จอมยุทธ์พลิกผันยุทธภพ 3: ศึกกระชับมิตรมรกต

Now you are reading จอมยุทธ์พลิกผันยุทธภพ Chapter 3: ศึกกระชับมิตรมรกต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 3 – ศึกกระชับมิตรมรกต

 

ดวงตาของหลินฟางจ้องเขม็งไปที่ป๋ายเฉินด้วยสีหน้าขมวดคิ้ว เขารับเอากระบี่กลับมาอยู่ในมือของตัวเอง

เมื่อสักครู่นี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาขาดสมาธิและมีจิตสังหารต่อตัวของป๋ายเฉินทำให้สติของเขาหลุดจากการควบคุมกระบี่

และกระบี่ขั้นที่สามคือทำให้ไม่มีใครตามความเร็วของกระบี่ทัน เพราะจิตสังหารเขามีต่อป๋ายเฉินมันรุนแรงจนทำให้กระบี่พุ่งไปทางนั้นนั่นเอง

แต่กลับไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถึงขั้นหยุดวิชาหมื่นกระบี่เทพมรกตได้อย่างง่ายดายด้วยตะเกียบธรรมดาหนึ่งคู่!

แถมอีกฝ่ายยังกล่าวคำเชิงดูถูกว่า ‘ถ้าหากอยากจะลอบโจมตีข้าแนะนำตะเกียบคู่นี้ดีกว่าเยอะ’ นั่นมันไม่ใช่หมายถึงว่า..

กระบี่ของเขาอ่อนด้อยกว่าตะเกียบคู่นั้นของอีกฝ่ายเลยงั้นเหรอ!นั่นมันก็แค่ตะเกียบนะ!หลินฟางรู้สึกโกรธจนหน้ากลายเป็นสีม่วงคล้ำ

เขาไม่เคยโกรธขนาดนี้มาก่อน แถมยังโดนดูถูกต่อหน้าคนจำนวนมาก ในฐานะของเบา ในตำแหน่งของเขาและพรสวรรค์ของเขา

ไม่ต่างจากโดนตบหน้ากลางสี่แยก! แถมอีกฝ่ายเป็นแค่ศิษย์ชุดเหลืองเท่านั้น ไอ้เจ้าบ้านี่เป็นใคร ทำไมถึงเดินคู่กับหลี่หยูได้?

มันไม่รู้และตอนนี้ก็ไม่สนใจด้วย มันถูกความโกรธเขาครอบงำ!แต่ผู้อาวุโสเป่ยแม้จะไม่เคยเห็นหน้าศิษย์คนนี้มาก่อน

แต่ก็นะศิษย์ชุดเหลืองมีมากมายจนนับไม่หมด เขาจะไปรู้จักทุกคนได้อย่างไร โดยเฉพาะสำหรับศิษย์ชุดเหลืองที่ไม่ควรค่าแก่การมองด้วยซ้ำ

แต่การที่อีกฝ่ายยืนอยู่กับหลี่หยู แถมเมื่อสักครู่ก็เห็นชัดว่าหลี่หยูกำลังเหมือนแนะนำสถานที่ให้กับชายตรงนั้นอยู่

เป็นไปได้ว่าชายคนนั้นอาจจะมีสถานะที่สำคัญบางอย่าง.. แล้วทำไมถึงใส่ชุดเหลืองล่ะ..? เขาก็ไม่ทราบ

แต่คำพูดเมื่อครู่ของป๋ายเฉินก็ทำผู้อาวุโสเดือดดาลอยู่ไม่น้อย เพราะวิชาที่หลินฟางใช้ เป็นวิชาที่แข็งแกร่งอันดับต้นๆ ของสำนัก

อีกฝ่ายกลับหยุดด้วยตะเกียบคู่หนึ่งไม่พอยังดูหมิ่นว่า ตะเกียบเขาดีกว่ากระบี่นั่นเยอะ.. บรรยากาศรอบด้านต่างพากันอึมครึมขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

ไม่มีใครกล้าขยับสักคน.. ในขณะที่ต้นตอของคำพูดเจ้าปัญหาอย่างป๋ายเฉินก็เกาหัวเล็กน้อยเพราะทุกคนเงียบเพราะคำพูดเขา

“เอ่อ.. พวกเจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?”

“เจ้ามีนามว่าอะไร!”

หลินฟางพุ่งดิ่งลงมาจากสนามด้วยความเร็วสูงมายืนอยู่ต่อหน้าป๋ายเฉิน ป๋ายเฉินที่เห็นอีกฝ่ายถามชื่อตัวเอง

เขาก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นมิตรมากขึ้น อันที่จริงเขาคงเข้าใจผิดอะไรบางอย่างอยู่เป็นแน่ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาเข้าใจอะไรผิด ป๋ายเฉินกล่าว

“ข้าชื่อว่า ป๋ายเฉิน”

ป๋ายเฉินกล่าวออกไป

“ดี!ป๋ายเฉิน เจ้ากล้าดูถูกข้าถึงขนาดนี้ วันนี้เวลายามสามเจ้ามาเจอกับข้าที่ลานประลอง!”

หลินฟางกล่าวด้วยความเย็นชา อันที่จริงเขาไม่ต้องการท้าประลองกับศิษย์ชุดเหลืองชั้นต่ำหรอกนะ.. แต่ว่าเขาไม่เคยโดนดูถูกขนาดนี้มาก่อน

ต่อให้เขาต่อยเจ้าไร้ค่าตรงนี้จนตายก็มีแต่จะทำให้ทำชื่อเสียงเขาแปดเปื้อนเท่านั้น การทำร้ายพวกชั้นต่ำนั้นไม่มีค่าหรอก

แต่ถึงแบบนั้นเขาก็จะจัดการมันให้ได้ แม้ว่าจะไม่รู้ว่ามันใช้กลวิธีอะไรในการรับกระบี่เขา แต่ตอนนี้เขาเชี่ยวชาญวิชาถึงห้าวิชาด้วยกัน

ในหมู่ศิษย์ชุดฟ้ายังมีไม่กี่สิบคนเพียงเท่านั้น!

ป๋ายเฉินที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้นเขาก็อึ้งเล็กน้อย จู่ๆ อีกฝ่ายทำไมมาท้าดวลตัวเองแบบนี้ไปได้ละเนี่ย?

หลี่หยูที่ฟังอยู่สักพักนางก็ก้าวเดินออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าของป๋ายเฉิน นางขมวดคิ้วจ้องไปที่หลินฟาง

“พอได้แล้วหลินฟาง!เมื่อสักครู่คนผิดคือเจ้าเอง อย่ามาก่อกวนแขกของตระกูลหลี่ของข้า!”

พอหลินฟางเห็นหลี่หยูเข้าข้างไอ้เจ้าขยะตรงหน้าความโกรธยิ่งปะทุขึ้นมาอีก ทั้งยังมีความอิจฉา เขาไม่ได้โต้เถียงกับหลี่หยู

เขากล่าวกับป๋ายเฉินด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เวลายามสามหากเจ้าไม่มา ข้าจะประกาศให้ทั่วแผ่นดินว่าผู้แซ่ป๋ายเป็นคนขี้ขลาดตาขาว!”

เขากล่าวแล้วก็หันหลังเดินจากไป.. แต่ป๋ายเฉินที่ได้ยินแบบนั้นเขายิ่งงงเข้าไปอีก พร้อมกับคิดว่าเจ้าหมอนี่ท่าจะบ้านิดหน่อย

“หลี่หยู.. ทำไมข้าต้องไปประลองกับเจ้านั่นด้วย?”

ป๋ายเฉินที่งงงวยอยู่นั้น ก็กล่าวถามออกมาตรงๆ แม้แต่หลินฟางที่กำลังจะจากไปก็ยังหยุดชะงัก

อันที่จริงหลี่หยูก็ไม่รู้จะตอบยังไง ใจจริงอยากจะบอกว่าเพราะเจ้าไปดูถูกเขาไม่ใช่หรือไง .. แต่พูดแบบนั้นก็คงจะดูไม่ดี

แถมเจ้าตัวเหมือนไม่ได้คิดว่าตัวเองผิดเลยด้วยซ้ำ หลี่หยูใช้สมองอยู่พักใหญ่ๆ ..

“ข้าเองก็ไม่รู้สิ? อยากกระชับความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายละมั้ง?”

หลี่หยูไม่รู้ควรตอบอย่างไรจึงตอบออกไปแบบนั้น พอป๋ายเฉินได้ยินแบบนั้นเขาก็ขนลุกซู่แทบจะทันที

“เจ้าหมอนั่นเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกันหรอกเหรอ!”

ป๋ายเฉินที่เหมือนจะยิ่งเข้าใจผิดไปใหญ่ พอหลินฟางได้ยินแบบนั้นก็ตะโกนกลับออกมาด้วยความหงุดหงิด

“ไม่ใช่โว้ย ข้าชอบสตรี!”

ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวว่าตัวเองหลุดการควบคุมทั้งที่ฝึกตนน่าจะควบคุมอารมณ์ความรู้สึกได้เยอะแล้วแท้ๆ

เขากัดฟันกรอดและก็เดินจากไปด้วยความหงุดหงิด… ป๋ายเฉินเหมือนพึ่งจะเข้าใจความหมายของการท้าดวลขึ้นมา

“อ่า… หมายถึงศึกกระชับมิตรงั้นเหรอ?”

“แต่ว่า.. ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็จะมีศึกกระชับมิตรไม่ใช่เหรอ หลี่หยู?”

ป๋ายเฉินกล่าวกับหลี่หยูอย่างสนิทสนม อันที่จริงพวกเขาพึ่งรู้จักกันไม่นาน หลี่หยูในตอนแรกก็ยังรู้สึกอึดอัดต่อท่าทางที่สนิทสนมมากไปของอีกฝ่าย

แต่ไม่นานเธอก็ชินกับมันไปเอง อาจจะเพราะป๋ายเฉินมีพรสวรรค์ด้านตีสนิทกับคนอื่นอยู่ในระดับที่สูงมากๆ คนหนึ่งก็ได้

ทำให้หลี่หยูไม่รู้สึกห่างเหินกับอีกฝ่ายมากขนาดนั้น.. หลี่หยูที่เห็นป๋ายเฉินกล่าวแบบนั้นก็หัวเราะแห้งๆ รู้สึกนับถือป๋ายเฉินในใจว่า..

เจ้าหมอนี่มันไม่รู้สึกรู้สาอะไรได้เก่งจริงๆ ..

เมื่อหลายวันก่อน ท่านปู่พาคนคนนี้กลับมาที่ตระกูลด้วย เขาไม่ใช่คนในสำนักนี้นั่นแหละ แต่ท่านปู่กำชับกับบิดาของหลี่หยูไว้ว่า..

ให้เกียรติคนคนนี้อย่างหาไม่ได้ แม้บิดาหลี่หยูยามนี้จะเป็นผู้นำตระกูล แต่ในความเป็นจริงแล้วท่านปู่ยังมีฐานะสูงสุด

เพราะเป็นเหมือนผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลนั่นแหละ.. บิดาหลี่หยูจึงต้องทำตามอย่างไม่มีข้อแม้ … แล้วก็มีอีกอย่างหนึ่งที่ท่านปู่บอกเอาไว้ก่อนปิดด่าน

‘คนคนนี้ไม่มีพื้นฐานการฝึกตนเหมือนที่เราเคยฝึกปรือกันมา แต่ความสามารถเขาข้าเองก็ไม่แน่ใจ รู้เพียงแค่ว่าเขาใช้ตะเกียบคู่หนึ่งล้มอสูรยักษ์ค้ำฟ้าได้ หากเขาขอร้องอะไรเราก็ต้องทำตามเพราะข้ากับเขามีสัญญาบางอย่างกันอยู่’

นั่นคือคำพูดของเขา.. ยักษ์ค้ำฟ้าคืออสูรตัวใหญ่สูงเป็นพันจั้งดุจชื่อของมัน ปกติมันจะนอนคดตัวจนกลายเป็นภูเขาลูกใหญ่และจำศีลตลอดหลายร้อยปี

พอมันตื่นขึ้นความสูงของมันก็ราวกับจะค้ำฟ้าเอาไว้ได้ แต่ชายคนนี้ล้มมันได้ด้วยตะเกียบคู่หนึ่ง.. ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมยักษ์ค้ำฟ้าถึงตื่นมาในยามนี้ทั้งที่ไม่ควรตื่นก็เถอะ.. แต่ดูจากนิสัยแล้วบางทีคนที่ปลุกคงจะเป็นป๋ายเฉินเองนั่นแหละ

กลับมาเรื่องเดิม.. คำขอร้องของป๋ายเฉินคืออยากจะให้ตัวเองโดดเด่นเป็นพิเศษ.. อะไรก็ได้ที่ทำให้ทุกคนทั้งสำนักหันมามองเขา..

นั่นคือความต้องการของเขา.. หลังจากคิดอยู่พักหนึ่งก็ไม่มีอะไรอื่นนอกจาก ‘ศึกกระชับมิตรมรกต’

เป็นการต่อสู้ที่แสวงหาคนสิบคนจากทั้งสำนักเพื่อคัดเลือกไปยังแข่งขันใหญ่กับอีกสี่สำนักใหญ่แห่งดินแดนด้านใต้สุดของทวีปแห่งนี้

ศึกกระชับมิตรมรกต ก็ตามชื่อเลย โดยทั้งสำนักจะให้ศิษย์ทุกระดับแบบไม่แบ่งแยกลงไปยัง ‘ดินแดนเร้นลับ’ เพื่อเอาตัวรอด

ใครที่ไม่ยอมแพ้จนถึงเจ็ดวันจะผ่านเข้ารอบต่อไป ซึ่งนี่ก็ถือเป็นโอกาสสำหรับศิษย์ชุดเทาที่รู้จักดินแดนเร้นลับเป็นอย่างดี

แถมยังเป็นโอกาสของศิษย์ชุดเหลืองไม่แพ้กัน หากพวกเขารอดไปยังรอบต่อไปได้ก็มีโอกาสเลื่อนขั้นฐานะในสำนัก

พวกเขาไม่หวังถึงเป็นตัวแทนสำนักหรอก.. แต่ในศึกครั้งนี้ก็ถือเป็นโอกาสสำหรับทุกคน! ทำให้ตระกูลหลี่ของหลี่หยูเดินเรื่องบางอย่างให้

ทำให้ไม่นานป๋ายเฉินก็กลายเป็นส่วนหนึ่งสำนักและกลายเป็นศิษย์ชุดเหลืองไปโดยปริยาย.. แต่ต้องทราบว่า..ศึกกระชับมิตรมรกตนี้นั้น

ไม่ได้มีศัตรูแค่พวกชุดเหลืองหรือชุดเทา.. แม้แต่ชุดฟ้า..

แต่ยังมีศิษย์โดยตรงและ.. ศิษย์มรกตเป็นศัตรู!

เรียกได้ว่า.. เป็นจุดพลิกผันของชีวิตหลายๆ คนก็เป็นไปได้!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมยุทธ์พลิกผันยุทธภพ 3: ศึกกระชับมิตรมรกต

Now you are reading จอมยุทธ์พลิกผันยุทธภพ Chapter 3: ศึกกระชับมิตรมรกต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 3 – ศึกกระชับมิตรมรกต

 

ดวงตาของหลินฟางจ้องเขม็งไปที่ป๋ายเฉินด้วยสีหน้าขมวดคิ้ว เขารับเอากระบี่กลับมาอยู่ในมือของตัวเอง

เมื่อสักครู่นี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาขาดสมาธิและมีจิตสังหารต่อตัวของป๋ายเฉินทำให้สติของเขาหลุดจากการควบคุมกระบี่

และกระบี่ขั้นที่สามคือทำให้ไม่มีใครตามความเร็วของกระบี่ทัน เพราะจิตสังหารเขามีต่อป๋ายเฉินมันรุนแรงจนทำให้กระบี่พุ่งไปทางนั้นนั่นเอง

แต่กลับไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถึงขั้นหยุดวิชาหมื่นกระบี่เทพมรกตได้อย่างง่ายดายด้วยตะเกียบธรรมดาหนึ่งคู่!

แถมอีกฝ่ายยังกล่าวคำเชิงดูถูกว่า ‘ถ้าหากอยากจะลอบโจมตีข้าแนะนำตะเกียบคู่นี้ดีกว่าเยอะ’ นั่นมันไม่ใช่หมายถึงว่า..

กระบี่ของเขาอ่อนด้อยกว่าตะเกียบคู่นั้นของอีกฝ่ายเลยงั้นเหรอ!นั่นมันก็แค่ตะเกียบนะ!หลินฟางรู้สึกโกรธจนหน้ากลายเป็นสีม่วงคล้ำ

เขาไม่เคยโกรธขนาดนี้มาก่อน แถมยังโดนดูถูกต่อหน้าคนจำนวนมาก ในฐานะของเบา ในตำแหน่งของเขาและพรสวรรค์ของเขา

ไม่ต่างจากโดนตบหน้ากลางสี่แยก! แถมอีกฝ่ายเป็นแค่ศิษย์ชุดเหลืองเท่านั้น ไอ้เจ้าบ้านี่เป็นใคร ทำไมถึงเดินคู่กับหลี่หยูได้?

มันไม่รู้และตอนนี้ก็ไม่สนใจด้วย มันถูกความโกรธเขาครอบงำ!แต่ผู้อาวุโสเป่ยแม้จะไม่เคยเห็นหน้าศิษย์คนนี้มาก่อน

แต่ก็นะศิษย์ชุดเหลืองมีมากมายจนนับไม่หมด เขาจะไปรู้จักทุกคนได้อย่างไร โดยเฉพาะสำหรับศิษย์ชุดเหลืองที่ไม่ควรค่าแก่การมองด้วยซ้ำ

แต่การที่อีกฝ่ายยืนอยู่กับหลี่หยู แถมเมื่อสักครู่ก็เห็นชัดว่าหลี่หยูกำลังเหมือนแนะนำสถานที่ให้กับชายตรงนั้นอยู่

เป็นไปได้ว่าชายคนนั้นอาจจะมีสถานะที่สำคัญบางอย่าง.. แล้วทำไมถึงใส่ชุดเหลืองล่ะ..? เขาก็ไม่ทราบ

แต่คำพูดเมื่อครู่ของป๋ายเฉินก็ทำผู้อาวุโสเดือดดาลอยู่ไม่น้อย เพราะวิชาที่หลินฟางใช้ เป็นวิชาที่แข็งแกร่งอันดับต้นๆ ของสำนัก

อีกฝ่ายกลับหยุดด้วยตะเกียบคู่หนึ่งไม่พอยังดูหมิ่นว่า ตะเกียบเขาดีกว่ากระบี่นั่นเยอะ.. บรรยากาศรอบด้านต่างพากันอึมครึมขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

ไม่มีใครกล้าขยับสักคน.. ในขณะที่ต้นตอของคำพูดเจ้าปัญหาอย่างป๋ายเฉินก็เกาหัวเล็กน้อยเพราะทุกคนเงียบเพราะคำพูดเขา

“เอ่อ.. พวกเจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?”

“เจ้ามีนามว่าอะไร!”

หลินฟางพุ่งดิ่งลงมาจากสนามด้วยความเร็วสูงมายืนอยู่ต่อหน้าป๋ายเฉิน ป๋ายเฉินที่เห็นอีกฝ่ายถามชื่อตัวเอง

เขาก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นมิตรมากขึ้น อันที่จริงเขาคงเข้าใจผิดอะไรบางอย่างอยู่เป็นแน่ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาเข้าใจอะไรผิด ป๋ายเฉินกล่าว

“ข้าชื่อว่า ป๋ายเฉิน”

ป๋ายเฉินกล่าวออกไป

“ดี!ป๋ายเฉิน เจ้ากล้าดูถูกข้าถึงขนาดนี้ วันนี้เวลายามสามเจ้ามาเจอกับข้าที่ลานประลอง!”

หลินฟางกล่าวด้วยความเย็นชา อันที่จริงเขาไม่ต้องการท้าประลองกับศิษย์ชุดเหลืองชั้นต่ำหรอกนะ.. แต่ว่าเขาไม่เคยโดนดูถูกขนาดนี้มาก่อน

ต่อให้เขาต่อยเจ้าไร้ค่าตรงนี้จนตายก็มีแต่จะทำให้ทำชื่อเสียงเขาแปดเปื้อนเท่านั้น การทำร้ายพวกชั้นต่ำนั้นไม่มีค่าหรอก

แต่ถึงแบบนั้นเขาก็จะจัดการมันให้ได้ แม้ว่าจะไม่รู้ว่ามันใช้กลวิธีอะไรในการรับกระบี่เขา แต่ตอนนี้เขาเชี่ยวชาญวิชาถึงห้าวิชาด้วยกัน

ในหมู่ศิษย์ชุดฟ้ายังมีไม่กี่สิบคนเพียงเท่านั้น!

ป๋ายเฉินที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้นเขาก็อึ้งเล็กน้อย จู่ๆ อีกฝ่ายทำไมมาท้าดวลตัวเองแบบนี้ไปได้ละเนี่ย?

หลี่หยูที่ฟังอยู่สักพักนางก็ก้าวเดินออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าของป๋ายเฉิน นางขมวดคิ้วจ้องไปที่หลินฟาง

“พอได้แล้วหลินฟาง!เมื่อสักครู่คนผิดคือเจ้าเอง อย่ามาก่อกวนแขกของตระกูลหลี่ของข้า!”

พอหลินฟางเห็นหลี่หยูเข้าข้างไอ้เจ้าขยะตรงหน้าความโกรธยิ่งปะทุขึ้นมาอีก ทั้งยังมีความอิจฉา เขาไม่ได้โต้เถียงกับหลี่หยู

เขากล่าวกับป๋ายเฉินด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เวลายามสามหากเจ้าไม่มา ข้าจะประกาศให้ทั่วแผ่นดินว่าผู้แซ่ป๋ายเป็นคนขี้ขลาดตาขาว!”

เขากล่าวแล้วก็หันหลังเดินจากไป.. แต่ป๋ายเฉินที่ได้ยินแบบนั้นเขายิ่งงงเข้าไปอีก พร้อมกับคิดว่าเจ้าหมอนี่ท่าจะบ้านิดหน่อย

“หลี่หยู.. ทำไมข้าต้องไปประลองกับเจ้านั่นด้วย?”

ป๋ายเฉินที่งงงวยอยู่นั้น ก็กล่าวถามออกมาตรงๆ แม้แต่หลินฟางที่กำลังจะจากไปก็ยังหยุดชะงัก

อันที่จริงหลี่หยูก็ไม่รู้จะตอบยังไง ใจจริงอยากจะบอกว่าเพราะเจ้าไปดูถูกเขาไม่ใช่หรือไง .. แต่พูดแบบนั้นก็คงจะดูไม่ดี

แถมเจ้าตัวเหมือนไม่ได้คิดว่าตัวเองผิดเลยด้วยซ้ำ หลี่หยูใช้สมองอยู่พักใหญ่ๆ ..

“ข้าเองก็ไม่รู้สิ? อยากกระชับความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายละมั้ง?”

หลี่หยูไม่รู้ควรตอบอย่างไรจึงตอบออกไปแบบนั้น พอป๋ายเฉินได้ยินแบบนั้นเขาก็ขนลุกซู่แทบจะทันที

“เจ้าหมอนั่นเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกันหรอกเหรอ!”

ป๋ายเฉินที่เหมือนจะยิ่งเข้าใจผิดไปใหญ่ พอหลินฟางได้ยินแบบนั้นก็ตะโกนกลับออกมาด้วยความหงุดหงิด

“ไม่ใช่โว้ย ข้าชอบสตรี!”

ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวว่าตัวเองหลุดการควบคุมทั้งที่ฝึกตนน่าจะควบคุมอารมณ์ความรู้สึกได้เยอะแล้วแท้ๆ

เขากัดฟันกรอดและก็เดินจากไปด้วยความหงุดหงิด… ป๋ายเฉินเหมือนพึ่งจะเข้าใจความหมายของการท้าดวลขึ้นมา

“อ่า… หมายถึงศึกกระชับมิตรงั้นเหรอ?”

“แต่ว่า.. ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็จะมีศึกกระชับมิตรไม่ใช่เหรอ หลี่หยู?”

ป๋ายเฉินกล่าวกับหลี่หยูอย่างสนิทสนม อันที่จริงพวกเขาพึ่งรู้จักกันไม่นาน หลี่หยูในตอนแรกก็ยังรู้สึกอึดอัดต่อท่าทางที่สนิทสนมมากไปของอีกฝ่าย

แต่ไม่นานเธอก็ชินกับมันไปเอง อาจจะเพราะป๋ายเฉินมีพรสวรรค์ด้านตีสนิทกับคนอื่นอยู่ในระดับที่สูงมากๆ คนหนึ่งก็ได้

ทำให้หลี่หยูไม่รู้สึกห่างเหินกับอีกฝ่ายมากขนาดนั้น.. หลี่หยูที่เห็นป๋ายเฉินกล่าวแบบนั้นก็หัวเราะแห้งๆ รู้สึกนับถือป๋ายเฉินในใจว่า..

เจ้าหมอนี่มันไม่รู้สึกรู้สาอะไรได้เก่งจริงๆ ..

เมื่อหลายวันก่อน ท่านปู่พาคนคนนี้กลับมาที่ตระกูลด้วย เขาไม่ใช่คนในสำนักนี้นั่นแหละ แต่ท่านปู่กำชับกับบิดาของหลี่หยูไว้ว่า..

ให้เกียรติคนคนนี้อย่างหาไม่ได้ แม้บิดาหลี่หยูยามนี้จะเป็นผู้นำตระกูล แต่ในความเป็นจริงแล้วท่านปู่ยังมีฐานะสูงสุด

เพราะเป็นเหมือนผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลนั่นแหละ.. บิดาหลี่หยูจึงต้องทำตามอย่างไม่มีข้อแม้ … แล้วก็มีอีกอย่างหนึ่งที่ท่านปู่บอกเอาไว้ก่อนปิดด่าน

‘คนคนนี้ไม่มีพื้นฐานการฝึกตนเหมือนที่เราเคยฝึกปรือกันมา แต่ความสามารถเขาข้าเองก็ไม่แน่ใจ รู้เพียงแค่ว่าเขาใช้ตะเกียบคู่หนึ่งล้มอสูรยักษ์ค้ำฟ้าได้ หากเขาขอร้องอะไรเราก็ต้องทำตามเพราะข้ากับเขามีสัญญาบางอย่างกันอยู่’

นั่นคือคำพูดของเขา.. ยักษ์ค้ำฟ้าคืออสูรตัวใหญ่สูงเป็นพันจั้งดุจชื่อของมัน ปกติมันจะนอนคดตัวจนกลายเป็นภูเขาลูกใหญ่และจำศีลตลอดหลายร้อยปี

พอมันตื่นขึ้นความสูงของมันก็ราวกับจะค้ำฟ้าเอาไว้ได้ แต่ชายคนนี้ล้มมันได้ด้วยตะเกียบคู่หนึ่ง.. ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมยักษ์ค้ำฟ้าถึงตื่นมาในยามนี้ทั้งที่ไม่ควรตื่นก็เถอะ.. แต่ดูจากนิสัยแล้วบางทีคนที่ปลุกคงจะเป็นป๋ายเฉินเองนั่นแหละ

กลับมาเรื่องเดิม.. คำขอร้องของป๋ายเฉินคืออยากจะให้ตัวเองโดดเด่นเป็นพิเศษ.. อะไรก็ได้ที่ทำให้ทุกคนทั้งสำนักหันมามองเขา..

นั่นคือความต้องการของเขา.. หลังจากคิดอยู่พักหนึ่งก็ไม่มีอะไรอื่นนอกจาก ‘ศึกกระชับมิตรมรกต’

เป็นการต่อสู้ที่แสวงหาคนสิบคนจากทั้งสำนักเพื่อคัดเลือกไปยังแข่งขันใหญ่กับอีกสี่สำนักใหญ่แห่งดินแดนด้านใต้สุดของทวีปแห่งนี้

ศึกกระชับมิตรมรกต ก็ตามชื่อเลย โดยทั้งสำนักจะให้ศิษย์ทุกระดับแบบไม่แบ่งแยกลงไปยัง ‘ดินแดนเร้นลับ’ เพื่อเอาตัวรอด

ใครที่ไม่ยอมแพ้จนถึงเจ็ดวันจะผ่านเข้ารอบต่อไป ซึ่งนี่ก็ถือเป็นโอกาสสำหรับศิษย์ชุดเทาที่รู้จักดินแดนเร้นลับเป็นอย่างดี

แถมยังเป็นโอกาสของศิษย์ชุดเหลืองไม่แพ้กัน หากพวกเขารอดไปยังรอบต่อไปได้ก็มีโอกาสเลื่อนขั้นฐานะในสำนัก

พวกเขาไม่หวังถึงเป็นตัวแทนสำนักหรอก.. แต่ในศึกครั้งนี้ก็ถือเป็นโอกาสสำหรับทุกคน! ทำให้ตระกูลหลี่ของหลี่หยูเดินเรื่องบางอย่างให้

ทำให้ไม่นานป๋ายเฉินก็กลายเป็นส่วนหนึ่งสำนักและกลายเป็นศิษย์ชุดเหลืองไปโดยปริยาย.. แต่ต้องทราบว่า..ศึกกระชับมิตรมรกตนี้นั้น

ไม่ได้มีศัตรูแค่พวกชุดเหลืองหรือชุดเทา.. แม้แต่ชุดฟ้า..

แต่ยังมีศิษย์โดยตรงและ.. ศิษย์มรกตเป็นศัตรู!

เรียกได้ว่า.. เป็นจุดพลิกผันของชีวิตหลายๆ คนก็เป็นไปได้!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+