การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] 52

Now you are reading การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] Chapter 52 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ ๕๒

 

หลังจากนั้นสองชั่วยาม มันก็เป็นกลางคืนที่มืดมิดที่่สุด

 

ฟ่างหยวนที่เหนื่อยสายตัวแทบขาดนอนแผ่อยู่บนรถม้าที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบและมองซูหลี่ขับรถม้าอย่างคล่องเเคล่วเข้าไปในส่วนลึกของภูเขา เขารู้สึกประหลาดขึ้นในทุกขณะ ดูจากสถานที่ของซูหลี่ในฐานะของคุณหนูตระกูลซูแล้วนางจะมีทักษะการขับรถม้าที่ดีได้อย่างไรกัน?

 

ในสายตาของเขา ซูหลี่ช่างลึกลับและคาดเดาไม่ได้เหมือนกับหมอกควัน

 

เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่งหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วอึดใจ มองที่ด้านหลังของรถม้าแล้วเขาก็ย่นคิ้วและโพล่งออกมา “แม่นาง…ซูหลี่ รถม้าหนักเกินไปจนมันทิ้งรอยลึกไว้ เราจะถูกเจอตัวได้ง่ายนะ”

 

“ไม่จริงหรอก” ซูหลี่ตอบอย่างมั่นใจตรงด้านหน้ารถม้าและไม่เอ่ยอะไรอีก

 

ฟ่างหยวนอดไม่ได้ที่จะย่นคิ้วหนักขึ้น เขาจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในถนนทิศใต้วันนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรอีก กลับหันหลังและนอนลงฟื้นฟูพลัง

 

หนึ่งชั่วยามต่อมา ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีขาวและรถม้าก็หยุดวิ่งในที่สุด

 

ฟ่างหยวนหันหลังและกระโดดออกจากรถม้า มองไปรอบ ๆเขาก็ต้องประหลาดใจ สถานที่แห่งนี้สันโดษยิ่งนัก เขาไม่คิดว่าจะมีสถานที่แบบนี้อยู่ใกล้เมืองต้าซูด้วย

 

พวกเขาอยู่ในหุบเขาธรรมชาติซึ่งแคบอย่างยิ่ง ทั้งสองฝั่งภูเขาอันโล่งเตียนปกคลุมด้วยไม้เลื้อยขึ้นปกคลุมท้องฟ้าทั้งหมด หากซูหลี่ไม่ได้พาเขามาที่นี่เขาก็ไม่เจอมัน

 

“ทิ้งรถม้าไว้ที่นี่แหละ เรากลับกันเถอะ อีกไม่นานบ้านตระกูลซูก็คงจะวุ่นวาย ข้าต้องกลับไปร่วมสนุกแล้ว”

 

เห็นซูหลี่เอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อนเช่นนั้น ฟ่างหยวนก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตาและเอ่ยขึ้น “เจ้าน่าจะคิดหาวิธีปกปิดร่องรอยนะ”

 

จากนั้นเขาก็เดินออกจากหุบเขาด้วยความร้อนใจ เพียงเพื่อเห็นว่าถนนเรียบกริบไร้ร่องรอย

 

“ทำได้ไงเนี่ย…?”

 

ฟ่างหยวนอัศจรรย์ใจนัก เขาเห็นรอยล้อที่รถม้าทิ้งไว้อย่างชัดเจนอยู่บนพื้นถนน มันหายไปได้อย่างไรกัน? อัศจรรย์เหลือเกิน!

 

“รีบกลับไปกันเถอะ”

 

ใบหน้าของซูหลี่ดูเป็นปกติ นางเร่งฟ่างหยวนแล้วพวกเขาก็เดินออกจากหุบเขา ฟ่างหยวนได้สติกลับคืนมาและรีบเดินตามไป เมื่อเดินกลับมาเขาก็รู้สึกตกใจมากขึ้น รอยล้อที่พวกเขาทิ้งไว้ได้หายไปแล้ว ซูหลี่…นางทำได้อย่างไรกัน?

 

“กลยุทธ์เล็กน้อย อย่าถามมากนักเลย” ซูหลี่เอ่ย นางเข้าไปในบ้านตระกูลซูจากประตูด้านหลังเรือนจินหยวนและหายตัวไป

 

“นี่หรือกลยุทธ์เล็กน้อย?” ฟ่างหยวนยิ้มขื่น ทักษะขั้นเทพเช่นนี้ไม่เคยปรากฏในหนานเจียงอันเป็นสถานที่เต็มไปด้วยเล่ห์กลด้วยซ้ำ

 

ถึงเวลาตื่นนอนพอดีในตอนที่ซูหลี่กลับมาที่เรือนจินหยวน นางเปลี่ยนเสื้อผ้าและไม่ได้นอนลง แม่บ้านหลี่เดินเข้ามาปลุกนางขึ้น

 

ต้องขอบคุณวรยุทธ์ของนาง ซูหลี่จึงไม่รู้สึกอ่อนล้าแม้ความจริงแล้วนางจะไม่ได้นอนเลยทั้งคืน นางล้างหน้า ทานอาหาร และเข้าเรียนตามปกติ มีเพียงตอนที่นางอยู่ลำพังเท่านั้นถึงแสดงท่าทีเศร้าสร้อยเล็กน้อยออกมา

 

“น่าเสียดายที่ดินหายากที่ปลุกเสกได้ยากเย็นถูกใช้หมดแล้ว…”

 

นางมีทักษะปลุกเสกดินหายากโดยบังเอิญในชีวิตชาติที่แล้ว ด้วยดินหายากเพียงเล็กน้อยกระจายตัวอยู่ตลอดทาง ไม่ว่าถนนจะเสียหายแค่ไหนภายในสามชั่วยาม มันก็กลับคืนสู่สภาพปกติ อีกทั้งดินนี้ยังมีฤทธิ์อำพรางกลิ่นทุกชนิดด้วย

 

สามชั่วยามให้หลัง ดินหายากก็กลายเป็นดินธรรมดาและร่องรอยล้อรถก็ไม่อาจจับได้ ในชีวิตชาติที่แล้วนางหลีกเลี่ยงการสังหารได้หลายครั้งก็เป็นเพราะดินหายาก ดังนั้นในชีวิตนี้นางจึงเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันทั้งหลาย

 

หลังการเรียนในช่วงเช้า ซูหลี่ก็กลับเรือนจินหยวน บ้านตระกูลซูยังคงเงียบเป็นปกติ

 

“ดูเหมือนว่าซูฮ่วนหลี่ปิดข่าวอยู่ เขาไม่ใช่คนโง่”

 

วางพู่กันลงแล้ว ซูหลี่ก็เป่าหมึกบนจดหมายจนแห่ง สีหน้าสงบนิ่งของนางฉายแววเย็นเยือกบางส่วน

 

ที่โกดังตรงภูเขาหลังบ้านตระกูลซู ซูฮ่วนหลี่หน้าซีดเมื่อเห็นกระสอบเครื่องปรุงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดตรงมุมของโกดัง เขาทุบกำแพงอย่างแรงและตะโกนเสียงทุ้ม

 

“โกดังบ้านตระกูลซูช่างลึกลับนัก ใครบนโลกนี้ทำเรื่องนี้กัน? มีเครื่องปรุงเหลือเพียงน้อยนิดเช่นนี้ ตึกไป๋เว่ยไม่อาจอยู่ภายในสองวันแน่!”

 

หลี่หยินย่นคิ้วหนัก เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?

 

“นายท่าน ผู้คุ้มกันทั้งหลายต่างสลบกันด้วยฤทธิ์ธูปยาสลบและไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้ว…มันก็แปลกที่ไม่มีร่องรอยรถม้าด้านนอกโกดังเลยขอรับ”

 

ได้ยินการวิเคราะห์ของหลี่หยินแล้ว ซูฮ่วนหลี่ก็พลันเอ่ยเสียงโกรธแค้น “หรือว่าเครื่องปรุงทั้งหลายบินหายไปด้วยตัวมันเองล่ะ? พ่อบ้านหลี่ บนภูเขาใกล้เมืองต้าซูไม่มีวัตถุดิบสดเหลืออยู่แล้วใช่ไหม?”

 

หลี่หยินรีบก้มหน้าและเอ่ยตอบ “นายท่าย หลังจากที่เราสำรวจในเดือนนี้แล้ว เราพบว่าระยะเก็บเกี่ยวของต้นเครื่องเทศเหล่านั้นได้ผ่านไปแล้วขอรับ วัตถุดิบทั้งหลายถูกเก็บมาไว้ในโกดังหมดแล้ว ต่อให้เราค้นหาในภูเขาของเมืองอื่นก็ไม่พบแล้วขอรับ”

 

“บ้าเอ๊ย มันต้องไม่มีอะไรแบบนี้สิ!”

 

ซูฮ่วนหลี่โกรธจนตัวสั่นเทิ้ม “ช่างบังเอิญนัก! จะต้องมีหนอนบ่อนไส้อยู่ในตระกูลซูแน่ ๆ! บ้าเอ๊ย ไม่มีวัตถุดิบพวกนั้นแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำไก่ขอทาน และชื่อเสียงของตึกไป๋เว่ยก็จะตกฮวบแน่! เป็นลูกไม้ที่ชาญฉลาดนัก! ใครกันที่หมายหัวตระกูลซูของเรา…”

 

ยิ่งซูฮ่วนหลี่พูด เขาก็ยิ่งรู้สึกหนาวเหน็บและสิ้นหวัง วิธีการของศัตรูถือว่ายิ่งกว่าฉลาด ดูเหมือนว่าทุกสิ่งที่พวกเขาทำล้วนอยู่ในสายตา แต่ตระกูลซูก็ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ทำเรื่องนี้

 

ซูฮ่วนหลี่สงบสติลงหลังจากสูดหายใจครู่หนึ่ง เขาออกคำสั่งด้วยเสียงต่ำ “อย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่อาจอธิบายเรื่องนี้กับตระกูลหยางและตระกูลจูได้ ไปถามเอ้อร์…หลี่ ว่ามีเครื่องปรุงตัวไหนที่ใช้แทนกันได้บ้าง ไม่อย่างนั้นก็ขอให้นางพัฒนาอาหารจานใหม่เสียเลย!”

 

หลี่หยินถอนหายใจเบา ๆ เมื่อได้ยินคำพูด อาหารจานใหม่ไม่ใช่เรื่องที่จะพัฒนากันง่าย ๆ เลย ตึกไป๋เว่ยถึงกาลอวสานก็ตอนนี้ล่ะ

 

หลี่หยินรีบตรงไปที่เรือนจินหยวน

 

“วัตถุดิบถูกขโมย? พัฒนาอาหารสูตรใหม่?”

 

ในห้องหนังสือ ซูหลี่ยืนขึ้นด้วยอาการประหลาดใจและเอ่ยขึ้น “พ่อบ้าน เกิดอะไรขึ้นกันจ๊ะ? ทำไมวัตถุดิบพวกนั้นถึงถูกขโมยไปล่ะ?”

 

หลี่หยินถอนหายใจ เมื่อเขาพร้อมที่จะอธิบาย เขาก็ได้ยินเสียงผู้คุมตะโกนจากด้านนอก “พ่อบ้าน มาดูจดหมายที่ประตูเร็วขอรับ!”

 

หลี่หยินที่มีท่าทางแข็งกร้าวก็พุ่งไปที่ประตูรั้ว เขาหยิบซองจดหมายในมือของผู้คุมและเอ่ยถาม “เจอมันที่ไหน?”

 

“ตอนที่ข้าเปิดประตู จดหมายก็ร่วงลงมาจากรอยแยกระหว่างประตูน่ะขอรับ” ได้ยินคำพูดจริงใจของผู้คุม หลี่หยินยิ่งย่นคิ้วหนักขึ้น เขาไม่อาจระบุเวลาที่แน่นอนได้จากรายละเอียดนี้เลย

 

หลี่หยินคลี่จดหมายอ่าน หลังจากที่เขากวาดสายตาคร่าว ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารีบนำจดหมายไปให้เจ้านายทันที

 

“ข้าโชคดีนักที่ได้วัตถุดิบทำไก่ขอทานมานับร้อยจิน! (หน่วยน้ำหนัก มีค่าเท่ากับครึ่งกิโลกรัม) ราคาของมันอยู่ที่แปดร้อยชั่งต่อหนึ่งจิน นึกถึงสภาพทางการเงินของตระกูลซูแล้ว มันก็น่าจะเป็นเรื่องง่ายที่จะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งหมื่นชั่ง ซูฮ่วนหลี่ จำไว้ให้ดี ถ้าแกมาพร้อมกับคนของทางการหรือผู้คุ้มกัน ข้าจะหายไปในทันที หากยังต้องการตึกไป๋เว่ยอยู่ ก็มาแลกเปลี่ยนด้วยตัวเอง! ข้าจะไม่รอ!”

 

ซูฮ่วนหลี่อ่านด้วยมือสั่นเทิ้มและพลันฉีกจดหมายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยความโกรธ “นี่มันจดหมายข่มขู่ชัด ๆ! บ้าเอ๊ย! บ้าเอ๊ย!”

 

หลี่หยินส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “นายท่าน หัวขโมยขายเครื่องปรุงได้อย่างโจ๋งครึ่มจริง ๆ หลังจากขโมยพวกมันมาแล้ว! เห็นชัดว่าเขารู้ว่าตระกูลซูของเราไม่อาจละทิ้งไก่ขอทานได้ วัตถุดิบเครื่องปรุงหนึ่งจินสามารถทำไก่ขอทานได้นับสามร้อยจาน บวกกับมูลค่าไก่ขอทานที่คุณหนูสองทำแล้ว กำไรสุทธิก็จะอยู่ที่ราวสองพันห้าร้อยชั่ง ตระกูลซูของเราได้ส่วนแบ่งร้อยละสี่สิบจากทั้งหมด ซึ่งมีค่าเพียงเงินหนึ่งพันชั่งเท่านั้น หัวขโมยต้องการแปดร้อยชั่ง ซึ่งนั่นก็เป็นเส้นตายพอดี นี่มันแย่จริง ๆ เลยขอรับ…”

 

ได้ยินการวิเคราะห์แล้ว ซูฮ่วนหลี่ก็เหงื่อแตกพลั่กในทันที ตระกูลซูของเขาไปพัวพันกับศัตรูชั่วร้ายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? โดยไม่รู้ตัว ศัตรูผู้นี้ก็ขโมยเครื่องปรุงทั้งหมดและรู้ถึงเส้นตายของผลกำไรตระกูลซูอีกต่างหาก เขาไม่ใช่หนอนบ่อนไส้แต่เป็นพยาธิในตระกูลซูเลยต่างหาก!

 

“แต่หัวขโมยพลาดไปจุดหนึ่ง” หลี่หยินกระซิบ “ตระกูลจูกับตระกูลหยางไม่พบความผิดปกติในบัญชีปลอมที่เราให้เขาไปเมื่อก่อนหน้านี้ ดังนั้นผลกำไรของตระกูลซูเราจะอยู่ที่ร้อยละหกสิบ ขณะที่ตระกูลจูกับตระกูลหยางได้ส่วนแบ่งไปอย่างมากก็แปดร้อยชั่ง เราจึงไม่สูญเสียมากขนาดนั้น”

 

ซูฮ่วนหลี่ดูดีขึ้นแต่ยังมีใบหน้าซีดเผือด เขาเอ่ยตอบ “คืนนี้ มากับข้าแล้วซ่อนตัวในที่มืด หากจับหัวขโมยได้แล้วข้าจะถลกหนังมันซะ!”

 

หลี่หยินเงียบไปครู่หนึ่งและสัญญาอย่างลำบากใจ

 

ซูฮ่วนหลี่ถอนหายใจและเอ่ยอย่างจนปัญญา “พ่อบ้านหลี่ ข้ารู้ว่าท่านลำบากใจนัก แต่ตระกูลซูไม่ใช่ตระกูลที่ฝึกวรยุทธ์ เผชิญหน้ากับอันตรายเช่นนี้ข้าทำได้เพียงพึ่งเจ้า หากเจ้าช่วยข้าจับหัวขโมยได้ เจ้าก็รับทรัพย์สินบ้านตระกูลซูไปเลยครึ่งหนึ่ง”

 

หลี่หยินตกใจและรีบเอ่ยตอบ “นายท่าน ข้าไม่เคยคิดที่จะครอบครองสมบัติของตระกูลซูเลยขอรับ ข้าแค่อยากอยู่ที่นี่จนกว่าจะเกษียณเท่านั้น”

 

ได้ยินพ่อบ้านเอ่ยเช่นนั้นซูฮ่วนหลี่ก็ยิ้มและหยีตาเอ่ย “หากเป็นเช่นนั้นข้าก็ไม่บังคับให้เจ้ารับล่ะ แต่วันนี้ระวังตัวด้วย”

 

“ขอรับนายท่าน”

 

ในตอนบ่าย อากาศช่างปลอดโปร่งอย่างยิ่ง ตึกไป๋เว่ยยังคงวุ่นวายอย่างเคย ทว่าฟ่างหยวนรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไป ดูเหมือนว่ามันมีคลื่นใต้น้ำภายใต้ผิวน้ำนิ่งสงบและยากจะคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรตามมา

 

“นางจะจัดการกับเครื่องปรุงพวกนั้นอย่างไรกันนะ…” ฟ่างหยวนรู้สึกสงสัยและก็ไม่กล้ามองซูหลี่ด้วยกลัวว่าตัวเองจะถูกเปิดโปง

 

พริบตาเดียวก็เป็นเวลากลางคืน แสงจันทร์สาดส่องบนสะพานซานเหอราวกับม่านบางเบา และผืนทะเลสาบนิ่งสงบก็สะท้อนเงาอันเดียวดายของมัน

 

ภายใต้แสงจันทร์ ซูหลี่มองตัวเองในทะเลสาบ เพียงเห็นว่าเป็นคนหน้าดำในวัยสามสิบปีที่มีเคราขึ้นหรอมแหรม ร่างนั้นเมื่อดูผ่าน ๆ ก็จะเห็นเป็นคนร่างสูงแต่ผอมราวกับเสาไม้ไผ่

 

ใครก็ตามที่ได้เห็นก็จะไม่อาจจำได้ว่าเป็นคุณหนูสะคราญโฉมซูหลี่แห่งเมืองต้าซูเลยแม้แต่น้อย

 

“โชคดีที่ข้าฝึกวิชาจนถึงอุปสรรคขั้นที่เก้าแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าอาจต้องฟื้นตัวเป็นเวลาหลายวันเนื่องจากความเครียดรุนแรงบนกระดูก” ซูหลี่คิด

 

ในที่สุด ร่างคน ๆหนึ่งก็ปรากฏที่อีกด้านของสะพานซานเหอ เป็นซูฮ่วนหลี่ที่มาเพียงลำพัง

 

เห็นรูปร่างของชายหนุ่ม ซูฮ่วนหลี่พลันรู้สึกงุนงง เขาไม่เคยเห็นชายแปลกหน้าผู้นี้มาก่อน

 

“แกเป็นใคร? แกมีความแค้นอะไรต่อตระกูลซูของเรา? ทำไมถึงต้องขโมยทรัพย์สินของตระกูลซูเราด้วย?”

 

ซูฮ่วนหลี่ถามสามคำถามในประโยคเดียว ซูหลี่หัวเราะเบา ๆ เป็นเสียงทุ้มพร่า “ตาเฒ่า มาเข้าเรื่องกันดีกว่า! แกต้องการวัตถุดิบนับร้อยจินหรือไม่?”

 

จากนั้นซูหลี่ก็หันหลังมองสะพาน นางเอ่ยด้วยเสียงแข็งกร้าว “ตาเฒ่า ข้าบอกแกชัดเเล้วนะว่าให้มาคนเดียว แต่แกก็ไม่ทำตาม จดหมายที่ให้แกไปมันไม่ชัดเจนเรอะ?”

 

หลี่หยินที่เพิ่งดำลงไปในน้ำก็ร้อนใจ เขาถูกจับได้แล้วหรือ? ถูกหักหลังแล้วหรือ?

 

“แกพูดอะไรไร้สาระ!” ซูฮ่วนหลี่รู้สึกผิดแต่ใบหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนไปขณะเอ่ยขึ้น “ข้ามาคนเดียวจริง ๆ อย่ามากล่าวหาอะไรลอย ๆ กับข้า!”

 

“ฮี่ ๆๆ…”

 

ซูหลี่แสยะยิ้มและเอ่ยขึ้น “ไม่น่าเชื่อ พ่อบ้านแก่แห่งตระกูลซูกลับเป็นจอมยุทธ์ในระดับอุปสรรคที่แปด แกคิดว่าข้าจะเห็นแกเป็นปลาต่อให้อยู่ใต้ก้นทะเลสาบงั้นเรอะ? ข้าจะนับจากหนึ่งถึงสาม หากแกไม่ออกมา ก็อย่าตำหนิข้าตอนที่เปลี่ยนแกเป็นปลาตายแล้วกัน!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด