OPEN A CLINIC TO CULTIVATE MYSELF 56 เหมือนกองทัพใหญ่ล้อมเมือง

Now you are reading OPEN A CLINIC TO CULTIVATE MYSELF Chapter 56 เหมือนกองทัพใหญ่ล้อมเมือง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นิยาย OPEN A CLINIC TO CULTIVATE MYS…

 

บทที่ 56 เหมือนกองทัพใหญ่ล้อมเมือง

 

“ผมมาจากมหาวิทยาลัยการแพทย์เมืองฉานเจียง” หนิงเถาพูดต่อว่า “ผมไม่มีอาจารย์และทักษะการแพทย์ของผมถูกส่งมอบจากบรรพบุรุษของผมเอง”

 

เฉินผิงดาวเป็นครูของเขาหรือไม่?

 

แน่นอนว่าไม่ใช่ครูของเขา ในแง่ของการสืบทอดทักษะการแพทย์ของเขาควรได้รับการสืบทอดจากวิถีแห่งสวรรค์โดยตรง เขาเกิดมาระหว่างความดีและชั่ว และยังเป็นเจ้าของคลินิกนภาซึ่งเป็นตัวแทนของวิถีแห่งสวรรค์ แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้จะต้องไม่พูดออกไป

 

จากนั้นก็เกิดเสียงขึ้นในห้องนั่งเล่นอีกครั้ง

 

“มหาวิทยาลัยการแพทย์เมืองฉานเจียงเป็นมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ทั่วไป แม้แต่ผอ.ของโรงเรียนก็ต้องเรียกฉันว่าอาจารย์เมื่อเขาเห็นฉัน แล้วทําไมนักเรียนแบบเธอถึงยังกล้าแสร้งทําเป็นว่าตัวเองเป็นหมอปาฏิหาริย์ต่อหน้าฉันกัน?”

 

“ตัดสินตามอายุของเขาแล้ว เขาควรจะเพิ่งจบการศึกษามาไม่นาน ฉันสงสัยว่าจริงๆแล้วเขามีคุณสมบัติที่จะเป็นหมอหรือเปล่า? เขากล้ามาที่นี่เพื่อดูอาการของท่านผู้เฒ่าได้ยังไง? ถ้าเรื่องนี้เกิดหลุดออกไปจะไม่เป็นที่หัวเราะของคนอื่นหรือไง?

 

หนิงเถายังไม่ได้ทําอะไรเลย เขาแค่บอกที่มาของตัวเองเท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่ากลุ่มคนเหล่านี้ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เพราะทันทีที่พวกเขารู้ชื่อมหาลัยแล้วก็โจมตีมาทันที อาจจะเพราะการแข่งขันในวงการแพทย์นั้นดุดเดือดอย่างมาก เมื่อพวกเขาพบแพทย์ที่ด้อยกว่าก็จะพูดจาเสียๆหายๆไปทันที

 

หยานซ่งได้ยกมือขึ้นและทั้งห้องก็เงียบทันที ไม่ยากเลยที่จะบอกตําแหน่งของเขาในหมู่แพทย์ที่มีชื่อเสียงเหล่านี้

 

“เอาละ! เธอต้องตอบฉันมาอย่างซื่อสัตย์ บอกฉันว่าเธอมาทําอะไรที่นี้? มาดูอาการของท่านผู้เฒ่าหรือ? ” หยานซ่งถามออกมาด้วยสีหน้าจริงจังบนใบหน้าของเขา สิ่งที่เราทําลงไป สมควรได้รับบางสิ่งบางอย่างกลับคืนมา” ควรจะถูกนํามาใช้ในคําพูดที่เรียบง่ายแบบนี้ แต่ตอนนี้มันถูกใช้เพื่อเรียกร้องให้หนิงเถาอธิบายเรื่องทั้งหมดออกมา

 

“ขอโทษครับ! ผมเป็นหมอและผมมาที่นี่เพื่อดูคนไข้ ไม่ใช่เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับความอาวุโสหรือประสบการณ์อะไร” หนิงเถาพูดออกมาอย่างสุภาพ

 

ใบหน้าของหยานซ่งที่ได้ยินแบบนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นบิดเปรี้ยวทันที เขาไม่มีทางคิดว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะกล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าของตัวเอง

 

หนิงเถาไม่ได้สนใจเหล่าแพทย์ที่ยืนรอบตัวเองเหมือนกําแพงเมืองอีกต่อไป เขาได้เลื่อนสายตาไปยังดึงค่อยี่แทนก่อนที่จะพูดว่า “คุณค่อยี่! ถ้าคุณเชื่อผมก็ให้ผมได้ลองดูอาการของพ่อคุณ แต่ถ้าคุณไม่เชื่อผมผมก็จะออกไปทันที”

 

ดึงค่อยี่ได้มองไปทางหยานซ่งอย่างลังเล ดูเหมือนว่าเขาจะให้น้ําหนักไปทางคําพูดของหยานซ่งมาก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เกิดความลังเลขึ้นมาแบบนี้

 

“คุณดึงค่อยี่! คุณเป็นคนมีเกียรติคนหนึ่ง การที่จะปล่อยให้ใครก็ไม่รู้มารักษานายผู้เฒ่ามันไม่มีทางเป็นไป ” หยานซ่งพูดอีกว่า” ถ้าเรื่องนี้หลุดออกไป ชื่อเสียงของตระกูลดิงของคุณจะต้องเสียหายอย่างแน่นอน”

 

เจียงเฮาที่ได้ฟังแบบนั้นก็โกรธขึ้น “เสียหายอะไร? คุณกล้าพูดแบบนั้นได้ยังไง? หรือว่าการที่ปล่อยให้คุณลุงปวยอยู่แบบนี้เป็นเรื่องดีกว่าการรักษาให้หายหรือไง?” จากนั้นเธอหันไปหาหิงค่อยี่และพูดว่า “พี่ค่อ! หมอหนิงนั้นเป็นคนที่ยุ่งมากมัน ไม่ใช้เรื่องง่ายเลยที่ฉันจะพาเขามาจากเมืองฉางเจียงได้ฉันขอร้องให้พี่เชื่อใจฉัน ถ้าฉันไม่มีความมั่นใจว่าเขาจะรักษาคุณลุงได้ ฉันไม่มีทางพาเขามาที่นี้อย่างเด็ดขาด “

 

มาถึงจุดนี้ดึงค่อยไม่มีการตอบกลับอะไรทั้งนั้น ความลังเลของเขาทําให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด

 

ถึงตอนนี้หนิงเถาต้องการจากไป แต่เขาก็ยอมแพ้เมื่อเขาเห็นใบหน้าที่เป็นกังวลของเจียงเฮา เขามาที่นี่เพราะของเจียงเฮาไม่ใช่เพราะใคร ต่อให้เป็นคนที่มีอํานาจมาขู่เขาถ้าเขาไม่ต้องการก็ไม่มีใครทําอะไรเขาได้

 

แต่ระหว่างนั้นเองฟานฮูหยิงก็ได้พูดขึ้นว่า “ผมคิดว่าหมอหนิงเป็นคนที่มีนิสัยที่ดีและมีการวางตัวที่ยอดเยี่ยมอย่างมากแน่นอนว่ามันไม่ใช้จุดที่สามารถนํามาพูดได้ แต่จากการสังเกตของผมตลอดเวลาที่พวกคุณกําลังโจมตีเขาอยู่นั้น เขาไม่ได้มีอาการกังวลหรือลังเลเกิดขึ้นเลยเมื่อพวกคุณพูดเรื่องการรักษาดังนั้นฉันจึงคิดว่าเราควรจะลองให้หมอหนิงลองรักษานายผู้เฒ่าดู

 

ทันทีที่ฟานฮูหยิงพูดออกมา ความลังเลของดึงค่อยี่ก็หายไป “ ถ้าอย่างนั้นเป็นอันตกลง คุณหมอหนิงสามารถเข้าไปได้หลังจากที่นักบวชลัทธิชิงออกมาแล้ว ”

 

หนิงเถาทําเพียงแค่พยักหน้าเป็นการตอบรับเท่านั้น ในตอนนี้มุมมองที่เขามีต่อฟานฮูหยิงได้เปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้อย่างมาก เพียงแค่คําพูดไม่กี่คําของอีกฝ่ายก็ทําให้ว่าที่ผู้นําตระกูลอย่างดึงค่อยคล้อยตามได้ และไหนจะกลุ่มแพทย์ที่ยืนอยู่โดยรอบนี้อีก ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะไม่ง่ายแล้ว!

 

ใบหน้าของหยานซึ่งมีดลงทันที แต่เขาก็พูดออกมาว่า “เมื่อคุณฟานพูดออกมาแบบนั้น ผมก็ไม่มีอะไรคัดค้าน” เขาพูดต่อว่า “แต่เด็กหนุ่ม! ถ้าเกิดว่าเธอสามารถรักษานายผู้เฒ่าได้จริงๆ ฉันจะยอมเป็นลูกศิษย์ของเธอเลย แต่ถ้าเกิดว่าเธอไม่สามารถรักษานายผู้เฒ่าได้ละก็ เธอต้องเลิกเป็นหมอตลอดชีวิต! เป็นไง! เธอกล้าพนันกับฉันไหม? ”

 

“ขอโทษครับ! ผมไม่เคยมีความคิดที่จะรับลูกศิษย์ หรือเดิมพันอะไร!” หนิงเถาตอบกลับมาอย่างเรียบๆ

 

ทันใดนั้นแพทย์ผู้มีชื่อเสียงเหล่านั้นต่างก็มองหน้ากันด้วยความตกใจและสงสัยว่าทําไมชายหนุ่มคนนี้ถึงมีความมั่นใจและกล้าหาญที่จะตอบกลับกับหยานซ่งแบบนั้น!

 

หยานซ่งเองก็รู้สึกโกรธมากจนเกือบจะเป็น ลมไปตรงนั้นเขาไม่ใช้ว่าต้องการให้หนิงเถาเป็นครูของเขาเสียเมื่อไหร่? ที่เขาทําไปก็เพราะต้องการดูถูกอีกฝ่ายและประณามการกระทําของเขาเท่านั้น ด้วยการพูดของฟานฮูหยิงและการยินยอมของดึงค่อยเท่ากับว่าฝีมือการแพทย์ของตัวเองด้อยค่ากว่าอีกฝ่าย ซึ่งมันเป็นอะไรที่ไม่สามารถยอมได้ ดังนั้นเขาจึงคิดจะใช้โอกาสนี้ทําให้อีกฝ่ายรู้ศึกตัวขึ้นมา!

 

การกระทําของหนิงเถานั้นจริงๆแล้วมันค่อนข้างสุภาพ แต่เขาไม่ใช่อิฐบนพื้นดินที่ทุกคนสามารถเหยียบได้ตามใจชอบเขาเป็นถึงเจ้าของคลินิกนภา ผู้ซึ่งเดินบนเส้นทางที่แตกต่างจากคนทั่วไป!

 

ฟานฮูหยิ่งได้มองไปทางหนึ่งเถาด้วยสายตาที่ลึกลับ และมองดูราวกับพยายามที่จะเจาะเข้าไปยังความคิดของเขา

 

ในขณะนั้นเองประตูที่ปลายทางเดินก็ได้เปิดออก และนักบวชชิงซุยก็เดินออกมาจากด้านหลังประตูนั้น ทันทีที่เขาเดินออกมาสิ่งแรกที่เขาทําคือการส่ายหัวในขณะที่เดินและพูดกับตัวเองว่า “มันแปลก มันแปลกเกินไป …”

 

ดึงค่อยีที่เห็นแบบนั้นก็รีบเดินเข้าไปและถามว่า “นักบวชลัทธิชิงซุย! คุณรักษาได้ไหม?”

 

นักบวชลัทธิชิงซุยเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะตอบว่า “โปรดยกโทษให้ความไร้ความสามารถของข้าด้วย! โรคนี้ไม่สามารถวินิจฉัยได้ด้วยยาหรือความสามารถของลัทธิเต๋ ข้านั้นรู้สึกละอายใจที่จะอยู่ที่นี้ ข้าต้องจากไปแล้ว ลาก่อน”

 

“นักบวชลัทธิชิงซุยอย่าพึ่งรีบกลับครับ!” ฟานฮูหยิ่งได้เป็นฝ่ายหยุดเขาเอาไว้ ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “ทําไมคุณถึงไม่รอการวินิจฉัยของหมอหนิงก่อน เมื่อถึงตอนนี้คุณจะกลับไปก็ไม่ได้เสียอะไรมากนัก”

 

จากนั้นสายตาของนักบวชลัทธิชิงซุยก็ตกลงบนตัวหนึ่งเถา เขาไม่ได้พูดอะไร แต่เขาก็ไม่ได้จากไปเหมือนก่อนหน้านี้ นี่แสดงให้เห็นว่าเขาเห็นด้วยกับคําพูดของฟานฮูหยิ่ง

 

“เชิญหมอหนิง” ระหว่างนั้นเองดึงค่อยี่ก็ได้พูดขึ้นมา

 

หนิงเถาได้เดินไปที่ประตูที่นักบวชลัทธิชิงซุยพึ่งจะออกมาพร้อมกับกล่องยาเล็กๆของเขา

 

เจียงเฮาเองก็ได้เดินตามหลังของหนิงเถาไป ก่อนที่เธอจะพูดขึ้นว่า “ฉันขอเข้าไปดูด้วยได้ไหม?”

 

“ใช้เ” ดึงค่อยเองก็พูดขึ้นมา

 

หนิงเถาได้หยุดเดินก่อนที่จะหันหลังกลับและพูดว่า “ผมมีกฎของตัวเองสําหรับรักษาผู้ป่วย นั้นคือจะต้องไม่มีบุคคลที่สามในห้องนั้นยกเว้นผู้ป่วยและผม เนื่องจากคุณอนุญาตให้ผมรักษานายผู้เฒ่า ดังนั้นคุณต้องปฏิบัติตามกฎของผม”

 

”ดึงค่อยเริ่มแสดงความลังเลขึ้นบนใบหน้าของเขา”

 

“นั่น ก็ชัดเจน”

 

“พี่ค่อ! นั่นเป็นกฏของหมอหนิง” เจียงเฮาพูดขึ้นทันทีว่า “ตอนนี้เราก็ควรจะรอจนกว่าเขาจะออกมา”

 

ดึงค่อยี่ที่ได้ยินแบบนั้นก็ทําได้เพียงถอนหายใจออกมาก่อน ที่จะตอบตกลง “เอาล่ะ! เราจะรอที่นี่”

 

หนิงเถาที่ได้ยินแล้วก็เดินเข้าไปในห้องที่อยู่สุดปลายทางเดินพร้อมกับกล่องยาและล็อคประตูจากด้านใน

 

บนเตียงมีชายแก่ตัวใหญ่ที่มีผมสั้นและหน้าสี่เหลี่ยม แม้ว่าเขาจะนอนอยู่บนเตียง แต่เขาก็ยังดูสง่างามและทําให้คนที่เห็นรู้สึกกดดันเล็กน้อย มันเป็นสิ่งที่คนที่ใช้ชีวิตระหว่างความเป็นและความตายเท่านั้นที่จะมีมัน

 

เขาคือดึงยี่อย่างแน่นอน

 

เมื่อหนิงเถามาถึงข้างเตียง อีกฝ่ายก็ได้ลืมตาขึ้นและมองเขา

 

ในขณะนั้นหนิงเถาพยายามสังเกตดูสิ่งผิดปกติในสายตาของอีกฝ่ายเหมือนกัน เขาต้องการรู้ว่าอีกฝ่ายได้เป็นปีศาจกลายพันธุ์รูปแบบใหม่ไหม?

 

อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายไม่มีสีตาเป็นสีเขียวที่บ่งบอกถึงอาการของปีศาจ มันเป็นตาดําเหมือนคนปกติและอีกฝ่ายก็มองเขาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีก่อนที่จะหลับตาไปอีกครั้ง

 

หนิงเถาที่เห็นแบบนั้นก็เปิดใช้ทักษะตาและจมูกของเขาทันที เพียงแค่การดูหนึ่งเขาก็สามารถบอกอะไรได้มากมายเช่นร่างกายของคิงยีนั้นถูกห่อด้วยออร่าสีสันสดใส ซึ่งเรื่องนี้ทําให้เขาประหลาดใจเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้เขาก็คิดไปว่าที่อีกฝ่ายปวยนั้นเกิดจากปีศาจที่เหมือนกันกับหลินชิงหัว อย่างไรก็ตามดูจากออร่าที่มีมาแล้วของหลินชิงหัวนั้นจะมีแสงสีน้ําเงินแสดงออกมา แต่ของดิงยีนั้นกับไม่ใช้แบบนั้น มันเต็มไปด้วยสีสันมากมายที่คนธรรมดาควรจะมีมัน

 

สิ่งที่น่าประหลาดยิ่งกว่านั้นก็คือดิ่งยี่ป่วยอย่างเห็นได้ชัดแต่ออร่าของเขากับแสดงออกว่าเขาไม่เพียงแค่ไม่ป่วยหรืออ่อนแอเท่านั้น แต่เขายังแข็งแรงกว่าคนในวัยเดียวกันอีก ด้วยกลิ่นที่กระจายมากจากอีกฝ่ายก็แสดงให้เห็นว่าอวัยวะข้างนั้นทํางานเป็นปกติ ไม่มีอะไรที่บ่งบอกถึงโรคร้ายเลย

 

จากการตรวจวินิจฉัยด้วยการมองและดมกลิ่น หนิงเถาก็เกือบจะแน่ใจว่าสิ่งที่นอนอยู่ตรงหน้านั้นเป็นชายชราที่แข็งแรงมากคนหนึ่ง อย่างไรก็ตามชายชราคนนี้กับกลายเป็นบ้าคลั่งและกัดหมาของเขาจนตาย!

 

“ แพทย์จํานวนมากและนักบวชลัทธิซึ่งไม่สามารถหาสาเหตุของความเจ็บปวยของดิ่งได้ ดังนั้นโรคของเขาต้องเป็นกรณีพิเศษ” หนิงเถาสรุปอาการของโรคในใจของตัวเอง

 

บัญชีแยกประเภทใบไผ่ของคลินิกนภาอยู่ในหีบยาขนาดเล็ก มันเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการวินิจฉัยโรคที่เกิดขึ้น ด้วยบัญชีแยกประเภทนี้ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายป่วยเป็นโรคอะไร มันก็จะแสดงออกมาอย่าละเอียด แล้วทําไมเขาถึงไม่ใช้มันตั้งแต่เข้ามา นั้นก็เพราะเขาต้องการวินิจฉัยสาเหตุของการเจ็บป่วยด้วยตัวเอง มันก็เหมือนกับการฝึกฝนตัวเองไปในตัว มันคงเป็นอะไรที่ไม่เข้าท่าที่เขาจะหวังฝึกของนอกกายตลอดเวลา

 

ดังยีที่นอนบนเตียงก็ลืมตาของเขาอีกครั้งและดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความอันตราย

 

ความรู้สึกของวิกฤตได้เกิดขึ้นกับหนิงเถาทนที่ และสัญชาติญาณเตือนให้เขาออกห่างอีกฝ่าย

 

ทันใดนั้นดึงยี่ก็ได้ลุกขึ้นจากเตียง ก่อนที่จะใช้มือที่อยู่ใต้ผ้าห่มพยายามคว้าคอของหนิงเถา

 

ส่งเสียงดังกราว!

 

โซ่เหล็กสองเส้นที่ล็อคข้อมือของดังยี่เอาไว้ทําให้มือของเขาหยุดนิ่งในอากาศ กระนั้นเขายังคงพยายามคว้าคอของหนิงเถาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเวลาผ่านไปการเคลื่อนไหวของเขาก็ทําให้ข้อมือเสียดสีเข้ากับห่วงเหล็กมากขึ้น ทําให้ตอนนี้เริ่มมีเลือดไหลออกมาจากข้อมือของอีกฝ่ายแล้ว และหลังจากที่มีเลือดไหลออกมาดึงยี่ก็เริ่มที่จะตะโกนเหมือนสัตว์ป่าออกมา

 

ในขณะนั้นหนิงเถาก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างบนตัวอีกฝ่ายเขาไม่ได้เปิดใช้งานทักษะการมองและการดมกลิ่นสําหรับตาและจมูกของเขาเมื่อเขาเพิ่งเข้ามาในห้อง ดังนั้นเขาจึงรู้สึกราวกับว่าเขาเห็นภาพลวงตาอะไรบางอย่าง อย่างไรก็ตาม

 

ตอนนี้ตาและจมูกของเขาอยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุด และนั้นทําให้เขาเห็นอะไรบางอย่างเข้า

 

เมื่อมันปรากฏตัวอีกครั้งบนตัวของดิงยี่ มันก็ตกอยู่ในสายตาของหนิงเถาแล้ว แน่นอนว่าหนิงเถารู้ว่าสิ่งผิดปกตินั้นคืออะไร ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิดมันเป็นร่องรอยของพลังงานบาป!

 

ทันทีที่ร่องรอยของพลังงานปรากฏขึ้น เส้นเลือดสีน้ําเงินบนแขนของดึงยี่ก็ปรากฏออกมาเช่นกัน มันได้ละลายโซ่เหล็กที่ล็อดมือเขาเอาไว้! นี่ไม่ใช่พลังที่ชายชราธรรมดาจะมีเลย นี่คือร่องรอยของพลังงานปริศนาเป็นตัวทํา!

 

หนิงเถาที่เห็นแบบนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าและจับมือของดึงยี่เอาไว้ ด้วยการสัมผัสกันแบบนี้เองทําให้เขาสามารถส่งพลังจิตวิญญาณของตัวเองเข้าไปได้ ทันทีที่พลังงานสีดําและสีขาวของเขาไหลผ่านเข้าไปผ่านแขนของอีกฝ่าย พวกมันก็เหมือนมังกรสองตัวที่มีพลังต่อสู่ที่แข็งแกร่ง

 

พลังจิตวิญญาณที่พัฒนาขึ้นทําให้หนิงเถามีความมั่นใจในการจัดการกับพลังงานปริศนานี้โดยตรง แทนที่จะวินิจฉัยมันผ่านบัญชีแยกประเภท

 

เขามีลางสังหรณ์ว่าร่องรอยของพลังงานปริศนาสีดําคือพลังงานรูปแบบเดียวกับที่เขามี มีความเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะถูกคนอื่นถ่ายพลังงานเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งมันแตกต่างจากที่เฉินผิงดาวทํากับเขา ซึ่งอย่างหลักนั้นทําไปเพราะต้องการมอบพลังในการเอาชีวิตรอดและแสดงความขอบคุณให้กับเขาแต่คนที่ทํากับดังยีนั้นเห็นได้ชัดว่าต้องการทําร้ายเขา ต้องการให้ทุกข์ทรมานถึงที่สุดก่อนที่จะตายไป

 

เมื่อพลังทางจิตวิญญาณสีดําและสีขาวของหนิงเถาเข้าสู่ร่างกายของคิง พลังงานมืดไม่กล้าต่อสู้กับพวกมันก่อนที่จะหายไปในชั่วพริบตา จากนั้นดึงยี่ก็เป็นเหมือนหุ่นกระบอกเชือกที่เชือกขาดไป เขาได้กลับไปหมดสติตามเดิมทันทีก่อนที่จะล้มลงไปนอนบนเตียงตามเดิม

 

“ฮี! แกกําลังพยายามหลบหนีตอนนี้? มันสายไปหน่อยไหม?” ริมฝีปากของหนิงเถาขดไปมาด้วยอาการเย้ยหยัน เขาเอื้อมมือออกไปและจับหน้าผากของดิงยี่ ในขณะนั้นเองพลังของเขาก็ได้ได้ค้นหาพลังงานปริศนานั้นพบและตรงเข้าไปทําลายมัน

 

พลังงานปริศนาที่อยู่ในร่างของดิงยื่นั้นคลายกับพลังงานจิตขาวดําของหนิงเถา แต่มันก็ไม่ได้ดีเท่ากับเขา มันเป็นเพียงของก๊อปเกรดต่ําเท่านั้น

 

พลังจิตวิญญาณสีดําและสีขาวพุ่งไปยังเป้าหมายเหมือนกองทัพที่ยิ่งใหญ่กําลังล้อมเมืองยังไงยังงั้น!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

OPEN A CLINIC TO CULTIVATE MYSELF 56 เหมือนกองทัพใหญ่ล้อมเมือง

Now you are reading OPEN A CLINIC TO CULTIVATE MYSELF Chapter 56 เหมือนกองทัพใหญ่ล้อมเมือง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นิยาย OPEN A CLINIC TO CULTIVATE MYS…

 

บทที่ 56 เหมือนกองทัพใหญ่ล้อมเมือง

 

“ผมมาจากมหาวิทยาลัยการแพทย์เมืองฉานเจียง” หนิงเถาพูดต่อว่า “ผมไม่มีอาจารย์และทักษะการแพทย์ของผมถูกส่งมอบจากบรรพบุรุษของผมเอง”

 

เฉินผิงดาวเป็นครูของเขาหรือไม่?

 

แน่นอนว่าไม่ใช่ครูของเขา ในแง่ของการสืบทอดทักษะการแพทย์ของเขาควรได้รับการสืบทอดจากวิถีแห่งสวรรค์โดยตรง เขาเกิดมาระหว่างความดีและชั่ว และยังเป็นเจ้าของคลินิกนภาซึ่งเป็นตัวแทนของวิถีแห่งสวรรค์ แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้จะต้องไม่พูดออกไป

 

จากนั้นก็เกิดเสียงขึ้นในห้องนั่งเล่นอีกครั้ง

 

“มหาวิทยาลัยการแพทย์เมืองฉานเจียงเป็นมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ทั่วไป แม้แต่ผอ.ของโรงเรียนก็ต้องเรียกฉันว่าอาจารย์เมื่อเขาเห็นฉัน แล้วทําไมนักเรียนแบบเธอถึงยังกล้าแสร้งทําเป็นว่าตัวเองเป็นหมอปาฏิหาริย์ต่อหน้าฉันกัน?”

 

“ตัดสินตามอายุของเขาแล้ว เขาควรจะเพิ่งจบการศึกษามาไม่นาน ฉันสงสัยว่าจริงๆแล้วเขามีคุณสมบัติที่จะเป็นหมอหรือเปล่า? เขากล้ามาที่นี่เพื่อดูอาการของท่านผู้เฒ่าได้ยังไง? ถ้าเรื่องนี้เกิดหลุดออกไปจะไม่เป็นที่หัวเราะของคนอื่นหรือไง?

 

หนิงเถายังไม่ได้ทําอะไรเลย เขาแค่บอกที่มาของตัวเองเท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่ากลุ่มคนเหล่านี้ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เพราะทันทีที่พวกเขารู้ชื่อมหาลัยแล้วก็โจมตีมาทันที อาจจะเพราะการแข่งขันในวงการแพทย์นั้นดุดเดือดอย่างมาก เมื่อพวกเขาพบแพทย์ที่ด้อยกว่าก็จะพูดจาเสียๆหายๆไปทันที

 

หยานซ่งได้ยกมือขึ้นและทั้งห้องก็เงียบทันที ไม่ยากเลยที่จะบอกตําแหน่งของเขาในหมู่แพทย์ที่มีชื่อเสียงเหล่านี้

 

“เอาละ! เธอต้องตอบฉันมาอย่างซื่อสัตย์ บอกฉันว่าเธอมาทําอะไรที่นี้? มาดูอาการของท่านผู้เฒ่าหรือ? ” หยานซ่งถามออกมาด้วยสีหน้าจริงจังบนใบหน้าของเขา สิ่งที่เราทําลงไป สมควรได้รับบางสิ่งบางอย่างกลับคืนมา” ควรจะถูกนํามาใช้ในคําพูดที่เรียบง่ายแบบนี้ แต่ตอนนี้มันถูกใช้เพื่อเรียกร้องให้หนิงเถาอธิบายเรื่องทั้งหมดออกมา

 

“ขอโทษครับ! ผมเป็นหมอและผมมาที่นี่เพื่อดูคนไข้ ไม่ใช่เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับความอาวุโสหรือประสบการณ์อะไร” หนิงเถาพูดออกมาอย่างสุภาพ

 

ใบหน้าของหยานซ่งที่ได้ยินแบบนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นบิดเปรี้ยวทันที เขาไม่มีทางคิดว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะกล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าของตัวเอง

 

หนิงเถาไม่ได้สนใจเหล่าแพทย์ที่ยืนรอบตัวเองเหมือนกําแพงเมืองอีกต่อไป เขาได้เลื่อนสายตาไปยังดึงค่อยี่แทนก่อนที่จะพูดว่า “คุณค่อยี่! ถ้าคุณเชื่อผมก็ให้ผมได้ลองดูอาการของพ่อคุณ แต่ถ้าคุณไม่เชื่อผมผมก็จะออกไปทันที”

 

ดึงค่อยี่ได้มองไปทางหยานซ่งอย่างลังเล ดูเหมือนว่าเขาจะให้น้ําหนักไปทางคําพูดของหยานซ่งมาก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เกิดความลังเลขึ้นมาแบบนี้

 

“คุณดึงค่อยี่! คุณเป็นคนมีเกียรติคนหนึ่ง การที่จะปล่อยให้ใครก็ไม่รู้มารักษานายผู้เฒ่ามันไม่มีทางเป็นไป ” หยานซ่งพูดอีกว่า” ถ้าเรื่องนี้หลุดออกไป ชื่อเสียงของตระกูลดิงของคุณจะต้องเสียหายอย่างแน่นอน”

 

เจียงเฮาที่ได้ฟังแบบนั้นก็โกรธขึ้น “เสียหายอะไร? คุณกล้าพูดแบบนั้นได้ยังไง? หรือว่าการที่ปล่อยให้คุณลุงปวยอยู่แบบนี้เป็นเรื่องดีกว่าการรักษาให้หายหรือไง?” จากนั้นเธอหันไปหาหิงค่อยี่และพูดว่า “พี่ค่อ! หมอหนิงนั้นเป็นคนที่ยุ่งมากมัน ไม่ใช้เรื่องง่ายเลยที่ฉันจะพาเขามาจากเมืองฉางเจียงได้ฉันขอร้องให้พี่เชื่อใจฉัน ถ้าฉันไม่มีความมั่นใจว่าเขาจะรักษาคุณลุงได้ ฉันไม่มีทางพาเขามาที่นี้อย่างเด็ดขาด “

 

มาถึงจุดนี้ดึงค่อยไม่มีการตอบกลับอะไรทั้งนั้น ความลังเลของเขาทําให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด

 

ถึงตอนนี้หนิงเถาต้องการจากไป แต่เขาก็ยอมแพ้เมื่อเขาเห็นใบหน้าที่เป็นกังวลของเจียงเฮา เขามาที่นี่เพราะของเจียงเฮาไม่ใช่เพราะใคร ต่อให้เป็นคนที่มีอํานาจมาขู่เขาถ้าเขาไม่ต้องการก็ไม่มีใครทําอะไรเขาได้

 

แต่ระหว่างนั้นเองฟานฮูหยิงก็ได้พูดขึ้นว่า “ผมคิดว่าหมอหนิงเป็นคนที่มีนิสัยที่ดีและมีการวางตัวที่ยอดเยี่ยมอย่างมากแน่นอนว่ามันไม่ใช้จุดที่สามารถนํามาพูดได้ แต่จากการสังเกตของผมตลอดเวลาที่พวกคุณกําลังโจมตีเขาอยู่นั้น เขาไม่ได้มีอาการกังวลหรือลังเลเกิดขึ้นเลยเมื่อพวกคุณพูดเรื่องการรักษาดังนั้นฉันจึงคิดว่าเราควรจะลองให้หมอหนิงลองรักษานายผู้เฒ่าดู

 

ทันทีที่ฟานฮูหยิงพูดออกมา ความลังเลของดึงค่อยี่ก็หายไป “ ถ้าอย่างนั้นเป็นอันตกลง คุณหมอหนิงสามารถเข้าไปได้หลังจากที่นักบวชลัทธิชิงออกมาแล้ว ”

 

หนิงเถาทําเพียงแค่พยักหน้าเป็นการตอบรับเท่านั้น ในตอนนี้มุมมองที่เขามีต่อฟานฮูหยิงได้เปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้อย่างมาก เพียงแค่คําพูดไม่กี่คําของอีกฝ่ายก็ทําให้ว่าที่ผู้นําตระกูลอย่างดึงค่อยคล้อยตามได้ และไหนจะกลุ่มแพทย์ที่ยืนอยู่โดยรอบนี้อีก ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะไม่ง่ายแล้ว!

 

ใบหน้าของหยานซึ่งมีดลงทันที แต่เขาก็พูดออกมาว่า “เมื่อคุณฟานพูดออกมาแบบนั้น ผมก็ไม่มีอะไรคัดค้าน” เขาพูดต่อว่า “แต่เด็กหนุ่ม! ถ้าเกิดว่าเธอสามารถรักษานายผู้เฒ่าได้จริงๆ ฉันจะยอมเป็นลูกศิษย์ของเธอเลย แต่ถ้าเกิดว่าเธอไม่สามารถรักษานายผู้เฒ่าได้ละก็ เธอต้องเลิกเป็นหมอตลอดชีวิต! เป็นไง! เธอกล้าพนันกับฉันไหม? ”

 

“ขอโทษครับ! ผมไม่เคยมีความคิดที่จะรับลูกศิษย์ หรือเดิมพันอะไร!” หนิงเถาตอบกลับมาอย่างเรียบๆ

 

ทันใดนั้นแพทย์ผู้มีชื่อเสียงเหล่านั้นต่างก็มองหน้ากันด้วยความตกใจและสงสัยว่าทําไมชายหนุ่มคนนี้ถึงมีความมั่นใจและกล้าหาญที่จะตอบกลับกับหยานซ่งแบบนั้น!

 

หยานซ่งเองก็รู้สึกโกรธมากจนเกือบจะเป็น ลมไปตรงนั้นเขาไม่ใช้ว่าต้องการให้หนิงเถาเป็นครูของเขาเสียเมื่อไหร่? ที่เขาทําไปก็เพราะต้องการดูถูกอีกฝ่ายและประณามการกระทําของเขาเท่านั้น ด้วยการพูดของฟานฮูหยิงและการยินยอมของดึงค่อยเท่ากับว่าฝีมือการแพทย์ของตัวเองด้อยค่ากว่าอีกฝ่าย ซึ่งมันเป็นอะไรที่ไม่สามารถยอมได้ ดังนั้นเขาจึงคิดจะใช้โอกาสนี้ทําให้อีกฝ่ายรู้ศึกตัวขึ้นมา!

 

การกระทําของหนิงเถานั้นจริงๆแล้วมันค่อนข้างสุภาพ แต่เขาไม่ใช่อิฐบนพื้นดินที่ทุกคนสามารถเหยียบได้ตามใจชอบเขาเป็นถึงเจ้าของคลินิกนภา ผู้ซึ่งเดินบนเส้นทางที่แตกต่างจากคนทั่วไป!

 

ฟานฮูหยิ่งได้มองไปทางหนึ่งเถาด้วยสายตาที่ลึกลับ และมองดูราวกับพยายามที่จะเจาะเข้าไปยังความคิดของเขา

 

ในขณะนั้นเองประตูที่ปลายทางเดินก็ได้เปิดออก และนักบวชชิงซุยก็เดินออกมาจากด้านหลังประตูนั้น ทันทีที่เขาเดินออกมาสิ่งแรกที่เขาทําคือการส่ายหัวในขณะที่เดินและพูดกับตัวเองว่า “มันแปลก มันแปลกเกินไป …”

 

ดึงค่อยีที่เห็นแบบนั้นก็รีบเดินเข้าไปและถามว่า “นักบวชลัทธิชิงซุย! คุณรักษาได้ไหม?”

 

นักบวชลัทธิชิงซุยเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะตอบว่า “โปรดยกโทษให้ความไร้ความสามารถของข้าด้วย! โรคนี้ไม่สามารถวินิจฉัยได้ด้วยยาหรือความสามารถของลัทธิเต๋ ข้านั้นรู้สึกละอายใจที่จะอยู่ที่นี้ ข้าต้องจากไปแล้ว ลาก่อน”

 

“นักบวชลัทธิชิงซุยอย่าพึ่งรีบกลับครับ!” ฟานฮูหยิ่งได้เป็นฝ่ายหยุดเขาเอาไว้ ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “ทําไมคุณถึงไม่รอการวินิจฉัยของหมอหนิงก่อน เมื่อถึงตอนนี้คุณจะกลับไปก็ไม่ได้เสียอะไรมากนัก”

 

จากนั้นสายตาของนักบวชลัทธิชิงซุยก็ตกลงบนตัวหนึ่งเถา เขาไม่ได้พูดอะไร แต่เขาก็ไม่ได้จากไปเหมือนก่อนหน้านี้ นี่แสดงให้เห็นว่าเขาเห็นด้วยกับคําพูดของฟานฮูหยิ่ง

 

“เชิญหมอหนิง” ระหว่างนั้นเองดึงค่อยี่ก็ได้พูดขึ้นมา

 

หนิงเถาได้เดินไปที่ประตูที่นักบวชลัทธิชิงซุยพึ่งจะออกมาพร้อมกับกล่องยาเล็กๆของเขา

 

เจียงเฮาเองก็ได้เดินตามหลังของหนิงเถาไป ก่อนที่เธอจะพูดขึ้นว่า “ฉันขอเข้าไปดูด้วยได้ไหม?”

 

“ใช้เ” ดึงค่อยเองก็พูดขึ้นมา

 

หนิงเถาได้หยุดเดินก่อนที่จะหันหลังกลับและพูดว่า “ผมมีกฎของตัวเองสําหรับรักษาผู้ป่วย นั้นคือจะต้องไม่มีบุคคลที่สามในห้องนั้นยกเว้นผู้ป่วยและผม เนื่องจากคุณอนุญาตให้ผมรักษานายผู้เฒ่า ดังนั้นคุณต้องปฏิบัติตามกฎของผม”

 

”ดึงค่อยเริ่มแสดงความลังเลขึ้นบนใบหน้าของเขา”

 

“นั่น ก็ชัดเจน”

 

“พี่ค่อ! นั่นเป็นกฏของหมอหนิง” เจียงเฮาพูดขึ้นทันทีว่า “ตอนนี้เราก็ควรจะรอจนกว่าเขาจะออกมา”

 

ดึงค่อยี่ที่ได้ยินแบบนั้นก็ทําได้เพียงถอนหายใจออกมาก่อน ที่จะตอบตกลง “เอาล่ะ! เราจะรอที่นี่”

 

หนิงเถาที่ได้ยินแล้วก็เดินเข้าไปในห้องที่อยู่สุดปลายทางเดินพร้อมกับกล่องยาและล็อคประตูจากด้านใน

 

บนเตียงมีชายแก่ตัวใหญ่ที่มีผมสั้นและหน้าสี่เหลี่ยม แม้ว่าเขาจะนอนอยู่บนเตียง แต่เขาก็ยังดูสง่างามและทําให้คนที่เห็นรู้สึกกดดันเล็กน้อย มันเป็นสิ่งที่คนที่ใช้ชีวิตระหว่างความเป็นและความตายเท่านั้นที่จะมีมัน

 

เขาคือดึงยี่อย่างแน่นอน

 

เมื่อหนิงเถามาถึงข้างเตียง อีกฝ่ายก็ได้ลืมตาขึ้นและมองเขา

 

ในขณะนั้นหนิงเถาพยายามสังเกตดูสิ่งผิดปกติในสายตาของอีกฝ่ายเหมือนกัน เขาต้องการรู้ว่าอีกฝ่ายได้เป็นปีศาจกลายพันธุ์รูปแบบใหม่ไหม?

 

อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายไม่มีสีตาเป็นสีเขียวที่บ่งบอกถึงอาการของปีศาจ มันเป็นตาดําเหมือนคนปกติและอีกฝ่ายก็มองเขาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีก่อนที่จะหลับตาไปอีกครั้ง

 

หนิงเถาที่เห็นแบบนั้นก็เปิดใช้ทักษะตาและจมูกของเขาทันที เพียงแค่การดูหนึ่งเขาก็สามารถบอกอะไรได้มากมายเช่นร่างกายของคิงยีนั้นถูกห่อด้วยออร่าสีสันสดใส ซึ่งเรื่องนี้ทําให้เขาประหลาดใจเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้เขาก็คิดไปว่าที่อีกฝ่ายปวยนั้นเกิดจากปีศาจที่เหมือนกันกับหลินชิงหัว อย่างไรก็ตามดูจากออร่าที่มีมาแล้วของหลินชิงหัวนั้นจะมีแสงสีน้ําเงินแสดงออกมา แต่ของดิงยีนั้นกับไม่ใช้แบบนั้น มันเต็มไปด้วยสีสันมากมายที่คนธรรมดาควรจะมีมัน

 

สิ่งที่น่าประหลาดยิ่งกว่านั้นก็คือดิ่งยี่ป่วยอย่างเห็นได้ชัดแต่ออร่าของเขากับแสดงออกว่าเขาไม่เพียงแค่ไม่ป่วยหรืออ่อนแอเท่านั้น แต่เขายังแข็งแรงกว่าคนในวัยเดียวกันอีก ด้วยกลิ่นที่กระจายมากจากอีกฝ่ายก็แสดงให้เห็นว่าอวัยวะข้างนั้นทํางานเป็นปกติ ไม่มีอะไรที่บ่งบอกถึงโรคร้ายเลย

 

จากการตรวจวินิจฉัยด้วยการมองและดมกลิ่น หนิงเถาก็เกือบจะแน่ใจว่าสิ่งที่นอนอยู่ตรงหน้านั้นเป็นชายชราที่แข็งแรงมากคนหนึ่ง อย่างไรก็ตามชายชราคนนี้กับกลายเป็นบ้าคลั่งและกัดหมาของเขาจนตาย!

 

“ แพทย์จํานวนมากและนักบวชลัทธิซึ่งไม่สามารถหาสาเหตุของความเจ็บปวยของดิ่งได้ ดังนั้นโรคของเขาต้องเป็นกรณีพิเศษ” หนิงเถาสรุปอาการของโรคในใจของตัวเอง

 

บัญชีแยกประเภทใบไผ่ของคลินิกนภาอยู่ในหีบยาขนาดเล็ก มันเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการวินิจฉัยโรคที่เกิดขึ้น ด้วยบัญชีแยกประเภทนี้ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายป่วยเป็นโรคอะไร มันก็จะแสดงออกมาอย่าละเอียด แล้วทําไมเขาถึงไม่ใช้มันตั้งแต่เข้ามา นั้นก็เพราะเขาต้องการวินิจฉัยสาเหตุของการเจ็บป่วยด้วยตัวเอง มันก็เหมือนกับการฝึกฝนตัวเองไปในตัว มันคงเป็นอะไรที่ไม่เข้าท่าที่เขาจะหวังฝึกของนอกกายตลอดเวลา

 

ดังยีที่นอนบนเตียงก็ลืมตาของเขาอีกครั้งและดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความอันตราย

 

ความรู้สึกของวิกฤตได้เกิดขึ้นกับหนิงเถาทนที่ และสัญชาติญาณเตือนให้เขาออกห่างอีกฝ่าย

 

ทันใดนั้นดึงยี่ก็ได้ลุกขึ้นจากเตียง ก่อนที่จะใช้มือที่อยู่ใต้ผ้าห่มพยายามคว้าคอของหนิงเถา

 

ส่งเสียงดังกราว!

 

โซ่เหล็กสองเส้นที่ล็อคข้อมือของดังยี่เอาไว้ทําให้มือของเขาหยุดนิ่งในอากาศ กระนั้นเขายังคงพยายามคว้าคอของหนิงเถาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเวลาผ่านไปการเคลื่อนไหวของเขาก็ทําให้ข้อมือเสียดสีเข้ากับห่วงเหล็กมากขึ้น ทําให้ตอนนี้เริ่มมีเลือดไหลออกมาจากข้อมือของอีกฝ่ายแล้ว และหลังจากที่มีเลือดไหลออกมาดึงยี่ก็เริ่มที่จะตะโกนเหมือนสัตว์ป่าออกมา

 

ในขณะนั้นหนิงเถาก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างบนตัวอีกฝ่ายเขาไม่ได้เปิดใช้งานทักษะการมองและการดมกลิ่นสําหรับตาและจมูกของเขาเมื่อเขาเพิ่งเข้ามาในห้อง ดังนั้นเขาจึงรู้สึกราวกับว่าเขาเห็นภาพลวงตาอะไรบางอย่าง อย่างไรก็ตาม

 

ตอนนี้ตาและจมูกของเขาอยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุด และนั้นทําให้เขาเห็นอะไรบางอย่างเข้า

 

เมื่อมันปรากฏตัวอีกครั้งบนตัวของดิงยี่ มันก็ตกอยู่ในสายตาของหนิงเถาแล้ว แน่นอนว่าหนิงเถารู้ว่าสิ่งผิดปกตินั้นคืออะไร ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิดมันเป็นร่องรอยของพลังงานบาป!

 

ทันทีที่ร่องรอยของพลังงานปรากฏขึ้น เส้นเลือดสีน้ําเงินบนแขนของดึงยี่ก็ปรากฏออกมาเช่นกัน มันได้ละลายโซ่เหล็กที่ล็อดมือเขาเอาไว้! นี่ไม่ใช่พลังที่ชายชราธรรมดาจะมีเลย นี่คือร่องรอยของพลังงานปริศนาเป็นตัวทํา!

 

หนิงเถาที่เห็นแบบนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าและจับมือของดึงยี่เอาไว้ ด้วยการสัมผัสกันแบบนี้เองทําให้เขาสามารถส่งพลังจิตวิญญาณของตัวเองเข้าไปได้ ทันทีที่พลังงานสีดําและสีขาวของเขาไหลผ่านเข้าไปผ่านแขนของอีกฝ่าย พวกมันก็เหมือนมังกรสองตัวที่มีพลังต่อสู่ที่แข็งแกร่ง

 

พลังจิตวิญญาณที่พัฒนาขึ้นทําให้หนิงเถามีความมั่นใจในการจัดการกับพลังงานปริศนานี้โดยตรง แทนที่จะวินิจฉัยมันผ่านบัญชีแยกประเภท

 

เขามีลางสังหรณ์ว่าร่องรอยของพลังงานปริศนาสีดําคือพลังงานรูปแบบเดียวกับที่เขามี มีความเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะถูกคนอื่นถ่ายพลังงานเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งมันแตกต่างจากที่เฉินผิงดาวทํากับเขา ซึ่งอย่างหลักนั้นทําไปเพราะต้องการมอบพลังในการเอาชีวิตรอดและแสดงความขอบคุณให้กับเขาแต่คนที่ทํากับดังยีนั้นเห็นได้ชัดว่าต้องการทําร้ายเขา ต้องการให้ทุกข์ทรมานถึงที่สุดก่อนที่จะตายไป

 

เมื่อพลังทางจิตวิญญาณสีดําและสีขาวของหนิงเถาเข้าสู่ร่างกายของคิง พลังงานมืดไม่กล้าต่อสู้กับพวกมันก่อนที่จะหายไปในชั่วพริบตา จากนั้นดึงยี่ก็เป็นเหมือนหุ่นกระบอกเชือกที่เชือกขาดไป เขาได้กลับไปหมดสติตามเดิมทันทีก่อนที่จะล้มลงไปนอนบนเตียงตามเดิม

 

“ฮี! แกกําลังพยายามหลบหนีตอนนี้? มันสายไปหน่อยไหม?” ริมฝีปากของหนิงเถาขดไปมาด้วยอาการเย้ยหยัน เขาเอื้อมมือออกไปและจับหน้าผากของดิงยี่ ในขณะนั้นเองพลังของเขาก็ได้ได้ค้นหาพลังงานปริศนานั้นพบและตรงเข้าไปทําลายมัน

 

พลังงานปริศนาที่อยู่ในร่างของดิงยื่นั้นคลายกับพลังงานจิตขาวดําของหนิงเถา แต่มันก็ไม่ได้ดีเท่ากับเขา มันเป็นเพียงของก๊อปเกรดต่ําเท่านั้น

 

พลังจิตวิญญาณสีดําและสีขาวพุ่งไปยังเป้าหมายเหมือนกองทัพที่ยิ่งใหญ่กําลังล้อมเมืองยังไงยังงั้น!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+