Gimai Seikatsu (ชีวิตใหม่กับน้องสาวป้ายแดง) 15: 11 มิถุนายน (วันพฤหัสฯ) [2]

Now you are reading Gimai Seikatsu (ชีวิตใหม่กับน้องสาวป้ายแดง) Chapter 15: 11 มิถุนายน (วันพฤหัสฯ) [2] at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ถึงเสียงกริ่งสุดท้ายจะดังขึ้นฝนก็ไม่หยุดตก วันนี้วันพุธเป็นวันที่ผมต้องทำพาร์ทไทม์

เพราะฉะนั้นจะต้องกลับบ้านรอบนึงและเดินทางไปยังร้านหนังสือหน้าสถานี ถ้าทำแบบนั้นตอนฝนตกมันก็น่าหงุดหงิดหลายเท่าล่ะนะ งั้นบางทีผมน่าจะเอาชุดเครื่องแบบมาที่โรงเรียนแล้วตรงไปยังร้านดีกว่า

ผมมองไปนอกหน้าต่างชี่นชมสายฝนที่โปรยปราย

แน่นอน ผมไม่ชอบฝนเดือนหกแบบนี้อยู่แล้วและกลิ่นในยามฝนตกทำให้ชักคิดถึงหน้าร้อน

ในวันที่ฝนตกผมก็ไม่อยากพกสัมภาระมากเกิน อีกอย่างผมจะไม่ทิ้งชุดเครื่องแบบไว้ที่ร้านเพราะมีนโยบายว่าจะต้องซักชุดเองตอนชุดเปื้อน

ผมเลยทิ้งไว้ที่บ้าน

พอเริ่มเห็นตู้เก็บรองเท้าอยู่เบื้องหน้า ระหว่างที่ผมเดินไปตรงนั้นก็ชำเลืองมองซ้ายมองขวาอย่างไม่ทันตั้งตัว

พอรู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปก็ส่ายหัว ไม่หรอกๆ ไม่มีทางที่เธอจะยืนอยู่ตรงนั้นอีกรอบนะ เพราะว่าวันนี้เธอมีร่มแล้ว

 

“อาจจะกลับบ้านก่อนแล้วมั้ง”

 

ผมหยิบร่มขนาดใหญ่และกางไว้ในมือจนบดบังทัศนวิสัยทุกอย่าง

วางพาดไหล่ไว้และก้าวออกไปข้างนอก

แน่นอน มันก็มีส่วนที่ฝนตกตั้งแต่เช้าแต่ผมก็อยากเปลี่ยนร่มเป็นอีกคันเพราะเผื่อมีคนเห็นและจำร่มผมที่เมื่อวานอายาเสะซังเป็นคนถือได้

จริงๆก็ไม่อยากกังวลขนาดนั้นนะ แต่ยังไงพวกเราเป็นพี่น้องกันแล้ว

ซึ่งอายาเสะซังเป็นน้องสาวต่างแม่ของผมได้ไม่ถึงอาทิตย์เลย

ถึงอย่างนั้นผมมีความรู้สึกเริ่มเข้าใจอายาเสะซังมากขึ้นเรื่อยๆ แต่คำพูดเมื่อเช้ายังติดอยู่ในหัวของผม

เสียงฝนตกฟ้าร้องทำให้ผมใจจดใจจ่อกับความคิดนั้นไม่ได้แล้ว

ผมกลับมาถึงอพาร์ตเมนต์ในเวลาอันสั้นและเข้าบ้าน

พอเข้ามาข้างใน เสียงฝนอันน่าสะเอียดสะเอียนก็หายเป็นปลิดทิ้ง

ผมปล่อยร่มทิ้งไว้ให้แห้งและถอนหายใจ แม้ว่าร่างกายผมจะเย็นลงช่วงขณะแต่ผมไม่มีเวลาอาบน้ำแล้วตอนนี้

ผมต้องรีบทำเวลาไปที่ร้าน

ดังนั้นจึงไปที่ห้องของผมและเดินผ่านหน้าห้องอายาเสะซัง

ไม่ได้หมายความว่าผมจะถ้ำมองนะ แต่เนื่องจากประตูง้างไว้นิดหน่อยจนสามารถเห็นข้างในได้

มีชุดชั้นในหลากสีกับเสื้อผ้าที่ตากไว้กระจัดกระจายอยู่บนเตียง

ผมว่าดูเข้าท่าดีนะเพราะฝนตกอยู่

ส่วนผมเป็นคนประเภทที่ชอบยัดทุกอย่างลงในเครื่องอบผ้าและปล่อยทิ้งไว้ แต่เข้าใจว่าก็มีคนตากเสื้ออย่างถูกวิธีเพราะเสื้อผ้าอาจจะยับได้

อย่างไรก็ตาม มันขึ้นอยู่กับเสื้อผ้านั้นๆ

ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพนี้ที่บ้านตัวเองจริงๆ

เดิ๋ยว เราไม่ควรจะจ้องมองมันนะ

การที่เสื้อผ้าตากแห้งอยู่นั่นแสดงว่าอายาเสะซังกลับมาบ้านแล้ว และผมคงตกนรกทั้งเป็นแน่ๆ ถ้าเธอเห็นผมแบบนี้เนี่ย

 

“อาซามูระคุง? กลับมาแล้วเหรอ”

“อึก!”

 

เสียงที่ได้ยินจากข้างหลังทำให้หลังผมสะดุ้งเฮือก

ผมจึงหันหลังกลับ

 

“เป็นอะไรรึเปล่า?”

“ม-ไม่ได้เป็นอะไร”

“งั้นเหรอ หวังว่านะ”

 

อายาเสะซังจ้องเขม็งผมอย่างสงสัย

 

“ผ-ผมต้องไปทำพาร์ทไทม์แล้ว ขอตัวก่อนนะ”

 

ผมส่ายมือเบาๆ และเดินเข้าห้องตัวเอง

รู้สึกว่าสายตาเฉียบคมของอายาเสะซังยังติดแผ่นหลังผมอยู่เลยแต่ไม่กล้าหันหลังกลับ รู้สึกว่าตัวเองเป็นโจรขโมยกางเกงในของแท้เลยแฮะ

ถึงผมเผลอเห็นแค่หางตาแต่อายาเสะซังเป็นคนพูดเองว่าชุดชั้นในหลังซักแล้วก็เหมือนผ้าเช็ดหน้า งั้นผมไม่ต้องรู้สึกผิดใช่ไหม

ผมรีบยัดชุดเครื่องแบบใส่กระเป๋าและเดินออกจากบ้าน ในระหว่างที่เดินทางไปร้านพาร์ทไทม์ เสียงของสายฝนมิอาจบดบังเสียงหัวใจผมเต้นแรงได้เลย

 

 

 

ผมวางแผนที่จะสนใจแต่เรื่องงาน

อยากลืมเลือนความทรงจำทุกอย่างให้กับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้โดยเฉพาะผ้าสีน้ำเงินนั่น

ผมใส่ชุดเครื่องแบบพร้อมติดป้ายชื่อและเริ่มทำงาน

วันนี้ผมต้องหมกมุ่นอยู่กับการคัดสต็อกสินค้า ทางเราได้รับหนังสือนิยายเรื่องใหม่ที่จะปล่อยในวันมะรืนและนิยายพวกนั้นจะถูกวางขายบนชั้นวางสลับกับนิยายที่ขายไม่ออก

พรุ่งนี้วันศุกร์ ทางเราจะได้รับหนังสือจำนวนมากจึงต้องเตรียมการทุกอย่างสำหรับการจัดส่งใหม่เช่นกัน

ตามหลักแล้วผมต้องเหลือที่ว่างบนชั้นวางมากกว่าเดิม

ถึงแม้ว่าจะได้รับการคาดคะเนจากสำนักพิมพ์มาคร่าวๆว่าหนังสือขายออกมากแค่ไหนแต่ไม่มีทางรู้พฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ

ด้วยเหตุนั้นจึงแทบไม่เคยขายหนังสือหมดตอนล็อตใหม่เข้ามา จนมีหนังสือค้างสต็อกอยู่เสมอ

อ้อ เหมือนอันนี้เลย….

ตอนที่กำลังเช็คไลท์โนเวลอยู่ ผมก็หยิบมาเล่มหนึ่ง

ผมสนใจมาตั้งแต่มันเข้าสต็อกสินค้าแล้ว ไม่คิดเลยว่าแนวรอมคอมฮาเร็มทั่วไปจะมีสาวๆตั้ง 48 คนเรียงเต็มหน้าปกเนี่ย ผมว่ามันดูพื้นๆเกินไปนะครับ อาจารย์

แม้ว่าสำนักพิมพ์กับอาจารย์ผู้เขียนจะคิดว่าเรื่องนี้จะปังมากก็ตาม แต่โอกาสที่จะขายออกแทบไม่มีเลย

ลูกค้าหลายคนมักจะอนุรักษ์นิยมมากอยู่แล้วล่ะนะ

ผมวางไลท์โนเวลเล่มนั้นลงอีกกองและทำการคัดแยกต่อไป

 

“กั๊กของให้ตัวเองอีกแล้วนะ”

 

พอผมหันกลับไปรุ่นพี่โยมิอุริก็ยืนอยู่ตรงนั้น

 

“เดิ๋ยวลูกค้าซื้อเองแหละ ตราบใดที่เรายังทำกำไรได้ก็ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ….แต่สงสัยว่าทำไมเขาขยันเอาของพวกนี้มาขายจัง”

 

ในฐานะร้านหนังสือในเครือจะต้องติดตามยอดขายที่ผ่านมา แต่ผมไม่คิดว่าหนังสือเฉพาะกลุ่มพวกนี้ลูกค้าจะซื้อเก็บกัน

 

“ผมคิดว่าอาจมีคนรอซื้อเล่มใหม่ทุกๆเดือนก็ได้ครับ”

“ก็หวังว่าจะมีลูกค้าแบบนั้นนะ”

 

รุ่นพี่โยมิอุริมองผมอย่างอมยิ้ม

เอ๋ รุ่นพี่พูดถึงผมใช่ไหมเนี่ย?

 

“หึหึ แล้วที่สำคัญเลยนะรุ่นน้องคุง วันนี้ดูทำงานเป็นพิเศษเลยนะ”

“รุ่นพี่อย่าทำเสียงเหมือนผมอู้งานได้เปล่าครับ ผมก็ทำงานตามปกติไง”

“ใช่เหรอ?”

“ผมทำตัวแปลกรึไงครับ”

“คือฉันบังเอิญเห็นเด็กหนุ่มที่ทุ่มเทกับงานไงจ้ะ ก็เลยสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า”

“ฟังดูเหมือนคนอื่นคนไกลเลยนะครับ”

“ก็ดูใช่นะ ฉันอยากเป็นเหมือนคนแปลกหน้าที่สามารถลืมปัญหาทุกอย่างบนโลกนี้ได้จัง เฮ้อ”

 

เมื่อรุ่นพี่ถอนหายใจแบบนั้น ผมก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยหลายๆเรื่อง

 

“แล้วรุ่นพี่ล่ะครับ มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ”

“สนใจเหรอจ้ะ?”

“ถ้ามีอะไรที่ทำให้ผมสนใจได้ อาจจะใช่ครับ”

“ตอบได้ดีน้า~ นั่นคือสิ่งที่ฉันชอบเกี่ยวกับนายเลยจ้า~”

“รุ่นพี่ช่วยหยุดพูดชวนเข้าใจผิดทีเถอะ”

 

มันดูไม่ยุติธรรมเอาซะเลยที่รุ่นพี่จะยิ้มให้ผมขณะพูดแบบนั้นน่ะ

 

“ตอนนี้ไม่เป็นไรหรอกแค่นายห่วงใยเป็นก็รอดแล้วจ้า~”

“อย่างนั้นเหรอครับ?”

“อย่างนั้นแหละ นั่นก็เลยว่า”

“ว่า?”

“ห่วงใยน้องสาวสุดที่รักไง”

“อึก!?”

“ถ้านายทำเธอคนนั้นโกรธล่ะก็ลองซื้อขนมตอนขากลับไหมล่ะ”

“ผ-ผมไม่ได้ทำอะไรให้เธอโกรธเลยนะครับ”

 

ไม่มากก็น้อยอ่ะ

 

“งั้นจะทำอะไรล่ะ?”

“ไม่ทำอะไรไงครับ”

“ทำอะไรกันงั้นเหรอ? สุดโต่งจังนะ”

“หยุดเถอะครับ เราเล่นมุกทะลึ่งแบบนี้มามากพอแล้ว อย่าให้เสียหน้าไปกว่านี้เลย….”

“ฮ่าๆๆ นายละเลยความรู้สึกของเธอไม่ได้ไงจ้ะ ถ้าไม่ห่วงใยตอนนี้เดิ๋ยวมันจะระเบิดภายหลังเอานะ”

 

เอ่อ…ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ

ระหว่างที่พูดไม่ออก ผมจึงรีบเดินหนีและสนใจแต่งานอีกรอบโดยเห็นรอยยิ้มของรุ่นพี่โยมิอุริ

 

“รุ่นพี่นี่จริงๆน้า….”

 

ขณะพึมพำผมจึงหันไปทางชั้นวางอีกครั้ง

แม้แต่งานง่ายๆ อย่างที่ผมทำตอนนี้ก็ต้องรับมือกับคำถามลูกค้าอย่างเหมาะสม ตราบใดที่เราใส่ชุดเครื่องแบบในร้าน ลูกค้าก็จะขอความช่วยเหลืออยู่ตลอด

ส่วนใหญ่จะถามว่าหนังสืออยู่ที่ไหนซึ่งฟังดูง่ายๆ

แต่ลูกค้ามักจะถามโดยไม่ได้ตามหาเองก่อน กล่าวอีกนัยนึง คือลูกค้าไม่รู้ชื่อสำนักพิมพ์ ไม่รู้ชื่อผู้แต่ง และชื่อเรื่องมันกำกวม

ถึงแม้จะบอกประมาณว่า — เป็นซีรีย์ที่มีการฆาตกรรมมากมาย

ผมก็ไม่สามารถบอกได้ด้วยข้อมูลเล็กน้อยเพียงนั้น ถึงผมจะเต็มใจช่วยเหลือแล้วก็ตาม ก็ไม่สามารถหาอันที่ถูกให้จริงๆ 

แล้วชื่อเรื่องมันกำกวมซะขนาดนั้นผมก็พบว่ามันกว้างเกินที่จะหาเจอ….พอจะบอกใบ้อีกหน่อยได้ไหมครับ?

แมวไขปริศนาคดี

แมวเนี่ยนะ?

ผมเดินไปขอความช่วยเหลือจากรุ่นพี่โยมิอุริแล้วรุ่นพี่รีบนำทางลูกค้าไปยังหนังสือที่ถูกต้อง

 

“เรื่องนี้ค่อนข้างดังนะ แปลกแฮะที่นายไม่รู้จักเรื่องนี้”

“ใช่เหรอครับ”

 

ก็แนวลึกลับมันไม่ใช่แนวผมอ่ะ

 

“ถ้าบอกว่าเป็นหมาแทนนะ ฉันก็หมดหนทางแล้วจ้ะ”

“มีแบบนั้นด้วยเหรอครับ?”

“มีอยู่แล้วสิจ้ะ”

 

ถ้ามีจริงนะ ผมขอคารวะอาจารย์เลย

นอกจากนั้นงานดูแลสั่งพรีออเดอร์เล่มใหม่ เติมนิตยสารที่ขาดหายไป หรือช่วยเด็กหลงอยู่ในร้าน มีหลายอย่างที่ต้องทำในฐานะพนักงานคนหนึ่ง

ทำงานอยู่อย่างนั้นจนหมดกะของผมพอดี ผมเปลี่ยนชุดแล้วร่ำลารุ่นพี่

เดินออกหลังร้าน ในที่สุดฝนก็หยุดตก ท้องฟ้าแจ่มใส มองเห็นพระจันทร์ระหว่างสิ่งปลูกสร้าง

ลักษณะของพระจันทร์จะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ในฤดูร้อนเมื่อดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากโลกพระจันทร์จะอยู่ใกล้ แต่ในทางกลับกัน ในฤดูหนาวก่อนครีษมายัน พระจันทร์จะไม่ได้อยู่ห่างขนาดนั้นจึงดูเหมือนถูกบีบอัดระหว่างสิ่งปลูกสร้าง

อากาศอบอ้าวอยู่บ้างแต่ลมเย็นชิวสบายๆ

ขณะที่ผมเดินไปตามท้องถนน โทรศัพท์ในกระเป๋าหลังกางเกงก็สั่น

พอหยิบขึ้นมาก็พบว่าได้รับข้อความใหม่จาก Line 

ไม่ต้องสไลด์หน้าจอก็รู้ว่าเป็นข้อความจากอายาเสะซัง เป็นข้อความแรกที่ส่งมาหาผม

 

【นายเห็นแล้วใช่ไหม】

 

หัวใจของผมหยุดเต้นชั่วครู่หนึ่ง เป็นประโยคเดียวที่แย่ที่สุดที่ผมได้รับมาและรู้เลยว่ากำลังพูดถึงอะไร

ผมปลดหน้าจอเข้าแอปและอ่านข้อความ

สรุปว่ามันเป็นอย่างนี้

เธอสงสัยว่าผมทำอะไรอยู่หน้าห้องจนสุดท้ายคิดว่าผมอาจจะแอบมองชุดชั้นในในห้องของเธอ ซึ่งเธอคิดว่าชุดชั้นในหลังซักแล้วเป็นผ้าเช็ดหน้า แต่ด้วยเหตุที่ว่าผมตกเป็นเป้าในความอับอาบครั้งนี้ อายาเสะซังจึงอยากยืนยันว่าผมเห็นรึเปล่า….ประมาณนั้น

ผมจึงรีบกลับบ้านพร้อมส่งข้อความสั้นๆ ก่อนจะโดนไต่สวน

พอถึงทางเข้าบ้านและเห็นแต่รองเท้าของอายาเสะซัง ผมก็รู้สึกโล่งใจนิดๆ โชคดีที่พ่อแม่ของเรายังไม่กลับบ้าน

พอผมเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นอายาเสะซังยืนอยู่

 

“กลับมาแล้วคร้าบ อายาเสะซัง”

“ยินดีต้อนรับกลับนะ อาซามูระคุง”

 

ถึงพวกเราจะพูดเรื่องเดียวกันแต่น้ำเสียงดูเย็นชาเหลือเกิน

 

“อย่าตัวแข็งทื่อหน้าทางเข้าสิ”

“อ่า ครับ….”

 

ผมแก้ตัวไปแล้วนะแต่เกรงว่าเธอจะเชื่อรึเปล่า….

 

“กลับไปที่ห้องก่อนเถอะ”

“เอ๊ะ? ห้องไหนล่ะ?”

“นายยังสนใจห้องฉันอยู่รึไง?”

“เดิ๋ยวผมไปรอที่ห้องผมก็ได้ครับ”

 

เวลาแบบนี้แน่อยู่แล้วว่าการไม่ตอบโต้เป็นการดีที่สุด

ผมเดินไปที่ห้องของผม คุกเข่าลงกับพื้นรออายาเสะซัง

 

“ไหงนั่งคุกเข่าแบบนั้นล่ะ?”

“ก็ผมรู้สึกว่าต้องทำไง”

 

ผมบอกไม่ได้ว่าผมเตรียมใจคุกเข่าแล้วซึ่งไม่รู้ว่าเธอจะยกโทษให้รึเปล่า

 

“เอ้านี่”

 

ผมเงยหน้าขึ้นมาเห็นแต่แก้วร้อนๆตรงหน้าผมเท่านั้น

 

“เอ๊ะ?”

“โกโก้ร้อนไง ถ้าไม่เอาฉันขอนะ”

“อ-เอาครับ เอา….ก็ได้”

 

ผมกล่าวแล้วรับแก้วมา

ถึงผมจะอยากกาแฟ แต่ก็ชื่นใจแล้วที่ได้ทานของอุ่นๆตอนนี้—

เดิ๋ยวนะ นี่ใช่ที่ผมคิดรึเปล่า?

ผมมองหน้าอายาเสะซังและตามที่คาดไว้ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความโกรธเคือง

 

“แล้ว…เรื่องข้อความที่ส่งมาน่ะ”

“เอ่อ ครับ”

“ประตูเปิดอยู่กึ่งนึงจนสายตามันตราตรึงข้างในใช่ไหม แล้วพอฉันเรียกก็ทำเป็นหนีงั้นเรอะ”

“ตามนั้นครับ”

“นายคิดเหรอว่านั่นเป็นจังหวะที่จะขโมยได้น่ะ?”

“เอ่อ…ก็คงงั้น”

“แม้แต่ของน้องสาวเนี่ยนะ?”

“นั่นก็ใช่ แต่….”

 

ผมพูดติดอ่างและไม่สามารถเถียงกลับได้ ถ้าเป็นน้องสาวหรือแม่แท้ๆ ผมก็คงอายและกังวลมากเช่นกัน

ช่วยไม่ได้นี่นะ ก็ห้าวันมาแล้วที่อายาเสะซังกับผมกลายเป็นพี่น้องกัน ทันทีที่ผมนึกข้อแก้ตัวในหัวออก สีหน้าของเธอก็ผ่อนปรนเล็กน้อย

 

“ขอโทษนะ ตอนนี้ไม่ค่อยยุติธรรมเอาซะเลย”

“เอ๊ะ”

“ตามกฎหมายแล้วพวกเราเป็นพี่น้องกัน แต่ไม่ได้ความหมายว่าจู่ๆนายจะทำตัวเป็นพี่ชายแท้ๆ ตามกฎหมายทันทีนะ”

“….อื้ม ผมเข้าใจสิ่งที่เธอจะสื่อนะ”

 

เราสองคนอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันและอย่างน้อยๆก็ทำตัวเหมือนพี่น้องในฐานะครอบครัว

เราคาดหวังและเชื่อใจที่จะเป็นพี่น้องกัน เลยเป็นเหตุผลที่ผมไม่อยากหักหลังและก่อเรื่องให้ตาแก่กับอากิโกะซัง

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะสามารถทำตัวเหมือนพี่น้องที่อยู่ร่วมกันมาถึงสิบหกปี ความคิดของมนุษย์นั้นไม่ใช่โค้ดที่จะเขียนใหม่หรือแก้ไขได้

เป็นเรื่องจริงที่เราเป็นคนแปลกหน้าเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว และตอนนี้อายาเสะซังกำลังบอกว่าผมต้องเข้าใจให้ได้เพราะเธออยากให้แฟร์ๆ กันทุกวิถีทาง

 

“แต่ตอนนี้เราเสมอกันแล้ว ลืมๆไปเถอะ?”

“เสมอ?”

“ฉันว่าที่นายหลงใหลชุดชั้นในฉันเป็นเพราะปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ไงล่ะ ตอนเช้าเองนายก็พูดให้ฟังอยู่หลายรอบ นั่นก็เท่ากับเสมอไง ฉันคิดว่าอาซามูระคุงเป็นคนที่สามารถเรียนรู้ปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ได้เหมือนกัน เหมือนที่นายเชื่อมั่นว่าฉันทำได้น่ะ”

“ดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะ”

“ยังไงก็เถอะ”

 

หืม?

 

“นายเคยพูดว่าชุดชั้นในของฉันมีเสน่ห์มากพอที่จะตราตรึงใช่ไหม”

“ผมเปล่านะ”

“งั้นไม่มีเสน่ห์…เลยงั้นเหรอ”

“….นี่กำลังแกล้งผมรึเปล่าเนี่ย?”

“ฉันก็ไม่รู้แต่ถ้าปล่อยผ่านไว้แบบนี้มันจะรู้สึกร้อนใจถูกไหม?”

“คงงั้นมั้ง”

“แล้วนายมีอารมณ์อยากเอาชุดชั้นในฉันไปใช่ไหม?”

“เอ่อ เอาตรงๆ คือถ้าผมบอกว่าผมไม่มีอารมณ์ทางเพศมันคงเป็นเรื่องโกหกใช่เปล่า…แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมจะทำเลยนะ?”

“หืม แสดงว่านายอยากจริงๆสินะ”

“ผมคงมีปัญหาถ้าผมไม่ทำ แต่การได้มันมากับความอยากที่อยากจะทำมันต่างกันนะ”

 

ผมกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังเท่าที่จะทำได้

 

“หึ จริงสินะ ขอโทษนะที่แกล้งนาย ปล่อยให้มันจบลงตรงนี้ละกัน”

“ขอบคุณมากนะ”

 

ผมรู้สึกขอบคุณอย่างซาบซึ้งและประทับใจกับคำตอบของอายาเสะซัง

เธอไม่สามารถแสร้งทำเป็นว่าความรู้สึกที่เธอมีนั้นไม่มีอยู่จริงแม้จะเป็นการเข้าใจผิดก็ตาม

ความโกรธเคืองของเธอที่เห็นผมมองชุดชั้นในของเธอยังไม่หายไป

แทนที่จะถาโถมความรู้สึกลงมาที่ผม อายาเสะซังกลับสงบสติอารมณ์โดยบอกว่าโกรธอยู่

ควบคุมอารมณ์โกรธได้ขนาดนี้ สุดยอดเลย

หรือกำลังปรับตัวงั้นเหรอ….

 

“แต่ฉันดีใจนะ”

“หืม?”

“ฉันไม่อยากให้นายคิดว่าดีไซน์ของชุดชั้นในนั่นมันแปลกๆน่ะ ฉันเกือบโยนมันทิ้งไปแล้ว”

“….แต่ผมเริ่มเข้าใจนิสัยของอายาเสะซังมากขึ้นแล้วนะ”

“จริงเหรอ?”

“อื้ม นิดหน่อยน่ะ”

 

พอได้ยินแบบนั้นอายาเสะซังก็ยิ้มอ่อน

――――――――――――――――――――――――――――――

สามารถติดตามการอัพเดตได้ทางเพจ : Launchmind

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Gimai Seikatsu (ชีวิตใหม่กับน้องสาวป้ายแดง) 15: 11 มิถุนายน (วันพฤหัสฯ) [2]

Now you are reading Gimai Seikatsu (ชีวิตใหม่กับน้องสาวป้ายแดง) Chapter 15: 11 มิถุนายน (วันพฤหัสฯ) [2] at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ถึงเสียงกริ่งสุดท้ายจะดังขึ้นฝนก็ไม่หยุดตก วันนี้วันพุธเป็นวันที่ผมต้องทำพาร์ทไทม์

เพราะฉะนั้นจะต้องกลับบ้านรอบนึงและเดินทางไปยังร้านหนังสือหน้าสถานี ถ้าทำแบบนั้นตอนฝนตกมันก็น่าหงุดหงิดหลายเท่าล่ะนะ งั้นบางทีผมน่าจะเอาชุดเครื่องแบบมาที่โรงเรียนแล้วตรงไปยังร้านดีกว่า

ผมมองไปนอกหน้าต่างชี่นชมสายฝนที่โปรยปราย

แน่นอน ผมไม่ชอบฝนเดือนหกแบบนี้อยู่แล้วและกลิ่นในยามฝนตกทำให้ชักคิดถึงหน้าร้อน

ในวันที่ฝนตกผมก็ไม่อยากพกสัมภาระมากเกิน อีกอย่างผมจะไม่ทิ้งชุดเครื่องแบบไว้ที่ร้านเพราะมีนโยบายว่าจะต้องซักชุดเองตอนชุดเปื้อน

ผมเลยทิ้งไว้ที่บ้าน

พอเริ่มเห็นตู้เก็บรองเท้าอยู่เบื้องหน้า ระหว่างที่ผมเดินไปตรงนั้นก็ชำเลืองมองซ้ายมองขวาอย่างไม่ทันตั้งตัว

พอรู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปก็ส่ายหัว ไม่หรอกๆ ไม่มีทางที่เธอจะยืนอยู่ตรงนั้นอีกรอบนะ เพราะว่าวันนี้เธอมีร่มแล้ว

 

“อาจจะกลับบ้านก่อนแล้วมั้ง”

 

ผมหยิบร่มขนาดใหญ่และกางไว้ในมือจนบดบังทัศนวิสัยทุกอย่าง

วางพาดไหล่ไว้และก้าวออกไปข้างนอก

แน่นอน มันก็มีส่วนที่ฝนตกตั้งแต่เช้าแต่ผมก็อยากเปลี่ยนร่มเป็นอีกคันเพราะเผื่อมีคนเห็นและจำร่มผมที่เมื่อวานอายาเสะซังเป็นคนถือได้

จริงๆก็ไม่อยากกังวลขนาดนั้นนะ แต่ยังไงพวกเราเป็นพี่น้องกันแล้ว

ซึ่งอายาเสะซังเป็นน้องสาวต่างแม่ของผมได้ไม่ถึงอาทิตย์เลย

ถึงอย่างนั้นผมมีความรู้สึกเริ่มเข้าใจอายาเสะซังมากขึ้นเรื่อยๆ แต่คำพูดเมื่อเช้ายังติดอยู่ในหัวของผม

เสียงฝนตกฟ้าร้องทำให้ผมใจจดใจจ่อกับความคิดนั้นไม่ได้แล้ว

ผมกลับมาถึงอพาร์ตเมนต์ในเวลาอันสั้นและเข้าบ้าน

พอเข้ามาข้างใน เสียงฝนอันน่าสะเอียดสะเอียนก็หายเป็นปลิดทิ้ง

ผมปล่อยร่มทิ้งไว้ให้แห้งและถอนหายใจ แม้ว่าร่างกายผมจะเย็นลงช่วงขณะแต่ผมไม่มีเวลาอาบน้ำแล้วตอนนี้

ผมต้องรีบทำเวลาไปที่ร้าน

ดังนั้นจึงไปที่ห้องของผมและเดินผ่านหน้าห้องอายาเสะซัง

ไม่ได้หมายความว่าผมจะถ้ำมองนะ แต่เนื่องจากประตูง้างไว้นิดหน่อยจนสามารถเห็นข้างในได้

มีชุดชั้นในหลากสีกับเสื้อผ้าที่ตากไว้กระจัดกระจายอยู่บนเตียง

ผมว่าดูเข้าท่าดีนะเพราะฝนตกอยู่

ส่วนผมเป็นคนประเภทที่ชอบยัดทุกอย่างลงในเครื่องอบผ้าและปล่อยทิ้งไว้ แต่เข้าใจว่าก็มีคนตากเสื้ออย่างถูกวิธีเพราะเสื้อผ้าอาจจะยับได้

อย่างไรก็ตาม มันขึ้นอยู่กับเสื้อผ้านั้นๆ

ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพนี้ที่บ้านตัวเองจริงๆ

เดิ๋ยว เราไม่ควรจะจ้องมองมันนะ

การที่เสื้อผ้าตากแห้งอยู่นั่นแสดงว่าอายาเสะซังกลับมาบ้านแล้ว และผมคงตกนรกทั้งเป็นแน่ๆ ถ้าเธอเห็นผมแบบนี้เนี่ย

 

“อาซามูระคุง? กลับมาแล้วเหรอ”

“อึก!”

 

เสียงที่ได้ยินจากข้างหลังทำให้หลังผมสะดุ้งเฮือก

ผมจึงหันหลังกลับ

 

“เป็นอะไรรึเปล่า?”

“ม-ไม่ได้เป็นอะไร”

“งั้นเหรอ หวังว่านะ”

 

อายาเสะซังจ้องเขม็งผมอย่างสงสัย

 

“ผ-ผมต้องไปทำพาร์ทไทม์แล้ว ขอตัวก่อนนะ”

 

ผมส่ายมือเบาๆ และเดินเข้าห้องตัวเอง

รู้สึกว่าสายตาเฉียบคมของอายาเสะซังยังติดแผ่นหลังผมอยู่เลยแต่ไม่กล้าหันหลังกลับ รู้สึกว่าตัวเองเป็นโจรขโมยกางเกงในของแท้เลยแฮะ

ถึงผมเผลอเห็นแค่หางตาแต่อายาเสะซังเป็นคนพูดเองว่าชุดชั้นในหลังซักแล้วก็เหมือนผ้าเช็ดหน้า งั้นผมไม่ต้องรู้สึกผิดใช่ไหม

ผมรีบยัดชุดเครื่องแบบใส่กระเป๋าและเดินออกจากบ้าน ในระหว่างที่เดินทางไปร้านพาร์ทไทม์ เสียงของสายฝนมิอาจบดบังเสียงหัวใจผมเต้นแรงได้เลย

 

 

 

ผมวางแผนที่จะสนใจแต่เรื่องงาน

อยากลืมเลือนความทรงจำทุกอย่างให้กับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้โดยเฉพาะผ้าสีน้ำเงินนั่น

ผมใส่ชุดเครื่องแบบพร้อมติดป้ายชื่อและเริ่มทำงาน

วันนี้ผมต้องหมกมุ่นอยู่กับการคัดสต็อกสินค้า ทางเราได้รับหนังสือนิยายเรื่องใหม่ที่จะปล่อยในวันมะรืนและนิยายพวกนั้นจะถูกวางขายบนชั้นวางสลับกับนิยายที่ขายไม่ออก

พรุ่งนี้วันศุกร์ ทางเราจะได้รับหนังสือจำนวนมากจึงต้องเตรียมการทุกอย่างสำหรับการจัดส่งใหม่เช่นกัน

ตามหลักแล้วผมต้องเหลือที่ว่างบนชั้นวางมากกว่าเดิม

ถึงแม้ว่าจะได้รับการคาดคะเนจากสำนักพิมพ์มาคร่าวๆว่าหนังสือขายออกมากแค่ไหนแต่ไม่มีทางรู้พฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ

ด้วยเหตุนั้นจึงแทบไม่เคยขายหนังสือหมดตอนล็อตใหม่เข้ามา จนมีหนังสือค้างสต็อกอยู่เสมอ

อ้อ เหมือนอันนี้เลย….

ตอนที่กำลังเช็คไลท์โนเวลอยู่ ผมก็หยิบมาเล่มหนึ่ง

ผมสนใจมาตั้งแต่มันเข้าสต็อกสินค้าแล้ว ไม่คิดเลยว่าแนวรอมคอมฮาเร็มทั่วไปจะมีสาวๆตั้ง 48 คนเรียงเต็มหน้าปกเนี่ย ผมว่ามันดูพื้นๆเกินไปนะครับ อาจารย์

แม้ว่าสำนักพิมพ์กับอาจารย์ผู้เขียนจะคิดว่าเรื่องนี้จะปังมากก็ตาม แต่โอกาสที่จะขายออกแทบไม่มีเลย

ลูกค้าหลายคนมักจะอนุรักษ์นิยมมากอยู่แล้วล่ะนะ

ผมวางไลท์โนเวลเล่มนั้นลงอีกกองและทำการคัดแยกต่อไป

 

“กั๊กของให้ตัวเองอีกแล้วนะ”

 

พอผมหันกลับไปรุ่นพี่โยมิอุริก็ยืนอยู่ตรงนั้น

 

“เดิ๋ยวลูกค้าซื้อเองแหละ ตราบใดที่เรายังทำกำไรได้ก็ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ….แต่สงสัยว่าทำไมเขาขยันเอาของพวกนี้มาขายจัง”

 

ในฐานะร้านหนังสือในเครือจะต้องติดตามยอดขายที่ผ่านมา แต่ผมไม่คิดว่าหนังสือเฉพาะกลุ่มพวกนี้ลูกค้าจะซื้อเก็บกัน

 

“ผมคิดว่าอาจมีคนรอซื้อเล่มใหม่ทุกๆเดือนก็ได้ครับ”

“ก็หวังว่าจะมีลูกค้าแบบนั้นนะ”

 

รุ่นพี่โยมิอุริมองผมอย่างอมยิ้ม

เอ๋ รุ่นพี่พูดถึงผมใช่ไหมเนี่ย?

 

“หึหึ แล้วที่สำคัญเลยนะรุ่นน้องคุง วันนี้ดูทำงานเป็นพิเศษเลยนะ”

“รุ่นพี่อย่าทำเสียงเหมือนผมอู้งานได้เปล่าครับ ผมก็ทำงานตามปกติไง”

“ใช่เหรอ?”

“ผมทำตัวแปลกรึไงครับ”

“คือฉันบังเอิญเห็นเด็กหนุ่มที่ทุ่มเทกับงานไงจ้ะ ก็เลยสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า”

“ฟังดูเหมือนคนอื่นคนไกลเลยนะครับ”

“ก็ดูใช่นะ ฉันอยากเป็นเหมือนคนแปลกหน้าที่สามารถลืมปัญหาทุกอย่างบนโลกนี้ได้จัง เฮ้อ”

 

เมื่อรุ่นพี่ถอนหายใจแบบนั้น ผมก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยหลายๆเรื่อง

 

“แล้วรุ่นพี่ล่ะครับ มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ”

“สนใจเหรอจ้ะ?”

“ถ้ามีอะไรที่ทำให้ผมสนใจได้ อาจจะใช่ครับ”

“ตอบได้ดีน้า~ นั่นคือสิ่งที่ฉันชอบเกี่ยวกับนายเลยจ้า~”

“รุ่นพี่ช่วยหยุดพูดชวนเข้าใจผิดทีเถอะ”

 

มันดูไม่ยุติธรรมเอาซะเลยที่รุ่นพี่จะยิ้มให้ผมขณะพูดแบบนั้นน่ะ

 

“ตอนนี้ไม่เป็นไรหรอกแค่นายห่วงใยเป็นก็รอดแล้วจ้า~”

“อย่างนั้นเหรอครับ?”

“อย่างนั้นแหละ นั่นก็เลยว่า”

“ว่า?”

“ห่วงใยน้องสาวสุดที่รักไง”

“อึก!?”

“ถ้านายทำเธอคนนั้นโกรธล่ะก็ลองซื้อขนมตอนขากลับไหมล่ะ”

“ผ-ผมไม่ได้ทำอะไรให้เธอโกรธเลยนะครับ”

 

ไม่มากก็น้อยอ่ะ

 

“งั้นจะทำอะไรล่ะ?”

“ไม่ทำอะไรไงครับ”

“ทำอะไรกันงั้นเหรอ? สุดโต่งจังนะ”

“หยุดเถอะครับ เราเล่นมุกทะลึ่งแบบนี้มามากพอแล้ว อย่าให้เสียหน้าไปกว่านี้เลย….”

“ฮ่าๆๆ นายละเลยความรู้สึกของเธอไม่ได้ไงจ้ะ ถ้าไม่ห่วงใยตอนนี้เดิ๋ยวมันจะระเบิดภายหลังเอานะ”

 

เอ่อ…ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ

ระหว่างที่พูดไม่ออก ผมจึงรีบเดินหนีและสนใจแต่งานอีกรอบโดยเห็นรอยยิ้มของรุ่นพี่โยมิอุริ

 

“รุ่นพี่นี่จริงๆน้า….”

 

ขณะพึมพำผมจึงหันไปทางชั้นวางอีกครั้ง

แม้แต่งานง่ายๆ อย่างที่ผมทำตอนนี้ก็ต้องรับมือกับคำถามลูกค้าอย่างเหมาะสม ตราบใดที่เราใส่ชุดเครื่องแบบในร้าน ลูกค้าก็จะขอความช่วยเหลืออยู่ตลอด

ส่วนใหญ่จะถามว่าหนังสืออยู่ที่ไหนซึ่งฟังดูง่ายๆ

แต่ลูกค้ามักจะถามโดยไม่ได้ตามหาเองก่อน กล่าวอีกนัยนึง คือลูกค้าไม่รู้ชื่อสำนักพิมพ์ ไม่รู้ชื่อผู้แต่ง และชื่อเรื่องมันกำกวม

ถึงแม้จะบอกประมาณว่า — เป็นซีรีย์ที่มีการฆาตกรรมมากมาย

ผมก็ไม่สามารถบอกได้ด้วยข้อมูลเล็กน้อยเพียงนั้น ถึงผมจะเต็มใจช่วยเหลือแล้วก็ตาม ก็ไม่สามารถหาอันที่ถูกให้จริงๆ 

แล้วชื่อเรื่องมันกำกวมซะขนาดนั้นผมก็พบว่ามันกว้างเกินที่จะหาเจอ….พอจะบอกใบ้อีกหน่อยได้ไหมครับ?

แมวไขปริศนาคดี

แมวเนี่ยนะ?

ผมเดินไปขอความช่วยเหลือจากรุ่นพี่โยมิอุริแล้วรุ่นพี่รีบนำทางลูกค้าไปยังหนังสือที่ถูกต้อง

 

“เรื่องนี้ค่อนข้างดังนะ แปลกแฮะที่นายไม่รู้จักเรื่องนี้”

“ใช่เหรอครับ”

 

ก็แนวลึกลับมันไม่ใช่แนวผมอ่ะ

 

“ถ้าบอกว่าเป็นหมาแทนนะ ฉันก็หมดหนทางแล้วจ้ะ”

“มีแบบนั้นด้วยเหรอครับ?”

“มีอยู่แล้วสิจ้ะ”

 

ถ้ามีจริงนะ ผมขอคารวะอาจารย์เลย

นอกจากนั้นงานดูแลสั่งพรีออเดอร์เล่มใหม่ เติมนิตยสารที่ขาดหายไป หรือช่วยเด็กหลงอยู่ในร้าน มีหลายอย่างที่ต้องทำในฐานะพนักงานคนหนึ่ง

ทำงานอยู่อย่างนั้นจนหมดกะของผมพอดี ผมเปลี่ยนชุดแล้วร่ำลารุ่นพี่

เดินออกหลังร้าน ในที่สุดฝนก็หยุดตก ท้องฟ้าแจ่มใส มองเห็นพระจันทร์ระหว่างสิ่งปลูกสร้าง

ลักษณะของพระจันทร์จะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ในฤดูร้อนเมื่อดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากโลกพระจันทร์จะอยู่ใกล้ แต่ในทางกลับกัน ในฤดูหนาวก่อนครีษมายัน พระจันทร์จะไม่ได้อยู่ห่างขนาดนั้นจึงดูเหมือนถูกบีบอัดระหว่างสิ่งปลูกสร้าง

อากาศอบอ้าวอยู่บ้างแต่ลมเย็นชิวสบายๆ

ขณะที่ผมเดินไปตามท้องถนน โทรศัพท์ในกระเป๋าหลังกางเกงก็สั่น

พอหยิบขึ้นมาก็พบว่าได้รับข้อความใหม่จาก Line 

ไม่ต้องสไลด์หน้าจอก็รู้ว่าเป็นข้อความจากอายาเสะซัง เป็นข้อความแรกที่ส่งมาหาผม

 

【นายเห็นแล้วใช่ไหม】

 

หัวใจของผมหยุดเต้นชั่วครู่หนึ่ง เป็นประโยคเดียวที่แย่ที่สุดที่ผมได้รับมาและรู้เลยว่ากำลังพูดถึงอะไร

ผมปลดหน้าจอเข้าแอปและอ่านข้อความ

สรุปว่ามันเป็นอย่างนี้

เธอสงสัยว่าผมทำอะไรอยู่หน้าห้องจนสุดท้ายคิดว่าผมอาจจะแอบมองชุดชั้นในในห้องของเธอ ซึ่งเธอคิดว่าชุดชั้นในหลังซักแล้วเป็นผ้าเช็ดหน้า แต่ด้วยเหตุที่ว่าผมตกเป็นเป้าในความอับอาบครั้งนี้ อายาเสะซังจึงอยากยืนยันว่าผมเห็นรึเปล่า….ประมาณนั้น

ผมจึงรีบกลับบ้านพร้อมส่งข้อความสั้นๆ ก่อนจะโดนไต่สวน

พอถึงทางเข้าบ้านและเห็นแต่รองเท้าของอายาเสะซัง ผมก็รู้สึกโล่งใจนิดๆ โชคดีที่พ่อแม่ของเรายังไม่กลับบ้าน

พอผมเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นอายาเสะซังยืนอยู่

 

“กลับมาแล้วคร้าบ อายาเสะซัง”

“ยินดีต้อนรับกลับนะ อาซามูระคุง”

 

ถึงพวกเราจะพูดเรื่องเดียวกันแต่น้ำเสียงดูเย็นชาเหลือเกิน

 

“อย่าตัวแข็งทื่อหน้าทางเข้าสิ”

“อ่า ครับ….”

 

ผมแก้ตัวไปแล้วนะแต่เกรงว่าเธอจะเชื่อรึเปล่า….

 

“กลับไปที่ห้องก่อนเถอะ”

“เอ๊ะ? ห้องไหนล่ะ?”

“นายยังสนใจห้องฉันอยู่รึไง?”

“เดิ๋ยวผมไปรอที่ห้องผมก็ได้ครับ”

 

เวลาแบบนี้แน่อยู่แล้วว่าการไม่ตอบโต้เป็นการดีที่สุด

ผมเดินไปที่ห้องของผม คุกเข่าลงกับพื้นรออายาเสะซัง

 

“ไหงนั่งคุกเข่าแบบนั้นล่ะ?”

“ก็ผมรู้สึกว่าต้องทำไง”

 

ผมบอกไม่ได้ว่าผมเตรียมใจคุกเข่าแล้วซึ่งไม่รู้ว่าเธอจะยกโทษให้รึเปล่า

 

“เอ้านี่”

 

ผมเงยหน้าขึ้นมาเห็นแต่แก้วร้อนๆตรงหน้าผมเท่านั้น

 

“เอ๊ะ?”

“โกโก้ร้อนไง ถ้าไม่เอาฉันขอนะ”

“อ-เอาครับ เอา….ก็ได้”

 

ผมกล่าวแล้วรับแก้วมา

ถึงผมจะอยากกาแฟ แต่ก็ชื่นใจแล้วที่ได้ทานของอุ่นๆตอนนี้—

เดิ๋ยวนะ นี่ใช่ที่ผมคิดรึเปล่า?

ผมมองหน้าอายาเสะซังและตามที่คาดไว้ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความโกรธเคือง

 

“แล้ว…เรื่องข้อความที่ส่งมาน่ะ”

“เอ่อ ครับ”

“ประตูเปิดอยู่กึ่งนึงจนสายตามันตราตรึงข้างในใช่ไหม แล้วพอฉันเรียกก็ทำเป็นหนีงั้นเรอะ”

“ตามนั้นครับ”

“นายคิดเหรอว่านั่นเป็นจังหวะที่จะขโมยได้น่ะ?”

“เอ่อ…ก็คงงั้น”

“แม้แต่ของน้องสาวเนี่ยนะ?”

“นั่นก็ใช่ แต่….”

 

ผมพูดติดอ่างและไม่สามารถเถียงกลับได้ ถ้าเป็นน้องสาวหรือแม่แท้ๆ ผมก็คงอายและกังวลมากเช่นกัน

ช่วยไม่ได้นี่นะ ก็ห้าวันมาแล้วที่อายาเสะซังกับผมกลายเป็นพี่น้องกัน ทันทีที่ผมนึกข้อแก้ตัวในหัวออก สีหน้าของเธอก็ผ่อนปรนเล็กน้อย

 

“ขอโทษนะ ตอนนี้ไม่ค่อยยุติธรรมเอาซะเลย”

“เอ๊ะ”

“ตามกฎหมายแล้วพวกเราเป็นพี่น้องกัน แต่ไม่ได้ความหมายว่าจู่ๆนายจะทำตัวเป็นพี่ชายแท้ๆ ตามกฎหมายทันทีนะ”

“….อื้ม ผมเข้าใจสิ่งที่เธอจะสื่อนะ”

 

เราสองคนอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันและอย่างน้อยๆก็ทำตัวเหมือนพี่น้องในฐานะครอบครัว

เราคาดหวังและเชื่อใจที่จะเป็นพี่น้องกัน เลยเป็นเหตุผลที่ผมไม่อยากหักหลังและก่อเรื่องให้ตาแก่กับอากิโกะซัง

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะสามารถทำตัวเหมือนพี่น้องที่อยู่ร่วมกันมาถึงสิบหกปี ความคิดของมนุษย์นั้นไม่ใช่โค้ดที่จะเขียนใหม่หรือแก้ไขได้

เป็นเรื่องจริงที่เราเป็นคนแปลกหน้าเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว และตอนนี้อายาเสะซังกำลังบอกว่าผมต้องเข้าใจให้ได้เพราะเธออยากให้แฟร์ๆ กันทุกวิถีทาง

 

“แต่ตอนนี้เราเสมอกันแล้ว ลืมๆไปเถอะ?”

“เสมอ?”

“ฉันว่าที่นายหลงใหลชุดชั้นในฉันเป็นเพราะปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ไงล่ะ ตอนเช้าเองนายก็พูดให้ฟังอยู่หลายรอบ นั่นก็เท่ากับเสมอไง ฉันคิดว่าอาซามูระคุงเป็นคนที่สามารถเรียนรู้ปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ได้เหมือนกัน เหมือนที่นายเชื่อมั่นว่าฉันทำได้น่ะ”

“ดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะ”

“ยังไงก็เถอะ”

 

หืม?

 

“นายเคยพูดว่าชุดชั้นในของฉันมีเสน่ห์มากพอที่จะตราตรึงใช่ไหม”

“ผมเปล่านะ”

“งั้นไม่มีเสน่ห์…เลยงั้นเหรอ”

“….นี่กำลังแกล้งผมรึเปล่าเนี่ย?”

“ฉันก็ไม่รู้แต่ถ้าปล่อยผ่านไว้แบบนี้มันจะรู้สึกร้อนใจถูกไหม?”

“คงงั้นมั้ง”

“แล้วนายมีอารมณ์อยากเอาชุดชั้นในฉันไปใช่ไหม?”

“เอ่อ เอาตรงๆ คือถ้าผมบอกว่าผมไม่มีอารมณ์ทางเพศมันคงเป็นเรื่องโกหกใช่เปล่า…แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมจะทำเลยนะ?”

“หืม แสดงว่านายอยากจริงๆสินะ”

“ผมคงมีปัญหาถ้าผมไม่ทำ แต่การได้มันมากับความอยากที่อยากจะทำมันต่างกันนะ”

 

ผมกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังเท่าที่จะทำได้

 

“หึ จริงสินะ ขอโทษนะที่แกล้งนาย ปล่อยให้มันจบลงตรงนี้ละกัน”

“ขอบคุณมากนะ”

 

ผมรู้สึกขอบคุณอย่างซาบซึ้งและประทับใจกับคำตอบของอายาเสะซัง

เธอไม่สามารถแสร้งทำเป็นว่าความรู้สึกที่เธอมีนั้นไม่มีอยู่จริงแม้จะเป็นการเข้าใจผิดก็ตาม

ความโกรธเคืองของเธอที่เห็นผมมองชุดชั้นในของเธอยังไม่หายไป

แทนที่จะถาโถมความรู้สึกลงมาที่ผม อายาเสะซังกลับสงบสติอารมณ์โดยบอกว่าโกรธอยู่

ควบคุมอารมณ์โกรธได้ขนาดนี้ สุดยอดเลย

หรือกำลังปรับตัวงั้นเหรอ….

 

“แต่ฉันดีใจนะ”

“หืม?”

“ฉันไม่อยากให้นายคิดว่าดีไซน์ของชุดชั้นในนั่นมันแปลกๆน่ะ ฉันเกือบโยนมันทิ้งไปแล้ว”

“….แต่ผมเริ่มเข้าใจนิสัยของอายาเสะซังมากขึ้นแล้วนะ”

“จริงเหรอ?”

“อื้ม นิดหน่อยน่ะ”

 

พอได้ยินแบบนั้นอายาเสะซังก็ยิ้มอ่อน

――――――――――――――――――――――――――――――

สามารถติดตามการอัพเดตได้ทางเพจ : Launchmind

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+