A Gal Who Looks Good in an Apron is Unfair! นี่มันไม่ยุติธรรม! ที่ยัยสาวแกล ดูดีเกินไปตอนสวมผ้ากันเปื้อน 1.2

Now you are reading A Gal Who Looks Good in an Apron is Unfair! นี่มันไม่ยุติธรรม! ที่ยัยสาวแกล ดูดีเกินไปตอนสวมผ้ากันเปื้อน Chapter 1.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนแรกโชอิจิคิดว่าเขาได้ยินผิดไป

 

เด็กผู้หญิงที่เขาเพิ่งคิดว่าน่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาอีก จู่ ๆ เขาก็ถูกขอให้สอนหนังสือให้กับเธอ จิตใจของเขาเลยสับสนเล็กน้อย

 

พอเขารู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงเขาก็เผลอคร่ำครวญออกไปโดยไม่ตั้งใจ “อืม… ขอโทษนะครับ ช่วยพูดอีกรอบได้ไหมครับ”

 

“ก็อย่างที่บอกไปครูจะให้ช่วยสอนยูซึกิหน่อย ไม่ได้ยินที่ครูพูดก่อนหน้านี้เหรอ?”

 

“มะ-ไม่ใช่ครับ ผมได้ยินชัดเจนเลย แค่สงสัยว่าทำไมผมต้องทำแบบนั้นด้วย!” เขาเผชิญหน้ากับครู ด้วยความรู้สึกที่ว่ามันไม่มีเหตุผลที่เขาต้องทำแบบนี้

 

เขาเป็นแค่นักเรียนธรรมดา ๆ เขาไม่ได้มีภาระหรือธุระอะไร ที่ต้องมาสนใจสอนหนังสืออามิรุ ว่าให้เรียนอย่างไร เพราะเธอก็เป็นนักเรียนเหมือนกัน ทำไมเขาเขาต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วยล่ะ?

 

มันเป็นเรื่องปกติที่อาจารย์ประจำชั้นต้องใส่ใจทั้งชั้นเรียนสิ ไม่ใช่ใส่ใจแค่บางคน เขาทำตัวราวกับว่าเขาเอ็นดูอามิรุแค่คนเดียว ในฐานะผู้ให้การศึกษา เขาไม่มความละอายใจบางเลยเหรอ?

 

ขณะที่ โชอิจิ จ้องมองอาจารย์ประจำชั้นด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจ อาจารย์ประจำชั้นก็เริ่มพูด ‘อธิบาย’ เหตุผลออกมา

 

“จำได้ไหม ตอนที่เริ่มเรียนไปได้ไม่นาน แต่ละวิชาก็เริ่มมีการทดสอบวัดคะแนนกัน”

 

“จำได้ครับ เพราะมันเป็นการทดสอบความรู้ระดับมัธยมต้นก่อนที่จะเริ่มสอบกลางภาค”

 

“ใช่และคุณก็ได้คะแนนเต็มร้อยด้วย”

 

“หืม?”

 

ขณะที่เขากำลังพยายามค้นหาความหมายในสิ่งที่อาจารย์ต้องการจะสื่อ อาจารย์ประจำชั้นก็เอาหน้าเข้าไปใกล้ของโชอิจิและพูดออกมาว่า “…แล้วคุณเคยเห็นใครได้คะแนนหลักเดียวในทุกวิชาหรือเปล่าล่ะ”

 

“เอ่อ…”

 

โชอิจิ ที่พอจะนึกออกว่าน่าจะเป็นใคร ก็หันไปมองที่อามิรุ ดวงตาของอามิรุสั่นไหวและมือของเธอก็จับแก้มที่กลายเป็นสีแดงของเธอราวกับว่าเธอกำลังเขินอาย ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่เวลาที่ควรจะมัวอายแบบนี้

 

“สรุปคือ คนที่ได้คะแนนเท่านั้นคืออามิ… ยูซึกิ? เหรอครับ นั่นเลยเป็นเหตุผลที่อาจารย์ต้องดูแลเธอเรียนเป็นพิเศษกว่าคนอื่น ๆสินะครับ”

 

“ถูกต้อง ครูได้ยินข่าวลือมาว่าคุณกับยูซึกิ โตมาด้วยกันและก็อาศัยอยู่ใกล้ ๆ กัน คุณเป็นนักเรียนที่ดี ครูแน่ใจว่าคุณจะต้องสอนคนอื่นได้ดีแน่ ๆ ครูอยากให้ คุณควรที่จะช่วยเธอในการเรียนเสริมของเธอเพราะถ้าคุณไม่ทำ จะมีการตัดสินให้มีการซ้ำชั้นทันทีแน่ ๆ แต่ถ้าคุณยอมช่วย ครูจะเพิ่มคะแนนพิเศษให้คุณเอง”

 

โชอิจิพึมพำ “หือ?” อีกครั้งและมองไปที่ อามิรุ เขาไม่ได้พลาดที่จะมองสีหน้าของเธอเมื่อตอนที่คำว่า ‘ซ้ำชั้น’ ผุดขึ้นมา เธอในตอนนี้นั้น กำลังรู้สึกว่าชีวิตในวัยเรียนอยู่ในช่วงวิกฤตและหน้าของเธอก็ดูซีดมาก ๆ 

 

แม้จะรู้สึกตัวว่ากำลังวิกฤต แต่เธอยังคงสวมชุดนักเรียนอย่างไม่เรียบร้อย มือของเธอกำลังจับผมอย่างกระสับกระส่าย และท่าทางของเธอก็ดูไม่ค่อยจะสนใจสักเท่าไหร่

 

ฉันจะไม่สนหรอกว่าเธอจะยังมีมุมพูดน้อยเหมือนตอนที่ยังเด็กไหม… แต่ถ้าขอให้ฉันช่วยในการเรียนของเธอตอนนี้คิดว่าเธอคนนี้น่าจะเป็นคนที่พูดมากเกินไป

 

เธอมีความตั้งใจที่จะเรียนอย่างจริงจังหรือไม่? ถ้าไม่การสอนหนังให้เธอก็เป็นการเสียเวลาเปล่า การที่จะทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลที่สุด ซึ่งัมนไม่เหมาะกับนิสัยของโชอิจิ

 

เขาควรจะปฏิเสธมันไปดีไหมหลังจากได้ยินเหตุผลทั้งหมดแล้ว? ขณะที่เขากำลังคิดเรื่องนี้อยู่ จู่ๆ อามิรุก็เปิดปากของเธอขึ้น

 

“โปรด…นายช่วยสอนหนังสือให้ฉันหน่อยได้ไหม โชจัง”

 

“โชจัง!?”

 

“ใช่ โชจังก็คือโชจังไง เอ๊ะ หรือฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า”

 

โชอิจิเริ่มคร่ำครวญ “ไม่” ขณะที่เขากลอกตาไปมา มันเป็นเรื่องจริงที่อามิรุเรียกเขาแบบนี้ เพียงแต่มันเคยเป็นตอนที่อยู่ช่วงประถม แต่เนื่องจากทั้งสองคนห่างเหินกันไปนาน เขาไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะเรียกเขาแบบนั้นอีกโดยที่ไม่ลังเลเลย

 

ฮะ? ฉันกับอามิรุก็ไม่ได้สนิทกันแล้วไม่ใช่เหรอ? เอ๋?

 

เขาเริ่มรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยเพราะเมื่อไม่กี่นาทีก่อน เขาเคยคิดว่าชีวิตของเขาและเธอจะไม่มีวันบรรจบกันอีกครั้งด้วยซ้ำ ความรู้สึกแบบนี้ มันเกิดจากอะไรกันนะ?

 

อย่างไรก็ตาม อามิรุ นั้นไม่ได้สนใจความสับสนของโชอิจิเลยและเดินเข้าไปหาเขาโดยไม่ลังเล

 

“เน~ได้โปรด สอนหนังสือให้หน่อยนะคะ หันมามองฉันหน่อยสิ!”

 

เธอประสานมือและก้มตัวลง เมื่อเธอก้มศีรษะลง เขาก็แอบเห็นรอยนูนเล็กๆ ที่หน้าอกของเธอที่อยู่ใต้เสื้อเชิ้ตที่ลุ่มล่ามของและมีผ้าสีฉูดฉาดคลุมอยู่

 

โชอิจิรีบหันหน้าหนีอย่างเร่งรีบ ก่อนจะพึมพำ “อะไรกัน-ทำไมฉันต้องช่วยด้วยล่ะ ทำไมเธอไม่ไปเรียนที่โรงเรียนกวดวิชาหรือเรียนกับติวเตอร์ส่วนตัวล่ะ”

 

“เพราะบ้านของฉันไม่มีเงินมากอะไรนี่”

 

“อา…”

 

คำตอบนั้นทำให้โชอิจินึกถึงบางอย่างออก ครอบครัวของอามิรุกลายเป็นครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว ตั้งแต่พ่อของเธอเสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร และนอกจากนี้แม่ของเธอก็ยังป่วยด้วย

 

เขาเคยได้ยินจากเพื่อนบางคนว่าค่าใช้จ่ายในการไปเที่ยวหรือซื้อของแต่งตัวมันใช้เงินเยอะ เขาไม่รู้ว่าเธอทำมันได้อย่างไร

 

ถึงยังไง โรงเรียนกวดวิชาและติวเตอร์ส่วนตัวต่างก็มีราคาแพงอย่างน่าขัน มันคงจะดีถ้ามีคนอยู่ใกล้ๆ ที่สามารถสอนหนังสือให้เธอได้ ซึ่งจะช่วยเธอได้ดีที่สุด

 

“แต่ฉันคิดว่าฉันไม่เหมาะที่จะสอนหนังสือให้เธอ…”

 

“ได้โปรดเถอะนะโชจัง ผู้หญิงส่วนใหญ่รอบๆ ตัวฉันก็ไม่ฉลาดพอๆ กับฉันนั้นแหละ ดังนั้นโชจังจึงเป็นคนเดียวที่ฉันวางใจได้ที่สุดในตอนนี้”

 

“นั่นมัน…ก็น่าจะจริงนะ”

 

“อา นั่นมันแย่มาก นายหยาบคายกับเพื่อนของฉันเกินไปแล้วนะ”

 

“แต่เธอเป็นคนเริ่มมันเองไม่ใช่เหรอ!?”

 

“อ่าฮะ นั่นแหละ ได้โปรดนะ โชจัง ได้โปรดเถอะนะ นะ”

 

“เฮ้ อย่าเข้ามานะ มันใกล้เกินไป ใกล้เกินไป ใบหน้าของคุณอยู่ใกล้เกินไปแล้ว… เฮ้ย อย่าเอาหัวมาวางบนไหล่ของฉันสิ!”

 

ก่อนที่เขาจะได้รู้ตัว อามิรุก็ลดระยะห่างลงจนถึงจุดที่เขาสามารถสัมผัสหายใจได้ของเธอได้ เหมือนเดิม เธอพิงไหล่ของโชอิจิราวกับว่าเธออยากจะถูกเขาตามใจ

 

ความรู้สึกนี้นั้นมันทั้งอบอุ่นและนุ่มนวล กลิ่นหอมหวานที่ไม่รู้ว่ามากกลิ่นตัวหรือน้ำหอมบางชนิดที่ลอยอยู่ในอากาศเกือบจะขโมยความสามารถในการคิดของโชอิจิไปจนหมด

 

ผู้หญิงคนนี้เธอตัวหอมมาก… ตอนเด็กๆ ได้กลิ่นแบบไหนนะ? ขณะที่เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ โชอิจิก็ส่ายหัวด้วยความตื่นตระหนก

เขาไม่ควรหลงกล เขาจะต้องวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใจเย็นและเหมาะสม

 

หากไม่คำนึงถึงทัศนคติของเธอ  อามิรุดูเหมือนจะค่อนข้างจริงจัง ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้โกหกที่เธอต้องการจะเรียนพิเศษ ฉันแน่ใจว่าเธอไม่ต้องการที่จะซ้ำชั้นอีกปี และฉันก็รู้สึกแย่ที่จะทิ้งเธอ นอกจากนี้ยังอาจเป็นประโยชน์สำหรับฉันที่จะได้รับคะแนนพิเศษการเพิ่มเติม…

 

-สุดท้าย ก็มีเพียงทางเลือกเดียว โชอิจิถอนหายใจออกมา

 

“ช่วยไม่ได้นะ ฉันจะสอนหนังสือเธอเอง… แต่ถ้าฉันตัดสินใจว่าเธอไม่ได้มีความตั้งใจจริง ฉันจะทิ้งเธอทันทีเข้าใจไหม”

 

“ยัตตา! โชจัง ขอบคุณมาก ๆ เลยนะ!”

 

อามิรุรู้สึกตื่นเต้นมากจนเธอเผลอเกาะคอเขา ขณะที่เขากำลังจะล้มลง โชอิจิก็สงสัยในขณะที่กำลังตกใจ 

 

“ฉันไม่ได้คุยกับผู้หญิงคนนี้มาสามปีแล้วไม่ใช่เหรอ?” การกลับมาคุยอีกครั้งมันง่ายขนาดนี้เลยเหรอ

 

ไม่สิ อามิรุกลายเป็นผู้หญิงแบบนั้นไปแล้ว อามิรุกลายเป็นผู้หญิงประเภทที่สดใสสามารถคุยกับใครก็ได้และก็คงไม่ลังเลที่มีการสกินชิพเล็ก ๆ น้อย ๆ

 

อามิรุตอนประถมก็คงไม่มีท่าทางแบบนี้ ไม่ว่าเธอจะพึ่งพา โชอิจิมากแค่ไหน เธอก็คงได้แต่พูดคำว่า “ขอบคุณ” ด้วยท่าทางที่อาย ๆ

 

ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังแต่งตัวไม่เรียบร้อยและกอดเขาแบบสบายๆ โชอิจิรู้สึกเศร้าเล็กน้อยเมื่อตระหนักอีกครั้งว่าทุกคนย่อมต้องที่จะเปลี่ยนไป

 

ในขณะนั้น อาจารย์ที่เฝ้าดูเหตุการณ์อย่างเงียบๆ ก็โยนกุญแจให้พวกเขา

“คุณสามารถใช้ห้องเรียนที่นี่ หลังเลิกเรียนได้ ดังนั้นก็เรียนกันไปนะ แต่ขอให้อย่าลืมล็อคประตูตอนกลับด้วยล่ะ”

 

“ครับ-ครับ”

 

“อ้อ แล้วก็… อย่าทำอะไรลามก ๆเพียงเพราะไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ ล่ะเพราะถ้ามีปัญหาขึ้นมาครูได้โดนตำหนิแน่ ๆ”

 

“พวกเราไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ!?” โชอิจิอดไม่ได้ที่จะตะโกนใส่อาจารย์ ที่พูดจาไร้สาระเช่นนั้นออกมา นี่เป็นอาจารย์ประจำชั้นแบบไหนกันเนี่ย?

 

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนอาจารย์ประจำชั้นจะไม่สนใจอะไรต่อ ในขณะที่โบกมือและรีบออกจากห้องเรียนไป

 

โชอิจิซึ่งถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แอบมองดูอามิรุซึ่งถูกทิ้งไว้ด้วยเช่นกัน และเริ่มรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย 

 

“เอิ่ม” เขากระแอมในลำคอ

 

“อืม เรามาเริ่มเรียนกันเถอะ มันจะยากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นต้องเตรียมตัวกันให้ดีๆ”

 

“ฉันเข้าใจแล้ว! ฉันจะทำให้ดีที่สุด!” ขณะที่เธอประสานมือกับหน้าอกของเธอ อามิรุพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง

 

แต่สีหน้าของเธอดูเหมือนว่ามันจะบ่งบอกว่าเธอไม่เข้าใจอะไรเลย ซึ่งทำให้โชอิจิสงสัยว่า “นี่มันโอเคจริงๆ หรือ?”

สิ่งที่แก้ไข เว้นวรรคเพื่อให้อ่านง่ายขึ้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด