死にたがりのシャノン ドラゴンに食べられてみた/ชานอนผู้ปรารถนาจะสิ้นชีวีเลยลองให้มังกรกินสักทีดูค่ะ 1.2 ลองให้มังกรกินดูค่ะ 2

Now you are reading 死にたがりのシャノン ドラゴンに食べられてみた/ชานอนผู้ปรารถนาจะสิ้นชีวีเลยลองให้มังกรกินสักทีดูค่ะ Chapter 1.2 ลองให้มังกรกินดูค่ะ 2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 1.3 ลองให้มังกรกินดูค่ะ (3)

 

สามวันต่อมาหลังจากที่ชานอนมาที่หมู่บ้านแห่งนี้

ตามคำขอของชานอนแล้ววันนี้จึงเดินทางไปที่ร้านค้าประจำหมู่บ้าน ดูเหมือนจะอยากเห็นว่ามีอะไรน่าสนใจบ้างไหม

ส่วนคนที่รับหน้าที่ก็คือไคล์ ทั้งคู่รีบกินอาหารเช้าแล้วเดินไปพร้อมกัน

นับว่าเป็นฉากที่ชวนให้รู้สึกคุ้นเคย

ตอนนี้ชานอนถือว่าเป็นคนดังในหมู่บ้าน คนที่ไม่รู้จักเธอจึงมีน้อยมาก

 

[อื้-ม วันนี้ก็อากาศดีเนอะ]

 

ชานอนพูดพลางบิดขี้เกียจไปด้วย

ด้วยนิสัยของชานอนแล้วทำให้คนในหมู่บ้านต้อนรับกันเป็นอย่างดี

 

[จริงด้วยเนอะ ตั้งแต่คุณชานอนมาอากาศก็ดีตลอดเลย อย่างกับเป็นสาวเรียกแดดเลย]

[สาวเรียกแดด? ไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ พายุทราย พายุหิมะหรือฟ้าปั่นป่วนยันพายุใหญ่…ระหว่างการเดินทางก็เจอมาหมดแล้วด้วยน่ะสิ]

[อ๊ะ นั่นสินะ ถึงจะจินตนาการไม่ออกว่าเป็นแบบไหนก็เถอะ แต่คงหนักเอาเรื่องเลยสินะ]

 

การได้มาเห็นเด็กสาววัยใกล้กันแบกกระเป๋าใบเดียวออกเดินทางนั้น ในความเป็นจริงแล้วไคล์ก็มีความรู้สึกอิจฉาในดวงตาและเกิดความเคารพเวลาอยู่ในใจเช่นกัน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยคิดมาก่อน เรื่องการออกจากหมู่บ้านนี้ หรืออนาคตที่ออกเดินทางไปด้วยตัวคนเดียว

 

[ไม่ใช่แบบนั้นหรอกน้า ยังไงก็สนุกมากเลยแหละ! แต่ที่หมู่บ้านนี้ก็สนุกเหมือนกันนะ ทุกคนใจดีกันมากด้วยสิ]

 

พอพูดอย่างนั้นแล้วชานอนก็เผยยิ้มออกมา

ทันใดทันก็พลันได้ยินเด็ก ๆส่งเสียงเรียก

 

[อ๊ะ จอมเวทมาแล้ว! วันนี้ก็ใส่เสื้อคลุมสีดำอีกแล้วนะ!]

[เล่นมัน! จัดการเลย!]

 

เป็นเสียงที่กระหายเลือดใช่ย่อย

 

[โอ๊ะโอ๋ เจอกันอีกแล้วนะ]

 

พอชารอนได้ยินเสียงแหลม ๆ ของเด็ก ๆ แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างชั่วร้ายจากนั้นก็มองไปรอบ ๆ พุ่มไม้ พอส่งไคล์ไปเป็นเหยื่อล่อแล้วก็พบร่างเล็ก ๆ ร่างหนึ่งกับลังพุ่งออกมาพร้อมกับอาวุธ

ไคล์ส่งเสียงกระซิบกับชานอน

 

[พวกเด็ก ๆ ในหมู่บ้านนี่นะ]

[นั่นสิเนอะ ร่าเริงกันจัง ดีแล้วแหละ]

 

ทันใดนั้นเหล่าเด็ก ๆ ก็กระโดดออกมาเรียงหน้ากัน ในมือมีดาบกับธนูที่ทำจากกิ่งไม้เล็งจะโจมตี

เห็นดังนั้นชานอนก็เอี้ยวตัวหลบ

 

[วะฮะฮ่า ของพรรค์นั้นไม่ได้ผลหรอกนะ]

 

ระหว่างพูดชานอนก็สะบัดผ้าคลุมแล้วเอาไม้คฑาออกมาควง

 

[หวา…อะ อะไรกัน!?]

[ไม่นะ ดาบของผม]

[โดนเล่นอีกแล้ว!!]

 

อาวุธของเด็ก ๆ หลุดออกไปจากมือทั้งหมด จากนั้นก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศแล้วหยุดอยู่อย่างนั้น

เทคนิคเแบบนี้ก็คือเวทมนตร์ของชานอนนั่นเอง

ยังไม่พอชานอนก็ขยับคฑาอีกครั้งทำให้อาวุธที่กำลังล่องลอยอยู่ก็พุ่งเข้าไปที่เธอ

 

[ว้าว เวทมนตร์นี่ยังสุดยอดไม่เปลี่ยนเลยนะ]

 

สิ่งที่เห็นอยู่ข้างหน้านี้ แม้เป็นแค่ภาพธรรมดา ๆ แต่ก็เป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจนกระทั่งชานอนมาเช่นเดียวกัน

เวทมนตร์เหล่านี้เป็นสิ่งที่ขัดกับกฎของธรรมชาติต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน

อีกทั้งเวทมนตร์ของชานอนนั้นสามารถจะแย่งชิงวิธีการโจมตีของอีกฝ่ายได้ด้วย เป็นเวทมนตร์ที่ไร้ปราณีจริง ๆ  

เพียงแต่เด็ก ๆ เหล่านี้ไม่ได้เห็นว่าภาพนี้เป็นเรื่องที่สุดยอดอย่างไร (อาจกล่าวได้ว่าไม่เข้าใจถึงความสุดยอดของเรื่องแบบนี้) เด็ก ๆ เมื่อได้เห็นเวทมนตร์ก็ทำเพียงกรีดร้อง หัวเราะออกมาและวิ่งอย่างสนุกสนาน

 

[หุหุ จะแย่งคืนไปได้ไหมน้า~]

 

ชานอนทำหน้าตาซุกซนและหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย

 

[จะ เจ้าจอมเวท! คืนอาวุธของทุกคนมานะ!]

[โอ้!]

 

เด็ก ๆ เริ่มออกวิ่งด้วยร่างกายเล็ก ๆ ไล่ตามชานอนที่วิ่งหนีไป

สมกับเป็นคนที่ออกเดินทางคนเดียวเลย ร่างกายขยับคล่องแคล่วมาก

 

[—เอ้าไคล์ เปลี่ยนตัวจ้า!]

[เอ๊ะ เอ๋!]

 

ไคล์รับอาวุธที่ถูกโยนมาอย่างกระทันหันได้โดยไม่หล่น

ทันใดนั้นเด็ก ๆ ที่กำลังไล่ตามชานอนอยู่ก็เปลี่ยนเป้าหมายมาหาไคล์แทน

 

[พี่ไคล์นี่นา! ถ้าแบบนี้ชนะได้แน่!]

[เอ๊ะ เดี๋ยว!?]

[เล่นมันเลย!]

 

เด็ก ๆ พุ่งโจมตีไคล์พร้อมกัน

 

[ว๊าก! เอาไงดีคุณชารอน!?]

[อะฮะฮ่า! หนีเร็วเข้า! เดี๋ยวโดนจับเอาน้า]

[อะไรเนี่ย เด็กพวกนี้ร่าเริงกันเกินไปแล้ว!]

[หยุดนะเจ้าบ้า!]

[น่ากลัว!! จะบ้าดีเดือดกันเกินไปไหม!?]

 

เด็ก ๆ วิ่งไล่ตามอย่างสนุกสนาน บางคนก็ทำหน้าตาน่ากลัวนิดหน่อยแต่ภาพแบบนี้ในชีวิตของไคล์ก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเหมือนกัน

อีกอย่างพอเห็นแบบภาพแบบนี้แล้วก็เริ่มมีความสุขเช่นกัน

พอได้ยินเสียงหัวเราะแล้วก็เริ่มสนุกขึ้นไปอีก

แต่การหายใจหอบและสิ้นหวังกับการวิ่งหนีเด็ก ๆ ก็มีเหมือนกัน

 

[หวา พี่ไคล์วิ่งเร็วจังเลย…]

[ดีแต่หนีจริง ๆ เลย…]

[โธ่ คิดว่าจะอ่อนกว่าจอมเวทซะอีก]

 

พอวิ่งไปได้สักพักก็ส่งอาวุธให้กับชานอนที่กำลังกอดอกมองดูอยู่

 

[แฮ่ก แฮ่ก…เอ้า…คืนให้…]

[ฟุฟุฟุ ยังใช้ไม่ได้นะ เด็ก ๆ ทั้งหลาย]

[ขะ ขี้โกงนี่ มีตั้งสองคนแบบนี้!]

[นี่คือวิถีของจอมเวทไงละ ถ้าเจ็บใจก็มาแย่งคืนไปให้ได้นะ]

 

ชานอนดูจะสนุกกับการเล่นเป็นตัวร้ายมาก

 

[แข็งแกร่งเกินไปแล้ว พี่ชาย…]

[โธ่เอ๊ย พรุ่งนี้จะต้องชนะให้ได้! ทอยทัพ!]

 

พอพูดแบบนั้นเด็ก ๆ ก็พากันวิ่งนีไป

 

[หวา รอด้วยสิพี่ชาย!]

 

เหลือไว้เพียงคนน้องที่กำลังไล่ตามกลุ่มแรกไป

 

[นะ นี่ ไอนี่ไม่ต้องการอะ! เดี๋ยวมาเอาคืนด้วยนะ]

 

พอพูดเสร็จก็ชานอนก็วางอาวุธที่ยึดมาไว้ พวกเด็ก ๆ เลยหันมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แล้วกลับมาเงียบ ๆ จากนั้นก็รีบคว้าอาวุธไปทั้ง ๆ แบบนั้น ชารอนที่มองดูภาพนั้นก็ยิ้มออกมา

 

[คุณชารอนนี่เป็นคนดังไม่เปลี่ยนเลยนะ เด็ก ๆ พวกนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นเด็กนิสัยไม่ดีแท้ ๆ ]

[เอ๋ เป็นแบบนั้นเหรอ? ก็เป็นเด็กดีนี่นา แค่ร่าเริงก็พอแล้วน่า เด็ก ๆ ต้องเป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ]

[เด็กพวกนั้นอายุน้อยกว่าผมสองปี…คงจะเบื่อกับหมู่บ้านเล็ก ๆ แบบนี้ละมั้ง แต่ว่าตั้งแต่คุณชานอนมาก็ดูสนุกขึ้นเยอะเลย]

[แหะแหะ แบบนั้นก็เยี่ยมเลยนะ]

 

พอเดินผ่านไปก็เจอคนในหมู่บ้านคนแล้วคนเล่าเข้ามาทักทายกับชารอนตลอด

แค่เป็นนักเดินทางก็หายากมากแล้ว แต่ชานอนยังเป็นจอมเวทด้วย

สำหรับคนในหมู่บ้านที่กระหายความใคร่รู้แล้วจะสนใจในตัวชานอนกันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

 

[ทั้งที่ตอนมาครั้งแรกวุ่นวายกันกว่านี้แท้ ๆ ปรับตัวกันเร็วจังนะ]

 

วันถัดมาที่ชานอนมาที่หมู่บ้าน ไคล์ก็รับหน้าที่พาเดินนำจนทั่ว

ตอนที่รู้กันว่าชานอนเป็นจอมเวทกระจายไปทั่วนั้น คนทั้งหมู่บ้านก็แห่กันมารุมตัวเธอ

ทำไมถึงมาที่หมู่บ้านนี้ จอมเวทมีไว้เพื่ออะไร เหตุใดจึงมาเป็นจอมเวท แล้วเกิดอะไรขึ้นเด็กสาวคนเดียวถึงต้องออกเดินทางแบบนี้และคำถามจำนวนมาก หรือคำขออย่างใช้เวทมนตร์ให้ดูหน่อย ช่วยงานหน่อยได้ไหม สรุปก็คือวุ่นวายมาก

ด้วยความที่คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านนั้นไม่เคยเห็นจอมเวทมาก่อน แถมการที่มีเด็กหน้าตาน่ารักมาแบบนี้ก็ทำให้ชายหนุ่มหญิงสาวทั้งหลายตื่นเต้นได้เช่นกัน

เรียกได้ว่าเป็นกระทำที่หยาบคายสำหรับชานอนมาก เพียงแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจและตอบกลับด้วยรอยยิ้ม มีปัดเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องบ้างนิดหน่อย

ด้วยเหตุนั้นจึงเกิดความกังวลว่าชานอนจะออกจากหมู่บ้านเร็วกว่าที่คิดเนื่องจากความเหนื่อยล้า แต่ดูเหมือนจะเป็นแค่การตีตนไปก่อนไข้เท่านั้น

 

[ตัวฉันไม่ได้คิดอะไรมากเลยนะ? ความสนใจเวลาเจอของหายากก็ปกติไม่ใช่เหรอ?]

[คุณชานอนนี่ใจกว้างจังเลยนะ]

[ทั้งพวกเด็ก ๆ ที่เล่นกันเมื่อกี้แล้วก็คนในหมู่บ้านเป็นดีทั้งนั้นเลยนี่นา ที่เข้ามาคุยอย่างเป็นมิตรเนี่ยดีใจมากเลย บางสถานที่หรือบางยุคอะนะ พวกคำดูถูกอย่าง เจ้าคนนอก! บ้าง หรือพวกนอกรีต! เจ้าจอมเวทชั่ว! แล้วไม่เปิดใจให้กันเลยก็มีอยู่นะ พอเทียบกันแล้วที่นี่เป็นประสบการณ์ที่ดีกว่าโดนโยนหินใส่เป็นร้อยเท่าเลย]

[งะ งั้นเหรอ มีประสบการณ์แบบนั้นด้วยนี่เอง]

 

พอได้ฟังประสบการณ์แบบนี้แล้วก็เผลอก้มหน้าอย่างไม่ตั้งใจ

 

[โยนหินใส่เนี่ย…มีเรื่องแบบนั้นอยู่จริง ๆ เหรอ?]

 

ประสบการณ์ที่ชวนให้ตกใจของชานอนชวนให้ไคล์สงสัยขึ้นมา

การที่คนจากโลกภายนอนจะขับไล่เด็กผู้หญิงคนนึงได้ลงคอนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำใจเชื่อได้ลง

เพียงแต่ชารอนพูดว่า [ก็มีน่ะซี่] แล้วขยับเข้ามาใกล้ ๆ แล้วมองจ้องตาไคล์แล้วพูด

 

[หมู่บ้านนี้น่ะชอบจอมเวทกันก็จริง แต่ที่อื่นเขาไม่ได้ชอบแล้วก็ไม่ได้ต้อนรับกันนักหรอกนะ เป็นเรื่องคำสอนบ้างละ ลัทธิบ้างละ หลาย ๆ ทำให้หลาย ๆ ที่ไม่อยากจะให้เข้าไปใกล้เลย หรือช่วงเวลาโหด ๆ อย่างโดนจับติดคุกก็โดนมาแล้วนะ!]

[ติดคุก! แค่ใช้เวทมนตร์ได้เนี่ยนะ…]

[ใช่ม้า โหดร้ายเนอะ?]

 

ชานอนพูดราวกับเรื่องนี้เป็นแค่เหตุการณ์เหตุการณ์หนึ่งเท่านั้น ทั้งที่คนธรรมดาทั่วแค่ติดคุกครั้งนึงยังแทบจะไม่มีโอกาส

 

[แหม แต่ยุคสมัยนี้ก็ไม่ค่อยมีเรื่องแบบนั้นแล้วละนะ]

 

ทันใดนั้นก็พลันรู้สึกว่าชานอนนั้นเดินทางมาอย่างยาวนานกว่าที่ตาเห็นขึ้นมา

แต่ในความจริงแล้วควรจะอายุไม่ต่างกันมากแท้ ๆ ไม่ควรจะรู้สึกว่ามีช่วงเวลายาวนานขนาดนั้นได้เลย

 

[ชานอนเคยมีประสบการณ์มาหลายแบบนี่เอง ถึงได้รับมือกับความวุ่นวายของคนในหมู่บ้านได้สินะ]

[ตามนั้นจ้า! ถ้าไคล์ได้ออกเดินทางก็จะเข้าใจเหมือนกันว่าโลกใบนี้มีผู้คนมากมายหลายแบบเลยละ]

 

พอพูดจบชารอนก็หัวเราะอย่างสนุกสนาน

ไคล์ไม่สามารถจะจินตนาการได้ว่าโลกใบนี้เป็นเช่นไร แต่เรื่องที่ชานอนสนุกสนานเวลาอยู่ในหมู่บ้านนั้นเป็นความจริง ทำให้เขาเผลอยิ้มออกมาเหมือนกัน

 

[—-อ๊ะ ถึงแล้วนะ]

 

ด้านหน้าเป็นบ้านไม้เรียงรายกันเต็มไปหมด มีลานกว้างทรงกลมอยู่ตรงกลาง

มีร้านเหล้า ร้านค้าทั่วไปและยังมีแผงลอยมากมาย แม้จะเป็นตอนเช้าแต่คนในหมู่บ้านก็ออกมาเดินกันตรงลานกว้างอยู่หลากหลายคน

 

[จะเจอของที่น่าสนใจบ้างไหมนะ]

[ที่นี่ครั้งนึงเลยมีของท้อนถิ่นด้วยนะ แล้วก็อะไรนะ คิดว่าไม่น่ามีของที่แพงมาก ๆ อยู่หรอก]

[ดีจังเลยน้า เริ่มตื่นเต้นแล้วสิ! ถ้ามีของที่ทำให้คิดถึงหมู่บ้านนี้ก็คงจะดีนะ]

[ทำให้นึกถึง…จริงด้วย เดี๋ยวชานอนก็ต้องออกเดินทางแล้วสินะ]

 

มาถึงหมู่บ้านนี้ก็สามวันแล้ว

ชานอนไม่ได้ตั้งเป้าจะมาที่หมู่บ้านนี้ตั้งแต่แรก แต่จะอยู่ถึงเมื่อไหร่นั้นยังไม่เคยพูดมาก่อน

เพียงแต่พอจะทราบว่าอีกไม่นานก็จะออกไปแล้ว

 

[จะซื้อของหลาย ๆ อย่างก่อนจะออกเดินทางเหรอ?]

[ใช่แล้วละ เดี๋ยวตอนเอาออกมาดูทีหลังก็น่าสนุกดีน่ะนะ แถมมีประโยชน์เกินคาดด้วย]

[เอ แต่กระเป๋าก็มีใบเดียวนี่จะแบกไปยังไงกัน…]

[อ๋อ เรื่องนั้นไม่เป็นไร ก็ฉันเป็นจอมเวทนี่นา]

 

จบคำพูดนั้นไคล์ก็เอียงคอด้วยความงุนงง

ส่วนชานอนนั้นเอามือล้วงเข้าไปในอากาศ

 

[ก็อย่างเช่น—]

 

จังหวะนั้นก็พลันเห็นภาพอันแสนประหลาด

 

[นะ…นี่ เกิดอะไรขึ้นน่ะ!?]

 

สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือมือของชานอนที่ล้วงเข้าไปในอากาศได้หายไป

 

[หุหุ ดู-ให้ดีนะ]

 

พอตั้งใจดูตามคำบอกก็พบว่าพื้นผิวบริเวณแขนนั้นเกิดเป็นคลื่นคล้ายน้ำกระเพื่อมขึ้น

 

[อากาศมัน…บิดเบี้ยว]

[อื้ม ประมาณนั้นแหละ เรียกว่าเวทมนตร์มิติน่ะนะ อะไรที่ใส่กระเป๋าไม่ได้ก็มาใส่ไว้ในนี้แทนไง]

[เอ๋..นั่นก็นับว่าเป็นเวทมนตร์เหรอ…?]

 

เหนือกว่าที่จินตนาการไปมาก

สิ่งที่นึกออกก็มีเพียงเวทมนตร์ที่ทำให้ของลอยได้และคิดว่าเวทมนตร์มิติน่าจะเป็นเช่นเดียวกัน

 

[ใช่ ๆ ในนี้มีของเพียบเลยละ…เหมือนกับโกดังเก็บของมั้ง?]

[ฮ่า ฮ่า…เวทมนตร์เนี่ยยอดไปเลยนะ]

 

พอรู้สึกว่าไม่รู้จะตอบอะไร ก็เลยได้แต่หัวเราะเบา ๆ  

 

[เอ– น่าจะอยู่แถวนี้น้า…]

 

ชานอนแลบลิ้นแล้วขยับมือไปมาให้ความรู้สึกเหมือนกำลังหาเหรียญที่ตกอยู่หลังตู้ จากนั้นก็

 

[เจอแล้ว! ดูนี่สิ เจ้านี่น่ะของหายากเลยนะ]

 

สิ่งที่อยู่ในมือของชารอนที่ดึงของออกมาจากมิติที่บิดเบี้ยวคือจี้ชิ้นหนึ่ง

จากนั้นก็ถูกนำมาใส่มือ

เป็นจี้เหล็กเก่า ๆ ที่คาดว่าเคยปิดด้วยสีทองมาก่อน เพียงแต่ตอนนี้มันลอกไปหมดแล้ว ขนาดประมาณปลายเล็บมือแต่รู้ได้ทันทีว่าเป็นของมีราคา

 

[ได้มาจากอาณาจักรทางใต้เมื่อนานมากแล้วน่ะน้า มีของแบบนี้อยู่ในโกดังมิตินี้เพียบเลยละ]

[ยอดเลย…! แต่ว่าไม่รู้เลยว่าจะไปหาของที่เจ๋งแบบนี้ในหมู่บ้านได้ยังไง]

[จริง ๆ แล้วจะเป็นอะไรก็ได้นะ ถ้าเจอของน่าสนใจก็แค่ซื้อไว้เท่านั้นเอง ไม่ยากหรอก แล้วก็ฉันตั้งตารอจะไปซื้อของกับไคล์อยู่นะ!]

[จะ จริงด้วยสินะ]

 

พอได้ฟังคำนั้นแล้วก็ทำให้รู้สึกเขินอายขึ้น

จึงได้กระแอมไอหนึ่งครั้งเพื่อลบออก

 

[งะ งั้นไปดูหลาย ๆ อย่างกันเถอะ]

[ฝากตัวด้วยหน้าคุณไกด์]

[ไว้ใจได้เลย! งั้นถ้าเป็นแถว ๆ นี้ก็—]

 

วินาทีนั้น

เสียงโค~~รกดังขึ้นราวกับแผ่นดินสะเทือน

 

[คือว่า…คุณชานอน]

 

เสียงนั้น…มาจากชานอนนั่นเอง

กลับไปที่ด้านชานอนนั้น เธอแอบเขินอายเล็กน้อย

 

[อ๊ะ คือว่า อะฮะฮะ ขอโทษน้า…ท้องร้องซะแล้วละ]

[อ๋อ เสียงท้องร้องนี่เอง]

[ก็แหม เมื่อเช้ากินข้าวเช้ามานิดเดียวเองนี่นา]

 

ชานอนที่รู้สึกผิดก็กระสานมือแล้วยกขึ้นเหนือหัว

 

[ถึงเร็วกว่าเวลาเที่ยงไปสักหน่อย แต่เราไปที่ร้านตรงนั้นแล้วกินมื้อเที่ยงกันเลยเถอะ]

[อะโอ้ ดีเลยนะ ไปกัน ๆ ]

 

จากนั้นทั้งสองคนก็เดินเข้าไปในร้านเหล้าที่อยู่ข้างหน้าของตน

แต่ตอนนี้เพิ่งจะสายแก่ ๆ เท่านั้นลูกค้าเลยไม่เยอะเท่าไหร่

แต่ที่นั่งหน้าเคาท์เตอร์ก็พบคนที่เมาแต่หัววันอยู่ด้วยเช่นกัน

 

[ว้าว ร่าเริงกันแต่เช้าเลยเนอะ คนพวกนั้นอะ]

[นั่นมัน…พวกคุณเรจิรัลด์นี่นา]

[คนรู้จักเหรอ?]

[อื้ม เป็นพวกรักษาความปลอดภัยน่ะ คงเลิกกะดึกแล้วละมั้ง]

 

ทันใดนั้นกลุ่มคนเมาก็สังเกตทั้งสองคนและโบกมือมาให้

 

[ว่าไงไคล์ ไม่เจอกันนานนะ!]

[สวัสดีครับคุณเรจิรัลด์]

 

เรจิรัลด์ที่เป็นชายร่างใหญ่ล่ำบึก หนวดเคราเฟิ้มกำลังเดินโซซัดเซแล้วหันไปมองชานอน

 

[เธอคือแม่มดสาวที่เล่าลือกันใช่ไหม? เห็นปราดเดียวก็รู้เลยละ หมู่บ้านเราไม่มีคนแบบนี้นี่]

 

เรจิรัลด์นั่งข้าง ๆ ที่นั่งของชานอน

 

[สักแก้วไหม? แลกกับเล่าเรื่องให้ฟังหน่อยสิ]

[คะ คุณเรจินัลด์ครับ เมามากแล้วนะครับ…]

[หือ?? ไม่ได้เมาสักหน่อย! ยังน่า! พวกข้าน่ะเบื่อจะแย่แล้ว! ดูสิ แม่หนูก็มาดื่มกันนะ!]

 

เรจินัลด์ส่งแก้วไม้ที่เพิ่งเติมให้กับชานอน

 

[โอ๊ะโอ๋ ตั้งแต่มาที่หมู่บ้านนี้ก็ยังไม่ได้ดื่มเลยแฮะ แก้วเดียวพอละกัน พอดีมีนัดกับไคล์ด้วยน่ะ]

[โอ้ ใจได้เหมือนกันนี่ เหล้าหมู่บ้านนี่อย่างแซ่บเลยนะ?]

 

ชานอนรับแก้วมาแล้วก็กระดกลงคอ

 

[—อื้ม! อร่อยจริงด้วย! ลื่นคอมากเลย]

[ใช่ไหมล่า? ว่าแล้วว่าพวกนักเดินทางต้องชอบ! โดนใจเลยแม่หนู!]

 

เรนัลด์ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน

สุดท้ายก็จบที่เรนัลด์เลี้ยงมื้อกลางวันให้ด้วยความอารมณ์ดี ส่วนชานอนก็ได้สนุกกับการคุยกับพวกเขาด้วย

เรนัลด์ที่อารมณ์ไม่ดีอยู่เสมอนั้นดูสนุกสนานขึ้นมามากเมื่อได้คุยกับชานอน

ส่วนไคล์ทำได้เพียงนั่งจิบน้ำเท่านั้น

เพราะเนื้อหาที่คุยกันดูเป็นผู้ใหญ่แล้วก็เข้าไปแทรกได้ยาก

แต่ชานอนก็ปรับหัวข้อที่คุยให้เข้ากับไคล์ได้ด้วย ทำให้ทั้งสามคนคุยกันได้อย่างราบรื่น

ทักษะการสื่อสารของชานอนนั้นเรียกได้ว่าสูงมาก ทักษะเหล่านี้ต้องได้รับมาจากการเดินทางเป็นแน่

ไคล์นั้นรู้สึกดูถูกตัวเองและเคารพในตัวเธอจากใจจริง

จากนั้นก็เอาขนมเข้าปาก

 

[งานรักษาความปลอดภัยนี่ก็ลำบากแต่เช้าเลยเนอะ]

[ไม่หรอก ไม่ขนาดนั้นนะ จะบอกว่าเป็นศัตรูก็ไม่ใช่ เจอแต่สัตว์เวทตัวเล็ก ๆ แค่นั้นเอง เป็นงานน่าเบื่อสุดเลยละ]

[แต่ว่าก็ต้องขอบคุณคุณเรจินัลด์ที่ทำให้ทุกคนใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขนะ]

[ฮ่าฮ๋า ดีใจจัง แล้วจอมเวทเนี่ยต้องต่อสู้หรือเปล่า?]

[อื้-ม จะบอกว่าไม่สู้คงไม่ได้ ก็จอมเวทเดี๋ยวนี้หาตัวอยากใช่ไหมละ? เพราะงั้นเลยตกอยู่ในอันตรายบ่อย ๆ น่ะ]

 

เป็นเรื่องจริงที่ว่าถ้ามีพลังขนาดนี้ละก็คงมีคนที่คิดจะใช้ในทางที่ไม่ดีอยู่เยอะ การที่จะหนีหรือปกป้องตัวเองนั้นก็ต้องมีพลังกายและพลังใจที่แข็งแกร่งเช่นกัน  

 

[โห เจ๋งดีนี่! สักวันนึงอยากจะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับจอมเวทเหมือนกันนะเนี่ย ส่วนจอมเวทที่เคยมาก็มีแต่พวกอ่อนหัดทั้งนั้น มีแต่เธอนี่แหละนี่ดูของจริงที่สุด]

[เวทมนตร์ก็เรื่องนึง แต่ศิลปะการต่อสู้ก็มีเหมือนกัน ฉันน่ะแกร่งน้า~]

 

ระหว่างที่พูดชานอนก็หัวเราะไปด้วย แล้วก็ลองเบ่งกล้ามให้ดูด้วย

 

[โฮ่ เป็นกล้ามเนื้อที่ดีนะ ไคล์เอ๋ย เอ็งนี่สู้แม่หนูนี่ไม่ได้เลยนี่?]

[ชะ ช่างผมเถอะน่า พูดเรื่องไม่เป็นเรื่องจริง!]

 

ใช่แล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องออกไปสู้นี่นา เก็บผักบนภูเขาก็ทำได้ดีแล้วด้วย แถมยังเป็นพวกอินดอร์อีก

ไคล์บ่นพึมพำกับตัวเอง

 

[ฮะฮ่า โทษทีนะ แต่ว่านะไคล์ เอ็งอาจจะได้มาทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ได้นะ?]

[คือผมไม่คิดจะไปสู้กับใครที่ไหนนะ…อีกอย่าง…]

 

จริงอยู่ที่งานรักษาความปลอดภัยเป็นอะไรที่เท่มาก แต่ว่าพอได้พบกับชานอนแล้วความรู้สึกที่อยากจะเห็นโลกภายนอกก็เพิ่มพูนขึ้นในใจเช่นกัน

และในทางกลับกันก็รู้สึกว่าหมู่บ้านนั้นน่าเบื่อ  

ความกระหายความบันเทิงในตัวของคนในหมู่บ้านนั้นได้ชานอนช่วยเติมเต็มให้ แต่นอนว่าตัวไคล์ก็ด้วย เพียงแต่มันก็เป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น

ถ้าหากวันหนึ่งชานอนหายไปก็ต้องกลับไปเป็นหมู่บ้านที่น่าเบื่ออย่างเคยแน่ และเมื่อคิดขึ้นมาก็ทำให้รู้สึกเหงานิดหน่อย

ถึงจะรู้สึกเช่นนั้นก็ไม่อาจคิดได้ว่าถ้าหากตัวเองได้โบยบินไปสู่โลกภายนอกจะเป็นอย่าไร

เพียงแต่ก็มีความคิดที่ว่าจะอยู่ในหมู่บ้านไปจนตายเลยเหรอผุดออกมาเช่นกัน

ทันใดนั้นเรจินัลด์ที่ดูท่าทางจะเดาอะไรออกก็หัวเราะออกมาเสียงดัง

 

[เอ้า ช่างมัน ไองานนี่มันก็ไม่ได้ต้องเจออะไรร้ายแรงมีแต่น่าเบื่ออยู่แล้วด้วย ถ้าหางานที่เหมาะกับเอ็งได้คงจะดีกว่า ยังไงหมู่บ้านเราก็สงบสุขดีนี่นะ]

 

จังหวะนั้นชานอนก็ส่งเสียง [อ๊ะ] ออกมา

 

[บ่ายแล้วนะ คุยกันนานเลย ไปกันเถอะไคล์]

 

ออกมาตั้งแต่เช้าตรู่ แต่เมื่อมองไปด้านนอกก็พบว่าตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นสูงแล้ว

 

[อ๊ะ จริงด้วย]

[เอ้า จะไปแล้วเหรอ?]

 

เรจินัลด์มองชานอนอย่างเศร้า ๆ  

 

[อื้ม สนุกมากเลยคุณลุง ถ้ามีโอกาสมาคุยกันอีกนะ]

[เห ไว้เจอกันนะแม่หนู! จะมาเมื่อไหร่ก็ได้เลย ได้ดื่มเหล้ากับสาวสวยแบบสนุกมากเลยนะ ขอบคุณมาก]

[คุณลุงก็เองก็เพลา ๆ เหล้าหน่อยน้า~ งั้นไว้เจอกัน!]

 

เรจินัลด์พ้นสายตาออกไป ทั้งสองออกมาจากร้านเหล้าแล้ว

สายลมสบาย ๆ พัดผ่านมาทำให้แก้มที่ร้อนผ่าวนั้นจางลงไป

 

[ฟู่ว~ สนุกมากเลยเนอะ]

[ไม่ได้เห็นคุณเรจินัลด์อารมณ์ดีแบบนั้นมานานแล้วแหละ เพระางานกะกลางคืนมันหนักมากนี่นา]

[งั้นเหรอเนี่ย เป็นงานที่ลำบากเอาเรื่องเลย—เอาละ โทษน้า ไปกันเถอะ!]

 

จากนั้นทั้งสองก็คุยกันไปแล้วก็เดินไปสู่เป้าหมายอย่างร้านค้า

ในช่วงบ่ายก็เจอผู้คนมากมายเช่นกัน คุยกันไปหลายเรื่องแต่คราวนี้ไม่ได้ถูกรุมล้อมคุยเหมือนก่อน

ชานอนเดินวนดูของในร้านค้าและซื้อเครื่องประกับหน้ากากแปลก ๆ มา

ถึงจะคิดว่าไม่ใช่ของจำเป็นนักก็ตาม แต่คงสำคัญสำหรับชานอนมากเป็นแน่

จากนั้นเวลาอันแสนสนุกก็พัดผ่านไปไว้ราวกับเรื่องโกหก

 

[ฮ้า~ ดีจังน้า! สนุกจังเลย ไม่ได้มีแผนมาที่หมู่บ้านนี้ก็จริงแต่พอได้เจอกับไคล์แล้วได้มาเนี่ยดีใจจัง ขอบคุณนะ]

 

ชานอนทำหน้าตาสนุกสนานและกล่าวขอบคุณ

 

[เหะเหะ ดีใจจัง! แต่ว่ายังแนะนำไม่หมดทุกร้านเลยสิ ไว้พรุ่งนี้มาอีกนะ]

[อื-ม ไม่ได้รีบออกเดินทางด้วยสิ ขอพักอีกสักคืนได้ไหมน้า~]

 

ระหว่างที่พูดชานอนก็บิดขี้เกียจไปด้วย

 

[เยี่ยมเลย ต้องแบบนั้นสิ!]

 

อยากไม่อยากให้ตัวตนที่ทำให้รู้สึกกระหายความอยากรู้อยากเห็นและความสนุกหายไป

 

[งั้นกลับก่อนที่มืด—]

 

ในขณะที่กำลังจะหันเท้ากลับ ชั่ววินาทีนั้น

เงาขนาดใหญ่ผ่านศีรษะไป สายลมแรงอันหนักอึ้งพ้ดผ่านเข้ามา

 

[อึก…!]

[เหวอ! อะไร—]

 

[กรรรรรรรรรรรร!]

 

[[!?]]

 

เสียงคำรามดังจนทำให้หูอื้อ

แต่บอกว่าเป็นเสียงกรีดร้องน่าจะใกล้เคียงกว่า เป็นเสียงคำรามในลักษณะนั้น

พอมองหน้าขึ้นไปก็พบกับสิ่งที่ไม่อาจะเชื่อได้ในทันที

สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ปกคลุมด้วยเกล็ดสีเงินกำลังลอยอยู่จนมิดผืนท้องฟ้า

 

[มังกร…!]

 

เมื่อชานอนเงยหน้าขึ้นมาก็พึมพำออกมาเช่นนั้น

 

[มังกร!? ของแบบนั้น…มีอยู่จริงเหรอ!?]

 

มังกรเป็นนั้นตัวตนที่หายากยิ่งกว่าจอมเวทเสียอีก

เพราะหากพูดถึงสัตว์ในตำนานก็เป็นตัวตนที่เชื่อได้ยากว่ามีจริงตั้งแต่แรกแล้ว

เพียงแต่ตอนนี้ชานอนกำลังทำสีหน้าจริงจังขั้นสุด

 

[อืม มังกรจริงด้วยแหละ ไม่ได้เห็นมานานเลยน้า ช่วงนี้แทบไมเห็นกับตาเลยแท้ ๆ มาทำอะไร…ในที่แบบนี้กันนะ]

[สุดยอด…ของจริงด้วย…]

 

ความจริงแล้วไคล์เคยเห็นมังกรแค่ในสมุดภาพเท่านั้น ของจริงไม่เคยเจอมาก่อน

แต่ในขณะที่กำลังตื่นเต้นนั้นก็มีความรู้สึกแย่ ๆ แผ่ออกมาเช่นกัน

 

[…เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนสิ มังกรตัวนั้น…หมู่บ้านกำลังตกอยู่ในอันตราย…]

 

รู้สึกได้เลยว่าเลือดไม่เลี้ยงหัวแล้ว

 

[บินต่ำด้วยสิ…อาจจะแย่จริง ๆ ได้]

 

มังกรนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งมาก

มีเรื่องเล่ามากมายที่กล่าวว่ามังกรนั้นทำล้ายล้างเมืองจนพินาศ กับหมู่บ้านเล็ก ๆ แบบนี้ก็มีโอกาสเช่นเดียวกัน

 

[ดูสิ มังกรกำลังบินลงมาแล้ว]

 

ชานอนพูดพลางชี้ไปที่มังกร

 

มังกรกำลังร่อนลงไปในป่าลึกที่ใกล้กับทางเข้าหมู่บ้าน

 

[ต้องรีบไปบอกทุกคน…]

[นั่นสินะ ถ้าไม่รีบอพยพเดี๋ยวจะแย่เอา…]

 

ทั้งสองรีบวิ่งกลับไปที่หมู่บ้าน

และเป็นไปตามคาด ตอนนี้หมู่บ้านกำลังแตกตื่นกันหมด

ต่างจากภาพความสงบก่อนหน้า ตอนนี้ใครก็ใครก็ต่างกรีดร้องกันอย่างหวาดกลัว

กลายเป็นความโกลาหลอย่างสมบูรณ์

 

[เฮ้ย มังกรงั้นเหรอ!]

[ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยนะ!?]

[บินจะถึงป่าอูดะแล้วนะ!? หมู่บ้านนี้ไม่ซวยเอาเหรอ!?]

[ฉันยังไม่อยากตาย!?]

[หนีกัน…เปล่าประโยชน์แล้ว!]

[พูดอะไรกันอยู่ สู้สิโว้ย! บรรพบุรุษอุตส่าห์บุกเบิกกันมา ตั้งทีมปราบปรามเร็ว! จะปล่อยให้หมู่บ้านนี้เป็นกองเพลิงงั้นเรอะ!!]

 

เสียงกรีดร้องและปลุกเร้าดังก้องไปทั่ว

พวกผู้ใหญ่หลายคนวิ่งไปทั่วหมู่บ้านเพื่อตรวจสอบความผิดปกติ

ความน่ากลัวของมังกรไม่ว่าใครก็เคยได้ยินแค่ในเฉพาะเรื่องเล่าเท่านั้น แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่ทุกคนก็เข้าใจถึงความน่ากลัวของมันได้แค่เพียงบินผ่าน

ถ้าหากตัวแบบนั้นเข้ามาถึงหมู่บ้านได้ทุกอย่างจะราบเป็นหน้ากลองแน่นอน

ไคล์จับแขนเสื้อชองชานอนแน่นในขณะที่ดูชาวบ้านวิ่งไปวิ่งมา

 

[ทะ ทำไงดี…]

 

จ้องมองภาพที่เกิดขึ้นด้วยความกังวลที่เอ่อล้น

แน่นอนว่าชานอนก็ทำสีหน้าจริงจังมากเช่นกัน

 

[เอาจริง ๆ อาจจะแย่แล้วก็ได้…แต่ว่าเห็นบอกจะตั้งทีมปราบปรามกันแล้วนี่]

[ก็ใช่อยู่หรอก…]

 

แน่นอนว่าไม่มีใครจะเห็นภาพเลยว่าคนในหมู่บ้านจะโค่นมังกรเลยได้อย่างไร เพราะในประวัติอันยาวนานของหมู่บ้านนั้นก็ทำได้เพียงจัดการสัตว์เวทตัวเล็ก ๆ เท่านั้น

 

[ในอดีตก็เคยมีประวัติว่ามนุษย์เคยขับไล่มังกรได้เหมือนกันะน ถ้าร่วมมือกันคงทำอะไรได้บ้างแหละ]

[….]

[แต่ว่า…คนในหมู่บ้านนี้น่ะ…]

 

หลังจากนั้นไม่นานเหล่าผู้ที่ปกป้องหมู่บ้านอย่างนักล่า กลุ่มรักษาความปลอดภัยและชายที่แข็งแกร่งก็รวมมาตัวกันอยู่หน้าบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน  

ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อต่อต้านกับมังกร

 

[เฮ้ แม่หนู!]

[อ๊ะ คุณลุงคนเมื่อกี้นี่]

 

ลุงที่เจอที่ร้านเหล้าเรจินัลด์นั่นเอง ภาพที่เมาแอ๋ได้หายไปหมด เหลือเพียงภาพคนที่ถืออาวุธอย่างกล้าหาญเท่านั้น

 

[ยังอยู่อีกเรอะ เดี๋ยวที่นี้จะเป็นสนามรบรีบหนีไปได้แล้ว เธอตัวคนเดียวน่าพ้นนี่]

 

ลุงคนนั้นพูดด้วยท่าทางแปลกประหลาด

 

[แหม จะให้หนีไปคนเดียวมันก็น้า]

[ฮ่าฮ่า ไม่ต้องการความเห็นใจหรอกนะ เดี๋ยวพวกข้าจัดการไอมังกรนี่เอง ออกไปจากหมู่บ้านก่อนได้เลย]

[…]

[งั้นไว้เจอกันนะ รอบหน้าเอาเหล้าดี ๆ มาด้วยละ]

 

เรจินัลด์ทิ้งคำพูดเหล่านั้นไว้แล้วเข้าไปในบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน

แผ่นหลังของเขานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความตึงเครียด

 

[ทีมปราบปรามเหรอ…คิดจะทำยังไงกับมังกรกันนะ พวกเราเข้าไปฟังด้วยไหม]

[เอ๊ะ?]

[ไคล์ก็กังวลใช่ไหมละ? เป็นเรื่องใหญ่โตด้วยสิ ไปลองฟังกันเถอะ ฉันอาจจะพอช่วยอะไรได้ก็ได้นะ]

[นะ นั่นสินะ!]

 

ทั้งสองเดินตามเรนัลด์เข้าไปในบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน

ข้างในมีเหล่าผู้ชายท่าทางแข็งแกร่งหลายคนและตรงกลางก็มีหัวหน้าบ้านยืนอยู่  

 

[ขอความช่วยเหลือจากเมืองใกล้ ๆ ไม่ได้เหรอ?]

[พูดถึงเวสทีเรียหรือไง? เปล่าประโยชน์น่า กว่าจะส่งถึงก็ห้าวัน ถ้ารอมาช่วยอีกหมู่บ้านพังยับหมดแน่]

[ส่งจดหมายไปแล้ว ถ้าอดทนรออีกอาทิตย์นึงได้ความช่วยเหลือต้องมาแน่]

[เราเป็นแค่หมู่บ้านเล็ก ๆ คิดว่าเมืองคงไม่ส่งคนมาหรอก ขนาดกับเมืองใหญ่ยังต่อกรกับมังกรยากเลย พวกนั้นคงไม่ปล่อยคนมาตาย ๆ ง่าย ๆ มาสุดคงแค่ส่งคนมาสังเกตการณ์แหละ]

 

บรรยากาศการโต้เถียงจบ ทุกคนเข้าสู่ความตึงเครียด

ในสถานการณ์แบบนี้การจะเตรียมสู้อะไรก็เป็นไปได้ยาก

 

[ขอความช่วยเหลือก็คงไม่ได้…งั้นมารือเรื่องการรับมือกัน]

[ถึงมีแค่พวกเราก็ต้อง…]

 

จังหวะนั้นหัวหน้าหมู่บ้านก็สังเกตเห็นทั้งสองคน

 

[โอ้ ไคล์เหรอ แล้วก็…]

[ชานอนค่ะ]

 

ชานอนก้มหัวทักทาย

 

[อ๋อ ท่านจอมเวทที่เดินทางอยู่นี่เอง]

[จะ จริงด้วยคุณชานอน! ขอยืมพลังทีทีเถอะครับ!]

 

ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหน้าหันไปที่ชานอนแล้วก้มลงคุกเข่าขอร้อง

 

[งะ เงยหน้าขึ้นเถอะนะคะ]

 

ชานอนมองชายคนนั้นด้วยสีหน้าลำบากใจ

 

[ทะ ถ้าเป็นจอมเวทละก็คงทำอะไรมังกรตัวนั้นได้ใช่ไหมครับ!? ขอร้องละ…! ช่วยหมู่บ้านนี้ที…!]

[ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็จะทำเต็มที่ค่ะ รบกวนหมู่บ้านนี้ไว้เยอะด้วย แถมฉันเองก็ชอบหมู่บ้านนี้ด้วยค่ะ]

[จริงเหรอครับ!? งะ งั้นก็—]

[หยุดเดี๋ยวนี้!]

 

หัวหน้าหมู่บ้านตะคอกเสียงดังออกมา

ทุกคนหยุดการกระทำของตัวเองและหันกลับมามอง

 

[หะ หัวหน้าหมู่บ้าน…]

[…ขออภัยนะ ท่านนักเดินทาง ทุกคนแค่กำลังกลัวกันน่ะ แต่ว่านี่เป็นปัญหาของหมู่บ้านเรา ไม่คิดจะรบกวนท่านหรอกนะ]

[ไม่ได้รบกวนอะไรเลยนะคะ…]

[ท่านถูกใจหมู่บ้านของเราเลยพยายามจะช่วยอะไรเราสักอย่างเรานั้นเข้าใจ แต่ถึงจะเป็นจอมเวทแต่การจะต่อกรกับมังกรนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย สมัยก่อนที่เคยเจอจอมเวทนั้นก็เห็นว่าสู้เก่งและรักษาตัวเองได้ดีก็จริง แต่ไม่รู้ว่าจะใช้กับท่านได้หรือเปล่าเพราะไม่ใช่ว่าจอมเวทจะเป็นแบบนั้นทุกคน นี่เป็นปัญหาของหมู่บ้านเรา จะให้ขอร้องให้นักเดินทางเช่นท่านมาเสี่ยงชีวิตไม่ได้ ขอแค่รับความรู้สึกไว้แล้วหนีไปก่อนก็พอ]

 

ทุกคนฟังคำพูดของหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ  

จากนั้นหัวหน้าหมู่บ้านก็หันไปมองหน้าเหล่าผู้ชายที่มารวมกัน

 

[พึ่งพาคนที่พึ่งพาได้สิ ทำไมพวกเจ้าถึงได้ยึดติดกับเด็กผู้หญิงอายุเพียงนี้ขนาดนั้นกัน?]

[นะ นั่นมัน…]

[หมู่บ้านของเราก็ต้องปกป้องกันเอง ถ้ามัวแต่เอาสะดวกพึ่งพาคนแข็งแกร่งตลอดต่อไปจะทำยังไงกัน เราจะใช้พลังของตัวเองมีชีวิตรอดต่อไป ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องแสดงพลังของเราให้เห็น]

 

พอได้ฟังคำของหัวหน้าหมู่บ้านแล้วสีหน้าของกองปราบปรามก็เปลี่ยนไป

 

[จะ…จริงด้วยสินะ…พวกเรามาพยายมกับเถอะ!]

[ใช่แล้ว มาลุยกันเถอะ!]

[เออ หมู่บ้านของเรา เราจะปกป้องไว้เอง!]

 

เสียง โอ้! ดังขึ้น บรรยากาศเปลี่ยนไปฮึกเหิมขึ้น

ทุกคนตะโกนใส่กันเพื่อเรียกกำลังใจ

ขณะนั้นชานอนที่กำลังมองดูท่าทางเหล่านั้นก็ทำสีหน้าซับซ้อน

 

[ไม่ให้ช่วยเลยจริง ๆ เหรอ…มังกรน่ะแข็งแกร่งนะ?]

 

ชานอนนั้นรู้ถึงความน่ากลัวของมังกรดีอยู่แล้ว

 

[ชอบหมู่บ้านนี้ใช่ไหม งั้นแค่ความรู้สึกก็พอไม่ต้องการความช่วยเหลือหรอก ท่านหนีไปก่อนได้เลย ถ้าครั้งหน้ามาตอนสงบสุขกว่านี้จะต้อนรับอย่างดีเลย]

 

หัวหน้าหมู่บ้านหรี่ตาแล้วยิ้มให้

จากนั้นการประชุมหารือก็เริ่มต้นขึ้น ไม่สามารถจะให้ชานอนหรือใครเข้าไปแทรกได้อีกแล้ว

 

[จะ จะเป็นอะไรไหมนะ…]

[ตอบไม่ได้หรอกนะ…มังกรมันแกร่งนี่นา]

 

แต่เข้าใจความรู้สึกของหัวหน้าหมู่บ้านได้ คนในหมู่บ้านเองก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน  

จะมายืมมือของคนนอกอย่างชานอนก็ไม่ใช่เรื่อง

 

[นะ นั่นสินะ…แต่ว่าแค่หอกกับดาบแค่นั้นมันก็…]

 

ไคล์กัดฟันพร้อมกับหน้าซีด ถ้าหากทีมปราบปรามจัดการมังกรไม่ได้หมู่บ้านนี้ก็จะพินาศสิ้น การบอกว่าไม่คิดแบบนั้นเลยก็คือคนที่ไม่มองความเป็นจริงเท่านั้น

แม้กำลังใจของพวกเขาจะสูงแต่ก็ยังคงมีสีหน้าตึงเครียดจากพลังที่ต่างกันเกินไป

 

[มังกรน่ะมีเขี้ยวที่แหลมคมแล้วก็เล็บที่แข็งแรงมาก อย่างพวกรักษาความปลอดภัยหรือนักล่าเนี่ยเอาจริง ๆ ก็สู้ยากมากเลยนะ]

[ชะ ใช่ไหมละ…]

[แถมไฟที่ออกมาจากปากก็ทำให้กลายเป็นเถ้าถ่านได้ในทันที ถ้าโดนกินเข้าไปแล้วก็หมดหวัง—]

 

อยู่ ๆ คำพูดชวนไม่คาดฝันของชานอนก็หยุดลง

 

[คุณชานอน…?]

 

เมื่อมองหน้าด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ก็ต้องพบว่าสีหน้าของชานอนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

และสีหน้านั้นก็คือ—กำลังนึกสนใจอยู่

 

[ทำไมถึงไม่คิดออกให้เร็วกว่านี้เนี่ย…]

 

ดวงตาของชานอนกลายเป็นประกาย

ราวกับว่าได้พบกับสิ่งที่ตามหามายาวนาน เป็นสีหน้าที่เหมือนกับความสุขได้ถูกเติมเต็ม

 

[ปะ เป็นอะไรเหรอ…?]

 

สังหรณ์ใจไม่ดีเลย

จากนั้นต้นตอของลางสังหรณ์ก็ปรากฎขึ้น

 

[ถ้าเป็นมังกรละก็ ฉันคง…! ไคล์ ฉันขอไปหามังกรก่อนนะ!]

[ห๊ะ…เอ๋!? เดี๋ยว ทำไมเล่า!? คิดจะทำอะไรน่ะ!?]

 

ไคล์พยายามจะจับมือรั้งตัวของชานอนไว้ แต่ชานอนพุ่งตัวออกจากบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านไปอย่างรวดเร็ว

 

[ระ รอก่อนสิ! คุณชานอนคิดอะไรอยู่เนี่ย! กองปราบปรามจะออกไปแล้วเนี่ย คิดจะออกไปทำอะไรคนเดียวน่ะ!?]

 

ไคล์ตื่นตระหนกและวิ่งไล่หลังไป

 

[ก็แค่จะไปเจอมังกรเอง!]

[พูดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย!?]

 

แม้ไคล์จะหายใจแรงด้วยความเหนื่อยล้าแต่ชานอนยังคงวิ่งไปด้วยความตื่นเต้น

 

[หนีไปเถอะไคล์! ลากันตั้งแต่ตรงนี้เลย สนุกมากเลยนะ! รักษาตัวด้วย!]

 

พอพูดเช่นนั้นชานอนก็เร่งความเร็วไปอีก

เขาไม่สามารถทำความเข้าใจได้เลยว่าทำไมชานอนถึงได้รีบออกไปในเวลาแบบนี้

 

[คุณชานอนเป็นอะไร…รักษาตัวเหรอ…หรือว่า…!]

 

เป็นไปได้ว่าชานอนนั้นกำลังจะตอบแทนไคล์โดยการออกไปสู้กับมังกรคนเดียว

ถึงหัวหน้าหมู่บ้านจะบอกให้อย่าเข้ามาเกี่ยวข้องแต่สำหรับจอมเวทแล้วถ้าออกไปคนเดียวแล้วทำอะไรสักอย่างเพื่อปกป้องหมู่บ้านใครก็หยุดไม่ได้อยู่ดี

—หรือก็คือกำลังจะไปตายนั่นเอง

 

[ไม่ได้นะ…เรื่องแบบนั้นมัน…]

 

ต่อให้ชานอนเป็นจอมเวทที่แข็งแกร่งขนาดไหนแต่การสู้กับมังกรคนเดียวก็ฝืนก็เกิน

อีกทั้งตัวเองก็ไม่เคยร้องขอให้ชานอนปกป้องเลยแม้แต่ครั้งเดียวและสิ่งที่เขากลัวที่สุดคือการที่จะไปตายคนเดียวมากกว่า

 

[คุณชานอน…!]

 

ไคล์ที่ไม่สามารถจะหยุดตัวเองได้นั้นก็วิ่งไล่ชานอนเข้าไปในป่า

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

死にたがりのシャノン ドラゴンに食べられてみた/ชานอนผู้ปรารถนาจะสิ้นชีวีเลยลองให้มังกรกินสักทีดูค่ะ 1.2 ลองให้มังกรกินดูค่ะ 2

Now you are reading 死にたがりのシャノン ドラゴンに食べられてみた/ชานอนผู้ปรารถนาจะสิ้นชีวีเลยลองให้มังกรกินสักทีดูค่ะ Chapter 1.2 ลองให้มังกรกินดูค่ะ 2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 1.3 ลองให้มังกรกินดูค่ะ (3)

 

สามวันต่อมาหลังจากที่ชานอนมาที่หมู่บ้านแห่งนี้

ตามคำขอของชานอนแล้ววันนี้จึงเดินทางไปที่ร้านค้าประจำหมู่บ้าน ดูเหมือนจะอยากเห็นว่ามีอะไรน่าสนใจบ้างไหม

ส่วนคนที่รับหน้าที่ก็คือไคล์ ทั้งคู่รีบกินอาหารเช้าแล้วเดินไปพร้อมกัน

นับว่าเป็นฉากที่ชวนให้รู้สึกคุ้นเคย

ตอนนี้ชานอนถือว่าเป็นคนดังในหมู่บ้าน คนที่ไม่รู้จักเธอจึงมีน้อยมาก

 

[อื้-ม วันนี้ก็อากาศดีเนอะ]

 

ชานอนพูดพลางบิดขี้เกียจไปด้วย

ด้วยนิสัยของชานอนแล้วทำให้คนในหมู่บ้านต้อนรับกันเป็นอย่างดี

 

[จริงด้วยเนอะ ตั้งแต่คุณชานอนมาอากาศก็ดีตลอดเลย อย่างกับเป็นสาวเรียกแดดเลย]

[สาวเรียกแดด? ไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ พายุทราย พายุหิมะหรือฟ้าปั่นป่วนยันพายุใหญ่…ระหว่างการเดินทางก็เจอมาหมดแล้วด้วยน่ะสิ]

[อ๊ะ นั่นสินะ ถึงจะจินตนาการไม่ออกว่าเป็นแบบไหนก็เถอะ แต่คงหนักเอาเรื่องเลยสินะ]

 

การได้มาเห็นเด็กสาววัยใกล้กันแบกกระเป๋าใบเดียวออกเดินทางนั้น ในความเป็นจริงแล้วไคล์ก็มีความรู้สึกอิจฉาในดวงตาและเกิดความเคารพเวลาอยู่ในใจเช่นกัน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยคิดมาก่อน เรื่องการออกจากหมู่บ้านนี้ หรืออนาคตที่ออกเดินทางไปด้วยตัวคนเดียว

 

[ไม่ใช่แบบนั้นหรอกน้า ยังไงก็สนุกมากเลยแหละ! แต่ที่หมู่บ้านนี้ก็สนุกเหมือนกันนะ ทุกคนใจดีกันมากด้วยสิ]

 

พอพูดอย่างนั้นแล้วชานอนก็เผยยิ้มออกมา

ทันใดทันก็พลันได้ยินเด็ก ๆส่งเสียงเรียก

 

[อ๊ะ จอมเวทมาแล้ว! วันนี้ก็ใส่เสื้อคลุมสีดำอีกแล้วนะ!]

[เล่นมัน! จัดการเลย!]

 

เป็นเสียงที่กระหายเลือดใช่ย่อย

 

[โอ๊ะโอ๋ เจอกันอีกแล้วนะ]

 

พอชารอนได้ยินเสียงแหลม ๆ ของเด็ก ๆ แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างชั่วร้ายจากนั้นก็มองไปรอบ ๆ พุ่มไม้ พอส่งไคล์ไปเป็นเหยื่อล่อแล้วก็พบร่างเล็ก ๆ ร่างหนึ่งกับลังพุ่งออกมาพร้อมกับอาวุธ

ไคล์ส่งเสียงกระซิบกับชานอน

 

[พวกเด็ก ๆ ในหมู่บ้านนี่นะ]

[นั่นสิเนอะ ร่าเริงกันจัง ดีแล้วแหละ]

 

ทันใดนั้นเหล่าเด็ก ๆ ก็กระโดดออกมาเรียงหน้ากัน ในมือมีดาบกับธนูที่ทำจากกิ่งไม้เล็งจะโจมตี

เห็นดังนั้นชานอนก็เอี้ยวตัวหลบ

 

[วะฮะฮ่า ของพรรค์นั้นไม่ได้ผลหรอกนะ]

 

ระหว่างพูดชานอนก็สะบัดผ้าคลุมแล้วเอาไม้คฑาออกมาควง

 

[หวา…อะ อะไรกัน!?]

[ไม่นะ ดาบของผม]

[โดนเล่นอีกแล้ว!!]

 

อาวุธของเด็ก ๆ หลุดออกไปจากมือทั้งหมด จากนั้นก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศแล้วหยุดอยู่อย่างนั้น

เทคนิคเแบบนี้ก็คือเวทมนตร์ของชานอนนั่นเอง

ยังไม่พอชานอนก็ขยับคฑาอีกครั้งทำให้อาวุธที่กำลังล่องลอยอยู่ก็พุ่งเข้าไปที่เธอ

 

[ว้าว เวทมนตร์นี่ยังสุดยอดไม่เปลี่ยนเลยนะ]

 

สิ่งที่เห็นอยู่ข้างหน้านี้ แม้เป็นแค่ภาพธรรมดา ๆ แต่ก็เป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจนกระทั่งชานอนมาเช่นเดียวกัน

เวทมนตร์เหล่านี้เป็นสิ่งที่ขัดกับกฎของธรรมชาติต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน

อีกทั้งเวทมนตร์ของชานอนนั้นสามารถจะแย่งชิงวิธีการโจมตีของอีกฝ่ายได้ด้วย เป็นเวทมนตร์ที่ไร้ปราณีจริง ๆ  

เพียงแต่เด็ก ๆ เหล่านี้ไม่ได้เห็นว่าภาพนี้เป็นเรื่องที่สุดยอดอย่างไร (อาจกล่าวได้ว่าไม่เข้าใจถึงความสุดยอดของเรื่องแบบนี้) เด็ก ๆ เมื่อได้เห็นเวทมนตร์ก็ทำเพียงกรีดร้อง หัวเราะออกมาและวิ่งอย่างสนุกสนาน

 

[หุหุ จะแย่งคืนไปได้ไหมน้า~]

 

ชานอนทำหน้าตาซุกซนและหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย

 

[จะ เจ้าจอมเวท! คืนอาวุธของทุกคนมานะ!]

[โอ้!]

 

เด็ก ๆ เริ่มออกวิ่งด้วยร่างกายเล็ก ๆ ไล่ตามชานอนที่วิ่งหนีไป

สมกับเป็นคนที่ออกเดินทางคนเดียวเลย ร่างกายขยับคล่องแคล่วมาก

 

[—เอ้าไคล์ เปลี่ยนตัวจ้า!]

[เอ๊ะ เอ๋!]

 

ไคล์รับอาวุธที่ถูกโยนมาอย่างกระทันหันได้โดยไม่หล่น

ทันใดนั้นเด็ก ๆ ที่กำลังไล่ตามชานอนอยู่ก็เปลี่ยนเป้าหมายมาหาไคล์แทน

 

[พี่ไคล์นี่นา! ถ้าแบบนี้ชนะได้แน่!]

[เอ๊ะ เดี๋ยว!?]

[เล่นมันเลย!]

 

เด็ก ๆ พุ่งโจมตีไคล์พร้อมกัน

 

[ว๊าก! เอาไงดีคุณชารอน!?]

[อะฮะฮ่า! หนีเร็วเข้า! เดี๋ยวโดนจับเอาน้า]

[อะไรเนี่ย เด็กพวกนี้ร่าเริงกันเกินไปแล้ว!]

[หยุดนะเจ้าบ้า!]

[น่ากลัว!! จะบ้าดีเดือดกันเกินไปไหม!?]

 

เด็ก ๆ วิ่งไล่ตามอย่างสนุกสนาน บางคนก็ทำหน้าตาน่ากลัวนิดหน่อยแต่ภาพแบบนี้ในชีวิตของไคล์ก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเหมือนกัน

อีกอย่างพอเห็นแบบภาพแบบนี้แล้วก็เริ่มมีความสุขเช่นกัน

พอได้ยินเสียงหัวเราะแล้วก็เริ่มสนุกขึ้นไปอีก

แต่การหายใจหอบและสิ้นหวังกับการวิ่งหนีเด็ก ๆ ก็มีเหมือนกัน

 

[หวา พี่ไคล์วิ่งเร็วจังเลย…]

[ดีแต่หนีจริง ๆ เลย…]

[โธ่ คิดว่าจะอ่อนกว่าจอมเวทซะอีก]

 

พอวิ่งไปได้สักพักก็ส่งอาวุธให้กับชานอนที่กำลังกอดอกมองดูอยู่

 

[แฮ่ก แฮ่ก…เอ้า…คืนให้…]

[ฟุฟุฟุ ยังใช้ไม่ได้นะ เด็ก ๆ ทั้งหลาย]

[ขะ ขี้โกงนี่ มีตั้งสองคนแบบนี้!]

[นี่คือวิถีของจอมเวทไงละ ถ้าเจ็บใจก็มาแย่งคืนไปให้ได้นะ]

 

ชานอนดูจะสนุกกับการเล่นเป็นตัวร้ายมาก

 

[แข็งแกร่งเกินไปแล้ว พี่ชาย…]

[โธ่เอ๊ย พรุ่งนี้จะต้องชนะให้ได้! ทอยทัพ!]

 

พอพูดแบบนั้นเด็ก ๆ ก็พากันวิ่งนีไป

 

[หวา รอด้วยสิพี่ชาย!]

 

เหลือไว้เพียงคนน้องที่กำลังไล่ตามกลุ่มแรกไป

 

[นะ นี่ ไอนี่ไม่ต้องการอะ! เดี๋ยวมาเอาคืนด้วยนะ]

 

พอพูดเสร็จก็ชานอนก็วางอาวุธที่ยึดมาไว้ พวกเด็ก ๆ เลยหันมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แล้วกลับมาเงียบ ๆ จากนั้นก็รีบคว้าอาวุธไปทั้ง ๆ แบบนั้น ชารอนที่มองดูภาพนั้นก็ยิ้มออกมา

 

[คุณชารอนนี่เป็นคนดังไม่เปลี่ยนเลยนะ เด็ก ๆ พวกนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นเด็กนิสัยไม่ดีแท้ ๆ ]

[เอ๋ เป็นแบบนั้นเหรอ? ก็เป็นเด็กดีนี่นา แค่ร่าเริงก็พอแล้วน่า เด็ก ๆ ต้องเป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ]

[เด็กพวกนั้นอายุน้อยกว่าผมสองปี…คงจะเบื่อกับหมู่บ้านเล็ก ๆ แบบนี้ละมั้ง แต่ว่าตั้งแต่คุณชานอนมาก็ดูสนุกขึ้นเยอะเลย]

[แหะแหะ แบบนั้นก็เยี่ยมเลยนะ]

 

พอเดินผ่านไปก็เจอคนในหมู่บ้านคนแล้วคนเล่าเข้ามาทักทายกับชารอนตลอด

แค่เป็นนักเดินทางก็หายากมากแล้ว แต่ชานอนยังเป็นจอมเวทด้วย

สำหรับคนในหมู่บ้านที่กระหายความใคร่รู้แล้วจะสนใจในตัวชานอนกันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

 

[ทั้งที่ตอนมาครั้งแรกวุ่นวายกันกว่านี้แท้ ๆ ปรับตัวกันเร็วจังนะ]

 

วันถัดมาที่ชานอนมาที่หมู่บ้าน ไคล์ก็รับหน้าที่พาเดินนำจนทั่ว

ตอนที่รู้กันว่าชานอนเป็นจอมเวทกระจายไปทั่วนั้น คนทั้งหมู่บ้านก็แห่กันมารุมตัวเธอ

ทำไมถึงมาที่หมู่บ้านนี้ จอมเวทมีไว้เพื่ออะไร เหตุใดจึงมาเป็นจอมเวท แล้วเกิดอะไรขึ้นเด็กสาวคนเดียวถึงต้องออกเดินทางแบบนี้และคำถามจำนวนมาก หรือคำขออย่างใช้เวทมนตร์ให้ดูหน่อย ช่วยงานหน่อยได้ไหม สรุปก็คือวุ่นวายมาก

ด้วยความที่คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านนั้นไม่เคยเห็นจอมเวทมาก่อน แถมการที่มีเด็กหน้าตาน่ารักมาแบบนี้ก็ทำให้ชายหนุ่มหญิงสาวทั้งหลายตื่นเต้นได้เช่นกัน

เรียกได้ว่าเป็นกระทำที่หยาบคายสำหรับชานอนมาก เพียงแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจและตอบกลับด้วยรอยยิ้ม มีปัดเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องบ้างนิดหน่อย

ด้วยเหตุนั้นจึงเกิดความกังวลว่าชานอนจะออกจากหมู่บ้านเร็วกว่าที่คิดเนื่องจากความเหนื่อยล้า แต่ดูเหมือนจะเป็นแค่การตีตนไปก่อนไข้เท่านั้น

 

[ตัวฉันไม่ได้คิดอะไรมากเลยนะ? ความสนใจเวลาเจอของหายากก็ปกติไม่ใช่เหรอ?]

[คุณชานอนนี่ใจกว้างจังเลยนะ]

[ทั้งพวกเด็ก ๆ ที่เล่นกันเมื่อกี้แล้วก็คนในหมู่บ้านเป็นดีทั้งนั้นเลยนี่นา ที่เข้ามาคุยอย่างเป็นมิตรเนี่ยดีใจมากเลย บางสถานที่หรือบางยุคอะนะ พวกคำดูถูกอย่าง เจ้าคนนอก! บ้าง หรือพวกนอกรีต! เจ้าจอมเวทชั่ว! แล้วไม่เปิดใจให้กันเลยก็มีอยู่นะ พอเทียบกันแล้วที่นี่เป็นประสบการณ์ที่ดีกว่าโดนโยนหินใส่เป็นร้อยเท่าเลย]

[งะ งั้นเหรอ มีประสบการณ์แบบนั้นด้วยนี่เอง]

 

พอได้ฟังประสบการณ์แบบนี้แล้วก็เผลอก้มหน้าอย่างไม่ตั้งใจ

 

[โยนหินใส่เนี่ย…มีเรื่องแบบนั้นอยู่จริง ๆ เหรอ?]

 

ประสบการณ์ที่ชวนให้ตกใจของชานอนชวนให้ไคล์สงสัยขึ้นมา

การที่คนจากโลกภายนอนจะขับไล่เด็กผู้หญิงคนนึงได้ลงคอนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำใจเชื่อได้ลง

เพียงแต่ชารอนพูดว่า [ก็มีน่ะซี่] แล้วขยับเข้ามาใกล้ ๆ แล้วมองจ้องตาไคล์แล้วพูด

 

[หมู่บ้านนี้น่ะชอบจอมเวทกันก็จริง แต่ที่อื่นเขาไม่ได้ชอบแล้วก็ไม่ได้ต้อนรับกันนักหรอกนะ เป็นเรื่องคำสอนบ้างละ ลัทธิบ้างละ หลาย ๆ ทำให้หลาย ๆ ที่ไม่อยากจะให้เข้าไปใกล้เลย หรือช่วงเวลาโหด ๆ อย่างโดนจับติดคุกก็โดนมาแล้วนะ!]

[ติดคุก! แค่ใช้เวทมนตร์ได้เนี่ยนะ…]

[ใช่ม้า โหดร้ายเนอะ?]

 

ชานอนพูดราวกับเรื่องนี้เป็นแค่เหตุการณ์เหตุการณ์หนึ่งเท่านั้น ทั้งที่คนธรรมดาทั่วแค่ติดคุกครั้งนึงยังแทบจะไม่มีโอกาส

 

[แหม แต่ยุคสมัยนี้ก็ไม่ค่อยมีเรื่องแบบนั้นแล้วละนะ]

 

ทันใดนั้นก็พลันรู้สึกว่าชานอนนั้นเดินทางมาอย่างยาวนานกว่าที่ตาเห็นขึ้นมา

แต่ในความจริงแล้วควรจะอายุไม่ต่างกันมากแท้ ๆ ไม่ควรจะรู้สึกว่ามีช่วงเวลายาวนานขนาดนั้นได้เลย

 

[ชานอนเคยมีประสบการณ์มาหลายแบบนี่เอง ถึงได้รับมือกับความวุ่นวายของคนในหมู่บ้านได้สินะ]

[ตามนั้นจ้า! ถ้าไคล์ได้ออกเดินทางก็จะเข้าใจเหมือนกันว่าโลกใบนี้มีผู้คนมากมายหลายแบบเลยละ]

 

พอพูดจบชารอนก็หัวเราะอย่างสนุกสนาน

ไคล์ไม่สามารถจะจินตนาการได้ว่าโลกใบนี้เป็นเช่นไร แต่เรื่องที่ชานอนสนุกสนานเวลาอยู่ในหมู่บ้านนั้นเป็นความจริง ทำให้เขาเผลอยิ้มออกมาเหมือนกัน

 

[—-อ๊ะ ถึงแล้วนะ]

 

ด้านหน้าเป็นบ้านไม้เรียงรายกันเต็มไปหมด มีลานกว้างทรงกลมอยู่ตรงกลาง

มีร้านเหล้า ร้านค้าทั่วไปและยังมีแผงลอยมากมาย แม้จะเป็นตอนเช้าแต่คนในหมู่บ้านก็ออกมาเดินกันตรงลานกว้างอยู่หลากหลายคน

 

[จะเจอของที่น่าสนใจบ้างไหมนะ]

[ที่นี่ครั้งนึงเลยมีของท้อนถิ่นด้วยนะ แล้วก็อะไรนะ คิดว่าไม่น่ามีของที่แพงมาก ๆ อยู่หรอก]

[ดีจังเลยน้า เริ่มตื่นเต้นแล้วสิ! ถ้ามีของที่ทำให้คิดถึงหมู่บ้านนี้ก็คงจะดีนะ]

[ทำให้นึกถึง…จริงด้วย เดี๋ยวชานอนก็ต้องออกเดินทางแล้วสินะ]

 

มาถึงหมู่บ้านนี้ก็สามวันแล้ว

ชานอนไม่ได้ตั้งเป้าจะมาที่หมู่บ้านนี้ตั้งแต่แรก แต่จะอยู่ถึงเมื่อไหร่นั้นยังไม่เคยพูดมาก่อน

เพียงแต่พอจะทราบว่าอีกไม่นานก็จะออกไปแล้ว

 

[จะซื้อของหลาย ๆ อย่างก่อนจะออกเดินทางเหรอ?]

[ใช่แล้วละ เดี๋ยวตอนเอาออกมาดูทีหลังก็น่าสนุกดีน่ะนะ แถมมีประโยชน์เกินคาดด้วย]

[เอ แต่กระเป๋าก็มีใบเดียวนี่จะแบกไปยังไงกัน…]

[อ๋อ เรื่องนั้นไม่เป็นไร ก็ฉันเป็นจอมเวทนี่นา]

 

จบคำพูดนั้นไคล์ก็เอียงคอด้วยความงุนงง

ส่วนชานอนนั้นเอามือล้วงเข้าไปในอากาศ

 

[ก็อย่างเช่น—]

 

จังหวะนั้นก็พลันเห็นภาพอันแสนประหลาด

 

[นะ…นี่ เกิดอะไรขึ้นน่ะ!?]

 

สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือมือของชานอนที่ล้วงเข้าไปในอากาศได้หายไป

 

[หุหุ ดู-ให้ดีนะ]

 

พอตั้งใจดูตามคำบอกก็พบว่าพื้นผิวบริเวณแขนนั้นเกิดเป็นคลื่นคล้ายน้ำกระเพื่อมขึ้น

 

[อากาศมัน…บิดเบี้ยว]

[อื้ม ประมาณนั้นแหละ เรียกว่าเวทมนตร์มิติน่ะนะ อะไรที่ใส่กระเป๋าไม่ได้ก็มาใส่ไว้ในนี้แทนไง]

[เอ๋..นั่นก็นับว่าเป็นเวทมนตร์เหรอ…?]

 

เหนือกว่าที่จินตนาการไปมาก

สิ่งที่นึกออกก็มีเพียงเวทมนตร์ที่ทำให้ของลอยได้และคิดว่าเวทมนตร์มิติน่าจะเป็นเช่นเดียวกัน

 

[ใช่ ๆ ในนี้มีของเพียบเลยละ…เหมือนกับโกดังเก็บของมั้ง?]

[ฮ่า ฮ่า…เวทมนตร์เนี่ยยอดไปเลยนะ]

 

พอรู้สึกว่าไม่รู้จะตอบอะไร ก็เลยได้แต่หัวเราะเบา ๆ  

 

[เอ– น่าจะอยู่แถวนี้น้า…]

 

ชานอนแลบลิ้นแล้วขยับมือไปมาให้ความรู้สึกเหมือนกำลังหาเหรียญที่ตกอยู่หลังตู้ จากนั้นก็

 

[เจอแล้ว! ดูนี่สิ เจ้านี่น่ะของหายากเลยนะ]

 

สิ่งที่อยู่ในมือของชารอนที่ดึงของออกมาจากมิติที่บิดเบี้ยวคือจี้ชิ้นหนึ่ง

จากนั้นก็ถูกนำมาใส่มือ

เป็นจี้เหล็กเก่า ๆ ที่คาดว่าเคยปิดด้วยสีทองมาก่อน เพียงแต่ตอนนี้มันลอกไปหมดแล้ว ขนาดประมาณปลายเล็บมือแต่รู้ได้ทันทีว่าเป็นของมีราคา

 

[ได้มาจากอาณาจักรทางใต้เมื่อนานมากแล้วน่ะน้า มีของแบบนี้อยู่ในโกดังมิตินี้เพียบเลยละ]

[ยอดเลย…! แต่ว่าไม่รู้เลยว่าจะไปหาของที่เจ๋งแบบนี้ในหมู่บ้านได้ยังไง]

[จริง ๆ แล้วจะเป็นอะไรก็ได้นะ ถ้าเจอของน่าสนใจก็แค่ซื้อไว้เท่านั้นเอง ไม่ยากหรอก แล้วก็ฉันตั้งตารอจะไปซื้อของกับไคล์อยู่นะ!]

[จะ จริงด้วยสินะ]

 

พอได้ฟังคำนั้นแล้วก็ทำให้รู้สึกเขินอายขึ้น

จึงได้กระแอมไอหนึ่งครั้งเพื่อลบออก

 

[งะ งั้นไปดูหลาย ๆ อย่างกันเถอะ]

[ฝากตัวด้วยหน้าคุณไกด์]

[ไว้ใจได้เลย! งั้นถ้าเป็นแถว ๆ นี้ก็—]

 

วินาทีนั้น

เสียงโค~~รกดังขึ้นราวกับแผ่นดินสะเทือน

 

[คือว่า…คุณชานอน]

 

เสียงนั้น…มาจากชานอนนั่นเอง

กลับไปที่ด้านชานอนนั้น เธอแอบเขินอายเล็กน้อย

 

[อ๊ะ คือว่า อะฮะฮะ ขอโทษน้า…ท้องร้องซะแล้วละ]

[อ๋อ เสียงท้องร้องนี่เอง]

[ก็แหม เมื่อเช้ากินข้าวเช้ามานิดเดียวเองนี่นา]

 

ชานอนที่รู้สึกผิดก็กระสานมือแล้วยกขึ้นเหนือหัว

 

[ถึงเร็วกว่าเวลาเที่ยงไปสักหน่อย แต่เราไปที่ร้านตรงนั้นแล้วกินมื้อเที่ยงกันเลยเถอะ]

[อะโอ้ ดีเลยนะ ไปกัน ๆ ]

 

จากนั้นทั้งสองคนก็เดินเข้าไปในร้านเหล้าที่อยู่ข้างหน้าของตน

แต่ตอนนี้เพิ่งจะสายแก่ ๆ เท่านั้นลูกค้าเลยไม่เยอะเท่าไหร่

แต่ที่นั่งหน้าเคาท์เตอร์ก็พบคนที่เมาแต่หัววันอยู่ด้วยเช่นกัน

 

[ว้าว ร่าเริงกันแต่เช้าเลยเนอะ คนพวกนั้นอะ]

[นั่นมัน…พวกคุณเรจิรัลด์นี่นา]

[คนรู้จักเหรอ?]

[อื้ม เป็นพวกรักษาความปลอดภัยน่ะ คงเลิกกะดึกแล้วละมั้ง]

 

ทันใดนั้นกลุ่มคนเมาก็สังเกตทั้งสองคนและโบกมือมาให้

 

[ว่าไงไคล์ ไม่เจอกันนานนะ!]

[สวัสดีครับคุณเรจิรัลด์]

 

เรจิรัลด์ที่เป็นชายร่างใหญ่ล่ำบึก หนวดเคราเฟิ้มกำลังเดินโซซัดเซแล้วหันไปมองชานอน

 

[เธอคือแม่มดสาวที่เล่าลือกันใช่ไหม? เห็นปราดเดียวก็รู้เลยละ หมู่บ้านเราไม่มีคนแบบนี้นี่]

 

เรจิรัลด์นั่งข้าง ๆ ที่นั่งของชานอน

 

[สักแก้วไหม? แลกกับเล่าเรื่องให้ฟังหน่อยสิ]

[คะ คุณเรจินัลด์ครับ เมามากแล้วนะครับ…]

[หือ?? ไม่ได้เมาสักหน่อย! ยังน่า! พวกข้าน่ะเบื่อจะแย่แล้ว! ดูสิ แม่หนูก็มาดื่มกันนะ!]

 

เรจินัลด์ส่งแก้วไม้ที่เพิ่งเติมให้กับชานอน

 

[โอ๊ะโอ๋ ตั้งแต่มาที่หมู่บ้านนี้ก็ยังไม่ได้ดื่มเลยแฮะ แก้วเดียวพอละกัน พอดีมีนัดกับไคล์ด้วยน่ะ]

[โอ้ ใจได้เหมือนกันนี่ เหล้าหมู่บ้านนี่อย่างแซ่บเลยนะ?]

 

ชานอนรับแก้วมาแล้วก็กระดกลงคอ

 

[—อื้ม! อร่อยจริงด้วย! ลื่นคอมากเลย]

[ใช่ไหมล่า? ว่าแล้วว่าพวกนักเดินทางต้องชอบ! โดนใจเลยแม่หนู!]

 

เรนัลด์ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน

สุดท้ายก็จบที่เรนัลด์เลี้ยงมื้อกลางวันให้ด้วยความอารมณ์ดี ส่วนชานอนก็ได้สนุกกับการคุยกับพวกเขาด้วย

เรนัลด์ที่อารมณ์ไม่ดีอยู่เสมอนั้นดูสนุกสนานขึ้นมามากเมื่อได้คุยกับชานอน

ส่วนไคล์ทำได้เพียงนั่งจิบน้ำเท่านั้น

เพราะเนื้อหาที่คุยกันดูเป็นผู้ใหญ่แล้วก็เข้าไปแทรกได้ยาก

แต่ชานอนก็ปรับหัวข้อที่คุยให้เข้ากับไคล์ได้ด้วย ทำให้ทั้งสามคนคุยกันได้อย่างราบรื่น

ทักษะการสื่อสารของชานอนนั้นเรียกได้ว่าสูงมาก ทักษะเหล่านี้ต้องได้รับมาจากการเดินทางเป็นแน่

ไคล์นั้นรู้สึกดูถูกตัวเองและเคารพในตัวเธอจากใจจริง

จากนั้นก็เอาขนมเข้าปาก

 

[งานรักษาความปลอดภัยนี่ก็ลำบากแต่เช้าเลยเนอะ]

[ไม่หรอก ไม่ขนาดนั้นนะ จะบอกว่าเป็นศัตรูก็ไม่ใช่ เจอแต่สัตว์เวทตัวเล็ก ๆ แค่นั้นเอง เป็นงานน่าเบื่อสุดเลยละ]

[แต่ว่าก็ต้องขอบคุณคุณเรจินัลด์ที่ทำให้ทุกคนใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขนะ]

[ฮ่าฮ๋า ดีใจจัง แล้วจอมเวทเนี่ยต้องต่อสู้หรือเปล่า?]

[อื้-ม จะบอกว่าไม่สู้คงไม่ได้ ก็จอมเวทเดี๋ยวนี้หาตัวอยากใช่ไหมละ? เพราะงั้นเลยตกอยู่ในอันตรายบ่อย ๆ น่ะ]

 

เป็นเรื่องจริงที่ว่าถ้ามีพลังขนาดนี้ละก็คงมีคนที่คิดจะใช้ในทางที่ไม่ดีอยู่เยอะ การที่จะหนีหรือปกป้องตัวเองนั้นก็ต้องมีพลังกายและพลังใจที่แข็งแกร่งเช่นกัน  

 

[โห เจ๋งดีนี่! สักวันนึงอยากจะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับจอมเวทเหมือนกันนะเนี่ย ส่วนจอมเวทที่เคยมาก็มีแต่พวกอ่อนหัดทั้งนั้น มีแต่เธอนี่แหละนี่ดูของจริงที่สุด]

[เวทมนตร์ก็เรื่องนึง แต่ศิลปะการต่อสู้ก็มีเหมือนกัน ฉันน่ะแกร่งน้า~]

 

ระหว่างที่พูดชานอนก็หัวเราะไปด้วย แล้วก็ลองเบ่งกล้ามให้ดูด้วย

 

[โฮ่ เป็นกล้ามเนื้อที่ดีนะ ไคล์เอ๋ย เอ็งนี่สู้แม่หนูนี่ไม่ได้เลยนี่?]

[ชะ ช่างผมเถอะน่า พูดเรื่องไม่เป็นเรื่องจริง!]

 

ใช่แล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องออกไปสู้นี่นา เก็บผักบนภูเขาก็ทำได้ดีแล้วด้วย แถมยังเป็นพวกอินดอร์อีก

ไคล์บ่นพึมพำกับตัวเอง

 

[ฮะฮ่า โทษทีนะ แต่ว่านะไคล์ เอ็งอาจจะได้มาทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ได้นะ?]

[คือผมไม่คิดจะไปสู้กับใครที่ไหนนะ…อีกอย่าง…]

 

จริงอยู่ที่งานรักษาความปลอดภัยเป็นอะไรที่เท่มาก แต่ว่าพอได้พบกับชานอนแล้วความรู้สึกที่อยากจะเห็นโลกภายนอกก็เพิ่มพูนขึ้นในใจเช่นกัน

และในทางกลับกันก็รู้สึกว่าหมู่บ้านนั้นน่าเบื่อ  

ความกระหายความบันเทิงในตัวของคนในหมู่บ้านนั้นได้ชานอนช่วยเติมเต็มให้ แต่นอนว่าตัวไคล์ก็ด้วย เพียงแต่มันก็เป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น

ถ้าหากวันหนึ่งชานอนหายไปก็ต้องกลับไปเป็นหมู่บ้านที่น่าเบื่ออย่างเคยแน่ และเมื่อคิดขึ้นมาก็ทำให้รู้สึกเหงานิดหน่อย

ถึงจะรู้สึกเช่นนั้นก็ไม่อาจคิดได้ว่าถ้าหากตัวเองได้โบยบินไปสู่โลกภายนอกจะเป็นอย่าไร

เพียงแต่ก็มีความคิดที่ว่าจะอยู่ในหมู่บ้านไปจนตายเลยเหรอผุดออกมาเช่นกัน

ทันใดนั้นเรจินัลด์ที่ดูท่าทางจะเดาอะไรออกก็หัวเราะออกมาเสียงดัง

 

[เอ้า ช่างมัน ไองานนี่มันก็ไม่ได้ต้องเจออะไรร้ายแรงมีแต่น่าเบื่ออยู่แล้วด้วย ถ้าหางานที่เหมาะกับเอ็งได้คงจะดีกว่า ยังไงหมู่บ้านเราก็สงบสุขดีนี่นะ]

 

จังหวะนั้นชานอนก็ส่งเสียง [อ๊ะ] ออกมา

 

[บ่ายแล้วนะ คุยกันนานเลย ไปกันเถอะไคล์]

 

ออกมาตั้งแต่เช้าตรู่ แต่เมื่อมองไปด้านนอกก็พบว่าตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นสูงแล้ว

 

[อ๊ะ จริงด้วย]

[เอ้า จะไปแล้วเหรอ?]

 

เรจินัลด์มองชานอนอย่างเศร้า ๆ  

 

[อื้ม สนุกมากเลยคุณลุง ถ้ามีโอกาสมาคุยกันอีกนะ]

[เห ไว้เจอกันนะแม่หนู! จะมาเมื่อไหร่ก็ได้เลย ได้ดื่มเหล้ากับสาวสวยแบบสนุกมากเลยนะ ขอบคุณมาก]

[คุณลุงก็เองก็เพลา ๆ เหล้าหน่อยน้า~ งั้นไว้เจอกัน!]

 

เรจินัลด์พ้นสายตาออกไป ทั้งสองออกมาจากร้านเหล้าแล้ว

สายลมสบาย ๆ พัดผ่านมาทำให้แก้มที่ร้อนผ่าวนั้นจางลงไป

 

[ฟู่ว~ สนุกมากเลยเนอะ]

[ไม่ได้เห็นคุณเรจินัลด์อารมณ์ดีแบบนั้นมานานแล้วแหละ เพระางานกะกลางคืนมันหนักมากนี่นา]

[งั้นเหรอเนี่ย เป็นงานที่ลำบากเอาเรื่องเลย—เอาละ โทษน้า ไปกันเถอะ!]

 

จากนั้นทั้งสองก็คุยกันไปแล้วก็เดินไปสู่เป้าหมายอย่างร้านค้า

ในช่วงบ่ายก็เจอผู้คนมากมายเช่นกัน คุยกันไปหลายเรื่องแต่คราวนี้ไม่ได้ถูกรุมล้อมคุยเหมือนก่อน

ชานอนเดินวนดูของในร้านค้าและซื้อเครื่องประกับหน้ากากแปลก ๆ มา

ถึงจะคิดว่าไม่ใช่ของจำเป็นนักก็ตาม แต่คงสำคัญสำหรับชานอนมากเป็นแน่

จากนั้นเวลาอันแสนสนุกก็พัดผ่านไปไว้ราวกับเรื่องโกหก

 

[ฮ้า~ ดีจังน้า! สนุกจังเลย ไม่ได้มีแผนมาที่หมู่บ้านนี้ก็จริงแต่พอได้เจอกับไคล์แล้วได้มาเนี่ยดีใจจัง ขอบคุณนะ]

 

ชานอนทำหน้าตาสนุกสนานและกล่าวขอบคุณ

 

[เหะเหะ ดีใจจัง! แต่ว่ายังแนะนำไม่หมดทุกร้านเลยสิ ไว้พรุ่งนี้มาอีกนะ]

[อื-ม ไม่ได้รีบออกเดินทางด้วยสิ ขอพักอีกสักคืนได้ไหมน้า~]

 

ระหว่างที่พูดชานอนก็บิดขี้เกียจไปด้วย

 

[เยี่ยมเลย ต้องแบบนั้นสิ!]

 

อยากไม่อยากให้ตัวตนที่ทำให้รู้สึกกระหายความอยากรู้อยากเห็นและความสนุกหายไป

 

[งั้นกลับก่อนที่มืด—]

 

ในขณะที่กำลังจะหันเท้ากลับ ชั่ววินาทีนั้น

เงาขนาดใหญ่ผ่านศีรษะไป สายลมแรงอันหนักอึ้งพ้ดผ่านเข้ามา

 

[อึก…!]

[เหวอ! อะไร—]

 

[กรรรรรรรรรรรร!]

 

[[!?]]

 

เสียงคำรามดังจนทำให้หูอื้อ

แต่บอกว่าเป็นเสียงกรีดร้องน่าจะใกล้เคียงกว่า เป็นเสียงคำรามในลักษณะนั้น

พอมองหน้าขึ้นไปก็พบกับสิ่งที่ไม่อาจะเชื่อได้ในทันที

สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ปกคลุมด้วยเกล็ดสีเงินกำลังลอยอยู่จนมิดผืนท้องฟ้า

 

[มังกร…!]

 

เมื่อชานอนเงยหน้าขึ้นมาก็พึมพำออกมาเช่นนั้น

 

[มังกร!? ของแบบนั้น…มีอยู่จริงเหรอ!?]

 

มังกรเป็นนั้นตัวตนที่หายากยิ่งกว่าจอมเวทเสียอีก

เพราะหากพูดถึงสัตว์ในตำนานก็เป็นตัวตนที่เชื่อได้ยากว่ามีจริงตั้งแต่แรกแล้ว

เพียงแต่ตอนนี้ชานอนกำลังทำสีหน้าจริงจังขั้นสุด

 

[อืม มังกรจริงด้วยแหละ ไม่ได้เห็นมานานเลยน้า ช่วงนี้แทบไมเห็นกับตาเลยแท้ ๆ มาทำอะไร…ในที่แบบนี้กันนะ]

[สุดยอด…ของจริงด้วย…]

 

ความจริงแล้วไคล์เคยเห็นมังกรแค่ในสมุดภาพเท่านั้น ของจริงไม่เคยเจอมาก่อน

แต่ในขณะที่กำลังตื่นเต้นนั้นก็มีความรู้สึกแย่ ๆ แผ่ออกมาเช่นกัน

 

[…เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนสิ มังกรตัวนั้น…หมู่บ้านกำลังตกอยู่ในอันตราย…]

 

รู้สึกได้เลยว่าเลือดไม่เลี้ยงหัวแล้ว

 

[บินต่ำด้วยสิ…อาจจะแย่จริง ๆ ได้]

 

มังกรนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งมาก

มีเรื่องเล่ามากมายที่กล่าวว่ามังกรนั้นทำล้ายล้างเมืองจนพินาศ กับหมู่บ้านเล็ก ๆ แบบนี้ก็มีโอกาสเช่นเดียวกัน

 

[ดูสิ มังกรกำลังบินลงมาแล้ว]

 

ชานอนพูดพลางชี้ไปที่มังกร

 

มังกรกำลังร่อนลงไปในป่าลึกที่ใกล้กับทางเข้าหมู่บ้าน

 

[ต้องรีบไปบอกทุกคน…]

[นั่นสินะ ถ้าไม่รีบอพยพเดี๋ยวจะแย่เอา…]

 

ทั้งสองรีบวิ่งกลับไปที่หมู่บ้าน

และเป็นไปตามคาด ตอนนี้หมู่บ้านกำลังแตกตื่นกันหมด

ต่างจากภาพความสงบก่อนหน้า ตอนนี้ใครก็ใครก็ต่างกรีดร้องกันอย่างหวาดกลัว

กลายเป็นความโกลาหลอย่างสมบูรณ์

 

[เฮ้ย มังกรงั้นเหรอ!]

[ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยนะ!?]

[บินจะถึงป่าอูดะแล้วนะ!? หมู่บ้านนี้ไม่ซวยเอาเหรอ!?]

[ฉันยังไม่อยากตาย!?]

[หนีกัน…เปล่าประโยชน์แล้ว!]

[พูดอะไรกันอยู่ สู้สิโว้ย! บรรพบุรุษอุตส่าห์บุกเบิกกันมา ตั้งทีมปราบปรามเร็ว! จะปล่อยให้หมู่บ้านนี้เป็นกองเพลิงงั้นเรอะ!!]

 

เสียงกรีดร้องและปลุกเร้าดังก้องไปทั่ว

พวกผู้ใหญ่หลายคนวิ่งไปทั่วหมู่บ้านเพื่อตรวจสอบความผิดปกติ

ความน่ากลัวของมังกรไม่ว่าใครก็เคยได้ยินแค่ในเฉพาะเรื่องเล่าเท่านั้น แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่ทุกคนก็เข้าใจถึงความน่ากลัวของมันได้แค่เพียงบินผ่าน

ถ้าหากตัวแบบนั้นเข้ามาถึงหมู่บ้านได้ทุกอย่างจะราบเป็นหน้ากลองแน่นอน

ไคล์จับแขนเสื้อชองชานอนแน่นในขณะที่ดูชาวบ้านวิ่งไปวิ่งมา

 

[ทะ ทำไงดี…]

 

จ้องมองภาพที่เกิดขึ้นด้วยความกังวลที่เอ่อล้น

แน่นอนว่าชานอนก็ทำสีหน้าจริงจังมากเช่นกัน

 

[เอาจริง ๆ อาจจะแย่แล้วก็ได้…แต่ว่าเห็นบอกจะตั้งทีมปราบปรามกันแล้วนี่]

[ก็ใช่อยู่หรอก…]

 

แน่นอนว่าไม่มีใครจะเห็นภาพเลยว่าคนในหมู่บ้านจะโค่นมังกรเลยได้อย่างไร เพราะในประวัติอันยาวนานของหมู่บ้านนั้นก็ทำได้เพียงจัดการสัตว์เวทตัวเล็ก ๆ เท่านั้น

 

[ในอดีตก็เคยมีประวัติว่ามนุษย์เคยขับไล่มังกรได้เหมือนกันะน ถ้าร่วมมือกันคงทำอะไรได้บ้างแหละ]

[….]

[แต่ว่า…คนในหมู่บ้านนี้น่ะ…]

 

หลังจากนั้นไม่นานเหล่าผู้ที่ปกป้องหมู่บ้านอย่างนักล่า กลุ่มรักษาความปลอดภัยและชายที่แข็งแกร่งก็รวมมาตัวกันอยู่หน้าบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน  

ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อต่อต้านกับมังกร

 

[เฮ้ แม่หนู!]

[อ๊ะ คุณลุงคนเมื่อกี้นี่]

 

ลุงที่เจอที่ร้านเหล้าเรจินัลด์นั่นเอง ภาพที่เมาแอ๋ได้หายไปหมด เหลือเพียงภาพคนที่ถืออาวุธอย่างกล้าหาญเท่านั้น

 

[ยังอยู่อีกเรอะ เดี๋ยวที่นี้จะเป็นสนามรบรีบหนีไปได้แล้ว เธอตัวคนเดียวน่าพ้นนี่]

 

ลุงคนนั้นพูดด้วยท่าทางแปลกประหลาด

 

[แหม จะให้หนีไปคนเดียวมันก็น้า]

[ฮ่าฮ่า ไม่ต้องการความเห็นใจหรอกนะ เดี๋ยวพวกข้าจัดการไอมังกรนี่เอง ออกไปจากหมู่บ้านก่อนได้เลย]

[…]

[งั้นไว้เจอกันนะ รอบหน้าเอาเหล้าดี ๆ มาด้วยละ]

 

เรจินัลด์ทิ้งคำพูดเหล่านั้นไว้แล้วเข้าไปในบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน

แผ่นหลังของเขานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความตึงเครียด

 

[ทีมปราบปรามเหรอ…คิดจะทำยังไงกับมังกรกันนะ พวกเราเข้าไปฟังด้วยไหม]

[เอ๊ะ?]

[ไคล์ก็กังวลใช่ไหมละ? เป็นเรื่องใหญ่โตด้วยสิ ไปลองฟังกันเถอะ ฉันอาจจะพอช่วยอะไรได้ก็ได้นะ]

[นะ นั่นสินะ!]

 

ทั้งสองเดินตามเรนัลด์เข้าไปในบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน

ข้างในมีเหล่าผู้ชายท่าทางแข็งแกร่งหลายคนและตรงกลางก็มีหัวหน้าบ้านยืนอยู่  

 

[ขอความช่วยเหลือจากเมืองใกล้ ๆ ไม่ได้เหรอ?]

[พูดถึงเวสทีเรียหรือไง? เปล่าประโยชน์น่า กว่าจะส่งถึงก็ห้าวัน ถ้ารอมาช่วยอีกหมู่บ้านพังยับหมดแน่]

[ส่งจดหมายไปแล้ว ถ้าอดทนรออีกอาทิตย์นึงได้ความช่วยเหลือต้องมาแน่]

[เราเป็นแค่หมู่บ้านเล็ก ๆ คิดว่าเมืองคงไม่ส่งคนมาหรอก ขนาดกับเมืองใหญ่ยังต่อกรกับมังกรยากเลย พวกนั้นคงไม่ปล่อยคนมาตาย ๆ ง่าย ๆ มาสุดคงแค่ส่งคนมาสังเกตการณ์แหละ]

 

บรรยากาศการโต้เถียงจบ ทุกคนเข้าสู่ความตึงเครียด

ในสถานการณ์แบบนี้การจะเตรียมสู้อะไรก็เป็นไปได้ยาก

 

[ขอความช่วยเหลือก็คงไม่ได้…งั้นมารือเรื่องการรับมือกัน]

[ถึงมีแค่พวกเราก็ต้อง…]

 

จังหวะนั้นหัวหน้าหมู่บ้านก็สังเกตเห็นทั้งสองคน

 

[โอ้ ไคล์เหรอ แล้วก็…]

[ชานอนค่ะ]

 

ชานอนก้มหัวทักทาย

 

[อ๋อ ท่านจอมเวทที่เดินทางอยู่นี่เอง]

[จะ จริงด้วยคุณชานอน! ขอยืมพลังทีทีเถอะครับ!]

 

ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหน้าหันไปที่ชานอนแล้วก้มลงคุกเข่าขอร้อง

 

[งะ เงยหน้าขึ้นเถอะนะคะ]

 

ชานอนมองชายคนนั้นด้วยสีหน้าลำบากใจ

 

[ทะ ถ้าเป็นจอมเวทละก็คงทำอะไรมังกรตัวนั้นได้ใช่ไหมครับ!? ขอร้องละ…! ช่วยหมู่บ้านนี้ที…!]

[ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็จะทำเต็มที่ค่ะ รบกวนหมู่บ้านนี้ไว้เยอะด้วย แถมฉันเองก็ชอบหมู่บ้านนี้ด้วยค่ะ]

[จริงเหรอครับ!? งะ งั้นก็—]

[หยุดเดี๋ยวนี้!]

 

หัวหน้าหมู่บ้านตะคอกเสียงดังออกมา

ทุกคนหยุดการกระทำของตัวเองและหันกลับมามอง

 

[หะ หัวหน้าหมู่บ้าน…]

[…ขออภัยนะ ท่านนักเดินทาง ทุกคนแค่กำลังกลัวกันน่ะ แต่ว่านี่เป็นปัญหาของหมู่บ้านเรา ไม่คิดจะรบกวนท่านหรอกนะ]

[ไม่ได้รบกวนอะไรเลยนะคะ…]

[ท่านถูกใจหมู่บ้านของเราเลยพยายามจะช่วยอะไรเราสักอย่างเรานั้นเข้าใจ แต่ถึงจะเป็นจอมเวทแต่การจะต่อกรกับมังกรนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย สมัยก่อนที่เคยเจอจอมเวทนั้นก็เห็นว่าสู้เก่งและรักษาตัวเองได้ดีก็จริง แต่ไม่รู้ว่าจะใช้กับท่านได้หรือเปล่าเพราะไม่ใช่ว่าจอมเวทจะเป็นแบบนั้นทุกคน นี่เป็นปัญหาของหมู่บ้านเรา จะให้ขอร้องให้นักเดินทางเช่นท่านมาเสี่ยงชีวิตไม่ได้ ขอแค่รับความรู้สึกไว้แล้วหนีไปก่อนก็พอ]

 

ทุกคนฟังคำพูดของหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ  

จากนั้นหัวหน้าหมู่บ้านก็หันไปมองหน้าเหล่าผู้ชายที่มารวมกัน

 

[พึ่งพาคนที่พึ่งพาได้สิ ทำไมพวกเจ้าถึงได้ยึดติดกับเด็กผู้หญิงอายุเพียงนี้ขนาดนั้นกัน?]

[นะ นั่นมัน…]

[หมู่บ้านของเราก็ต้องปกป้องกันเอง ถ้ามัวแต่เอาสะดวกพึ่งพาคนแข็งแกร่งตลอดต่อไปจะทำยังไงกัน เราจะใช้พลังของตัวเองมีชีวิตรอดต่อไป ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องแสดงพลังของเราให้เห็น]

 

พอได้ฟังคำของหัวหน้าหมู่บ้านแล้วสีหน้าของกองปราบปรามก็เปลี่ยนไป

 

[จะ…จริงด้วยสินะ…พวกเรามาพยายมกับเถอะ!]

[ใช่แล้ว มาลุยกันเถอะ!]

[เออ หมู่บ้านของเรา เราจะปกป้องไว้เอง!]

 

เสียง โอ้! ดังขึ้น บรรยากาศเปลี่ยนไปฮึกเหิมขึ้น

ทุกคนตะโกนใส่กันเพื่อเรียกกำลังใจ

ขณะนั้นชานอนที่กำลังมองดูท่าทางเหล่านั้นก็ทำสีหน้าซับซ้อน

 

[ไม่ให้ช่วยเลยจริง ๆ เหรอ…มังกรน่ะแข็งแกร่งนะ?]

 

ชานอนนั้นรู้ถึงความน่ากลัวของมังกรดีอยู่แล้ว

 

[ชอบหมู่บ้านนี้ใช่ไหม งั้นแค่ความรู้สึกก็พอไม่ต้องการความช่วยเหลือหรอก ท่านหนีไปก่อนได้เลย ถ้าครั้งหน้ามาตอนสงบสุขกว่านี้จะต้อนรับอย่างดีเลย]

 

หัวหน้าหมู่บ้านหรี่ตาแล้วยิ้มให้

จากนั้นการประชุมหารือก็เริ่มต้นขึ้น ไม่สามารถจะให้ชานอนหรือใครเข้าไปแทรกได้อีกแล้ว

 

[จะ จะเป็นอะไรไหมนะ…]

[ตอบไม่ได้หรอกนะ…มังกรมันแกร่งนี่นา]

 

แต่เข้าใจความรู้สึกของหัวหน้าหมู่บ้านได้ คนในหมู่บ้านเองก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน  

จะมายืมมือของคนนอกอย่างชานอนก็ไม่ใช่เรื่อง

 

[นะ นั่นสินะ…แต่ว่าแค่หอกกับดาบแค่นั้นมันก็…]

 

ไคล์กัดฟันพร้อมกับหน้าซีด ถ้าหากทีมปราบปรามจัดการมังกรไม่ได้หมู่บ้านนี้ก็จะพินาศสิ้น การบอกว่าไม่คิดแบบนั้นเลยก็คือคนที่ไม่มองความเป็นจริงเท่านั้น

แม้กำลังใจของพวกเขาจะสูงแต่ก็ยังคงมีสีหน้าตึงเครียดจากพลังที่ต่างกันเกินไป

 

[มังกรน่ะมีเขี้ยวที่แหลมคมแล้วก็เล็บที่แข็งแรงมาก อย่างพวกรักษาความปลอดภัยหรือนักล่าเนี่ยเอาจริง ๆ ก็สู้ยากมากเลยนะ]

[ชะ ใช่ไหมละ…]

[แถมไฟที่ออกมาจากปากก็ทำให้กลายเป็นเถ้าถ่านได้ในทันที ถ้าโดนกินเข้าไปแล้วก็หมดหวัง—]

 

อยู่ ๆ คำพูดชวนไม่คาดฝันของชานอนก็หยุดลง

 

[คุณชานอน…?]

 

เมื่อมองหน้าด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ก็ต้องพบว่าสีหน้าของชานอนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

และสีหน้านั้นก็คือ—กำลังนึกสนใจอยู่

 

[ทำไมถึงไม่คิดออกให้เร็วกว่านี้เนี่ย…]

 

ดวงตาของชานอนกลายเป็นประกาย

ราวกับว่าได้พบกับสิ่งที่ตามหามายาวนาน เป็นสีหน้าที่เหมือนกับความสุขได้ถูกเติมเต็ม

 

[ปะ เป็นอะไรเหรอ…?]

 

สังหรณ์ใจไม่ดีเลย

จากนั้นต้นตอของลางสังหรณ์ก็ปรากฎขึ้น

 

[ถ้าเป็นมังกรละก็ ฉันคง…! ไคล์ ฉันขอไปหามังกรก่อนนะ!]

[ห๊ะ…เอ๋!? เดี๋ยว ทำไมเล่า!? คิดจะทำอะไรน่ะ!?]

 

ไคล์พยายามจะจับมือรั้งตัวของชานอนไว้ แต่ชานอนพุ่งตัวออกจากบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านไปอย่างรวดเร็ว

 

[ระ รอก่อนสิ! คุณชานอนคิดอะไรอยู่เนี่ย! กองปราบปรามจะออกไปแล้วเนี่ย คิดจะออกไปทำอะไรคนเดียวน่ะ!?]

 

ไคล์ตื่นตระหนกและวิ่งไล่หลังไป

 

[ก็แค่จะไปเจอมังกรเอง!]

[พูดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย!?]

 

แม้ไคล์จะหายใจแรงด้วยความเหนื่อยล้าแต่ชานอนยังคงวิ่งไปด้วยความตื่นเต้น

 

[หนีไปเถอะไคล์! ลากันตั้งแต่ตรงนี้เลย สนุกมากเลยนะ! รักษาตัวด้วย!]

 

พอพูดเช่นนั้นชานอนก็เร่งความเร็วไปอีก

เขาไม่สามารถทำความเข้าใจได้เลยว่าทำไมชานอนถึงได้รีบออกไปในเวลาแบบนี้

 

[คุณชานอนเป็นอะไร…รักษาตัวเหรอ…หรือว่า…!]

 

เป็นไปได้ว่าชานอนนั้นกำลังจะตอบแทนไคล์โดยการออกไปสู้กับมังกรคนเดียว

ถึงหัวหน้าหมู่บ้านจะบอกให้อย่าเข้ามาเกี่ยวข้องแต่สำหรับจอมเวทแล้วถ้าออกไปคนเดียวแล้วทำอะไรสักอย่างเพื่อปกป้องหมู่บ้านใครก็หยุดไม่ได้อยู่ดี

—หรือก็คือกำลังจะไปตายนั่นเอง

 

[ไม่ได้นะ…เรื่องแบบนั้นมัน…]

 

ต่อให้ชานอนเป็นจอมเวทที่แข็งแกร่งขนาดไหนแต่การสู้กับมังกรคนเดียวก็ฝืนก็เกิน

อีกทั้งตัวเองก็ไม่เคยร้องขอให้ชานอนปกป้องเลยแม้แต่ครั้งเดียวและสิ่งที่เขากลัวที่สุดคือการที่จะไปตายคนเดียวมากกว่า

 

[คุณชานอน…!]

 

ไคล์ที่ไม่สามารถจะหยุดตัวเองได้นั้นก็วิ่งไล่ชานอนเข้าไปในป่า

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+