ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配 12.3 (เล่มสาม)

Now you are reading ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配 Chapter 12.3 (เล่มสาม) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินมู่ไป๋

3

 

ปกติแล้วคำว่าหนีตามกันนั้นมักจะใช้กับคู่ชายหญิงที่หนีไปใช้ชีวิตร่วมกันในต่างถิ่น โดยไม่สนใจเสียงห้ามปรามทัดทานของครอบครัว ซึ่งคู่รักประเภทที่หนีตามกันบ่อยที่สุดก็คงไม่พ้นคุณหนูผู้สูงศักดิ์กับบัณฑิตยากไร้ แน่นอนว่าบางครั้งก็อาจมีคู่รักประหลาดอย่างบุตรสาวขุนนางขบถกับองครักษ์เงาผู้เลื่องชื่อไปด้วยก็เป็นได้

ทว่าหากต้องการที่จะหนีตามกัน ก็จำเป็นต้องทำตามเงื่อนไขให้ครบดังต่อไปนี้ หนึ่งคือต้องมีค่าเดินทางที่เพียงพอ ซึ่งข้อนี้เป็นจุดตัดสินเลยว่าชีวิตรักฉันสามีภรรยาที่เหลือจะทุกข์ยากปราศจากเงินทองหรือไม่ สองคือต้องวางแผนการหนีที่สามารถใช้ได้จริง ซึ่งเรื่องนี้ต้องตัดสินตามสถานการณ์ของแต่ละคน

สำหรับดรุณีน้อยผู้งดงามในครอบครัวเล็ก ๆ พวกเธออาจจะอาศัยโอกาสยามทำพิธีสมรสจุดธูปเพื่อหาจังหวะที่เหมาะสมในการหนี ทว่าสำหรับบุตรีของอัครมหาเสนาบดีที่ถูกกักขังและใกล้จะได้ตบแต่งเป็นฮูหยินของแม่ทัพทางเหนือแห่งซินเจียง[1] นั้น ถึงจะมีอุปสรรคมากยิ่งกว่า แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้

แล้วต่อให้สลัดเงื่อนไขทั้งหมดนี้ทิ้งไปไม่พูดถึงมัน เงื่อนไขพื้นฐานที่ควรต้องเตรียมเป็นอันดับแรกก็คือ การที่คนรักของคุณจะยินยอมหนีตามคุณไปรึเปล่านี่สิ

สำหรับอวี่ฉีนั้น ค่าเดินทางกับแผนการเดินทางล้วนไม่ใช่ปัญหา อุปสรรคใหญ่หลวงที่พิชิตได้ยากสำหรับเธอคือการเกลี้ยกล่อมให้เฉินมู่ไป๋พาตนหนีไปต่างหาก

เธอไม่ได้กังวลว่าเฉินมู่ไป๋จะกลัวเดือดร้อนในภายหลัง กลัวตาย หรือกลัวการเป็นศัตรูกับเฉินเซียง เนื่องจากช่วงเวลาที่เฉินมู่ไป๋ฝึกฝนมาอย่างยาวนานนั้น บทเรียนแรกที่องครักษ์เงาต้องเรียนรู้คือการเอาชนะความหวาดกลัวให้ได้ พวกเขาต้องสลัดความกลัวให้หมดสิ้น เพื่อพร้อมจะเป็นเกราะกำบังให้นายเหนือหัวได้ในทันทีโดยไร้ซึ่งความลังเลใด ๆ ขอเพียงมีคำสั่งจากผู้เป็นนาย ไม่ว่าจะเป็นภูเขามีดหรือทะเลเพลิง พวกเขาก็ต่างสามารถบุกทะลวงตรงไปเบื้องหน้าได้อย่างองอาจและกล้าหาญอยู่เสมอ

อุปสรรคที่แท้จริงสำหรับอวี่ฉีก็คือ คำเตือนสติที่องครักษ์เงาทุกคนต้องจดจำให้ขึ้นใจ นายก็คือนายตลอดกาล ห้ามหมิ่นเกียรติ ห้ามล้ำเส้น และห้ามคิดเพ้อฝัน

ไม่ว่าจะเป็นหมายเลขเก้าในอดีต หรือเฉินมู่ไป๋ยามนี้ ต่างก็เป็นองครักษ์เงาที่มีคุณสมบัติเป็นเลิศผู้หนึ่ง ถึงแม้จะหัวช้าจนทำอะไรเก้ ๆ กัง ๆ ไปบ้าง แต่บางเรื่องกลับมองออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง อย่างเช่นเหวลึกระหว่างตัวเขากับคุณหนูใหญ่สกุลเฉินที่ไม่มีวันก้าวข้ามไปได้ ตระหนักถึงตำแหน่งและสถานะของตนเองได้ดีขึ้นใจ

ถึงเฉินมู่ไป๋จะค่อนข้างโง่งม แต่ก็เข้าใจสถานการณ์ของตนเป็นอย่างดี เฉินมู่ไป๋ตระหนักดีว่าต่อให้ตนในยามนี้จะยอดเยี่ยมเพียงใด แต่อดีตก็ยังเป็นเพียงขอทานที่เดินขอเศษอาหารอยู่บนถนนผู้หนึ่งเท่านั้น

นับตั้งแต่เป็นองครักษ์เงามา ถึงแม้เขาจะไม่สามารถจัดการปัญหาได้อย่างหมดจดอยู่บ่อยครั้ง ทว่าหลังจากนี้หากเคราะห์ดีไม่ทำเรื่องผิดพลาดร้ายแรง บางทียามแก่เฒ่าเขาก็อาจจะได้รับเงินสักก้อนหลังปลดประจำการและมีบั้นปลายชีวิตที่เรียบง่ายตามความปรารถนา ไม่มีความคิดเพ้อฝันที่จะพูดคุยเรื่องรักใคร่กันหน้าพุ่มไม้ใต้แสงจันทร์กับนายหญิงแม้แต่น้อย

ในสายตาของเขา คุณหนูใหญ่แห่งสกุลเฉินเป็นนายที่เขาจักต้องปกป้องด้วยชีวิตในยามวิกฤติ เป็นผู้ที่เขาต้องซื่อสัตย์ภักดีไปตราบสิ้นลมหายใจ แต่ไม่ใช่คนรักที่สามารถทุ่มเทความรู้สึกให้แก่กันได้ สำหรับองครักษ์ที่มีตัวตนอยู่เพื่อเจ้านายเพียงผู้เดียวนั้น ความรู้สึกเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยจนเกินจำเป็น สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องมีคือความซื่อสัตย์ภักดีเพียงเท่านั้น

ดังนั้นเมื่อได้ยินประโยคที่บอกว่า จงพาข้าหนีตามไปกับเจ้า เฉินมู่ไป๋จึงตื่นตระหนกขึ้นมาทันที ดวงตาเรียวยาวสีดำสนิทเบิกกว้าง ภายในนั้นเต็มไปด้วยความหวั่นวิตก ไร้ซึ่งความยินดีใด ๆ

อวี่ฉีย่อมดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังหวั่นวิตก และเข้าใจดีว่าเรื่องเช่นนี้จะรีบร้อนบีบบังคับกันไม่ได้ เธอตระหนักดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเฉินมู่ไป๋ยังคงเป็นเพียงความสัมพันธ์ระหว่างนายบ่าวทั่วไป ระดับความรู้สึกดี ๆ ยังไม่ได้สั่งสมจนถึงขั้นพูดคุยเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ได้ ฉะนั้นสิ่งเดียวที่ทำได้ในยามนี้ก็คือการสร้างความเป็นไปได้ที่จะทำให้เธอและเขาเกิดความรักขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ หลังจากลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เธอจึงเบนหน้าไปอีกทาง และใช้สายตาแน่วนิ่งจับจ้องไปยังฉากกั้นลมที่อยู่อีกฟากพลางเอ่ยเบา ๆ “ไม่ต้องกังวลนักหรอก ข้าเพียงหยอกล้อเจ้าเล่น ข้าหมายถึง…พาข้าหนีไปเถิด”

เฉินมู่ไป๋อึ้งงันไป หลังจากนั้นไหล่ที่เกร็งแน่นก็ผ่อนคลายลงมาทันทีราวกับในที่สุดกระบี่ที่จ่ออยู่ตรงลำคอได้เคลื่อนออกไปเสียที

อวี่ฉีเพิ่งหันกายกลับมาก็เห็นสีหน้าโล่งใจของผู้ติดตามพอดิบพอดีจึงอดเลิกคิ้วขึ้นมาไม่ได้ “เจ้าทำสีหน้าราวกับเพิ่งสลัดห่อผ้ายักษ์ทิ้งไปได้ มันหมายความว่าอย่างไร? ข้าไม่คู่ควรกับเจ้างั้นรึ? ข้ามันอัปลักษณ์หรืออวบอ้วนเกินไปใช่หรือไม่? เจ้าถึงได้แสดงท่าทางรังเกียจข้าถึงเพียงนี้” เธอถามประโยคหนึ่งก็เดินประชิดตัวอีกฝ่ายก้าวหนึ่งด้วยท่าทางคุกคามมากขึ้นเรื่อย ๆ

เฉินมู่ไป๋อ้าปากค้าง เขาพูดชมใครไม่เป็นจึงไม่รู้ว่าควรพูดโต้ตอบอย่างไรดี สุดท้ายจึงได้แต่ปิดปาก ปล่อยให้ตนเองถูกบีบคั้นจนเผลอก้าวถอยไปด้านหลังสองก้าวโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งแผ่นหลังชนเข้ากับกองหีบที่อยู่ข้างหลังในที่สุด

อวี่ฉีเดินประชิดตัวเข้ามาอีกก้าวเพื่อลดช่องว่างให้อยู่ในระยะที่พอจะสวมกอดอีกฝ่ายได้ จากนั้นเธอก็ไม่ได้ทำสิ่งใด เพียงเอียงศีรษะเล็กน้อยแล้วเลิกคิ้วมองเด็กหนุ่มตรงหน้า ทั้ง ๆ ที่เธอเตี้ยกว่าเขาเกินหนึ่งช่วงศีรษะ แต่กลับให้ความรู้สึกว่าเธอกำลังมองเขาจากที่สูง ส่วนเขาอยู่ด้านล่างเสียมากกว่า

อวี่ฉีหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนจะโน้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความใกล้ชิด พร้อมมองประเมินผู้ติดตามของตนเองอย่างมีเลศนัย “เช่นนั้น ข้าเป็นสตรีงามงั้นรึ?”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากภารกิจคราวก่อนหรือไม่ อวี่ฉีถึงได้รู้สึกว่าหนังหน้าของตนเองนั้นหนาขึ้นมาก กระทั่งคำถามหลงตัวเองแบบนี้เธอยังไม่รู้สึกกระดากอายเลยสักนิด

เฉินมู่ไป๋ได้ยินคำถามก็ลังเลไปชั่วขณะ ในที่สุดก็ฝืนพยักหน้าอย่างยากลำบาก ติ่งหูของเขาในยามนี้แดงจัดราวกับมีเลือดหยดลงมา

อวี่ฉีกระตุกมุมปาก ใช้นิ้วจิ้มไปที่แผงอกของอีกฝ่ายอย่างไม่ปรานี “ในเมื่อข้าเป็นหญิงงาม หาใช่หญิงอัปลักษณ์ เหตุใดเจ้าจึงต้องหนีข้าราวกับหนีงูหนีแมงป่องเช่นนี้ด้วย หนีตามกันไปกับข้ามันน่ากลัวกว่าพาข้าหนีมากนักหรือ”

บางทีอาจเป็นเพราะถูกบีบคั้นจนถึงที่สุดแล้ว เฉินมู่ไป๋จึงหลับตาลงรีบใช้วรยุทธ์หนีหายไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง พริบตาเดียวก็หายไปจากเบื้องหน้าเธออย่างไร้สุ้มเสียง เหลือทิ้งไว้แต่เพียงความว่างเปล่า

อวี่ฉีทนไม่ไหว ก้มหน้าหัวเราะออกมาเบา ๆ ครั้งนี้เธอไม่คิดบังคับให้อีกฝ่ายปรากฏตัวอีก

จะจีบคนก็ต้องรู้จักยืดหยุ่น หน้าของเจ้าเด็กเฉินมู่ไป๋นั้นบางเกินไป รุกแรงไปเดี๋ยวจะยิ่งเตลิดไปไกลได้

อวี่ฉีสุ่มเลือกชุดคลุมตัวหนึ่งออกมาสวม ก้มลงผูกเชือกรัดเอว แล้วเปิดปากพูดกับตนเองพร้อมสื่อถึงคนที่ไม่รู้ไปหลบซ่อนอยู่ตรงไหนว่า “เจ้าติดตามข้าตั้งแต่ข้าอายุครบห้าขวบสินะ” เธอเงียบเสียงลง ก่อนจะจงใจเอ่ยต่อพลางถอนหายใจเสียงแผ่ว “เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว หากให้นับตั้งแต่ข้าจำความได้ตอนอายุขวบกว่า มู่ไป๋ คงมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่อยู่กับข้ามานานที่สุด แต่ตอนนี้ท่านพ่อกลับจะให้ข้าเข้าพิธีสมรสแล้ว ยามคิดว่าเจ้าบ่าวกลับไม่ใช่เจ้า ข้าก็รู้สึกเสียดายแทนเจ้าขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก”

กล่าวจบ อวี่ฉีก็ได้ยินเสียง ปั้ก ดูเหมือนว่าจะมีของตกพื้นอยู่ด้านหลังของเธอ

อวี่ฉีผงะ ก่อนจะหมุนตัวไปดู เธอเห็นเพียงกล่องผ้าปักลายดอกไม้ตกอยู่บนพื้นกล่องหนึ่ง จึงอดยิ้มมุมปากขึ้นมาไม่ได้ เด็กสาวเอี้ยวตัวลงเก็บกล่องขึ้นมาวางบนตู้อีกฟาก จากนั้นก็จงใจใช้เสียงเคร่งขรึมกล่าวกับอากาศตรงหน้าว่า “ท่านพ่อยังเคยบอกกับข้าว่า เจ้าเป็นหนึ่งในองครักษ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เขาฝึกฝนมา เหตุใดมาตอนนี้ถึงได้เลินเล่อจนชนของตกได้เล่า?”

กล่าวจบเธอก็ส่ายหน้าแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าห้องส่วนใน

เมื่อมายืนตรงหน้าเตียงแล้ว อวีฉีก็หันมองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทีไม่ยินดียินร้าย เธอเลิกคิ้วขึ้น บนใบหน้าแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มที่คล้ายไม่ยิ้ม “นี่ยังไม่ออกมาอีกรึ? เจ้าไม่ใช่แม่นางน้อยวัยสิบห้าสิบหกปีที่ยังไม่ได้ออกเรือนเสียหน่อย เหตุใดจึงต้องอายด้วย เจ้าทำตัวเป็นเด็กเอาแต่ใจเช่นนี้กับข้าต่อไป มันก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะ”

จบคำ เธอนับเลขในใจ หนึ่ง สอง สาม…

เป็นอีกครั้งที่เฉินมู่ไป๋มาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของเธอแบบไร้สุ้มเสียง ใบหน้าที่ไร้อารมณ์อยู่เสมอของเขาแต่งแต้มไปด้วยริ้วแดงจาง ๆ ท่าทางดูทั้งกระอักกระอ่วนและจนใจ “คุณหนู”

อวี่ฉียิ้มพร้อมหมุนตัวไปตามเสียงเรียก “หืม ในที่สุดก็ยอมโผล่หน้าออกมาแล้วหรือ?”

ฝ่ายตรงข้ามค้อมศีรษะลง “คุณหนู ต่อไปกรุณาอย่าหยอกล้อข้าน้อยเล่นเช่นนี้อีกเลย ทำแบบนี้จะเป็นการทำลายเกียรติของท่านได้” เขากดเสียงลงจนเบา แต่ถึงอย่างนั้นกลับได้ยินอย่างชัดเจนเป็นที่สุด

รอยยิ้มน้อย ๆ ตรงมุมปากของอวี่ฉีพลันแข็งทื่อไปในพริบตา ก่อนจะเก็บรอยยิ้มกลับไปช้า ๆ ท่ามกลางความเงียบงันอันน่ากระอักกระอ่วนนี้ เธอจ้องมององครักษ์หนุ่มด้วยสีหน้าเย็นชาครู่หนึ่งแล้วพลันเบือนหน้าหนีไปอีกทาง หลุบตาลงถามเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ในสายตาของเจ้า ไม่ว่าข้าจะพูดอะไรก็ล้วนเป็นเรื่องล้อเล่นทั้งหมดงั้นหรือ?”

เฉินมู่ไป๋ส่ายศีรษะโดยไม่พูดอะไร ใบหน้ายังคงหลงเหลือสีแดงจาง ๆ อยู่ กระนั้นแววตากลับหนักแน่น “ในใจข้าน้อย คุณหนูคือนายของข้าตลอดไป”

ถึงบางครั้งเฉินมู่ไป๋จะดูโง่เขลาไปบ้าง ทว่าเขากลับมีสำนึกในใจที่ใสบริสุทธิ์ยิ่งกว่าใคร

อวี่ฉีลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ใบหน้ากลับมาประดับด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ เช่นเคย “อย่าขีดเส้นกั้นระหว่างพวกเราเองตามอำเภอใจสิ นั่นมันไม่ใช่ทางที่ฉลาดเอาเสียเลย” แม้เสียงของเธอจะนุ่มนวล ทว่าก็แฝงไปด้วยความหนักแน่นเช่นกัน อวี่ฉีกดรอยยิ้มมุมปากให้เห็นชัดยิ่งขึ้น “เพราะคนอย่างข้า…ชอบฝ่าเส้นกั้นพวกนั้นที่สุด

กล่าวจบคุณหนูใหญ่สกุลเฉินก็เอนกายไปด้านหลังด้วยแววตาเจือความขบขัน เธอปล่อยตัวล้มไปด้านหลังด้วยท่าทางผ่อนคลายเป็นที่สุด คล้ายกับว่าด้านหลังที่ว่างเปล่านั้นมีเตียงที่สามารถรองรับร่างของเธอเอาไว้ได้อย่างไรอย่างนั้น

เฉินมู่ไป๋ฝึกฝนมาหลายปีจนสิ่งที่ถูกพร่ำสอนทุกอย่างฝังลึกเข้ากระดูกดำไปแล้ว ดังนั้นไม่ว่านายหญิงของเขาจะจงใจเซล้มเองหรือไม่ เขาก็ต้องยื่นแขนออกไปทันทีตามสัญชาตญาณ สอดมือตรงบริเวณหลังเอวเพื่อป้องกันไม่ให้คนตรงหน้าพลาดหงายหลังลงไปได้

อวี่ฉีรู้สึกได้ว่ามีแขนอุ่นร้อนและทรงพลังประคองอยู่ตรงช่วงเอวก็อดยิ้มออกมาวูบหนึ่งไม่ได้ รอยยิ้มที่มุมปากของหญิงสาวดูแล้วชั่วร้ายไม่ต่างจากจิ้งจอกน้อยที่เพิ่งเล่นพิเรนทร์ได้สำเร็จ

เธอพลิกตัวอย่างว่องไวก่อนอีกฝ่ายจะทันปล่อยตัว โอบรัดแนบร่างไปกับแผงอกองครักษ์ของตนแน่น โฉมงามที่ตอนนี้แปลงร่างเป็นงูกระตุกยิ้มมุมปากอย่างภูมิใจเป็นที่สุด ก่อนแหงนหน้ามองเหยื่ออย่างไร้ซึ่งความละอาย “ในอ้อมกอดของเจ้าเต็มไปด้วยกลิ่นกายกรุ่นหอมของสตรีเช่นนี้ เจ้ายังมีความรู้สึกอื่นใดอยู่หรือไม่”

แววตาของเฉินมู่ไป๋เกลี้ยงเกลายิ่งนัก สะอาดบริสุทธิ์ไร้สิ่งใดเจือปน เขาไม่ตอบคำถามอะไรทั้งสิ้น เพียงประคองเธอขึ้นมา เมื่อทรงตัวดีแล้วก็ปล่อยมือถอยหลังไปโค้งคำนับผู้เป็นนายตามระเบียบ จากนั้นก็หายวับไปจากตรงหน้าเธออีกครั้ง

—————————————-

ไม่นานราตรีก็มาเยือน ทั่วทั้งจวนของอัครมหาเสนาบดีในยามนี้เงียบสงัดกว่าตอนกลางวันมาก

ในห้องคุณหนูใหญ่ที่เมื่อก่อนต้องจุดเทียนส่องสว่างอยู่เสมอ ตอนนี้กลับถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด ภายในห้องอันว่างเปล่ามีเพียงเสียงหายใจแผ่วเบาเชื่องช้าของอวี่ฉีเท่านั้น

หลังจากจบฉากแกล้งล้มนั่นแล้ว เฉินมู่ไป๋ก็ไม่ปรากฏตัวออกมาอีกเลย ซึ่งอวี่ฉีก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเท่าไร เนื่องจากรู้ดีว่าตนเองกระทำเกินไป ดีไม่ดีอาจจะทำให้เขาตกใจจนเตลิดไปแล้วด้วยซ้ำ ทว่าสถานการณ์ตอนนี้หากไม่ทำเช่นนั้น เขาคงคิดว่าเธอยังล้อเล่นต่อไปเป็นแน่

สำหรับคนหัวแข็งอย่างเฉินมู่ไป๋ เมื่อตั้งมั่นแน่วแน่กับสิ่งใดแล้วย่อมไม่ยอมเปลี่ยนแปลง เพียงเอ่ยแผ่วเบาว่า แค่หยอกเล่น ก็มากพอที่จะทำลายความรู้สึกทีมีในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้พร้อมกันทั้งหมด เมื่อเทียบกับผลลัพธ์แบบนี้ อวี่ฉียอมให้เขาหนีไปยังจะดีเสียกว่า

ทว่าในยามที่อวี่ฉีกำลังสะลึมสะลือเตรียมจะหลับลึกแล้วนั้น กลับรู้สึกได้ราง ๆ ว่ามีคนกำลังดึงผ้าห่มผืนบางตรงหน้าท้องของเธอขึ้นมาห่มให้เธอใหม่ดี ๆ

อวี่ฉีเป็นคนหลับไม่ลึกมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จึงตาสว่างขึ้นมาในทันที หญิงสาวเอื้อมมือไปกุมข้อมือที่กำลังจับผ้าห่มไว้แน่น “เฉินมู่ไป๋?”

อวี่ฉีลุกขึ้นมานั่งอย่างเชื่องช้าแล้วเอียงศีรษะไปมองตัวคน เนื่องด้วยในห้องไม่ได้จุดเทียนไข ทั่วทั้งห้องจึงมืดสนิทจนทำให้เห็นเพียงเงาร่างสูงเลือนรางยืนอยู่ตรงข้างเตียงเท่านั้น เธอเห็นสีหน้าของเขาไม่ชัดเจนเนื่องจากมองไม่เห็นเครื่องหน้าของอีกฝ่าย

องครักษ์หนุ่มยังคงปิดปากเงียบ เอาแต่ยืนไม่กระดิกกระเดี้ยอยู่ที่เดิม ข้อมือที่ถูกเธอตะครุบไว้นั้นแข็งจนเกือบเป็นหิน ถึงจะมองไม่เห็นหน้าอีกฝ่าย แต่อวี่ฉีก็ยังจินตนาการถึงสีหน้ากระอักกระอ่วนและตึงเครียดในตอนนี้ของเขาได้เป็นอย่างดี

ข้ามผ่านความเงียบงันชั่วครู่ไป อวี่ฉีก็กล่าวเสียงกระซิบท่ามกลางความมืดมิด “หากลำบากใจจริง ๆ ก็ลืมเรื่องเมื่อยามบ่ายไปเถิด” การสนทนาหัวข้อเหล่านี้ช่างเหมาะกับยามราตรีอันมืดมิดเป็นที่สุด เมื่อไม่อาจมองเห็นหน้ากันและกันได้ชัดแจ้งดีย่อมเลี่ยงความกระอักกระอ่วนไปได้มาก และที่สำคัญน้ำเสียงของคนเราเมื่อสนทนากันในยามค่ำคืนที่แสนคลุมเครือนั้นมักจะมีเสน่ห์ที่ชวนเย้ายวนใจกว่าช่วงกลางวันอยู่หลายส่วน

ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นไปเถิด ถือได้ว่าเป็นคำพูดที่ลวงโลกที่สุด หากคนเราจะลืมก็คงลืมได้ไปนานแล้ว จะต้องมาพูดให้มากความอีกทำไม? กระนั้นสิ่งที่ควรพูดก็จำต้องพูด เพราะอย่างน้อยคำพูดนี้ก็นับเป็นการให้ทางลงกับอีกฝ่ายเพื่อเป็นข้ออ้างให้หลังจากนี้เธอและเขาสามารถอยู่ร่วมกันต่อเหมือนกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นได้

เฉินมู่ไป๋ที่เอาแต่นิ่งเงียบมาตลอด ยามได้ยินประโยคนี้แล้ว กล้ามเนื้อที่เดิมเกร็งค้างของเขาก็เริ่มผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนขานรับเสียงต่ำว่า “ขอรับ” ต่อให้เป็นคนโง่เขลาก็ยังฟังออกเลยว่าในน้ำเสียงของอีกฝ่ายแฝงไปด้วยความยินดีอย่างถึงที่สุดเอาไว้

หากพูดแบบหยาบ ๆ สักหน่อย เขาก็เหมือนพวกสาวใช้ที่เตรียมตัวจะผูกคอตายเพื่อปกป้องความบริสุทธิ์ของตนเอง หลังถูกนายท่านผู้มีฐานะแต่พฤติกรรมหยาบช้าถูกตาต้องใจจะยกขึ้นมาเป็นอนุ แต่ต่อมากลับได้ยินข่าวว่าจู่ ๆ นายท่านไม่คิดสนใจตนแล้ว สาวใช้พวกนั้นจึงค่อยโล่งอกสบายใจ

นี่ยังดีที่เขาไม่หัวเราะร่าใส่หน้าเธอ นับว่ายังไว้หน้าเธออยู่ไม่เบา

แต่ถึงจะบรรลุเป้าหมายได้ อีกฝ่ายก็ยังคงไม่รู้สึกอะไรกับเธออยู่ดี อวี่ฉีจึงอดรู้สึกแย่ขึ้นมาไม่ได้

เธอทิ้งศีรษะลงไปนอนเอียงบนหมอนแล้วคว้ามือขององครักษ์หนุ่มมาวางบนแผ่นหลังของตนอย่างเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ ก่อนจะคลี่ยิ้มบาง ๆ เอ่ยสั่งอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่ฉาบปูนมาอย่างดีว่า “เดิมทีข้าใกล้จะหลับสนิทแล้ว แต่เจ้ากลับทำข้าตื่น ฉะนั้นจงกล่อมข้านอนเป็นการชดใช้เสียเถอะ”

 

 

[1]  เขตปกครองตนเองซินเจียง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด