ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน 26 ทุบให้น่วม

Now you are reading ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน Chapter 26 ทุบให้น่วม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 26 ทุบให้น่วม

เมื่อเห็นใบหน้าอันไร้เดียงสาของนางดูจริงจังขึ้น แม่นางเหลียนจึงอดสงสัยไม่ได้ “เกิดอะไรขึ้น?”

“ท่านแม่ วันนี้ข้าเข้าเมืองกับท่านป้าเหอ ในเมืองคึกคักมาก มีพ่อค้าแม่ค้าขายของมากมายละลานตา”

“ข้าเพียงแต่คิดว่า ท่านพ่อจะล่าสัตว์ได้หรือไม่? พวกเราจะได้เอาไก่ฟ้าและกระต่ายไปขายแลกเงิน”

“ท่านแม่ เห็นด้วยหรือไม่?”

ดวงตาของหยุนเชวี่ยเปล่งประกายไปด้วยความหวัง

“นี่…” แม่นางเหลียนรู้สึกมึนงงอยู่เล็กน้อย “แต่ว่าพวกเราไม่เคยขายอะไรเลย!”

ทั้งชีวิตของเกษตรกรขุดดินทำนา นอกจากจัดสรรปันส่วนเมล็ดพืชแล้ว ส่วนที่เหลือจากการเก็บเกี่ยวประจำปีมักจะมีเสมียนมาเก็บรวบรวมไป

ไปตะโกนขายของตามท้องถนนเช่นนั้นหรือ? แม้แต่ภรรยาของชาวนายังไม่กล้าคิด

บัณฑิต เกษตรกร

พ่อค้าหาบเร่ นั่นจัดอยู่ในธุรกิจอันดับที่สาม

“จะยากอะไร” หยุนเชวี่ยไม่มีความกังวลเลยแม้แต่น้อย “ให้ท่านพ่อไปล่าเนื้อสัตว์ป่ามาให้ได้ ข้าจะเป็นคนขายมันเอง!”

“ไม่มีทาง” แม่นางเหลียนปฏิเสธโดยไม่ลังเล “เจ้าเป็นผู้หญิง ไปยืนตะโกนขายของตามท้องถนน ผู้คนจะหัวเราะเยาะเอาได้”

หลังจากก็คิดทบทวนอย่างละเอียดอีกครั้ง นางก็นึกขึ้นได้ พ่อค้าร้านขายผ้า เสี่ยวเอ้อร้านขายซาลาเปา หรือแม้กระทั่งพ่อค้าหาบเร่ ไม่มีผู้หญิงเลยแม้แต่คนเดียว

“ท่านแม่ แม้แต่หม้อที่น่าสงสารของบ้านเราก็ยังพังไปแล้ว เหตุใดท่านถึงยังกังวลกับเรื่องแค่นี้?” หยุนเชวี่ยจนปัญญา ครอบครัวไม่มีจะกินจนต้องอดตายไม่แย่กว่าหรือ?

ประโยคนี้ทำให้แม่นางเหลียนถึงกับพูดไม่ออก

“ยังอีกหลายวันกว่าจะถึงช่วงเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง แต่พวกเราไม่มีอะไรเหลือเลยนอกจากน้ำกับอาหาร พวกข้าสามคนก็กำลังจะเติบโต ตอนนี้อากาศร้อนจึงยังไม่เป็นปัญหาที่จะส่วมใส่เสื้อผ้าเปิดแขนและขา แต่ตอนฤดูหนาวมาถึง พวกเราควรจะมีเงินซื้อเสื้อผ้าเพิ่มสักชุดหรือไม่?”

“แล้วพี่สาวของข้า ท่านแม่ ท่านได้เก็บสินเจ้าสาวไว้ให้นางหรือไม่? ในอีกปีสองปี เมื่อพี่สาวแต่งงานออกบ้านไป หากครอบครัวของเราไม่มีแม้แต่สินเจ้าสาวที่เหมาะสม นางจะไม่โดนแม่สามีดูถูกเอาหรือ?”

“เหตุใดท่านปู่ถึงเข้าข้างลุงใหญ่ มีเพียงเขาที่ได้กินทุกอย่างตามที่ใจยากกิน? ไม่ใช่ว่าเพราะเขาเป็นบัณฑิตสร้างชื่อเสียง เป็นหน้าตาให้แก่บรรพบุรุษหรอกหรือ? เสี่ยวอู่ของข้ามีพรสวรรค์มาก หากเขาได้เรียนหนังสือ เขาจะต้องเก่งกว่าลุงใหญ่และหยุนโม่แน่นอน แต่พวกเรากลับไม่มีเงินส่งเขาเรียน”

“ท่านปู่ขับไล่พวกเราออกจากตระกูล หยุนชิ่วเอ๋อยังบอกว่าทั้งชีวิตนี้เราไม่มีวันเจริญก้าวหน้า ไหนจะท่านอาสามที่ทั้งวันเอาแต่ร้องตะโกนจะขายข้า ท่านแม่ เพียงต้องสู้เพื่อให้มีลมหายใจอยู่ต่อไป พวกเราจะต้องมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น!”

หยุนเชวี่ยรู้สึกกังวลอยู่ในใจ ยิ่งพูดยิ่งเสีย จนในที่สุดนางก็ลุกยืนขึ้น พร้อมกับกำหมัดแน่น

เหลียนซื่อไม่อาจกล่าววาจาใดออกมาเมื่อถูกถามเช่นนี้ นางจ้องมองไปที่กองไฟด้วยความรู้สึกสับสน สีหน้าของนางค่อย ๆ จมดิ่งและมืดมน

“พรุ่งนี้พ่อจะขึ้นไปหลังภูเขาให้เร็วขึ้น จะได้มีเวลาล่าสัตว์เพิ่ม” ไม่รู้ว่าหยุนลี่เต๋อมาปรากฏตัวใกล้ ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ในมือของเขามีปลาที่ถูกเสียบย่างอยู่สามตัว “ข้าจะไปขายของที่ตลาดเอง ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกคนหัวเราะเยาะ”

“ท่านพ่อ…”

หยุนเชวี่ยเงยหน้าขึ้นมาด้วยความประหลาดใจระคนยินดี ไม่เคยคิดเลยว่าพ่อผู้ไร้ค่าของนางจะมีความคิดเช่นนี้

“ไม่ต้องพูดอะไรหรอก พ่อรู้ดี” หยุนลี่เต๋อโน้มตัวลง ร่างกายแข็งแกร่งราวหินผา ใบหน้าหมองคล้ำของเขาแสดงให้เห็นความรู้สึกละอาย ภายใต้แสงสะท้อนจากกองไฟ “เป็นเพราะพ่อที่ทำให้แม่ของลูกต้องทนทุกข์และไม่ได้รับความเป็นธรรม…”

“สามี…” แม่นางเหลียนสะอื้น ดวงตาแดงก่ำ

เมื่อหยุนเชวี่ยเห็นว่านางกำลังจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง จึงรีบกล่าวปลอบโยน “ท่านพ่อท่านแม่ ชีวิตของพวกเราจะต้องดีขึ้นเรื่อย ๆ พวกเราจะมีทุกสิ่งที่ต้องการ…”

เมื่อเริ่มมืดค่ำ พระจันทร์ส่องแสงกระจ่าง ดวงดาวพร่างพราย

สามคนพี่น้องดื่มกินจนอิ่มท้อง จากนั้นก็เดินจูงมือกันกลับบ้าน

หยุนเชวี่ยยืนอยู่ตรงกลาง โดยมีเสี่ยวอู่และหยุนเยี่ยนอยู่คนละข้าง นางมีปัญหาเล็ก ๆ อย่างหนึ่งคือ เมื่อใดที่นางมีความสุขมากก็มักจะคุยจ้อถึงอนาคตอันสวยงาม

ฟังดูเหมือนเป็นการโอ้อวดผู้อื่น จนคล้ายว่าตัวจะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า

“พี่สาว หลังจากนี้ท่านอยากมีชีวิตแบบใด?”

“ได้กินจนอิ่ม มีเสื้อผ้าอุ่น ๆ ท่านพ่อ ท่านแม่ เจ้าและเสี่ยวอู่ ครอบครัวของเรามีชีวิตที่สุขสบาย”

“หากท่านมีเงินแล้วจะเอาไปทำอะไร?”

“ซื้อวัวให้บ้านเรา”

“ซื้อวัว?”

“…”

หยุนเชวี่ยยังคงรอคำพูดต่อไป แต่หยุนเยี่ยนกลับไม่สามารถกล่าวอะไรออกมาได้ หลังจากครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง นางก็พูดขึ้น “ซื้อหมูเพิ่มอีกสองตัว ตัวผู้หนึ่งตัว ตัวเมียหนึ่งตัว จะได้มีลูกหมูตัวน้อย”

“พี่สาว ความปรารถนาของท่านควรจะใหญ่ขึ้นอีกสักหน่อย…” หยุนเชวี่ยชูสองนิ้วขึ้นลง “อย่างเช่น เป็นเศรษฐี ซื้อนา ซื้อบ้านหลังใหญ่ ซื้อร้านค้า เปิดร้านในเมืองและขยายสาขา…”

หยุนเยี่ยนขมวดคิ้วจ้องมองนางพร้อมกับถอนหายใจแผ่วเบา “เช่นนั้น ซื้อหม้อเหล็กใบใหญ่ให้ครอบครัวเราก่อนเถิด”

หยุนเชวี่ย…

ประตูของตระกูลหยุนเปิดออก

ทันทีที่เท้าข้างหนึ่งก้าวเข้าไปในธรณีประตู สามพี่น้องต่างพากันนิ่งเงียบ แม้กระทั่งการย่างก้าวของพวกเขาก็เบาลงโดยไม่รู้ตัว

หยุนเชวี่ยกับเสี่ยวอู่มองขึ้นไปที่ห้องข้างบน ตะเกียงน้ำมันในห้องยังจุดไฟอยู่ เงาของบุคคลผู้หนึ่งสะท้อนบนหน้าต่าง ภาพและเงาร่างนั้นลักษณะเหมือนหยุนชิ่วเอ๋อ

หยุนลี่เต๋อและแม่นางเหลียนต่างเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานในท้องทุ่งตั้งแต่เช้าจรดค่ำ หลังจากล้างหน้าตาเสร็จก็ผล็อยหลับไปในไม่ช้า

หน้าต่างของห้องปีกตะวันตกถัดจากเตียงเล็ก หยุนเชวี่ยกำลังนอนอยู่บนเตียงโดยปราศจากอาการง่วงงุน เปิดตาและเงี่ยหูรอฟังอย่างตื่นเต้น

อีกฝั่งของผ้าม่าน เสี่ยวอู่ค่อย ๆ พลิกตัวอย่างแผ่วเบา

หลังจากผ่านไปเพียงหนึ่งก้านธูป ก็มีเสียงกุกกักดังขึ้นเล็กน้อยจากห้องชั้นบน

แสงจันทร์กระจ่าง ทำให้กลางลานสว่างไสวมองเห็นได้ชัดเจน

ปรากฏร่างหนึ่งกำลังเดินไปที่กระท่อมหลังคอกหมู

หยุนเชวี่ยเคาะกรอบหน้าต่างสองครั้งเพื่อเป็นการส่งสัญญาณ แล้วพลิกตัวออกจากเตียงอย่างรวดเร็ว

“เชวี่ยเอ๋อ จะทำอะไร? เหตุใดถึงยังไม่นอน?” หยุนเยี่ยนถามด้วยความงุนงง

“ข้าปวดฉี่”

ประตูห้องถูกเปิดออก ทั้งสองค่อย ๆ ย่องออกไปชิดกำแพง เมื่อเดินผ่านกองฟืน หยุนเชวี่ยก็หยิบไม้ตีสุนัขขึ้นมา

“อย่าส่งเสียงดัง” หยุนเชวี่ยหมอบจนเอวโค้งราวกับแมวอยู่ตรงมุมคอกหมู แล้วขยับปากบอกโดยไร้เสียงไปทางเสี่ยวอู่

เสี่ยวอู่พยักหน้า

ในความมืด ฟันสีขาวของนางดูเหมือนสัตว์ร้ายตัวเล็ก ๆ ที่มีกรงเล็บและฟันอันแหลมคม

“เอ๊ะ!”

ขณะที่หยุนชิ่วเอ๋อเดินออกมาจากกระท่อมได้เพียงสองก้าว นางก็สะดุดกับกิ่งไม้ที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนจนเกือบจะล้มลง

หยุนเชวี่ยชี้ไม้ชี้มือ จากนั้นทั้งสองก็รีบออกไปอย่างรวดเร็ว

“…” หยุนชิ่วเอ๋อได้ยินเสียงคล้ายฝีเท้าคน ก่อนที่นางจะทันได้ตอบโต้ ก็สะดุดไม้จนล้มลงบนกองมูลสัตว์ข้างคอกหมู

“อ๊า!”

สายไปแล้ว ทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่นางจะทันได้ร้องตะโกนออกมา เสี่ยวอู่ก็รีบเอากระสอบที่ฉีกขาดมาครอบหัวของนาง

หยุนเชวี่ยใช้ไม้ทุบจนได้ยินเสียงไม้แตก

ในขณะที่กำลังฟาดลงไปก็คิดในใจไปด้วย ตีครั้งนี้สำหรับที่เจ้าด่าทอพ่อแม่ของข้า ตีครั้งนี้สำหรับแก้แค้นที่รังแกหยุนเยี่ยน และตีอีกครั้งสำหรับที่เจ้าทุบหม้อของบ้านข้า ส่วนนี่คือดอกเบี้ย ดอกเบี้ย และดอกเบี้ย…

หยุนเชวี่ยใช้ถุงคลุมหน้าและทุบตีนางจนน่วมโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เมื่อสาสมใจแล้ว ก็เตะก้นนางอีกครั้ง ก่อนจะโยนไม้ทิ้งแล้วจูงมือเสี่ยวอู่วิ่งกลับไป

พวกเขาวิ่งเข้าไปในห้อง ทั้งสองต่างจ้องมองกัน ก่อนที่จะทันได้ปรับลมหายใจ ก็ได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวด “อ๊า!”

ในค่ำคืนอันเงียบสงัด เสียงที่ร้องราวกับหมูถูกเชือดดังไปไกลถึงแปดลี้

หลังจากนั้นไม่นานไฟในห้องชั้นบนก็จุดขึ้นอีกครั้ง

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด