Kimi wa Hontouni Boku no Tenshi nano ka 2 กลั่นแกล้ง

Now you are reading Kimi wa Hontouni Boku no Tenshi nano ka Chapter 2 กลั่นแกล้ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ก่อนที่ผมจะไปถึงสถานที่จัดงานอีเว้นท์ผมก็รู้ตัวดีว่ามันก็คงจะคับคั่งมากเป็นพิเศษ

ถึงอย่างนั้นแต่ปริมาณของฝูงชนขนาดนี้ก็ทำให้ผมต้องรู้สึกประหลาดใจ

การต่อแถวเรียงคิวอย่างเป็นระเบียบนั้นไม่มีอยู่จริง

 นี่มันคือความอลม่านอย่างสมบูรณ์แบบชัดๆ……

ส่วนหมายเลขตั๋วที่ผมได้ก็คือเบอร์ 332 ถ้าหากใช้เวลาสัก 30 วินาทีต่อคิวผมก็ยังต้องรออีกราวๆ 3 ชั่วโมงได้

อากิระเธอมีแฟนๆที่เป็นผู้หญิงอยู่จำนวนไม่น้อยเลย ซึ่งมันก็ถือว่าไม่ธรรมดาเลยสำหรับไอดอล 3 มิติ 

เพราะมีผู้หญิงต่อคิวอยู่ด้วย ผมก็ยกไหล่ขึ้นทุกครั้งที่แถวมันขยับขึ้นไปด้านหน้าและก็เผอิญมีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ใกล้ๆพอดี

อาจจะเป็นเพราะว่าผมมัวแต่ประหม่า การก้าวเดินของแถวดูเหมือนว่าจะรวดเร็วกว่าช่วงเวลาที่ผ่านไปจริงๆ

และเมื่อถึงตาผมที่ได้เข้าไปผมก็เห็นร่างของอากิระบนแท่นที่ยกขึ้นเหนือพื้นเล็กน้อย

เธอทักทายแฟนๆโอตะแต่ละคนอย่างสุภาพอ่อนน้อมพร้อมกับจับมือพวกเขาและฟังข้อความสั้นๆจากพวกเขาและก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

เธอคือไอดอลในอุดมคติสำหรับผม 

ผมหยิบกระดาษโน๊ตชิ้นเล็กๆออกมาจากกระเป๋าแล้วมองดูที่มัน

 

[ผมชื่นชอบความทุ่มเทของคุณมากๆเลยครับ ผมจะขอเป็นกำลังให้คุณต่อไปนะครับ]

 

ผมพูดถ้อยคำนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ภายในใจ

นี่คืองานจับมือและมันคงจะเป็นหายนะแน่ๆถ้าเกิดผมไปติดแหง่กค้างอยู่บนเวทีหรือไม่ก็ไปล้มลุกคลุกคลานเพราะมันจะไปรบกวนชาวบ้านชาวช่องเขา

มาทำให้มันจบไวๆเถอะ แค่พูดสนับสนุนเธอสักสองสามคำแล้วก็จะได้จบๆ

ผมยังคงจดจ้องไปที่กระดาษโน๊ตของผมอย่างประหม่าในขณะที่ผมค่อยๆเดินขยับขึ้นไปตามแถว

และเมื่อถึงตาของผมผมก็เงยหน้าขึ้นและก็เห็นว่ามันถึงเวลาแล้วที่เหล่าแฟนๆจะได้ย้ายสถานที่

อากิระโบกมือให้กับเหล่าแฟนๆที่เดินออกมาจากเวทีและเมื่อเธอหันหน้ากลับมามองที่ด้านหน้าเธอก็เหลือบมองมาที่ผมพอดี

มันทำให้ผมใจเต้นไปหมดกับการที่พวกเรานั้นเกือบจะได้สบตากันแม้ว่าจะแค่บังเอิญก็ตาม

แต่แล้วสายตาของเธอซึ่งอีกไม่นานผมก็คิดว่าเธอจะหันกลับมาที่ด้านหน้าอีก

ก็จ้องมองมาที่ผมอยู่ราวๆสองถึงสามวินาที

ผมเบือนหน้าหนีและพวกคนที่อยู่ทางข้างหลังของผมก็มองผมอย่างงงๆและไม่แม้แต่จะมองเธอเลย

พอผมเหลือบไปมองอากิระอีกครั้ง เธอก็ยังคงจ้องมองผมอยู่

ผมรู้สึกได้ว่าเวลานั้นได้หยุดเดินลง

เธอจ้องมองมาที่ผมอย่างใจจดใจจ่อถึงขนาดที่เป็นเรื่องยากที่จะมาโบกมือให้แล้วบอกว่ามันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกัน

พวกเราสบตากัน

หลังจากที่จ้องมองผมค้างไว้สองถึงสามวินาที เธอก็ฉายรอยยิ้มเทพธิดาของเธอออกมา

ผมรีบเบือนหน้าหนี

นี่เธอยิ้มให้ผมงั้นอย่างนั้นรึ? ทำไมล่ะ?

 พอผมคิดเรื่องนี้ผมก็หันหน้าไปมองดูเธออีกครั้งอย่างลังเล

เธอก็กำลังจับมือกับแฟนๆโอตะคนต่อไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

นี่ผมประหม่าจนถึงขั้นฝันกลางวันแล้วเหรอเนี่ย?

เพราะมันไม่มีทางที่อากิระจะปฏิบัติกับแฟนคลับคนใดคนหนึ่งของเธอเป็นพิเศษ

เธอจะยิ้มและจับมือกับแฟนๆทุกคนที่ขึ้นไปบนเวที ซึ่งไม่มีทางที่เธอจะหันมาสนใจแฟนคลับคนใดคนหนึ่งที่อยู่ในแถว

ผมก็แค่คิดไปเองแหละ

พอลองทบทวนสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ผมก็กลับมาประหม่าอีกรอบเมื่อเห็นว่าตอนนี้มีคนอีกไม่ถึงสิบคนแล้วก็จะถึงตาของผม

เวลาผ่านไปและในชั่วพริบตาก็ถึงตาของผม

ผมค่อยๆบังคับขาที่สั่นเทาให้ขยับก้าวขึ้นไปบนเวทีและก็เห็นอากิระที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าของผม

ผมหายใจเข้าอย่างหอบๆโดยไม่ทันได้หายใจออก

ไอดอลสุดเพอร์เฟค เซย์ไซ อากิระ

ชั่วขณะหนึ่ง ผมรู้สึกเหมือนจะสูญเสียการทรงตัวและจะสะดุดล้มในการก้าวต่อไป

แต่ผมก็รวบรวมพละกำลังทั้งหมดที่มีและก้าวไปด้านหน้า

อากิระกับผมกำลังเผชิญหน้ากันบนโต๊ะธรรมดาๆ

หลังจากที่จ้องผมที่พูดอะไรไม่ออกเลยเมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็ยิ้มออกมาอย่างนุ่มนวล

 

“สวัสดีค่ะ”

“สะ-สะ……..สวัสดีครับ”

“ฮะๆ  คุณจะประหม่าเกินไปแล้วนะคะ!”

 

หลังจากที่เธอพูดหยอกล้อผมอย่างสนุกสนาน เธอก็ยื่นมือออกมาอย่างเปี่ยมสุข

อุณหภูมิร่างกายลดลงอย่างเฉียบพลัน

ผมประหม่าจนเกินไป………

 

 

 

ไม่เป็นไร…….นี่อากิระไง

แต่ผมก็ยังกระวนกระวายอยู่ดี

 

“หืม….?”

 

เธอเอียงหัวด้วยท่าทางงงๆ        

ผมพยายามบังคับมือของตัวเองให้ยื่นออกไปด้านหน้า

ไหล่ของผมก็ตึงขึ้นด้วยความตึงเครียด

เธอค่อยๆวางมือของเธอลงบนมือของผม

ผมสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มของมือของเธอมันก็ทำให้ตัวผมร้อนผ่าวไปหมด

เล่นเอาผมกังวลว่ามือของผมมันจะเหงื่อออกจนเหนียวรึเปล่า?

เมื่อเธอจับมือกำจนแน่น ผมก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลกๆในฝ่ามือของผม

 

“……….?”

 

มันรู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรติดอยู่ในมือของพวกเรา

 

“มีอะไรที่อยากจะบอกกับชั้นไหมคะ?”

 

เธอถามผมแล้วผมที่มัวแต่หอบอยู่ก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไร

 

“อะ-โอ๊ะ มันก็…….อืม……”

“หืม?”

“ผมชื่นชอบ…..ความ ทะ-ทะ-ทุ่มเทของคุณนะครับ!”

 

ผมรวบรวมความกล้าทั้งหมดแล้วพูดออกไปและในขณะที่กำลังสำลักกับคำพูดของตัวเองเธอก็ลืมตาเบิกกว้างครู่หนึ่งและยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย

 

“ว้าว แบบนั้นมันเหมือนกับ……….การสารภาพรักเลยนะคะเนี่ย”

 

เมื่อเธอพูดแบบนั้นด้วยความเขินอายเล็กน้อยแล้ว เหล่าแฟนๆโอตะของเธอที่อยู่รอบๆก็ออกอาการกันยกใหญ่

ผมรู้สึกราวกับว่าผู้คนรอบข้างกำลังหัวเราะเยาะผมอยู่และจู่ๆก็รู้สึกอายขึ้นมา

อุณหภูมิของร่างกายที่ดูเหมือนจะเย็นลงไปได้แล้วในทีแรกก็เพิ่มขึ้นมาอย่างทันทีทันใด

 

“ผะ-ผมขอเป็นกำลังใจให้คุณต่อไปนะครับ! ไปล่ะครับ!”

 

ผมดึงมือกลับแล้วโค้งคำนับและกำลังจะวิ่งหนีออกมาจากเวทีและเมื่อตอนนั้นเองก็มีบางอย่างเล็ดลอดเข้ามาระหว่างมือของพวกเรา

 

“นี่ ! คุณได้ทำของตกไว้รึเปล่าคะ?”

 

พอเธอพูดอย่างนั้นผมก็มองไปที่พื้นของเวทีด้วยความประหลาดใจ

มันมีกระดาษแผ่นเล็กๆพับอยู่บนพื้น

ผมคิดว่าผมคงเผลอทำไอ้เจ้าแผ่นกระดาษที่เขียนสิ่งที่จะบอกกับเธอไว้หล่นไป

ผมก็เลยรีบล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตแต่ไอ้เจ้ากระดาษนั้นมันก็ยังคงอยู่ที่เดิมของมัน

 

“โอ๊ะ! นั่นมัน เอ่อ………..ดูไม่เหมือนกับของๆผมเลยครับแต่….”

“โอ้ อย่างนั้นเหรอคะ? งั้นนี่ก็น่าจะเป็นขยะ……เดี๋ยวชั้นจะเอาไปทิ้งให้ค่ะ”

 

เมื่อเธอพูดและคุกเข่าหยิบกระดาษผมก็เลิ่กลั่กอีกครั้ง

 

“ถะ-ถ้าหากว่ามันเป็นขยะ…….เดี๋ยวผมจะเอาไปทิ้งให้เองครับ!”

 

ผมไม่สามารถปล่อยให้ไอดอลที่ผมโอชิมาเก็บขยะแล้วก็เอาไปทิ้งให้ได้จริงๆ

 

“จริงเหรอคะ? น่ารักจัง ขอบคุณนะคะ”

 

เธอยิ้มและก็มองดูขณะที่ผมรีบหยิบเศษกระดาษที่หล่นลงตรงเวที

 

“เอาล่ะ ถ้างั้น…….”

 

ขณะที่ผมก้าวลงจากเวทีหลังจากที่ผมหยิบเศษกระดาษขึ้นมาแล้ว

 

“เดี๋ยวค่ะ!”

 

เธอดึงแขนเสื้อผมแล้วผมก็ถูกดึงตัวกลับไป

เกร็งไปหมดทั้งตัวเลย ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะ Gynophobia หรือเพราะว่าความประหม่าที่โดนเธอจับกันแน่?

 

“ดูเหมือนว่ามันจะร่วงลงมาจากมือของคุณนะคะ”

“ฮะ?”

“เพราะงั้นชั้นก็เลยคิดว่ายังไงก็ควรเช็คดูก่อนดีกว่านะคะว่ามันเป็นขยะจริงๆรึเปล่า? ”

 

เธอพูดขณะที่มองมาที่ผมด้วยแววตาว่างเปล่า

ผมกำลังพูดคุยกับเธออย่างใกล้ชิด 

ได้มองเข้าไปในดวงตาของเธอและพูดสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรเกี่ยวกับไอดอลอยู่

มันให้ความรู้สึกเหนือความเป็นจริง

 

“โอ้….ครับผม ก็จริงนะครับ………ไว้ผมจะเช็คดูนะครับ……..”

“ค่ะ! แล้วพบกันใหม่นะคะ!”

 

เธอโบกมือลาเบาๆ

ผมงุนงงกับสีหน้าของเธอ

เพราะผมไม่สามารถขยับร่างกายได้ดั่งใจ ผมจึงเดินลงบันไดด้วยท่าทางงึกๆงักๆดูอึดอัด

แล้วผมก็ได้ยินเสียงซุบซิบนินทาจากแฟนๆโอตะคนอื่นๆ

 

“นี่หมอนั่นมันประหม่าเบอร์นั้นเลยจริงดิ?”

“คงจะเป็นกาจิโค่ยแหงๆ”

(**TL NOTE : กาจิโค่ย ความหมายคือประมาณ “โอตะที่รักไอดอลแบบจริงๆจังๆที่ไม่ใช่แค่ชื่นชม แต่รักแบบคนรักเลย **)

 

เมื่อได้ยินเสียงซุบซิบนินทาพวกนั้น ผมก็รีบบึ่งออกจากที่ตรงนั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อปรับการหายใจที่ขาดช่วงไป

ผมจำได้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างกับอากิระบนเวทีและอัตราการเต้นของหัวใจก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง

การแสดงออกของเธอมันทำให้ผมทั้งกังวลและไม่สบายใจ

ผมไม่เคยเห็นหน้าตาแบบนั้นบนใบหน้าของเธอมาก่อนเลย

ผมรู้สึกหวิวๆชอบกล

เมื่อกี้นี้มันอะไรกัน? ใบหน้านั้นมันคืออารมณ์แบบไหนกันนะ?

เธอมักจะควบคุมการแสดงออกทางสีหน้าได้อย่างชัดเจนอยู่เสมอตอนอยู่บนเวที

แม้แต่เรื่องสายตาที่ไม่ได้รับการฝึกฝนมาก่อน เธอก็ยังมีการแสดงออกที่สมบูรณ์แบบบนใบหน้าของเธอเสมอ 

แม้แต่ในงานจับมือในวันนี้เองการแสดงออกของเธอก็ยังเป็นการแสดงออกถึงแฟนเซอร์วิส

ผมควรจะประทับใจกับเรื่องนั้นแท้ๆ

แต่การแสดงออกบนใบหน้าของเธอมันคืออะไรกันแน่?

เพราะผมไม่สันทัดเรื่องการติดต่อกับคนอื่นๆ เพราะแบบนั้นพอได้เห็นการแสดงออกของเธอแล้วผมจึงรับรู้ได้ถึงความรู้สึกห่างเหินอย่างบอกไม่ถูก

เรื่องเดียวที่ทำให้ใจผมว้าวุ่นคือเรื่องการแสดงออกของเธอที่เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน

ผมเดินกลับบ้านไปทั้งความกังวลใจแบบนั้น

 

“อา……”

 

ระหว่างทางนั้นผมก็นึกขึ้นได้ถึงไอ้เจ้าเศษกระดาษที่เก็บมาบนเวที

ผมหยิบมันออกมาจากกระเป๋าแล้วค่อยๆคลี่มันออกอย่างระมัดระวัง

 

“หะ?”

 

ประโยคนั้นเขียนด้วยตัวอักษรแฟนซีเป็นประโยคสั้นๆว่า

 

[คืนนี้ชั้นจะไปรอคุณที่อากิฮาบาระเวลา 20.00 ตรวจสอบสถานที่ที่อยู่ตรงด้านล่างนี้และคุณต้องมาให้ได้นะ – เซย์ไซ อากิระ]

 

และข้างใต้ข้อความประโยคหนึ่งบรรทัดก็มีชื่อสถานที่ที่ชี้ไปยังที่แห่งหนึ่งในอากิฮาบาระ

 

“นี่มันยังไงกันเนี่ย?”

 

แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ผมสับสน

นี่อากิระเขียนเจ้าสิ่งนี้อย่างนั้นรึ?

แต่ทำไมล่ะ?

คำถามง่ายนั้นได้ผุดขึ้นมาในใจของผม

และข้อสรุปที่ผมพอจะคิดได้คือ

 

“……..มันก็ต้องเป็นการแกล้งกันเล่นแหงอยู่แล้วล่ะนะ”

 

ผมสันนิษฐานไปว่าอย่างนั้น

เธอบอกว่าผมทำมันหล่น

แต่ต้องมีใครสักคนแอบเอามันมาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อผมด้วยวิธีอะไรสักอย่างระหว่างที่ผมกำลังต่อแถวรอแล้วหลังจากนั้นมันก็ไปหล่นบนเวทีพอดีนั่นแหละคือทั้งหมดที่ผมพอจะคิดได้ในตอนนี้

การที่เธอจะมาเรียกให้แฟนๆโอตะไปหาเธอในลักษณะนั้นมันช่างห่างไกลจากความเป็นจริงซะเหลือเกินและผมเองก็ไม่สามารถเอาความไร้เดียงสาของตัวเองมาหลอกตัวเองให้เชื่อกับอะไรแบบนี้ได้

ผมก็หวังว่าเธอจะไม่ทำอะไรแบบนั้นจริงๆ

เซย์ไซ อากิระน่ะสมบูรณ์แบบ

ไม่มีทางที่เธอจะมาเรียกร้องอะไรแฟนๆของเธอแบบนี้แน่นอน

 

“แค่แกล้งกันเล่นเท่านั้นแหละหน่า”

 

ผมพูดแล้วขยำกระดาษที่อยู่ในมือ

จากนั้นก็โยนมันทิ้งลงถังขยะหน้าร้านสะดวกซื้อที่ผมเพิ่งจะเดินผ่านไป

ทันทีที่ทำแบบนั้นความคิดของผมที่วนเวียนวกวนเป็นวงกลมก็สงบลงได้

และรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองมีแสงสว่างขึ้นมาพร้อมกับความเหนื่อยล้าก็ถาโถมเข้ามาพร้อมๆกัน

เพราะผมเอาแต่ประหม่าตลอดเวลาเล่นเอาซะผมหมดแรงแล้วตอนนี้

 

“กลับดีกว่า……กลับบ้าน……..แล้วค่อยไปคิดอีกทีว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่……..”

 

ผมอยู่เพียงลำพังภายในความคิดของตัวเองพอกลับถึงบ้าน

ในหัวของผมมีเพียงสิ่งเดียวที่ผมคิดนั่นก็คือความนุ่มนวลของมือของอากิระที่ผมได้จับเอาไว้อยู่ครู่หนึ่ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Kimi wa Hontouni Boku no Tenshi nano ka 2 กลั่นแกล้ง

Now you are reading Kimi wa Hontouni Boku no Tenshi nano ka Chapter 2 กลั่นแกล้ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ก่อนที่ผมจะไปถึงสถานที่จัดงานอีเว้นท์ผมก็รู้ตัวดีว่ามันก็คงจะคับคั่งมากเป็นพิเศษ

ถึงอย่างนั้นแต่ปริมาณของฝูงชนขนาดนี้ก็ทำให้ผมต้องรู้สึกประหลาดใจ

การต่อแถวเรียงคิวอย่างเป็นระเบียบนั้นไม่มีอยู่จริง

 นี่มันคือความอลม่านอย่างสมบูรณ์แบบชัดๆ……

ส่วนหมายเลขตั๋วที่ผมได้ก็คือเบอร์ 332 ถ้าหากใช้เวลาสัก 30 วินาทีต่อคิวผมก็ยังต้องรออีกราวๆ 3 ชั่วโมงได้

อากิระเธอมีแฟนๆที่เป็นผู้หญิงอยู่จำนวนไม่น้อยเลย ซึ่งมันก็ถือว่าไม่ธรรมดาเลยสำหรับไอดอล 3 มิติ 

เพราะมีผู้หญิงต่อคิวอยู่ด้วย ผมก็ยกไหล่ขึ้นทุกครั้งที่แถวมันขยับขึ้นไปด้านหน้าและก็เผอิญมีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ใกล้ๆพอดี

อาจจะเป็นเพราะว่าผมมัวแต่ประหม่า การก้าวเดินของแถวดูเหมือนว่าจะรวดเร็วกว่าช่วงเวลาที่ผ่านไปจริงๆ

และเมื่อถึงตาผมที่ได้เข้าไปผมก็เห็นร่างของอากิระบนแท่นที่ยกขึ้นเหนือพื้นเล็กน้อย

เธอทักทายแฟนๆโอตะแต่ละคนอย่างสุภาพอ่อนน้อมพร้อมกับจับมือพวกเขาและฟังข้อความสั้นๆจากพวกเขาและก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

เธอคือไอดอลในอุดมคติสำหรับผม 

ผมหยิบกระดาษโน๊ตชิ้นเล็กๆออกมาจากกระเป๋าแล้วมองดูที่มัน

 

[ผมชื่นชอบความทุ่มเทของคุณมากๆเลยครับ ผมจะขอเป็นกำลังให้คุณต่อไปนะครับ]

 

ผมพูดถ้อยคำนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ภายในใจ

นี่คืองานจับมือและมันคงจะเป็นหายนะแน่ๆถ้าเกิดผมไปติดแหง่กค้างอยู่บนเวทีหรือไม่ก็ไปล้มลุกคลุกคลานเพราะมันจะไปรบกวนชาวบ้านชาวช่องเขา

มาทำให้มันจบไวๆเถอะ แค่พูดสนับสนุนเธอสักสองสามคำแล้วก็จะได้จบๆ

ผมยังคงจดจ้องไปที่กระดาษโน๊ตของผมอย่างประหม่าในขณะที่ผมค่อยๆเดินขยับขึ้นไปตามแถว

และเมื่อถึงตาของผมผมก็เงยหน้าขึ้นและก็เห็นว่ามันถึงเวลาแล้วที่เหล่าแฟนๆจะได้ย้ายสถานที่

อากิระโบกมือให้กับเหล่าแฟนๆที่เดินออกมาจากเวทีและเมื่อเธอหันหน้ากลับมามองที่ด้านหน้าเธอก็เหลือบมองมาที่ผมพอดี

มันทำให้ผมใจเต้นไปหมดกับการที่พวกเรานั้นเกือบจะได้สบตากันแม้ว่าจะแค่บังเอิญก็ตาม

แต่แล้วสายตาของเธอซึ่งอีกไม่นานผมก็คิดว่าเธอจะหันกลับมาที่ด้านหน้าอีก

ก็จ้องมองมาที่ผมอยู่ราวๆสองถึงสามวินาที

ผมเบือนหน้าหนีและพวกคนที่อยู่ทางข้างหลังของผมก็มองผมอย่างงงๆและไม่แม้แต่จะมองเธอเลย

พอผมเหลือบไปมองอากิระอีกครั้ง เธอก็ยังคงจ้องมองผมอยู่

ผมรู้สึกได้ว่าเวลานั้นได้หยุดเดินลง

เธอจ้องมองมาที่ผมอย่างใจจดใจจ่อถึงขนาดที่เป็นเรื่องยากที่จะมาโบกมือให้แล้วบอกว่ามันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกัน

พวกเราสบตากัน

หลังจากที่จ้องมองผมค้างไว้สองถึงสามวินาที เธอก็ฉายรอยยิ้มเทพธิดาของเธอออกมา

ผมรีบเบือนหน้าหนี

นี่เธอยิ้มให้ผมงั้นอย่างนั้นรึ? ทำไมล่ะ?

 พอผมคิดเรื่องนี้ผมก็หันหน้าไปมองดูเธออีกครั้งอย่างลังเล

เธอก็กำลังจับมือกับแฟนๆโอตะคนต่อไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

นี่ผมประหม่าจนถึงขั้นฝันกลางวันแล้วเหรอเนี่ย?

เพราะมันไม่มีทางที่อากิระจะปฏิบัติกับแฟนคลับคนใดคนหนึ่งของเธอเป็นพิเศษ

เธอจะยิ้มและจับมือกับแฟนๆทุกคนที่ขึ้นไปบนเวที ซึ่งไม่มีทางที่เธอจะหันมาสนใจแฟนคลับคนใดคนหนึ่งที่อยู่ในแถว

ผมก็แค่คิดไปเองแหละ

พอลองทบทวนสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ผมก็กลับมาประหม่าอีกรอบเมื่อเห็นว่าตอนนี้มีคนอีกไม่ถึงสิบคนแล้วก็จะถึงตาของผม

เวลาผ่านไปและในชั่วพริบตาก็ถึงตาของผม

ผมค่อยๆบังคับขาที่สั่นเทาให้ขยับก้าวขึ้นไปบนเวทีและก็เห็นอากิระที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าของผม

ผมหายใจเข้าอย่างหอบๆโดยไม่ทันได้หายใจออก

ไอดอลสุดเพอร์เฟค เซย์ไซ อากิระ

ชั่วขณะหนึ่ง ผมรู้สึกเหมือนจะสูญเสียการทรงตัวและจะสะดุดล้มในการก้าวต่อไป

แต่ผมก็รวบรวมพละกำลังทั้งหมดที่มีและก้าวไปด้านหน้า

อากิระกับผมกำลังเผชิญหน้ากันบนโต๊ะธรรมดาๆ

หลังจากที่จ้องผมที่พูดอะไรไม่ออกเลยเมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็ยิ้มออกมาอย่างนุ่มนวล

 

“สวัสดีค่ะ”

“สะ-สะ……..สวัสดีครับ”

“ฮะๆ  คุณจะประหม่าเกินไปแล้วนะคะ!”

 

หลังจากที่เธอพูดหยอกล้อผมอย่างสนุกสนาน เธอก็ยื่นมือออกมาอย่างเปี่ยมสุข

อุณหภูมิร่างกายลดลงอย่างเฉียบพลัน

ผมประหม่าจนเกินไป………

 

 

 

ไม่เป็นไร…….นี่อากิระไง

แต่ผมก็ยังกระวนกระวายอยู่ดี

 

“หืม….?”

 

เธอเอียงหัวด้วยท่าทางงงๆ        

ผมพยายามบังคับมือของตัวเองให้ยื่นออกไปด้านหน้า

ไหล่ของผมก็ตึงขึ้นด้วยความตึงเครียด

เธอค่อยๆวางมือของเธอลงบนมือของผม

ผมสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มของมือของเธอมันก็ทำให้ตัวผมร้อนผ่าวไปหมด

เล่นเอาผมกังวลว่ามือของผมมันจะเหงื่อออกจนเหนียวรึเปล่า?

เมื่อเธอจับมือกำจนแน่น ผมก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลกๆในฝ่ามือของผม

 

“……….?”

 

มันรู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรติดอยู่ในมือของพวกเรา

 

“มีอะไรที่อยากจะบอกกับชั้นไหมคะ?”

 

เธอถามผมแล้วผมที่มัวแต่หอบอยู่ก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไร

 

“อะ-โอ๊ะ มันก็…….อืม……”

“หืม?”

“ผมชื่นชอบ…..ความ ทะ-ทะ-ทุ่มเทของคุณนะครับ!”

 

ผมรวบรวมความกล้าทั้งหมดแล้วพูดออกไปและในขณะที่กำลังสำลักกับคำพูดของตัวเองเธอก็ลืมตาเบิกกว้างครู่หนึ่งและยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย

 

“ว้าว แบบนั้นมันเหมือนกับ……….การสารภาพรักเลยนะคะเนี่ย”

 

เมื่อเธอพูดแบบนั้นด้วยความเขินอายเล็กน้อยแล้ว เหล่าแฟนๆโอตะของเธอที่อยู่รอบๆก็ออกอาการกันยกใหญ่

ผมรู้สึกราวกับว่าผู้คนรอบข้างกำลังหัวเราะเยาะผมอยู่และจู่ๆก็รู้สึกอายขึ้นมา

อุณหภูมิของร่างกายที่ดูเหมือนจะเย็นลงไปได้แล้วในทีแรกก็เพิ่มขึ้นมาอย่างทันทีทันใด

 

“ผะ-ผมขอเป็นกำลังใจให้คุณต่อไปนะครับ! ไปล่ะครับ!”

 

ผมดึงมือกลับแล้วโค้งคำนับและกำลังจะวิ่งหนีออกมาจากเวทีและเมื่อตอนนั้นเองก็มีบางอย่างเล็ดลอดเข้ามาระหว่างมือของพวกเรา

 

“นี่ ! คุณได้ทำของตกไว้รึเปล่าคะ?”

 

พอเธอพูดอย่างนั้นผมก็มองไปที่พื้นของเวทีด้วยความประหลาดใจ

มันมีกระดาษแผ่นเล็กๆพับอยู่บนพื้น

ผมคิดว่าผมคงเผลอทำไอ้เจ้าแผ่นกระดาษที่เขียนสิ่งที่จะบอกกับเธอไว้หล่นไป

ผมก็เลยรีบล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตแต่ไอ้เจ้ากระดาษนั้นมันก็ยังคงอยู่ที่เดิมของมัน

 

“โอ๊ะ! นั่นมัน เอ่อ………..ดูไม่เหมือนกับของๆผมเลยครับแต่….”

“โอ้ อย่างนั้นเหรอคะ? งั้นนี่ก็น่าจะเป็นขยะ……เดี๋ยวชั้นจะเอาไปทิ้งให้ค่ะ”

 

เมื่อเธอพูดและคุกเข่าหยิบกระดาษผมก็เลิ่กลั่กอีกครั้ง

 

“ถะ-ถ้าหากว่ามันเป็นขยะ…….เดี๋ยวผมจะเอาไปทิ้งให้เองครับ!”

 

ผมไม่สามารถปล่อยให้ไอดอลที่ผมโอชิมาเก็บขยะแล้วก็เอาไปทิ้งให้ได้จริงๆ

 

“จริงเหรอคะ? น่ารักจัง ขอบคุณนะคะ”

 

เธอยิ้มและก็มองดูขณะที่ผมรีบหยิบเศษกระดาษที่หล่นลงตรงเวที

 

“เอาล่ะ ถ้างั้น…….”

 

ขณะที่ผมก้าวลงจากเวทีหลังจากที่ผมหยิบเศษกระดาษขึ้นมาแล้ว

 

“เดี๋ยวค่ะ!”

 

เธอดึงแขนเสื้อผมแล้วผมก็ถูกดึงตัวกลับไป

เกร็งไปหมดทั้งตัวเลย ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะ Gynophobia หรือเพราะว่าความประหม่าที่โดนเธอจับกันแน่?

 

“ดูเหมือนว่ามันจะร่วงลงมาจากมือของคุณนะคะ”

“ฮะ?”

“เพราะงั้นชั้นก็เลยคิดว่ายังไงก็ควรเช็คดูก่อนดีกว่านะคะว่ามันเป็นขยะจริงๆรึเปล่า? ”

 

เธอพูดขณะที่มองมาที่ผมด้วยแววตาว่างเปล่า

ผมกำลังพูดคุยกับเธออย่างใกล้ชิด 

ได้มองเข้าไปในดวงตาของเธอและพูดสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรเกี่ยวกับไอดอลอยู่

มันให้ความรู้สึกเหนือความเป็นจริง

 

“โอ้….ครับผม ก็จริงนะครับ………ไว้ผมจะเช็คดูนะครับ……..”

“ค่ะ! แล้วพบกันใหม่นะคะ!”

 

เธอโบกมือลาเบาๆ

ผมงุนงงกับสีหน้าของเธอ

เพราะผมไม่สามารถขยับร่างกายได้ดั่งใจ ผมจึงเดินลงบันไดด้วยท่าทางงึกๆงักๆดูอึดอัด

แล้วผมก็ได้ยินเสียงซุบซิบนินทาจากแฟนๆโอตะคนอื่นๆ

 

“นี่หมอนั่นมันประหม่าเบอร์นั้นเลยจริงดิ?”

“คงจะเป็นกาจิโค่ยแหงๆ”

(**TL NOTE : กาจิโค่ย ความหมายคือประมาณ “โอตะที่รักไอดอลแบบจริงๆจังๆที่ไม่ใช่แค่ชื่นชม แต่รักแบบคนรักเลย **)

 

เมื่อได้ยินเสียงซุบซิบนินทาพวกนั้น ผมก็รีบบึ่งออกจากที่ตรงนั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อปรับการหายใจที่ขาดช่วงไป

ผมจำได้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างกับอากิระบนเวทีและอัตราการเต้นของหัวใจก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง

การแสดงออกของเธอมันทำให้ผมทั้งกังวลและไม่สบายใจ

ผมไม่เคยเห็นหน้าตาแบบนั้นบนใบหน้าของเธอมาก่อนเลย

ผมรู้สึกหวิวๆชอบกล

เมื่อกี้นี้มันอะไรกัน? ใบหน้านั้นมันคืออารมณ์แบบไหนกันนะ?

เธอมักจะควบคุมการแสดงออกทางสีหน้าได้อย่างชัดเจนอยู่เสมอตอนอยู่บนเวที

แม้แต่เรื่องสายตาที่ไม่ได้รับการฝึกฝนมาก่อน เธอก็ยังมีการแสดงออกที่สมบูรณ์แบบบนใบหน้าของเธอเสมอ 

แม้แต่ในงานจับมือในวันนี้เองการแสดงออกของเธอก็ยังเป็นการแสดงออกถึงแฟนเซอร์วิส

ผมควรจะประทับใจกับเรื่องนั้นแท้ๆ

แต่การแสดงออกบนใบหน้าของเธอมันคืออะไรกันแน่?

เพราะผมไม่สันทัดเรื่องการติดต่อกับคนอื่นๆ เพราะแบบนั้นพอได้เห็นการแสดงออกของเธอแล้วผมจึงรับรู้ได้ถึงความรู้สึกห่างเหินอย่างบอกไม่ถูก

เรื่องเดียวที่ทำให้ใจผมว้าวุ่นคือเรื่องการแสดงออกของเธอที่เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน

ผมเดินกลับบ้านไปทั้งความกังวลใจแบบนั้น

 

“อา……”

 

ระหว่างทางนั้นผมก็นึกขึ้นได้ถึงไอ้เจ้าเศษกระดาษที่เก็บมาบนเวที

ผมหยิบมันออกมาจากกระเป๋าแล้วค่อยๆคลี่มันออกอย่างระมัดระวัง

 

“หะ?”

 

ประโยคนั้นเขียนด้วยตัวอักษรแฟนซีเป็นประโยคสั้นๆว่า

 

[คืนนี้ชั้นจะไปรอคุณที่อากิฮาบาระเวลา 20.00 ตรวจสอบสถานที่ที่อยู่ตรงด้านล่างนี้และคุณต้องมาให้ได้นะ – เซย์ไซ อากิระ]

 

และข้างใต้ข้อความประโยคหนึ่งบรรทัดก็มีชื่อสถานที่ที่ชี้ไปยังที่แห่งหนึ่งในอากิฮาบาระ

 

“นี่มันยังไงกันเนี่ย?”

 

แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ผมสับสน

นี่อากิระเขียนเจ้าสิ่งนี้อย่างนั้นรึ?

แต่ทำไมล่ะ?

คำถามง่ายนั้นได้ผุดขึ้นมาในใจของผม

และข้อสรุปที่ผมพอจะคิดได้คือ

 

“……..มันก็ต้องเป็นการแกล้งกันเล่นแหงอยู่แล้วล่ะนะ”

 

ผมสันนิษฐานไปว่าอย่างนั้น

เธอบอกว่าผมทำมันหล่น

แต่ต้องมีใครสักคนแอบเอามันมาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อผมด้วยวิธีอะไรสักอย่างระหว่างที่ผมกำลังต่อแถวรอแล้วหลังจากนั้นมันก็ไปหล่นบนเวทีพอดีนั่นแหละคือทั้งหมดที่ผมพอจะคิดได้ในตอนนี้

การที่เธอจะมาเรียกให้แฟนๆโอตะไปหาเธอในลักษณะนั้นมันช่างห่างไกลจากความเป็นจริงซะเหลือเกินและผมเองก็ไม่สามารถเอาความไร้เดียงสาของตัวเองมาหลอกตัวเองให้เชื่อกับอะไรแบบนี้ได้

ผมก็หวังว่าเธอจะไม่ทำอะไรแบบนั้นจริงๆ

เซย์ไซ อากิระน่ะสมบูรณ์แบบ

ไม่มีทางที่เธอจะมาเรียกร้องอะไรแฟนๆของเธอแบบนี้แน่นอน

 

“แค่แกล้งกันเล่นเท่านั้นแหละหน่า”

 

ผมพูดแล้วขยำกระดาษที่อยู่ในมือ

จากนั้นก็โยนมันทิ้งลงถังขยะหน้าร้านสะดวกซื้อที่ผมเพิ่งจะเดินผ่านไป

ทันทีที่ทำแบบนั้นความคิดของผมที่วนเวียนวกวนเป็นวงกลมก็สงบลงได้

และรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองมีแสงสว่างขึ้นมาพร้อมกับความเหนื่อยล้าก็ถาโถมเข้ามาพร้อมๆกัน

เพราะผมเอาแต่ประหม่าตลอดเวลาเล่นเอาซะผมหมดแรงแล้วตอนนี้

 

“กลับดีกว่า……กลับบ้าน……..แล้วค่อยไปคิดอีกทีว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่……..”

 

ผมอยู่เพียงลำพังภายในความคิดของตัวเองพอกลับถึงบ้าน

ในหัวของผมมีเพียงสิ่งเดียวที่ผมคิดนั่นก็คือความนุ่มนวลของมือของอากิระที่ผมได้จับเอาไว้อยู่ครู่หนึ่ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+