องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ 12 ขาดความรอบคอบ

Now you are reading องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ Chapter 12 ขาดความรอบคอบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ส่งเสด็จพระมเหสีหวา” กงกงตะโกนเสียงสูง พระมเหสีหวาทรงสะดุ้งเล็กน้อย หันกลับไปทอดพระเนตรผู้คนเบื้องหลังด้วยดวงพระเนตรที่ดุดัน แล้วทรงจากไปด้วยความพิโรธ

พระมเหสีหวาเสด็จกลับแล้ว องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ก็หันกลับมาทอดพระเนตรไปยังนายพลฉี : “เจ้านี่มัน!”

พระองค์ทรงชี้ฉีจือซาน แล้วทรงกลับสู่พระที่นั่ง มิตรสหายนานนับหลายปี ฉีจือซานเป็นคนอย่างไรองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงรู้ดีเป็นที่สุด วันนี้ได้ล่วงเกินพระมเหสีหวาไป ก็จงรีบสร้างบุญกุศลให้มากเถิด

“ฝ่าบาท” ฉีจือซานเดินไปยืนข้างฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นเวลานี้กลายเป็นเด็กดีกว่าครั้งไหนๆ ฉีจือซานเองไม่เคยที่จะละเลยสายเลือดที่ไหลเวียนในตัวลูกสาวและร่างกายที่แข็งแรงของนาง

“เรื่องอันใด?” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทอดพระเนตรไปยังฉีจือซานที่สีหน้าเต็มไปด้วยความคลุมเครือ อดไม่ได้ที่จะสงสัย สร้างความโกรธแค้นเคืองขุ่นให้พระมเหสีหวาไปแล้ว องค์จักรพรรดิเองยังมิทันจะได้ตรัสอะไรเลย ฉีจือซานยังจะไม่พอใจอะไรอีก

“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องอยากจะทูลขอ”

“เรื่องอะไร?” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงถามขึ้นมาด้วยความแปลกพระทัย

นายพลฉีจึงพูดขึ้นว่า : “กระหม่อมมีอวิ๋นอวิ๋นเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว ชีวิตที่แก่ชราของกระหม่อมขอใช้มันเพื่อปกป้องอวิ๋นอวิ๋น ฝ่าบาท ขอฝ่าบาทได้ทรงโปรดอนุญาตให้อวิ๋นอวิ๋นหย่ากันด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงทอดพระเนตรไปยังฉีเฟยอวิ๋นด้วยความลำบากพระทัย แล้วทรงหันไปทอดพระเนตรหนานกงเย่ที่อยู่ตรงนั้นอย่างเงียบสงบ

“เรื่องนี้ข้าดูแล้ว ควรรออีกสักระยะ ในเมื่อข้าได้รับปากพระชายาเย่ให้กลับบ้านแม่ไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าสักสักพัก ก็ควรจะรออีกสักหน่อยแล้วค่อยว่ากัน ถึงเวลานั้น หากยังรู้สึกไม่เหมาะสม อยากจะหย่ากัน ก็หย่ากันเถิด”

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงมองออก พระองค์ทรงรู้ดีว่าพระอนุชาของพระองค์เป็นแบบคนไหน คนอื่นที่อยากแต่งเขากลับไม่ไปสู่ขอ คนอื่นอยากจะหย่าเขากลับไม่ยอมหย่า ชอบทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ขัดกับผู้อื่นเสมอ

เรื่องอภิเษกสมรสเขาได้ดันทุรังจนได้อภิเษกกัน ส่วนเรื่องจะหย่าร้าง เกรงว่าเขาจะไม่ยอมประนีประนอมง่ายๆ น่ะสิ!

ตอนนี้องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงทำได้เพียงตัดสินใจผ่อนปรนเรื่องนี้ไปก่อนชั่วคราว

นายพลฉีกำลังจะเถียงต่อเหตุผล แต่ถูกฉีเฟยอวิ๋นดึงแขนไว้ เรื่องวันนี้จึงหยุดไว้เพียงเท่านี้ องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงแสดงออกชัดเจนว่าไม่ได้คิดจะให้เธอหย่ากันอยู่แล้ว พูดต่อไปก็ไร้ประโยชน์ ไม่พูดเสียจะดีกว่า

ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหน้าเบาๆ นายพลฉีหันมองไปยังหนานกงเย่ที่เฉยเมยตั้งแต่ต้นจนจบ จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “ชั่งเถิด เรื่องวันนี้ก็หยุดไว้เพียงเท่านี้ก็แล้วกัน”

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้จึงตรัสขึ้นว่า : “ข้าเองก็เหนื่อยแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องอื่นก็กลับไปก่อนแล้วกัน ข้าจะไปดูอ๋องตวนเสียหน่อย”

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงลงจากที่ประทับ แล้วทรงทอดสายพระเนตรไปยังฉีจือซาน ส่งสัญญาณให้ฉีจือซานและฉีเฟยอวิ๋นออกไปก่อน ฉีจือซานจึงได้พาฉีเฟยอวิ๋นออกไป

เมื่อทรงเห็นสองพ่อลูกพากันออกไปแล้ว องค์จักรพรรดิอวี้ตี้จึงหันกลับมาทอดพระเนตรหนานกงเย่ : “อ๋องเย่ เจ้าก็มาด้วย”

หนานกงเย่จึงเดินตามไปด้วย

ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามฉีจือซานออกมา เมื่อทั้งคู่เดินออกมากจนถึงนอกวังแล้ว ฉีจือซานจึงพูดขึ้นว่า : “พ่อจะทูลเรื่องหย่ากันกับฝ่าบาท ทำไมเจ้าถึงห้ามพ่อไว้ อวิ๋นอวิ๋น พ่อดูแล้วหนานกงเย่ไม่ได้เป็นคนดีอะไรเลย”

ฉีเฟยอวิ๋นที่ร่างกายยังบาดเจ็บ แต่นางพยายามข่มเอาไว้ ดึงแขนของนายพลฉีหันมาอธิบายว่า  แต่ตอนนี้ยังหย่ากันไม่ได้เราก็ไม่ควรจะดันทุรังเกินไป ควรรอสักพักก่อนค่อยว่ากัน ฝ่าบาททรงอนุญาตให้หม่อมฉันกลับไปอยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อแล้ว เรายังมีเวลาอีกหลายเดือน ไม่แน่หนานกงเย่อาจจะออกมาขอหย่าเองก็ได้เจ้าค่ะ”

“พ่อฟังเจ้า” นายพลฉีเห็นฉีเฟยอวิ๋นที่กำลังลำบากใจ ไม่ว่าจะหย่ากันหรือไม่ วันข้างหน้ามันอาจจะกลายเป็นเรื่องของสองบ้านก็ได้ ใช้ชีวิตยากลำบากแน่นอน เมื่อคิดแบบนี้ก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา และเกลียดหนานกงเย่ยิ่งขึ้นไปอีก

สองพ่อลูกกลับถึงจวนนายพลอย่างรวดเร็ว

ฉีเฟยอวิ๋นกลัวว่าจะมีปัญหาแล้วเรื่องบานปลาย จึงบอกกับนายพลฉี ว่าร่างกายของนางอ่อนแอ ต้องฟื้นฟูสักระยะหนึ่ง หากไม่ใช่เดือนสองเดือนก็จะไม่หาย แม้แต่คนในบ้านก็ยังต้องปกปิด ยกเว้นเพียงสาวใช้ประจำตัวยาโถวและหัวหน้าผู้ดูแล นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีผู้อื่นรู้เรื่องนี้อีก เมืองหลวงเต็มไปด้วยความโกลาหล

ข่าวคราวนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับฉีเฟยอวิ๋นริษยาในพระชายาตวน ได้แอบทำร้ายพระนางลับหลัง จึงถูกท่านอ๋องตวนสั่งสอน

ฉีเฟยอวิ๋นเองก็มีวันนี้ด้วยหรือ คงเป็นเพราะสวรรค์มีตาแล้ว เสียดายเพียงท่านอ๋องเย่ที่ต้องมาเหนื่อยเพราะเรื่องนี้ด้วย

ท่ามกลางผู้คนในเมือง แม้แต่ตรอกซอกซอยเล็กใหญ่ก็พากันพูดถึงเพียงแต่เรื่องนี้

ฉีเฟยอวิ๋นได้ทำปลอมตัวเข้าไปในกลุ่มผู้คน ได้ยินแต่เรื่องนี้จนหูชาไปหมด

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกทำตัวไม่ถูก เจ้าของร่างเดิมคงจะมีเรื่องกับชาวบ้านไปทั่ว ดูแล้วก็คงจะเคยล่วงเกินทั้งเมืองหลวงแล้วกระมัง

คนแบบนี้ ถึงแม้จะตายไป ก็ไม่มีใครมาสงสารหรอก!

ชื่อเสียงเรียงนามที่ฉาวโฉ่ยังต้องเกรงใจกันทีเดียวเชียว!

สองวันมานี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นยังมีเรื่องที่จะต้องทำ งั้นก็ไปตามหาฆาตกรที่ฆ่าเจ้าของร่างเดิมก็แล้วกัน

คิดอยากตามหาคนคนนี้ออกมา คงจะต้องลงทุนลงแรงไม่ใช่น้อย

ฉีเฟยอวิ๋นเดินมาจนถึงหน้าประตูทางเข้าตำหนักของท่านอ๋องเย่ กำลังมองหินเทพสิงโตที่ตั้งคู่อยู่หน้าประตูทางเข้า กำลังคิดอยู่ว่าจะเข้าไปข้างในได้ยังไง

ถ้าปลอมตัวเข้าไปทั้งอย่างนี้ ก็ไม่ต้องคิดจะออกมาแล้วล่ะมั้ง

ใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมา เมื่อเห็นอาอวี่ควบม้าออกไปอย่างรวดเร็วด้วยความรีบร้อน และประตูของตำหนักท่านอ๋องเย่ก็ถูกเปิดออก ด้านในดูยุ่งเหยิงวุ่นวายไปหมด สาวใช้บางคนถึงขั้นร้องไห้ฟูมฟาย

เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ตำหนักท่านอ๋องเย่ถึงได้โกลาหลวุ่นวายขนาดนี้

ในขณะที่ตำหนักท่านอ๋องเย่กำลังโกลาหลวุ่นวาย ฉีเฟยอวิ๋นถือโอกาสนี้แอบเนียนเข้าไปในตำหนักท่านอ๋องเย่ หลีกเลี่ยงผู้คนแล้วเดินตรงไปยังสวนหลังตำหนักของท่านอ๋องเย่ สวนดอกกล้วยไม้

ในความทรงจำของฉีเฟยอวิ๋น สวนกล้วยไม้อยู่ภายในพื้นที่ของหนานกงเย่ ในเวลานี้ ตำหนักท่านอ๋องเย่เต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย

เมื่อเข้าไปแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็ถูกคนผู้หนึ่งดึงไว้ : “ท่านเป็นหมอหลวงที่จะมาดูอาการของท่านอ๋องเย่ใช่หรือไม่?”

ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา คนผู้นั้นเป็นหัวหน้าผู้ดูแลของตำหนักท่านอ๋องเย่ และไม่ทันที่เธอจะได้ตอบอะไรก็ถูกดึงเข้าไปภายในตำหนักของท่านอ๋องเย่

เพียงแค่ก้าวเท้าเข้าประตูฉีเฟยอวิ๋นก็ได้กลิ่นเลือดคละคลุ้ง ภายในตำหนักก็เห็นสาวใช้ยกกะละมังที่มีเลือดออกมาจากด้านในด้วยความรีบร้อน ฉีเฟยอวิ๋นถูกดึงไปยืนต่อหน้าหนานกงเย่ ให้นางช่วยดูอาการ

“หมอหลวงท่านรีบช่วยดูเถอะ ท่านอ๋องเย่ของเราเป็นอย่างไรบ้าง?

หัวหน้าผู้ดูแลแทบจะสำลัก ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองหนานกงเย่ที่นอนจมกองเลือด เธออึ้งไปชั่วขณะ จู่ๆ บางสิ่งบางอย่างที่ถูกกดทับไว้ภายในร่างกายของเธอเหมือนจะทะลักออกมาให้ได้ จนทำให้เธอสับสนวุ่นวายไปด้วย ไม่ทันได้ตั้งตัวอะไรทั้งสิ้น

อย่าว่าแต่คนบาดเจ็บเลย คนตายเธอก็เห็นมานับไม่ถ้วน แต่เวลานี้ เธอเหมือนถูกอะไรบางอย่างครอบงำจิตใจ จึงทำให้เธอเริ่มกลัวว่าหนานกงเย่จะเป็นอะไรไป

“หมอหลวง” หัวหน้าผู้ดูแลเรียกเธออีกครั้ง ฉีเฟยอวิ๋นจึงตื่นขึ้นจากภวังค์ นี่ไม่ใช่เวลามากังวลเรื่องพวกนี้แล้ว เธอรีบก้มลงเพื่อตรวจดูอาการ : “ท่านถูกวางยาพิษหรือ?”

จู่

ๆ หนานกงเย่ก็ลืมตาคู่นั้นขึ้น พร้อมกับยื่นมือมาบีบคอของฉีเฟยอวิ๋น : “เจ้าเองรึ?”

ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ถ้าหากว่าท่านยังอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ ก็จงปล่อยมือซะ”

หัวหน้าผู้ดูแลที่ยืนอยู่ข้างๆ ตกใจสะดุ้งโหยง หนานกงเย่จ้องฉีเฟยอวิ๋นตาเขม็ง ราวกับว่าจะจับเธอกินยังไงยังงั้น ฉีเฟยอวิ๋นรอจนหมดความอดทน : “เจ้ายังจะรออะไรอยู่ ทำไมยังไม่รีบเอามือของเขาออก ไม่อย่างงั้นเขาได้ตายแน่ๆ!”

หัวหน้าผู้ดูแลจึงรีบเดินเข้ามา กำลังจะดึงมือของหนานกงเย่ออก แต่หนานกงเย่กลับออกแรงบีบยิ่งขึ้น จนกระดูกคอของฉีเฟยอวิ๋นแทบจะแหลกละเอียด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ 12 ขาดความรอบคอบ

Now you are reading องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ Chapter 12 ขาดความรอบคอบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ส่งเสด็จพระมเหสีหวา” กงกงตะโกนเสียงสูง พระมเหสีหวาทรงสะดุ้งเล็กน้อย หันกลับไปทอดพระเนตรผู้คนเบื้องหลังด้วยดวงพระเนตรที่ดุดัน แล้วทรงจากไปด้วยความพิโรธ

พระมเหสีหวาเสด็จกลับแล้ว องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ก็หันกลับมาทอดพระเนตรไปยังนายพลฉี : “เจ้านี่มัน!”

พระองค์ทรงชี้ฉีจือซาน แล้วทรงกลับสู่พระที่นั่ง มิตรสหายนานนับหลายปี ฉีจือซานเป็นคนอย่างไรองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงรู้ดีเป็นที่สุด วันนี้ได้ล่วงเกินพระมเหสีหวาไป ก็จงรีบสร้างบุญกุศลให้มากเถิด

“ฝ่าบาท” ฉีจือซานเดินไปยืนข้างฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นเวลานี้กลายเป็นเด็กดีกว่าครั้งไหนๆ ฉีจือซานเองไม่เคยที่จะละเลยสายเลือดที่ไหลเวียนในตัวลูกสาวและร่างกายที่แข็งแรงของนาง

“เรื่องอันใด?” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทอดพระเนตรไปยังฉีจือซานที่สีหน้าเต็มไปด้วยความคลุมเครือ อดไม่ได้ที่จะสงสัย สร้างความโกรธแค้นเคืองขุ่นให้พระมเหสีหวาไปแล้ว องค์จักรพรรดิเองยังมิทันจะได้ตรัสอะไรเลย ฉีจือซานยังจะไม่พอใจอะไรอีก

“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องอยากจะทูลขอ”

“เรื่องอะไร?” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงถามขึ้นมาด้วยความแปลกพระทัย

นายพลฉีจึงพูดขึ้นว่า : “กระหม่อมมีอวิ๋นอวิ๋นเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว ชีวิตที่แก่ชราของกระหม่อมขอใช้มันเพื่อปกป้องอวิ๋นอวิ๋น ฝ่าบาท ขอฝ่าบาทได้ทรงโปรดอนุญาตให้อวิ๋นอวิ๋นหย่ากันด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงทอดพระเนตรไปยังฉีเฟยอวิ๋นด้วยความลำบากพระทัย แล้วทรงหันไปทอดพระเนตรหนานกงเย่ที่อยู่ตรงนั้นอย่างเงียบสงบ

“เรื่องนี้ข้าดูแล้ว ควรรออีกสักระยะ ในเมื่อข้าได้รับปากพระชายาเย่ให้กลับบ้านแม่ไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าสักสักพัก ก็ควรจะรออีกสักหน่อยแล้วค่อยว่ากัน ถึงเวลานั้น หากยังรู้สึกไม่เหมาะสม อยากจะหย่ากัน ก็หย่ากันเถิด”

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงมองออก พระองค์ทรงรู้ดีว่าพระอนุชาของพระองค์เป็นแบบคนไหน คนอื่นที่อยากแต่งเขากลับไม่ไปสู่ขอ คนอื่นอยากจะหย่าเขากลับไม่ยอมหย่า ชอบทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ขัดกับผู้อื่นเสมอ

เรื่องอภิเษกสมรสเขาได้ดันทุรังจนได้อภิเษกกัน ส่วนเรื่องจะหย่าร้าง เกรงว่าเขาจะไม่ยอมประนีประนอมง่ายๆ น่ะสิ!

ตอนนี้องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงทำได้เพียงตัดสินใจผ่อนปรนเรื่องนี้ไปก่อนชั่วคราว

นายพลฉีกำลังจะเถียงต่อเหตุผล แต่ถูกฉีเฟยอวิ๋นดึงแขนไว้ เรื่องวันนี้จึงหยุดไว้เพียงเท่านี้ องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงแสดงออกชัดเจนว่าไม่ได้คิดจะให้เธอหย่ากันอยู่แล้ว พูดต่อไปก็ไร้ประโยชน์ ไม่พูดเสียจะดีกว่า

ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหน้าเบาๆ นายพลฉีหันมองไปยังหนานกงเย่ที่เฉยเมยตั้งแต่ต้นจนจบ จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “ชั่งเถิด เรื่องวันนี้ก็หยุดไว้เพียงเท่านี้ก็แล้วกัน”

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้จึงตรัสขึ้นว่า : “ข้าเองก็เหนื่อยแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องอื่นก็กลับไปก่อนแล้วกัน ข้าจะไปดูอ๋องตวนเสียหน่อย”

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงลงจากที่ประทับ แล้วทรงทอดสายพระเนตรไปยังฉีจือซาน ส่งสัญญาณให้ฉีจือซานและฉีเฟยอวิ๋นออกไปก่อน ฉีจือซานจึงได้พาฉีเฟยอวิ๋นออกไป

เมื่อทรงเห็นสองพ่อลูกพากันออกไปแล้ว องค์จักรพรรดิอวี้ตี้จึงหันกลับมาทอดพระเนตรหนานกงเย่ : “อ๋องเย่ เจ้าก็มาด้วย”

หนานกงเย่จึงเดินตามไปด้วย

ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามฉีจือซานออกมา เมื่อทั้งคู่เดินออกมากจนถึงนอกวังแล้ว ฉีจือซานจึงพูดขึ้นว่า : “พ่อจะทูลเรื่องหย่ากันกับฝ่าบาท ทำไมเจ้าถึงห้ามพ่อไว้ อวิ๋นอวิ๋น พ่อดูแล้วหนานกงเย่ไม่ได้เป็นคนดีอะไรเลย”

ฉีเฟยอวิ๋นที่ร่างกายยังบาดเจ็บ แต่นางพยายามข่มเอาไว้ ดึงแขนของนายพลฉีหันมาอธิบายว่า  แต่ตอนนี้ยังหย่ากันไม่ได้เราก็ไม่ควรจะดันทุรังเกินไป ควรรอสักพักก่อนค่อยว่ากัน ฝ่าบาททรงอนุญาตให้หม่อมฉันกลับไปอยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อแล้ว เรายังมีเวลาอีกหลายเดือน ไม่แน่หนานกงเย่อาจจะออกมาขอหย่าเองก็ได้เจ้าค่ะ”

“พ่อฟังเจ้า” นายพลฉีเห็นฉีเฟยอวิ๋นที่กำลังลำบากใจ ไม่ว่าจะหย่ากันหรือไม่ วันข้างหน้ามันอาจจะกลายเป็นเรื่องของสองบ้านก็ได้ ใช้ชีวิตยากลำบากแน่นอน เมื่อคิดแบบนี้ก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา และเกลียดหนานกงเย่ยิ่งขึ้นไปอีก

สองพ่อลูกกลับถึงจวนนายพลอย่างรวดเร็ว

ฉีเฟยอวิ๋นกลัวว่าจะมีปัญหาแล้วเรื่องบานปลาย จึงบอกกับนายพลฉี ว่าร่างกายของนางอ่อนแอ ต้องฟื้นฟูสักระยะหนึ่ง หากไม่ใช่เดือนสองเดือนก็จะไม่หาย แม้แต่คนในบ้านก็ยังต้องปกปิด ยกเว้นเพียงสาวใช้ประจำตัวยาโถวและหัวหน้าผู้ดูแล นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีผู้อื่นรู้เรื่องนี้อีก เมืองหลวงเต็มไปด้วยความโกลาหล

ข่าวคราวนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับฉีเฟยอวิ๋นริษยาในพระชายาตวน ได้แอบทำร้ายพระนางลับหลัง จึงถูกท่านอ๋องตวนสั่งสอน

ฉีเฟยอวิ๋นเองก็มีวันนี้ด้วยหรือ คงเป็นเพราะสวรรค์มีตาแล้ว เสียดายเพียงท่านอ๋องเย่ที่ต้องมาเหนื่อยเพราะเรื่องนี้ด้วย

ท่ามกลางผู้คนในเมือง แม้แต่ตรอกซอกซอยเล็กใหญ่ก็พากันพูดถึงเพียงแต่เรื่องนี้

ฉีเฟยอวิ๋นได้ทำปลอมตัวเข้าไปในกลุ่มผู้คน ได้ยินแต่เรื่องนี้จนหูชาไปหมด

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกทำตัวไม่ถูก เจ้าของร่างเดิมคงจะมีเรื่องกับชาวบ้านไปทั่ว ดูแล้วก็คงจะเคยล่วงเกินทั้งเมืองหลวงแล้วกระมัง

คนแบบนี้ ถึงแม้จะตายไป ก็ไม่มีใครมาสงสารหรอก!

ชื่อเสียงเรียงนามที่ฉาวโฉ่ยังต้องเกรงใจกันทีเดียวเชียว!

สองวันมานี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นยังมีเรื่องที่จะต้องทำ งั้นก็ไปตามหาฆาตกรที่ฆ่าเจ้าของร่างเดิมก็แล้วกัน

คิดอยากตามหาคนคนนี้ออกมา คงจะต้องลงทุนลงแรงไม่ใช่น้อย

ฉีเฟยอวิ๋นเดินมาจนถึงหน้าประตูทางเข้าตำหนักของท่านอ๋องเย่ กำลังมองหินเทพสิงโตที่ตั้งคู่อยู่หน้าประตูทางเข้า กำลังคิดอยู่ว่าจะเข้าไปข้างในได้ยังไง

ถ้าปลอมตัวเข้าไปทั้งอย่างนี้ ก็ไม่ต้องคิดจะออกมาแล้วล่ะมั้ง

ใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมา เมื่อเห็นอาอวี่ควบม้าออกไปอย่างรวดเร็วด้วยความรีบร้อน และประตูของตำหนักท่านอ๋องเย่ก็ถูกเปิดออก ด้านในดูยุ่งเหยิงวุ่นวายไปหมด สาวใช้บางคนถึงขั้นร้องไห้ฟูมฟาย

เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ตำหนักท่านอ๋องเย่ถึงได้โกลาหลวุ่นวายขนาดนี้

ในขณะที่ตำหนักท่านอ๋องเย่กำลังโกลาหลวุ่นวาย ฉีเฟยอวิ๋นถือโอกาสนี้แอบเนียนเข้าไปในตำหนักท่านอ๋องเย่ หลีกเลี่ยงผู้คนแล้วเดินตรงไปยังสวนหลังตำหนักของท่านอ๋องเย่ สวนดอกกล้วยไม้

ในความทรงจำของฉีเฟยอวิ๋น สวนกล้วยไม้อยู่ภายในพื้นที่ของหนานกงเย่ ในเวลานี้ ตำหนักท่านอ๋องเย่เต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย

เมื่อเข้าไปแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็ถูกคนผู้หนึ่งดึงไว้ : “ท่านเป็นหมอหลวงที่จะมาดูอาการของท่านอ๋องเย่ใช่หรือไม่?”

ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา คนผู้นั้นเป็นหัวหน้าผู้ดูแลของตำหนักท่านอ๋องเย่ และไม่ทันที่เธอจะได้ตอบอะไรก็ถูกดึงเข้าไปภายในตำหนักของท่านอ๋องเย่

เพียงแค่ก้าวเท้าเข้าประตูฉีเฟยอวิ๋นก็ได้กลิ่นเลือดคละคลุ้ง ภายในตำหนักก็เห็นสาวใช้ยกกะละมังที่มีเลือดออกมาจากด้านในด้วยความรีบร้อน ฉีเฟยอวิ๋นถูกดึงไปยืนต่อหน้าหนานกงเย่ ให้นางช่วยดูอาการ

“หมอหลวงท่านรีบช่วยดูเถอะ ท่านอ๋องเย่ของเราเป็นอย่างไรบ้าง?

หัวหน้าผู้ดูแลแทบจะสำลัก ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองหนานกงเย่ที่นอนจมกองเลือด เธออึ้งไปชั่วขณะ จู่ๆ บางสิ่งบางอย่างที่ถูกกดทับไว้ภายในร่างกายของเธอเหมือนจะทะลักออกมาให้ได้ จนทำให้เธอสับสนวุ่นวายไปด้วย ไม่ทันได้ตั้งตัวอะไรทั้งสิ้น

อย่าว่าแต่คนบาดเจ็บเลย คนตายเธอก็เห็นมานับไม่ถ้วน แต่เวลานี้ เธอเหมือนถูกอะไรบางอย่างครอบงำจิตใจ จึงทำให้เธอเริ่มกลัวว่าหนานกงเย่จะเป็นอะไรไป

“หมอหลวง” หัวหน้าผู้ดูแลเรียกเธออีกครั้ง ฉีเฟยอวิ๋นจึงตื่นขึ้นจากภวังค์ นี่ไม่ใช่เวลามากังวลเรื่องพวกนี้แล้ว เธอรีบก้มลงเพื่อตรวจดูอาการ : “ท่านถูกวางยาพิษหรือ?”

จู่

ๆ หนานกงเย่ก็ลืมตาคู่นั้นขึ้น พร้อมกับยื่นมือมาบีบคอของฉีเฟยอวิ๋น : “เจ้าเองรึ?”

ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ถ้าหากว่าท่านยังอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ ก็จงปล่อยมือซะ”

หัวหน้าผู้ดูแลที่ยืนอยู่ข้างๆ ตกใจสะดุ้งโหยง หนานกงเย่จ้องฉีเฟยอวิ๋นตาเขม็ง ราวกับว่าจะจับเธอกินยังไงยังงั้น ฉีเฟยอวิ๋นรอจนหมดความอดทน : “เจ้ายังจะรออะไรอยู่ ทำไมยังไม่รีบเอามือของเขาออก ไม่อย่างงั้นเขาได้ตายแน่ๆ!”

หัวหน้าผู้ดูแลจึงรีบเดินเข้ามา กำลังจะดึงมือของหนานกงเย่ออก แต่หนานกงเย่กลับออกแรงบีบยิ่งขึ้น จนกระดูกคอของฉีเฟยอวิ๋นแทบจะแหลกละเอียด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+