ยุทธเวทผลาญปีศาจเล่มที่ 1 บทที่ 20 ผู้จัดการซู (4)

Now you are reading ยุทธเวทผลาญปีศาจ Chapter เล่มที่ 1 บทที่ 20 ผู้จัดการซู (4) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

น้ำเสียงซูเหลียนเยวี่ยเจือแววสั่นเครือ “ที่จริงแล้วฉัน…ยังบริสุทธิ์…”
สวีหยางอี้ตะลึงไปเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้าลง “อืม”

เธอเป็นผู้หญิงที่ภายนอกแกล้งทำเป็นแข็งแกร่ง ไม่ยอมเปิดใจให้ใครง่ายๆ แต่ที่ผ่านมาทั้งหมด มันก็เป็นเพียงการเสแสร้งแกล้งทำเท่านั้น

“พรึบ…พรึบ…พรึบ…” เสื้อผ้าท่อนบนถูกถอดออกจนหมด แต่เธอกลับไม่ได้สวมอะไรไว้ข้างในเลย

สวย…สวยเหลือเกิน หรือบางทีเธออาจจะใช้คำสวยได้สิ้นเปลืองเกินไปด้วยซ้ำ

รูปร่างรูปตัว S ที่สมบูรณ์แบบกับเอวบางดังกิ่งหลิวไม่มีไขมันส่วนเกินแม้แต่น้อย หากในขณะเดียวกันก็ไม่ทำให้คนรู้สึกว่าผอมแห้งจนเห็นถึงกระดูก หรือสะดุดมือยามลูบไล้ แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาช่วยขับให้ซูเหลียนเยวี่ยในยามนี้ราวกับเทพธิดาแห่งจันทราก็ไม่ปาน

“นี่เป็นค่ามัดจำของฉัน…คุณพอใจหรือเปล่า…”

เธอหลับตาลง เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นหยาดน้ำตาที่หางตา

เธอเองก็มีความเคารพตัวเองอยู่เหมือนกัน

สวีหยางอี้กวาดตามองผ่านๆ “คุณจะใช้เงินก็ได้”

“สำหรับคุณแล้วเงินเป็นเรื่องยากงั้นเหรอ” ซูเหลียนเยวี่ยปล่อยให้แสงจันทร์สาดกระทบร่างพลางยิ้มขมเฝื่อน “ฉันไม่มีหินวิญญาณ ไม่ใช่นักฝึกตน แบ่งหุ้นอะไรให้คุณไม่ได้ด้วย…”

“บางที…ผู้หญิงสำหรับคุณแล้วก็อาจจะไม่ได้มีราคาค่างวดอะไร แต่ว่านี่เป็นสิ่งมีค่าที่สุดที่ฉันจะให้ได้แล้ว…”

“คุณ…ชอบหรือเปล่า”

สวีหยางอี้จุดบุหรี่ขึ้นสูบ “เรื่องที่คุณต้องทำ คงไม่ง่ายเลยสินะ”

“ไม่นะ ง่ายมาก แต่ฉันขอร้องใครไม่ได้เท่านั้นเอง” ซูเหลียนเยวี่ยแหงนหน้าขึ้นมองฝ้าเพดาน น้ำเสียงสั่นเครือ “คุณรู้ไหมว่า…เมืองซานสุ่ยเป็นเมืองยากจนข้นแค้น ปีศาจในเมืองนี้ก็เป็นปีศาจในขั้นเลี่ยนชี่ขั้นต้นกันทั้งนั้น หรืออย่างมากที่สุดก็แค่ขั้นกลาง และในทำนองเดียวกัน นักล่าปีศาจที่มาที่นี่ส่วนมากก็เป็นนักฝึกตนขั้นต้นขั้นกลางกันทั้งนั้น…ไม่เคยมี…ไม่เคยมีมือวางอันดับหนึ่ง…หรือแม้แต่อันดับที่หนึ่งของเมืองมาที่นี่…”

“ปีศาจพวกนี้…เจียมเนื้อเจียมตัวมาก พวกมันไม่อยากก่อเรื่องอะไรขึ้นมาหรอก มันแค่อยากจะใช้ชีวิตอยู่อย่างดีต่อไปเท่านั้น..คุณเองก็เห็นเจ้าตะขาบในสนามกีฬานั่นแล้ว…เป็นแค่ป้าคนหนึ่งที่มาจ่ายตลาด…พวกเธอจะมีปัญญาไปดึงดูดพวกนักฝึกตนขั้นสูงให้มาไล่ล่าได้ยังไง ส่วนฉัน…” เธอหลับตาลง เปลือกตาของเธอสั่นระริกเล็กน้อย ปล่อยให้ร่างกายเปลือยเปล่าไร้ซึ่งสิ่งบดบังใดๆ “คุณไม่รู้หรอกว่าวงการการฝึกตนมองนักฝึกตนที่ถูกเขี่ยทิ้งต่ำต้อยแค่ไหน…ควบคุมอย่างเข้มงวดแค่ไหน…ฉันไม่อาจเข้าไปใกล้ชิดนักฝึกตนที่อยู่นอกขอบเขตวิชาชีพได้เลย…ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการออกจากเมืองซานสุ่ยนี้ไป….และฉันต้องทำงานนี้…”

เธอชะงักไปเล็กน้อย “ห้าสิบปี…”

เธอลืมตาขึ้นจ้องสวีหยางอี้ไม่ละสายตา “คุณเป็นมือวางอันดับหนึ่งคนแรกที่ฉันได้เจอ”

“เพราะฉะนั้น ผมคือสมบัติล้ำค่างั้นเหรอ” สวีหยางอี้โยนเสื้อผ้าทิ้ง “มาต่อ”

ซูเหลียนเยวี่ยไม่ได้รับเอาไว้

เสื้อผ้าตัวนั้นตกลงบนร่างของเธอก่อนจะลื่นไถลลงไป

“ฉันต้องการตามหาน้องสาวฉัน” เบ้าตาเธอแดงก่ำ “เพราะคุณแม่ถูกปีศาจฆ่าตาย คุณพ่อก็หย่าขาดไปนานแล้ว คุณแม่ถึงต้องเลี้ยงดูพวกเราสองคนมาอย่างยากลำบาก แต่หลังจากที่น้องสาวฉันเข้าไปในเทียนเต้าเธอก็หายสาบสูญไป”

“เธอชื่อซูซิงเหยา ขอแค่คุณช่วยฉันตามหาเธอจนเจอ ฉันก็จะเป็นของคุณ”

“ไม่ว่าคุณจะเล่นยังไงผมก็ยอมทั้งนั้น”

สวีหยางอี้เผยอปากขึ้นเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มองเธออย่างจริงจัง

อีกฝ่ายเองก็ตอบสนองเขาด้วยสายตาจริงจังแบบเดียวกัน

“ค่ามัดจำของคุณยังไม่พอ” เนิ่นนาน สวีหยางอี้ถึงได้เอ่ยขึ้นเสียงแผ่วหวิว “ถ้าผู้หญิงที่ไหนมาแก้ผ้าหล่อนจ้อนต่อหน้าผม ผมก็ช่วยเธอตามหาคนไปหมด คุณคิดว่าผมเป็นคนยังไง”

“ฉันรู้” สายตาซูเลียนเยวี่ยว่างเปล่า ทว่าในชั่วพริบตาก็กลับมีประกายไฟลุกโชนขึ้นอย่างแรงกล้า “ฉันยังรู้อีกว่า…อีกครึ่งเดือนคุณต้องกลับเทียนเต้าไปร่วมพิธีจบการศึกษา…และฉันยังรู้มากไปกว่านั้นอีกว่า หลังจากนั้นคุณยังจะไปที่อื่นๆ อีกมากมายที่ฉันไม่อาจย่างกรายเข้าไปได้”

สวีหยางอี้พยักหน้ากำลังจะพูดอะไร แต่ในชั่ววินาทีต่อมาคำพูดทั้งหมดของเขาก็พลันต้องหยุดชะงักลง

สายตาเขาราวกับผนึกรวมอยู่ในกำมือของซูเหลียนเยวี่ย เพราะในมือของเธอถือขนนกไว้เส้นหนึ่ง

ขนนกสีดำขอบทอง ตรงส่วนปลายของมันถักทอลวดลายเป็นรูปดวงตาสีทอง

“ฤดูใบไม้ร่วงเมื่อสิบปีก่อน…” น้ำเสียงของซูเหลียนเยวี่ยเจือแววรวดร้าวอย่างบอกไม่ถูก แววตาเธอเด็ดเดี่ยวอย่างที่สุด “เธอหายไปอย่างไร้ร่องรอย…ตอนนี้เหลือแค่ขนนกสีดำเส้นนี้เส้นเดียว”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง ความเจ็บปวดที่หัวไหล่อย่างหนักหน่วงก็พลันไหลบ่าเข้ามา แต่หญิงสาวก็ยังกัดฟันทนไว้ไม่ส่งเสียงร้องออกมา

สวีหยางอี้จับไหล่เธอไว้จนสุดแรง เรี่ยวแรงมหาศาลนั้นราวว่าจะบีบกระดูกหัวไหล่เธอให้แตกละเอียดเสียให้ได้ ทว่า…

เธอก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะสะบัดมันออก!

ราวกระต่ายขาวเจอจอมพยัคฆ์ เพียงแค่เห็นรังสีของจอมพยัคฆ์ ก็ทำให้เธอไม่กล้าขยับเขยื้อนส่งเดชแม้แต่น้อย!

ช่างไร้เดียงสาเกินไปแล้ว…ตอนนี้แค่จะหลับตาลง เธอก็ยังไม่กล้าด้วยซ้ำ

คนๆ นี้ไม่ใช่คนที่แค่อาศัยความสะสวยก็จะสามารถหลอกล่อได้…ก็ไม่แปลกไม่ใช่หรือไง…พวกมือวางอันดับหนึ่งก็ย่อมต้องมีจุดที่เหนือว่าคนอื่นกันทั้งนั้น

แววตาของสวีหยางอี้มีประกายไฟลุกโชน

มันคือเปลวไฟจากขุมนรก ในยามปกติแล้วมันซุกซ่อนอยู่ภายใต้ดวงตาคู่นั้น ทว่าทันทีที่ปลดปล่อยออกมา กลับชวนให้คนตื่นสะพรึงได้ถึงขีดสุด!

“ถ้าคุณหลอกผม…” น้ำเสียงสวีหยางอี้เย็นเยียบเสียราวไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ “ผมจะทำให้คุณอยู่ไม่สู้ตาย”

ทุกอย่างพลันเงียบงัน…หากก็ยังแฝงไว้ด้วยความหนาวเหน็บแทบจะศูนย์องศา

“เป็นความจริงทุกคำ ไม่มีอะไรปิดบังแม้แต่น้อย” ซูเหลียนเยวี่ยเสียงสั่นเครือแหบพร่า “ถ้าคุณค้นวิญญาณได้ล่ะก็ จะค้นดูก็ได้”

เธอว่าจบประโยคนี้ก็หลับตาลง

เธอไม่อยากฟังการตัดสินของเขา

ช่วยหรือไม่ช่วย

ก่อนหน้านี้เธอมั่นใจในตัวเองมากทีเดียว จนกระทั่งได้เจอกับนักฝึกตนตัวเป็นๆ มือวางอันดับหนึ่งตัวจริง ความมั่นใจนี้ถึงได้สลายหายไปเป็นผุยผง ชนิดที่ว่าแค่สัมผัสก็แตกสลายไม่มีชิ้นดี

ความหวังสุดท้ายของเธออยู่ในขนนกในมือนี้แล้ว หลังจากรวบรวมข้อมูลอย่างเต็มกำลังมาตลอดสิบกว่าวันนี้ สุดท้ายความพยายามที่เธอทุ่มเทไปทั้งหมดก็จะไม่สูญเปล่าแล้ว

เธอแทบอยากจะร้องไห้อยู่ในใจให้กับความบังเอิญนี้

สวีหยางอี้มองหญิงสาวสะสวยเปลือยครึ่งท่อนตรงหน้าด้วยสายตาเย็นเยียบ ชั่วขณะนั้น หัวใจเขาสงบนิ่งราบเรียบ แต่แล้วก็เต้นระส่ำอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาอีก

เป็น “มัน…”

ต้องเป็นมันแน่ๆ!

เขาตามหามือสังหารมาตลอดสิบสามปี! ปีศาจที่ทำให้เขาไม่อาจลืมเทพแห่งความตายได้ลงตนนั้น! ต้องเป็นมันแน่!

เป็นขนนกแบบนี้แหละ เหมือนกันไม่มีผิด…เขาถึงขนาดได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งในค่ำคืนเมื่อสิบสามปีก่อนนั้น!

มันถึงกับกล้าปรากฏตัวออกมา…เมื่อสิบสามปีก่อนมันทำให้เขาต้องตกอยู่ในฝันร้าย แต่หลังจากที่มันผลักเขาเข้าสู่ประตูบานนั้นแล้ว ห้าปีก่อน มันกลับทำให้อีกหนึ่งครอบครัวต้องแตกเป็นเสี่ยงๆ อีกครั้ง!

ฆ่า!

อย่าให้เหลือ!

ความกระหายอยากสังหารในใจเขาไม่เคยแน่วแน่ขนาดนี้มาก่อน

หนี้แค้นของตน กับหนี้มหาศาลที่ยังคงอยู่และมันต้องแบกรับไว้ เขาจะต้องทวงคืนกลับมาด้วยตัวเอง

ความเงียบงันเนิ่นนานผ่านไป ในที่สุดซูเหลียนเยวี่ยก็ได้ยินเสียงราวกับเสียงจากธรรมชาติดังขึ้น

“ผมรับ”

เธอเบิกตาโพลง ก่อนจะมองสวีหยางอี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ไม่ได้เป็นเพราะคุณ” นัยน์ตาสวีหยางอี้แดงก่ำขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายว่ากำลังจ้องเธอตาเขม็งแต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนกับไม่ได้จ้องเธออยู่อย่างไรอย่างนั้น “และจะไม่มีครั้งต่อไปด้วย ทำลายตัวเองเพื่อแลกความเห็นใจ มันไร้ค่าเกินไป และคุณเองก็รับผิดชอบไม่ไหวหรอก”

“เส้นทางของนักฝึกตน มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณคิด”

“ในเมื่อคุณออกไปแล้ว ก็ใช้ชีวิตสงบอย่างมนุษย์ธรรมดาไปตลอดเถอะ”

เพียงได้ยินสามประโยคนี้ น้ำตาของซูเหลียนเยวี่ยก็พลันไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

ร่างที่ฝืนเกร็งไว้ดังคันธนูค่อยๆ โก่งโค้งลงแล้วส่งเสียงร้องไห้แสนเบาหวิวอยู่ในลำคอราวสัตว์ถูกขัง

“ฮือๆ…” หลายวินาทีต่อมา ก็เหมือนกับบาดแผลที่อยู่ในใจมาตลอดหลายปีถูกฉีกทึ้งออก เธอแหงนหน้าขึ้นกรีดร้องคำราม “อ๊า!!!!!”

ตั้งกี่ปีมาแล้ว…ในที่สุด ในที่สุดก็มีคนรับแล้ว มีคนกล้ารับแล้ว…

น้องสาวที่พลัดพรากกันไปนานหลายปีของตน ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่านะ และไปอยู่เสียที่ไหน แต่ไม่ว่ายังไง…นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ความหม่นหมองในชีวิตของเธอมีประกายความหวังขึ้นมา

แม้หยาดน้ำตาเธอจะไหลอาบข้างแก้ม แต่เธอก็ไม่คิดจะเช็ดมันออก

ความเจ็บปวดนี้มันยาวนานเหลือเกิน นานจนเธอคิดว่าตัวเองลืมไปแล้วเสียอีก คิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ มันจะระเบิดออกมาภายในชั่วพริบตา ทั้งยังรุนแรงขนาดนี้ด้วย

ตัวเธอในตอนนี้งดงามราวนางฟ้าตกสวรรค์ ราวดอกกล้วยไม้กลางหุบเขาต้องแสงจันทร์ และในที่สุดตอนนี้เธอก็เปล่งประกายความสว่างไสวทั้งหมดที่เธอมีแล้ว

สวีหยางอี้เพียงมองเธอเงียบๆ เท่านั้น ไม่ได้ขัดจังหวะเธอ เขาเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้เป็นอย่างดี มันก็เหมือนกับตัวเขาตอนเพิ่งถึงเทียนเต้าใหม่ๆ

กี่ค่ำคืนที่ต้องฝันถึงช่วงเวลานองเลือดนั้น จากร้องไห้อย่างเจ็บปวดจนไปถึงกรีดร้อง มาถึงตอนนี้เขาไม่ร้องไห้ไม่ยิ้มแย้ม แต่เขากลับมีความรู้สึกอยากสังหารที่อัดแน่นในใจ

“ใส่เถอะ” หลายนาทีต่อมา เสียงร้องไห้เบาๆ ของซูเหลียนเยวี่ยถึงได้หยุดลง สวีหยางอี้มองเสื้อผ้าที่กองอยู่กรอมเท้าของเธอแล้วเอ่ยขึ้น

คิดไม่ถึงว่าซูเหลียนเยวี่ยกลับเผยรอยยิ้มเจือเสน่ห์ชวนหลงใหล ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้ามา นัยน์ตาฉายแววแน่วแน่เด็ดเดี่ยว

บางที…ให้เขาทั้งแบบนี้ก็ไม่เลว…

อย่างน้อย…ตอนนี้ ชั่วขณะนี้ วินาทีนี้ เธอก็ไม่คิดเสียใจ

เธอวางก้อนหินในใจลงแล้ว ตอนนี้เธอก็แค่อยากให้ตัวเองได้เป็นอิสระและผ่อนคลายอย่างเต็มที่

“คุณ…จะไม่มาเอาค่ามัดจำคุณไปเหรอ” ซูเหลียนเยวี่ยจับมือเขาขึ้นมาแล้วค่อยๆ ทาบมันลงบนหน้าอกอวบอิ่มของตัวเองช้าๆอย่างไม่ลังเล ใบหน้าเธอแดงระเรื่อขึ้นเป็นครั้งแรกแล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ “คำไหว้วานของฉัน…ยากนะ…”

สวีหยางอี้นิ่งอึ้งแล้วมองพินิจมองเธอดีๆ อยู่หลายวินาที ก่อนจะยิ้มออกมา “ค่ามัดจำของผมก็แพงมากเหมือนกัน”

เขาอุ้มเธอเดินเข้าไปในห้องนอนอย่างไม่คิดลังเล “ลืมบอกไป ผมเองก็บริสุทธิ์เหมือนกัน อย่าโทษผมล่ะ ไปโทษเทียนเต้าโน่น”

…………………………………………

รัตติกาลล่วงเลยไป

หากเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ

คืนที่ผ่านมานี้ทั้งรวดเร็วและเชื่องช้า ตอนที่ซูเหลียนเยวี่ยตื่นขึ้นมาสวีหยางอี้ก็ออกไปซื้ออาหารเช้าแล้ว และแน่นอนว่าเขาซื้อเคเอฟซีโดยใช้บริการส่งอาหารจากเหม่ยถวนเดลิเวอร์รี่[1]

พอซูเหลียนเยวี่ยขยับเอวก็รู้สึกเจ็บปวดมาก

คิดอยู่แล้วว่าร่างกายของนักฝึกตนจะดีขนาดนี้…แต่ดีเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี…

ดวงตาสวีหยางอี้มองอีกฝ่ายด้วยสายตาซับซ้อน ก่อนจะเข้าไปพยุงเธอลุกขึ้น จากนั้นก็ส่งโคล่าให้เธอแก้วหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

“ไม่ต้องมารับผิดชอบฉัน” ซูเหลียนเยวี่ยเอ่ยเรียบๆ “ฉันก็ไม่ได้ต้องการให้คุณมารับผิดชอบฉัน”

“นี่เป็นค่าตอบแทน” เธอรับแก้วโคล่ามา สีหน้าสงบราบเรียบ “เมื่อคืนนี้ ฉันต้องการ คุณก็ต้องการ คุณรับค่ามัดจำที่คุณควรจะได้ไป และค่ามัดจำก้อนนี้ฉันก็เต็มใจจะจ่าย ฉันไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับคุณ มีก็แค่ความซาบซึ้งเท่านั้น คุณเองก็ไม่ได้รักฉัน ก็แค่ถือโอกาสช่วยด้วยความเห็นใจและสงสาร มันก็ง่ายๆ แค่นี้เอง”

สวีหยางอี้มองเธออยู่หลายวินาทีก่อนจะคลี่ยิ้ม “ผมนึกว่าผู้หญิงหลังจากเสียความบริสุทธิ์ครั้งแรกจะพูดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เสียอีก”

“พวกเราก็โตๆ กันแล้ว เรื่องความรักมันไกลตัวเกินไป…” ซูเหลียนเยวี่ยถอนหายใจ “รู้จัก คุ้นเคย รู้ใจ ไม่เหมือนพวกเราที่ขึ้นเตียงก่อนค่อยมาพูดเรื่องความรัก ฉันเองก็ไม่ชอบแบบนี้ แต่ว่า…”

เธอหยักยกริมฝีปากขึ้น “ฉันก็ไม่ได้รังเกียจความรู้สึกแบบนี้หรอกนะ เอ่อ…ฉันหมายถึงความรู้สึกบนเตียงนี้น่ะ”

สวีหยางอี้เงียบไป ผ่านไปเนิ่นนานถึงได้เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ต่อไปถ้ามีเรื่องอะไรก็โทรหาผมได้ ผมจะช่วยคุณหนึ่งเรื่อง ถ้ามันอยู่ในขอบเขตที่ผมทำได้ และไม่ขัดกับหลักการทำงานของผม”

“คำไหนคำนั้น?” ซูเหลียนเยวี่ยไม่ได้มีท่าทีผิดหวังนัก เธอเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “ฉันจำเอาไว้แล้วนะ ว่าแต่คุณรับปากว่าจะช่วยเรื่องหนึ่งก็ต้องมีข้อจำกัดมากมายขนาดนี้ด้วย ใจแคบจริง”

“รอให้คุณดีขึ้นแล้วผมจะไป” สวีหยางอี้เปิดโทรทัศน์ “ไม่ว่าต่อไปเราจะเป็นยังไง แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ใช่ผู้ชายที่ฟันแล้วทิ้ง”

——————————————————————————–

[1] เหม่ยถวนเดลิเวอร์รี่ (美团外卖) เป็น ธุรกิจส่งอาหารแบบเดลิเวอร์รี่ของจีน

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *