงกล่าว “ไปพบกับย่าทวดของเจ้ากันเถอะ”

“ตกลง” เมิ่งชวนพยักหน้า

เมิ่งเซียนกูได้รับบาดเจ็บหนักและเธอเหลือชีวิตอยู่อีกไม่มากนัก เธอห่วงใยเมิ่งชวนมากที่สุด เนื่องจากเขาเป็นความหวังของตระกูลเมิ่ง

การใช้สมบัติของตระกูลทั้งหมดเพื่อแลกกับหยดน้ำไขกระดูกหยกเทพอสูร และการโอนแต้มทั้งหมดที่เธอสะสมมาเป็นชื่อของเมิ่งชวนด้วยความเต็มใจ แสดงให้เห็นว่าเขามีความสำคัญกับเธอมากเพียงใด อาจกล่าวได้ว่าเพื่อเห็นแก่เมิ่งชวนเธอสามารถสละชีวิตได้

เมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวนเชื่อใจเธออย่างถึงที่สุด

ภายในคฤหาสน์บรรพบุรุษ

“ย่าทวด” เมิ่งชวนทักทายเธอด้วยความเคารพ

“ชวนเอ๋อร์ ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่” เมิ่งเซียนกูนั่งอยู่บนสนาม เธอวางหนังสือลง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าฝึกท่าชักกระบี่ซ้ำแปดพันครั้งทุกวัน เป็นเรื่องยากที่เจ้าจะมาหาข้าแต่เช้า”

เมิ่งต้าเจียงกล่าวในทันที “มีบางอย่างที่พิเศษเกิดขึ้นกับชวนเอ๋อร์”

“พิเศษรึ” หัวใจของนางฟ้าเมิ่งเขม็งเครียดขึ้น ขณะที่เธอถามว่า “มันคืออะไรรึ”

“ย่าทวด เมื่อคืนข้ามองเข้าไปในตัวเอง และค้นพบช่องว่างระหว่างคิ้วของข้า มันคล้ายกับช่องว่างในตันเถียน ช่องว่างนี้อยู่ระหว่างคิ้วและมีคนตัวเล็กุอยู่ข้างใน ดูเหมือนข้าทุกประการ”

สีหน้าของเมิ่งเซียนกูเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ช่องว่างระหว่างคิ้วของเจ้ารึ ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเช่นกัน”

“ป้า ท่านก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเช่นเดียวกันรึ” เมิ่งต้าเจียงตกใจ

เมิ่งเซียนกูเป็นเทพอสูรมาประมาณแปดสิบปีแล้ว เธอมีเพื่อนเทพอสูรจำนวนมาก ดังนั้นปกติแล้วความรู้ของเธอต้องกว้างขวางมาก แต่ถึงกระนั้น เมิ่งเซียนกูกลับไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างคิ้วมาก่อน มันเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ

นั่นหมายความว่ามันหาได้ยากมาก หายากมากๆ

“อย่ากระวนกระวาย ชวนเอ๋อร์ เจ้าพบความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างหลังจากค้นพบช่องว่างระหว่างคิ้ว” เมิ่งเซียนกูถาม

“ชวนเอ๋อร์ กล่าวว่าเมื่อเขาหลับตา เขาสามารถมองเห็นทุกอย่างรอบตัวในระยะสิบก้าวได้อย่างชัดเจน แม้แต่ขาของมดและขนบนขาของมันก็ยังสามารถมองเห็นได้ชัดเจน นอกจากนี้เขายังสามารถสัมผัสได้ถึงกระแสพลังปราณทั้งหมดในระยะหนึ่งลี้” เมิ่งต้าเจียงอธิบายขณะที่เมิ่งชวนพยักหน้า

“หลับตาแล้วเห็นได้ถึงสิบก้าวงั้นรึ และสามารถรับรู้ได้ในรัศมีหนึ่งลี้งั้นรึ” เมิ่งเซียนกูงุนงง “เจ้าได้ปลดปล่อยพลังปราณของเจ้าด้วยหรือไม่”

“ข้ายังไม่เข้าใจถึง ‘พลัง’ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถปลดปล่อยพลังปราณของข้าได้” เมิ่งชวนกล่าว

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สามารถปลดปล่อยพลังปราณของเจ้าได้” เมิ่งเซียนกูส่ายหน้า “ข้ายังเก่งในด้านการสำรวจ ข้าสามารถสำรวจได้ไกลสิบลี้เพียงแค่คิด แต่นั่นเป็นเพราะร่างกายที่เป็นเทพอสูรของข้า ร่วมกับการใช้เคล็ดวิชาพิเศษที่ขึ้นอยู่กับการปลดปล่อยพลังปราณ แต่สำหรับเจ้า เจ้าไม่ได้ใช้วิธีการใดๆในการรับรู้กระแสพลังภายในรัศมีหนึ่งลี้ของเจ้า ข้าไม่เคยเห็นหรือได้ยินมาก่อน”

เมิ่งชวนสับสน

“เจ้าสามารถตรวจจับกระแสพลังของข้าได้หรือไม่” เมิ่งเซียนกูถาม

“ย่าทวด…” เมิ่งชวนสามารถมองเห็นเสื้อผ้าของเมิ่งเซียนกูบนผิวน้ำได้ด้วยตาเปล่า แต่เมื่อเขาหลับตาลง เขาก็รู้สึกเหมือนเมิ่งเซียนกูกลายเป็นมนุษย์ดวงตะวัน กระแสพลังที่น่ากลัวทำให้ยากที่เขาจะมองเห็นเธอได้อย่างชัดเจน

“ย่าทวด กระแสพลังของท่านแข็งแกร่งเกินไปจนข้ามองไม่ชัด” เมิ่งชวนกล่าว “อย่างไรก็ตามกระแสพลังของท่านแข็งแกร่งกว่ากระแสพลังของสิ่งมีชีวิตอื่นๆทั้งหมดในระยะหนึ่งลี้รวมกัน ข้ารู้สึกได้และมันก็พร่างพราวราวกับดวงอาทิตย์ มันยากที่จะมองไปตรงๆ แต่ก็สะดุดตามาก”

เมิ่งเซียนกูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดเบาๆว่า “ข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างคิ้ว แต่ข้าก็เคยได้ยินอย่างอื่น”

เมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวนตั้งใจฟัง

“มนุษย์มีจิตวิญญาณ เจ้าน่าจะเคยได้ยินเรื่องนี้มา” เมิ่งเซียนกูกล่าว

“ขอรับ” เมิ่งชวนและพ่อของเขาตอบอย่างจริงจัง การมีอยู่ของวิญญาณนั้นเป็นความรู้ทั่วไป

“แต่พวกเจ้ารู้ไหมว่าวิญญาณนั้นอยู่ที่ไหน” เมิ่งเซียนกูถาม

ทั้งสองส่ายหน้า

“ข้าได้ยินมาจากเพื่อนสนิทว่า วิญญาณนั้นตั้งอยู่ในทะเลแห่งจิตสำนึก” เมิ่งเซียนกูกล่าว “วิญญาณอยู่ในรูปแบบของมนุษย์ และเหมือนกับร่างกายของคนๆหนึ่ง ย้อนกลับไปตอนนั้น ข้าถามถึงที่อยู่ของทะเลแห่งจิตสำนีก ในตอนนั้นเขาได้แต่ชี้ไปที่หัวของตัวเองและบอกว่า เขาเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้เหมือนกัน เขารู้แค่ว่าสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการฝึกวิชาเทพอสูรที่ทรงอำนาจยิ่งกว่า”

“วิญญาณมีความเกี่ยวข้องกับการฝึกวิชาเทพอสูรที่ทรงอำนาจยิ่งกว่างั้นรึ” เมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวนตกอยู่ในห้วงความคิดอันลึกล้ำ

“ช่องว่างระหว่างคิ้วนั้นฟังดูคล้ายกับทะเลแห่งจิตสำนึก” เมิ่งเซียนกูกล่าว “เป็นเพราะว่าคนตัวจิ๋วนี้ก็อยู่ในรูปร่างของมนุษย์ด้วยเช่นกันและเหมือนกับร่างกายของเจ้า ดังนั้นนั่นอาจจะเป็นวิญญาณของเจ้า”

เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย

“แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้า” เมิ่งเซียนกูกล่าว “มันอาจจะจริงหรืออาจจะผิดก็ได้ เจ้าไม่อาจที่จะเชื่อใจข้าได้เต็มที่ในเรื่องนี้”

เมิ่งชวนพยักหน้า แต่เขารู้สึกเหมือนได้รับความรู้มามากมาย ดูเหมือนว่าคนเรามีทะเลแห่งจิตสำนึก และมีวิญญาณอยู่ภายในทะเลแห่งจิตสำนึก สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการฝึกวิชาเทพอสูรที่ทรงอำนาจยิ่งกว่า

“เจ้าทั้งคู่ต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ถ้ามันเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างแท้จริงนั่นก็จะดีมาก แต่ถ้าหากมีการเปิดเผย… นั่นอาจมีปัญหา” เมิ่งเซียนกูกล่าว

“ถูกต้อง” เมิ่งต้าเจียงกล่าว “ถ้ามีอัจฉริยะสุดยอดขึ้นมาจริงๆ นิกายอสูรฟ้าจะต้องคิดหาวิธีที่จะลอบสังหารพวกเขา”

นิกายอสูรฟ้านั้นเห็นแก่ตัวและกังวลเกี่ยวกับผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น

อย่างไรก็ตามหากอัจฉริยะผู้ไร้เทียมทานปรากฏตัวขึ้น อสูรก็จะให้รางวัลพวกนั้นหากการลอบสังหารนั้นสำเร็จ นี่นับว่าเพียงพอแล้วที่จะกระตุ้นให้นิกายอสูรฟ้ายอมเสี่ยงชีวิตเพื่อลอบสังหารเขา

มีอัจฉริยะน้อยยิ่งกว่าน้อยที่ถือได้ว่าสามารถสั่นคลอนโลกได้ พวกเขาเป็นคนที่อาจมีอิทธิพลต่อสถานการณ์โดยรวมระหว่างมนุษย์และอสูร สำหรับคนอย่างเหม่ยหยวนจื่อแล้วนิกายอสูรฟ้าไม่แม้แต่จะเหลือบมอง…เขาไม่แม้จะประสบความสำเร็จในการผ่านการประเมินเบื้องต้นในการเข้าสู่เขาหยวนชู ภัยคุกคามที่มีต่อเหม่ยหยวนจื่อคืออะไรบ้างนั้นสามารถจินตนาการออกมาได้ หากโชคไม่ดีเพียงเล็กน้อย เขาอาจตายในสนามรบและไม่สามารถกลายเป็นเทพอสูร อัจฉริยะอย่างเมิ่งชวนผู้ยังไม่สามารถเข้าถึง “พลัง” ก็ได้แต่ถือว่าเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจในเมืองตงหนิงเท่านั้น อสูรไม่ได้ให้ความสนใจใดๆกับเขา

“สิ่งที่เจ้าต้องทำคือเก็บเป็นความลับ และทำการฝึกวิชาต่อไปตามปกติ จนกว่าเจ้าสามารถเข้าสู่เขาหยวนชูได้” เมิ่งเซียนกูกล่าว “เขาหยวนชูเป็นดินแดนแห่งการฝึกวิชาที่เก่าแก่ที่สุด เมื่อเจ้าเข้าสู่เขาหยวนชูและอ่านหนังสือที่มี ข้าเชื่อว่าเจ้าจะรู้ความลับเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างคิ้ว”

“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า

“นั่นถูกตัองแล้ว เก็บไว้เป็นความลับและฝึกฝนให้ดี” เมิ่งต้าเจียงกล่าว

“เจ้าควรตระหนักถึง ‘พลัง’ ให้เร็วที่สุด” เมิ่งเซียนกูกล่าว “ยิ่งเจ้าเข้าถึงได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น นั้นจะช่วยให้เจ้าสามารถสร้างรากฐานเทพอสูรได้เร็วยิ่งขึ้น ยิ่งสร้างรากฐานได้ลึกโอกาสในการเข้าสู่เขาหยวนชูก็จะยิ่งมากขึ้น เหม่ยหยวนจื่อตระหนักถึง ‘พลัง’ เมื่ออายุ 20 ปี แม้ว่าเขาจะเสี่ยง … แต่โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็มีน้อย สุดท้ายเขาก็ล้มเหลว ดังนั้นเจ้าจะต้องตระหนักถึง ‘พลัง’ ให้ได้เมื่ออายุสิบเก้าปี โอกาสของเจ้าในการเข้าสู่เขาหยวนชูก็จะเพิ่มขึ้น เมื่อมีเวลาตระเตรียมรากฐานเทพอสูรให้แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีก 1 ปี

จริงแล้วเมิ่งชวนอยากจะบอกว่าเขามั่นใจว่าจะบรรลุถึง “พลัง” ได้ภายในไม่กี่วันข้างหน้า แต่ในเมื่อยังไม่ประสบความสำเร็จ เขาก็รู้สึกว่านั่นเป็นแค่การคุยโอ้อวดเท่านั้น

ข้าจะบอกเจ้าพ่อและย่าทวดหลังจากที่ข้ารู้ถึง “พลัง”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ภาพเทพอสูรบรรพกาล 34 เยี่ยมย่าทวด

Now you are reading ภาพเทพอสูรบรรพกาล Chapter 34 เยี่ยมย่าทวด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“บอกข้าทีว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมเจ้าทำอะไรลับๆล่อๆ” เมิ่งต้าเจียงมาที่สนามฝึกซ้อมแล้วนั่งลง เพราะว่าสนามฝึกซ้อมนั้นทั้งกว้างขวางและว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ใกล้พวกเขา จึงไม่ต้องกลัวใครแอบฟัง

“พ่อ” เมิ่งชวนยืนอยู่ที่นั่นชี้ไปที่หว่างคิ้วของตัวเองและถามด้วยเสียงเบาๆ “ท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างระหว่างคิ้วหรือไม่” เมิ่งชวนอยากจะรู้ว่าช่องว่างที่อยู่ระหว่างคิ้วของเขาคืออะไร หากเขาไม่รู้อะไรเลย สักวันหนึ่งเขาอาจยุ่งเกี่ยวกับการฝึกวิชาต้องห้ามบางอย่างและอาจได้รับทุกข์ทรมาน

ในแง่ของความไว้วางใจ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมิ่งชวนเชื่อใจพ่อของเขามากที่สุด

“มีช่องว่างระหว่างคิ้วของเราด้วยรึ” เมิ่งต้าเจียงรู้สึกงงงัน “ชวนเอ๋อร์ ข้าไม่ค่อยเข้าใจว่าเจ้าหมายถึงอะไร”

“มันเป็นเช่นเดียวกับตันเถียนของเรา” เมิ่งชวนกล่าว “ตันเถียนของเรานั้นเป็นความว่างเปล่าที่สามารถกักเก็บพลังปราณของเราได้ ช่องว่างด้านหลังหว่างคิ้วก็เช่นเดียวกัน มันมีที่ว่างอยู่ที่นั่น และยังมีคนตัวเล็กๆซ่อนตัวอยู่ด้วย”

“ข้าไม่รู้ ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน” เมิ่งต้าเจียงส่ายหน้า “ชวนเอ๋อร์ ทำไมจู่ๆเจ้าถึงถามแบบนี้ เจ้าได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน”

“นี่ไม่ใช่คำบอกเล่า” เมิ่งชวนกล่าวอย่างจริงจัง “เป็นเพราะข้าสามารถมองเห็นช่องว่างระหว่างคิ้วของข้าได้ ช่องว่างนั้นกว้างใหญ่และมีคนโปร่งแสงเล็กๆอยู่ข้างใน บุคคลนั้นดูเหมือนกับเป็นตัวข้า”

รูม่านตาของเมิ่งต้าเจียงหดเล็กลง “เจ้ารู้สึกอย่างไร” เมิ่งต้าเจียงซักไซ้

“ยอดเยี่ยม สุดยอด” เมิ่งชวนกล่าว “ข้ารู้สึกเหมือนกับข้าได้เกิดใหม่ เมื่อข้าหลับตา ข้าจะสามารถสัมผัสได้ถึงทุกสิ่งในระยะสิบก้าว ข้ายังรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงขนที่อยู่บนขาของมด ภายในรัศมีหนึ่งลี้ข้าจะสัมผัสได้ถึงกระแสปราณทั้งหมด ข้ายังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของแมวและสุนัขเหล่านั้นด้วย”

“เจ้าสามารถ ‘มองเห็น’ ทุกสิ่งในระยะสิบก้าวรอบๆตัวเจ้าได้แม้หลับตาอย่างนั้นรึ ทั้งยังสามารถรับรู้ในพื้นที่หนึ่งลี้ได้ด้วยรึ” เมิ่งต้าเจียงพบว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ “ชวนเอ๋อร์ เจ้าได้รับเคล็ดการฝึกวิชาพิเศษบางอย่างที่เจ้ากำลังฝึกฝนอย่างลับๆอยู่หรือไม่”

“ไม่” เมิ่งชวนส่ายหน้า “ข้าไม่เคยแตะเคล็ดวิชาอื่นเลย หลังจากที่ข้าวาดภาพเสร็จเมื่อวานนี้ ข้ารู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย จากนั้นข้าก็เห็นช่องว่างระหว่างคิ้วผ่านตาจิต”

“นั่นฟังดูดี แต่ก็อาจเป็นอันตรายได้ อย่าประมาท” เมิ่งต้าเจียงกล่าว “ไปพบกับย่าทวดของเจ้ากันเถอะ”

“ตกลง” เมิ่งชวนพยักหน้า

เมิ่งเซียนกูได้รับบาดเจ็บหนักและเธอเหลือชีวิตอยู่อีกไม่มากนัก เธอห่วงใยเมิ่งชวนมากที่สุด เนื่องจากเขาเป็นความหวังของตระกูลเมิ่ง

การใช้สมบัติของตระกูลทั้งหมดเพื่อแลกกับหยดน้ำไขกระดูกหยกเทพอสูร และการโอนแต้มทั้งหมดที่เธอสะสมมาเป็นชื่อของเมิ่งชวนด้วยความเต็มใจ แสดงให้เห็นว่าเขามีความสำคัญกับเธอมากเพียงใด อาจกล่าวได้ว่าเพื่อเห็นแก่เมิ่งชวนเธอสามารถสละชีวิตได้

เมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวนเชื่อใจเธออย่างถึงที่สุด

ภายในคฤหาสน์บรรพบุรุษ

“ย่าทวด” เมิ่งชวนทักทายเธอด้วยความเคารพ

“ชวนเอ๋อร์ ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่” เมิ่งเซียนกูนั่งอยู่บนสนาม เธอวางหนังสือลง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าฝึกท่าชักกระบี่ซ้ำแปดพันครั้งทุกวัน เป็นเรื่องยากที่เจ้าจะมาหาข้าแต่เช้า”

เมิ่งต้าเจียงกล่าวในทันที “มีบางอย่างที่พิเศษเกิดขึ้นกับชวนเอ๋อร์”

“พิเศษรึ” หัวใจของนางฟ้าเมิ่งเขม็งเครียดขึ้น ขณะที่เธอถามว่า “มันคืออะไรรึ”

“ย่าทวด เมื่อคืนข้ามองเข้าไปในตัวเอง และค้นพบช่องว่างระหว่างคิ้วของข้า มันคล้ายกับช่องว่างในตันเถียน ช่องว่างนี้อยู่ระหว่างคิ้วและมีคนตัวเล็กุอยู่ข้างใน ดูเหมือนข้าทุกประการ”

สีหน้าของเมิ่งเซียนกูเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ช่องว่างระหว่างคิ้วของเจ้ารึ ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเช่นกัน”

“ป้า ท่านก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเช่นเดียวกันรึ” เมิ่งต้าเจียงตกใจ

เมิ่งเซียนกูเป็นเทพอสูรมาประมาณแปดสิบปีแล้ว เธอมีเพื่อนเทพอสูรจำนวนมาก ดังนั้นปกติแล้วความรู้ของเธอต้องกว้างขวางมาก แต่ถึงกระนั้น เมิ่งเซียนกูกลับไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างคิ้วมาก่อน มันเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ

นั่นหมายความว่ามันหาได้ยากมาก หายากมากๆ

“อย่ากระวนกระวาย ชวนเอ๋อร์ เจ้าพบความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างหลังจากค้นพบช่องว่างระหว่างคิ้ว” เมิ่งเซียนกูถาม

“ชวนเอ๋อร์ กล่าวว่าเมื่อเขาหลับตา เขาสามารถมองเห็นทุกอย่างรอบตัวในระยะสิบก้าวได้อย่างชัดเจน แม้แต่ขาของมดและขนบนขาของมันก็ยังสามารถมองเห็นได้ชัดเจน นอกจากนี้เขายังสามารถสัมผัสได้ถึงกระแสพลังปราณทั้งหมดในระยะหนึ่งลี้” เมิ่งต้าเจียงอธิบายขณะที่เมิ่งชวนพยักหน้า

“หลับตาแล้วเห็นได้ถึงสิบก้าวงั้นรึ และสามารถรับรู้ได้ในรัศมีหนึ่งลี้งั้นรึ” เมิ่งเซียนกูงุนงง “เจ้าได้ปลดปล่อยพลังปราณของเจ้าด้วยหรือไม่”

“ข้ายังไม่เข้าใจถึง ‘พลัง’ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถปลดปล่อยพลังปราณของข้าได้” เมิ่งชวนกล่าว

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สามารถปลดปล่อยพลังปราณของเจ้าได้” เมิ่งเซียนกูส่ายหน้า “ข้ายังเก่งในด้านการสำรวจ ข้าสามารถสำรวจได้ไกลสิบลี้เพียงแค่คิด แต่นั่นเป็นเพราะร่างกายที่เป็นเทพอสูรของข้า ร่วมกับการใช้เคล็ดวิชาพิเศษที่ขึ้นอยู่กับการปลดปล่อยพลังปราณ แต่สำหรับเจ้า เจ้าไม่ได้ใช้วิธีการใดๆในการรับรู้กระแสพลังภายในรัศมีหนึ่งลี้ของเจ้า ข้าไม่เคยเห็นหรือได้ยินมาก่อน”

เมิ่งชวนสับสน

“เจ้าสามารถตรวจจับกระแสพลังของข้าได้หรือไม่” เมิ่งเซียนกูถาม

“ย่าทวด…” เมิ่งชวนสามารถมองเห็นเสื้อผ้าของเมิ่งเซียนกูบนผิวน้ำได้ด้วยตาเปล่า แต่เมื่อเขาหลับตาลง เขาก็รู้สึกเหมือนเมิ่งเซียนกูกลายเป็นมนุษย์ดวงตะวัน กระแสพลังที่น่ากลัวทำให้ยากที่เขาจะมองเห็นเธอได้อย่างชัดเจน

“ย่าทวด กระแสพลังของท่านแข็งแกร่งเกินไปจนข้ามองไม่ชัด” เมิ่งชวนกล่าว “อย่างไรก็ตามกระแสพลังของท่านแข็งแกร่งกว่ากระแสพลังของสิ่งมีชีวิตอื่นๆทั้งหมดในระยะหนึ่งลี้รวมกัน ข้ารู้สึกได้และมันก็พร่างพราวราวกับดวงอาทิตย์ มันยากที่จะมองไปตรงๆ แต่ก็สะดุดตามาก”

เมิ่งเซียนกูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดเบาๆว่า “ข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างคิ้ว แต่ข้าก็เคยได้ยินอย่างอื่น”

เมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวนตั้งใจฟัง

“มนุษย์มีจิตวิญญาณ เจ้าน่าจะเคยได้ยินเรื่องนี้มา” เมิ่งเซียนกูกล่าว

“ขอรับ” เมิ่งชวนและพ่อของเขาตอบอย่างจริงจัง การมีอยู่ของวิญญาณนั้นเป็นความรู้ทั่วไป

“แต่พวกเจ้ารู้ไหมว่าวิญญาณนั้นอยู่ที่ไหน” เมิ่งเซียนกูถาม

ทั้งสองส่ายหน้า

“ข้าได้ยินมาจากเพื่อนสนิทว่า วิญญาณนั้นตั้งอยู่ในทะเลแห่งจิตสำนึก” เมิ่งเซียนกูกล่าว “วิญญาณอยู่ในรูปแบบของมนุษย์ และเหมือนกับร่างกายของคนๆหนึ่ง ย้อนกลับไปตอนนั้น ข้าถามถึงที่อยู่ของทะเลแห่งจิตสำนีก ในตอนนั้นเขาได้แต่ชี้ไปที่หัวของตัวเองและบอกว่า เขาเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้เหมือนกัน เขารู้แค่ว่าสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการฝึกวิชาเทพอสูรที่ทรงอำนาจยิ่งกว่า”

“วิญญาณมีความเกี่ยวข้องกับการฝึกวิชาเทพอสูรที่ทรงอำนาจยิ่งกว่างั้นรึ” เมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวนตกอยู่ในห้วงความคิดอันลึกล้ำ

“ช่องว่างระหว่างคิ้วนั้นฟังดูคล้ายกับทะเลแห่งจิตสำนึก” เมิ่งเซียนกูกล่าว “เป็นเพราะว่าคนตัวจิ๋วนี้ก็อยู่ในรูปร่างของมนุษย์ด้วยเช่นกันและเหมือนกับร่างกายของเจ้า ดังนั้นนั่นอาจจะเป็นวิญญาณของเจ้า”

เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย

“แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้า” เมิ่งเซียนกูกล่าว “มันอาจจะจริงหรืออาจจะผิดก็ได้ เจ้าไม่อาจที่จะเชื่อใจข้าได้เต็มที่ในเรื่องนี้”

เมิ่งชวนพยักหน้า แต่เขารู้สึกเหมือนได้รับความรู้มามากมาย ดูเหมือนว่าคนเรามีทะเลแห่งจิตสำนึก และมีวิญญาณอยู่ภายในทะเลแห่งจิตสำนึก สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการฝึกวิชาเทพอสูรที่ทรงอำนาจยิ่งกว่า

“เจ้าทั้งคู่ต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ถ้ามันเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างแท้จริงนั่นก็จะดีมาก แต่ถ้าหากมีการเปิดเผย… นั่นอาจมีปัญหา” เมิ่งเซียนกูกล่าว

“ถูกต้อง” เมิ่งต้าเจียงกล่าว “ถ้ามีอัจฉริยะสุดยอดขึ้นมาจริงๆ นิกายอสูรฟ้าจะต้องคิดหาวิธีที่จะลอบสังหารพวกเขา”

นิกายอสูรฟ้านั้นเห็นแก่ตัวและกังวลเกี่ยวกับผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น

อย่างไรก็ตามหากอัจฉริยะผู้ไร้เทียมทานปรากฏตัวขึ้น อสูรก็จะให้รางวัลพวกนั้นหากการลอบสังหารนั้นสำเร็จ นี่นับว่าเพียงพอแล้วที่จะกระตุ้นให้นิกายอสูรฟ้ายอมเสี่ยงชีวิตเพื่อลอบสังหารเขา

มีอัจฉริยะน้อยยิ่งกว่าน้อยที่ถือได้ว่าสามารถสั่นคลอนโลกได้ พวกเขาเป็นคนที่อาจมีอิทธิพลต่อสถานการณ์โดยรวมระหว่างมนุษย์และอสูร สำหรับคนอย่างเหม่ยหยวนจื่อแล้วนิกายอสูรฟ้าไม่แม้แต่จะเหลือบมอง…เขาไม่แม้จะประสบความสำเร็จในการผ่านการประเมินเบื้องต้นในการเข้าสู่เขาหยวนชู ภัยคุกคามที่มีต่อเหม่ยหยวนจื่อคืออะไรบ้างนั้นสามารถจินตนาการออกมาได้ หากโชคไม่ดีเพียงเล็กน้อย เขาอาจตายในสนามรบและไม่สามารถกลายเป็นเทพอสูร อัจฉริยะอย่างเมิ่งชวนผู้ยังไม่สามารถเข้าถึง “พลัง” ก็ได้แต่ถือว่าเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจในเมืองตงหนิงเท่านั้น อสูรไม่ได้ให้ความสนใจใดๆกับเขา

“สิ่งที่เจ้าต้องทำคือเก็บเป็นความลับ และทำการฝึกวิชาต่อไปตามปกติ จนกว่าเจ้าสามารถเข้าสู่เขาหยวนชูได้” เมิ่งเซียนกูกล่าว “เขาหยวนชูเป็นดินแดนแห่งการฝึกวิชาที่เก่าแก่ที่สุด เมื่อเจ้าเข้าสู่เขาหยวนชูและอ่านหนังสือที่มี ข้าเชื่อว่าเจ้าจะรู้ความลับเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างคิ้ว”

“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า

“นั่นถูกตัองแล้ว เก็บไว้เป็นความลับและฝึกฝนให้ดี” เมิ่งต้าเจียงกล่าว

“เจ้าควรตระหนักถึง ‘พลัง’ ให้เร็วที่สุด” เมิ่งเซียนกูกล่าว “ยิ่งเจ้าเข้าถึงได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น นั้นจะช่วยให้เจ้าสามารถสร้างรากฐานเทพอสูรได้เร็วยิ่งขึ้น ยิ่งสร้างรากฐานได้ลึกโอกาสในการเข้าสู่เขาหยวนชูก็จะยิ่งมากขึ้น เหม่ยหยวนจื่อตระหนักถึง ‘พลัง’ เมื่ออายุ 20 ปี แม้ว่าเขาจะเสี่ยง … แต่โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็มีน้อย สุดท้ายเขาก็ล้มเหลว ดังนั้นเจ้าจะต้องตระหนักถึง ‘พลัง’ ให้ได้เมื่ออายุสิบเก้าปี โอกาสของเจ้าในการเข้าสู่เขาหยวนชูก็จะเพิ่มขึ้น เมื่อมีเวลาตระเตรียมรากฐานเทพอสูรให้แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีก 1 ปี

จริงแล้วเมิ่งชวนอยากจะบอกว่าเขามั่นใจว่าจะบรรลุถึง “พลัง” ได้ภายในไม่กี่วันข้างหน้า แต่ในเมื่อยังไม่ประสบความสำเร็จ เขาก็รู้สึกว่านั่นเป็นแค่การคุยโอ้อวดเท่านั้น

ข้าจะบอกเจ้าพ่อและย่าทวดหลังจากที่ข้ารู้ถึง “พลัง”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+