[นิยายแปล] เส้นทางแห่งจอมมาร จอมมารเกิดใหม่ 1,000 ปีให้หลัง กลายเป็นโคโบลด์สุดกระจอก แต่ความรู้และประสบการณ์อยู่ครบ จะสั่งสอนพวกมนุษย์ที่ทำตามใจชอบโดยอ้างเทพเจ้าและความยุติธรรมเอง 2 – พันธะสัญญานี้ได้สำเร็จแล้ว

Now you are reading [นิยายแปล] เส้นทางแห่งจอมมาร จอมมารเกิดใหม่ 1,000 ปีให้หลัง กลายเป็นโคโบลด์สุดกระจอก แต่ความรู้และประสบการณ์อยู่ครบ จะสั่งสอนพวกมนุษย์ที่ทำตามใจชอบโดยอ้างเทพเจ้าและความยุติธรรมเอง Chapter 2 - พันธะสัญญานี้ได้สำเร็จแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 2 พันธะสัญญานี้ได้สำเร็จแล้ว

บนโลกใบนี้ มนุษย์และมอนส์เตอร์ต่างขัดแย้งกัน

โคโบลด์ในหมู่มอนส์เตอร์กันเองก็นับว่าอ่อนแอ เป็นฝ่ายที่ถูกล่าเป็นอาหารนั้น ได้รวมตัวกันแล้วอาศัยอยู่ในถ้ำ

พวกมันแทบที่จะหาอาหารมาเติมกระเพราะให้เต็มไม่ได้เลย ต้องคอยหาผักหญ้าและแมลงมากินเพื่อต่อชีวิตให้ยืดยาวออกไป

“อืม ประมาณนี้ล่ะมั้ง”

“แบบนี้ ดีแล้ว?”

“เพียงพอแล้วล่ะ”

โคโบลด์เด็กได้รับการเติมเต็มพลังชีวิตสำหรับวันนี้ โดยการกินแมลงกิจิที่โคโบลด์ตัวเต็มวัยนำมาให้

ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะกินเนื้อมากกว่า เพื่อการนั้นก็ต้องทำให้การล่าประสบความสำเร็จให้ได้ เพียงแต่ด้วยกำลังของโคโบลด์แล้วนั้นไม่มีสัตว์ป่าตัวไหนที่พอจะจับได้เลย การจะพูดคุยเรื่องการหาเนื้อมากับโคโบลด์ที่แม้แต่สัตว์เล็กๆ ก็ยังเคยพ่ายแพ้ให้มาแล้วนั้นจัดว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก

แต่เรื่องราวนี้จะต่างออกไปเมื่อกล่าวถึงกลุ่มโคโบลด์ทั้ง 40 ตัวนี้ หากมองผ่านๆ แล้วก็อาจจะเห็นเป็นกลุ่มของโคโบลด์ทั่วไป แต่ในกลุ่มนี้มีโคโบลด์เด็กอยู่ตัวหนึ่งที่มีพรสวรรค์พิเศษ มีสติปัญญาในระดับที่เป็นไปไม่ได้สำหรับโคโบลด์อยู่

ด้วยการชี้นำของโคลต์ ที่ใช้วิธีที่โคโบลด์ทั่วไปไม่สามารถทำได้อย่างการนำเถาวัลย์มาทำกับดักหลุมพราง

“ที่เหลือก็ทำให้เป็นตารางก็เรียบร้อย ประมาณนี้แหละ”

โคลต์ได้สาธิตงานให้โคโบลต์ที่เหลือทำตาม

ถ้าหากวางหลุมกับดักเอาไว้แล้ว เหยื่อตัวใหญ่ที่ปกติไม่สามารถจะจับได้ ก็อาจจะจับได้ด้วยวิธีนี้

เตรียมพร้อมเพื่อนำพาไปยังอนาคตที่สดใส เป็นเหมือนฝันสำหรับโคโบลด์ที่ต้องใช้ชีวิตผ่านวันคืนอย่างหวาดหวั่น

“วากาากี้!?” (ワカ――ギッ!?)

 

แต่ว่าความฝันนั้นก็ถูกทำลายด้วยลูกศรดอกหนึ่งอย่างไร้ความเมตตา โคโบลต์ตัวหนึ่งกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ เพียงชั่วครู่ ก็มีกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์โชยเข้าจมูก ความสิ้นหวังบัดนี้ได้มาเยือนแล้ว

นั่นก็คือไฟ ศรเพลิงถูกยิงเข้ามา ภายในถ้ำที่โคโบลด์ใช้เป็นรังนี้ สิ่งของที่พอจะเผาไหม้ได้ก็มีเพียงแค่เถาวัลย์ที่ใช้ในกับดักหลุมพรางเท่านั้น แต่ทว่าที่ปลายของลูกศรเพลิงที่ยิงเข้ามา มีเศษผ้าชุบสารพิเศษพันเอาไว้อยู่ เศษผ้านี้เมื่อถูกเผาไหม้จะส่งควันจำนวนมหาศาลออกมาเพื่อย่างสดโคโบลด์ที่อยู่ในถ้ำทั้งหมด

ยิ่งไปกว่านั้น ควันนี้ส่งกลิ่นอันไม่พึงปราถนาออกมาในระดับที่การรับรู้กลิ่นของมนุษย์ยังทนไม่ไหว ด้วยจมูกของเหล่าโคโบลด์นั้นภายในถ้ำนี้เองก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับนรกขุมหนึ่ง

 

“กิ..หนีไป!”

 

โคโบลด์ที่เป็นหัวหน้าเผ่า ออกคำสั่งด้วยความเร่งรีบ หากยังคงอยู่ในถ้ำต่อไปคงไม่พ้นต้องถูกย่างสดกันทั้งหมด

รวมถึงกลิ่นที่เหม็ดเสียดแทงจมูกนี้ เหล่าโคโบลด์ที่กำลังตื่นตระหนกก็ได้แต่ทำตามคำสั่งของหัวหน้าเผ่าแล้วหนีออกจากถ้ำ

 

“หยุดก่อน! ข้างนอกมันอันตราย!”

 

ในระหว่างที่เหล่าโคโบลด์กำลังเร่งรีบสาวเท้าออกไปที่ปากถ้ำ โคลต์ก็ได้เปร่งเสียงตะโกนออกมา

ตั้งแต่แรกถ้ำนี้ก็ไม่ใช่ถ้ำที่ลึกแต่อย่างใด การที่จะยิ่งศรเพลิงจากภายนอกถ้ำเข้ามายังเขตที่อยู่อาศัยก็ไม่ใช่เรื่องยาก เป็นถ้ำที่หากวิ่งจากภายนอกเข้ามายังจุดที่ลึกที่สุดก็ใช้เวลาเพียงแค่ 30 วินาทีเท่านั้น

เช่นนั้นเอง เหล่าโคโบลด์จึงได้รุดไปถึงปากถ้ำเรียบร้อยแล้ว เว้นแต่เพียงโคลต์เท่านั้น ที่เลือกที่จะหมอบลงกับพื้นแทนที่จะวิ่งไปยังปากถ้ำ

ภายนอกถ้ำนั้นมีคนร้ายผู้ยิงศรเพลิงเข้ามาในถ้ำอยู่ เหล่าโคโบลด์ทั้งหลายที่ถูกล่อให้ออกจากถ้ำอย่างไร้การป้องกันเว้นแต่โคลต์นั้นได้ส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด

 

“กี้!?”

“กรี้!!”

 

จมูกอันแสนภาคภูมิใจถูกทำลายลง เหล่าโคโบลด์มิได้เตรียมการป้องกันการดักซุ้มเช่นนี้

โคโบลด์นั้นเป็นเผ่าพันธ์มีร่างกายบอบบาง นอกจากนี้ยังไม่มีความสามารถพิเศษใดๆ ในการต่อสู้นั้นโคโบลด์จะอาศัยจมูกในการจับตำแหน่งของศัตรู แล้วอาศัยความว่องไวจากร่างกายขนาดเล็กนี้ในการหนีจากศัตรู การต่อสู้แบบปะทะซึ่งหน้าแล้วจะเอาชนะได้นั้นคงมีอยู่แต่ในความฝัน

และนั่นคือความเป็นจริงที่ไม่สั่นคลอน มันได้ถูกพิสูจน์โดยมือสังหารที่อยู่เบื้องหน้าของเหล่าโคโบลด์ที่นอนกองอยู่กับพื้นนี้

 

“วิ้ว! ยิงได้สวย!”

“ฝูงนี้มีประมาณ 50 ตัวใช่มั้ย?”

“…ประมาณจากตัวผู้ที่ไปออกล่า ก็ตรงกับที่ตรวจจับด้วยมานาเซ็นเซอร์ คิดว่าไม่มีปัญหา”

 

ที่คอยยิงศรใส่ศีรษะของเหล่าโคโบลด์ก็คือกลุ่มของมนุษย์สามคน

ประกอบด้วย ชายที่ยิงธนูไฟ และคอยยิงศรไปยังโคโบลด์ที่หนีออกมา อีกคนหนึ่งคอยปกป้องชายที่ยิงธนู ชายร่างใหญ่ถือโล่ และสุดท้ายคือหญิงสาวตาคมที่สวมเกราะเบาไม่เข้ากับคนอื่นกำลังหลบอยู่ในป่า

แม้ว่าป่าซิลก์จะเป็นเขตแดนของเหล่ามอนส์เตอร์ แต่ก็มีบางครั้งที่มนุษย์บุกรุกเข้ามา โดยมีเป้าหมายอยู่ที่มานา หรือพลังเวทย์ ซึ่งพบได้ในสภาพแวดล้อมที่มีพลังงานเข้มข้นอย่างในป่านี้ เพื่อค้นหาสิ่งที่เรียก ทรัพยากรต่างมิติ (異界資源) หรือก็คือเหล่ามอนส์เตอร์ที่อาศัยอยู่ในป่านี้นั่นเอง

และนั่นก็คือเป้าหมายของเหล่ามนุษย์ที่กำลังเข่นฆ่าเหล่าโคโบลด์ในขณะนี้อย่างไร้ซึ่งความเมตตา ทั้งสามคนนั้นมาที่นี่เพื่อสังหารเหล่ามอนส์เตอร์

หากให้กล่าวถึงเหตุผลที่โคโบลด์อันไร้ซึ่งเขี้ยวเล็บหรือไม่สามารถเป็นได้แม้อาหารนี้ถึงได้ตกเป็นเป้าหมายของการล่าแล้วละก็เพราะว่าภายในร่างกายของมอนส์เตอร์เหล่านี้มีอวัยวะพิเศษที่สามารถสร้างผลึกเวทมนต์เอาไว้ในร่างกายที่เรียกกันว่าหินเวทย์นั่นเอง

พวกมนุษย์ล่าสังหารมอนส์เตอร์เพื่อที่จะครอบครองหินเวทย์เหล่านี้เพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานอันสำคัญ

แม้ว่าจะมีการจับไปเป็นทาส หรือสัตว์เลี้ยงอยู่บ้าง แต่การจับเป็นนั้นค่อนข้างยากและมีความเสี่ยงสูง ในครั้งนี้พวกเขาจึงตั้งเป้าหมายไว้ที่การฆ่าล้างบางทั้งหมด

แต่ว่าเรื่องนี้พวกนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเหล่าโคโบลด์แต่อย่างใด

สิ่งที่พวกเขากำลังนึกคิดอยู่ในตอนนี้มีเพียงความเป็นจริงอันแสนเจ็บปวด หากปล่อยไว้เช่นนี้โคโบลด์ทั้งฝูงจะต้องสูญสิ้นเป็นแน่แท้

 

“กี้—!”

 

เหล่าโคโบลด์จำนวนหนึ่งได้พยายามบุกโจมตีเข้าไปหามือธนูที่กำลังไล่ยิงปลิดชีวิตเหล่าโคโบลด์ไปทีละตัว 

แม้ว่าจมูกจะยังคงเสียหาย ประสาทสัมผัสยังคงทื่ออยู่ แต่ก็ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากบุกเข้าประชิด เหล่าโคโบลด์ที่มีหน้าที่เป็นนักล่าได้ขยับตัวต่อสู้ ไม่ใช่เพื่อชัยชนะต่อศัตรู แต่เพื่อซื้อเวลาให้ฝูงของตนสามารถหนีรอดต่อไปได้ พวกมันเข้าโรมรันโดยเดิมพันกับความอยู่รอดของวงศ์วาน 

ดุจดั่งจะหัวเราะเยาะในการต่อสู้อันไร้ความหมายนี้ ชายร่างใหญ่กำยำได้ถือโล่ออกมาสลับตำแหน่งกับชายถือธนู

ชายถือโล่ขนาดใหญ่กว่าช่วงตัวของโคโบลด์รับการโจมตีของโคโบลด์อย่างง่ายดาย การโจมตีอันเหยาะแหยะของโคโบลด์ถูกโล่ป้องกันเอาไว้ทั้งหมด ทำให้โคโบลด์ที่กระแทกเข้าไปเองต่างหากที่จะได้แผลกลับไป

 

“…ฝูงส่วนใหญ่… ทั้งหมดน่าจะออกมาหมดแล้ว”

“ง้านเหรอ งั้นก็ฝากเก็บกวาดหน่อยนะ”

 

ชายถือโล่ใช้มือหนึ่งคว้าเอาดาบสั้นออกมา จัดการตัดหัวของโคโบลด์ที่แน่นิ่งอยู่

ชายถือธนูเล็งเป้าหมายไปยังโคโบลด์ที่หนีห่างออกไป ยิงศรคร่าชีวิตเพื่อไม่ให้มันหนีไปได้

นอกจากนี้ หญิงสาวที่สวมเกราะเบาได้เฝ้ารอเวลาที่โคโบลด์ทั้งหมดออกมาจากถ้ำเพื่อจะได้ลงมือทำงานของตนเอง เธอยื่นมือขวาไปยังเหล่าโคโบลด์

 

“วิถีปฐพีขั้นที่สอง ลูกบอลสายฟ้า”

 

หญิงสาวร่างบางพึมพำบางอย่าง ที่มือขวาของหญิงสาวก็มีสายฟ้าเปรียะๆ ก่อตัวขึ้นเป็นทรงกลม

ความพิโรธแห่งผืนฟ้าได้ก่อรูปเป็นเหมือนลูกบอลแล้วรับเอาเจตนาของหญิงสาวเข้าไปแล้วดีดตัวออก เป้าหมายก็คือกลุ่มของโคโบลด์

ลูกบอลสายฟ้าพุ่งไปยังศูนย์กลางของกลุ่มโคโบลด์แล้วในขณะเดียวกันก็ระเบิดออก ปล่อยสายฟ้าที่อยู่ภายในอาละวาดไปรอบๆ

 

“—กี้!?”

 

เพราะถูกกระแสไฟฟ้าช๊อตอย่างกระทันหัน เหล่าโคโบลด์ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ร่างกายถูกแย่งชิงอิสระไป โคโบลด์กว่าครึ่งนึงถูกส่งกลับลงสู่ผืนดิน

 

“…ภารกิจเสร็จสิ้น”

“ยังพูดน้อยเหมือนเดิมเลยน้า”

“แต่ว่า อุ่นใจจริงๆ แค่มีนักเวทย์สักคนในทีม พลังต่อสู้นี่ผิดกันเลย”

“ก็นะ ถ้ามีแต่พวกเรา ถึงจะเป็นพวกลูกกระจ๊อก แต่จะกวาดให้หมดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”

กว่าครึ่งของเหล่าโคโบลด์ได้แน่นิ่งไปแล้ว ที่ยังอยู่รอดก็คงแค่บังเอิญเท่านั้น ร่างกายที่เหน็บชาจนไม่สามารถขยับได้แม้แต่นิ้วเดียวก็ไม่ต่างอะไรจากตายไปแล้ว

พวกมนุษย์ที่สร้างโศกนาฏกรรมนี้มิได้รู้สึกผิดแม้เพียงเศษเสี้ยว สิ่งนี้คือเรื่องปกติสำหรับมนุษย์ การกำจัดมอนส์เตอร์ที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ ยิ่งไปกว่านี้ยังได้เก็บเกี่ยวทรัพยากรอันมีค่า จึงนับเป็นการกระทำอันชอบธรรม

 

“งั้น ก็กำจัดหมดแล้วใช่มั้ย?”

“…รอก่อน เพื่อความแน่ใจ จะค้นหาอีกรอบ”

 

หญิงสาวที่เป็นนักเวทย์ใช้งานอุปกรณ์ที่พันอยู่รอบแขน

อุปกรณ์นั้นมีหน้าจอติดเอาไว้ บนหน้าจอแสดงจุดแสงมากมาย และในแต่ละจุดนั้นก็มีตัวเลขแสดงกำกับไว้

จุดที่ตัวเลขมากที่สุดนั้นอยู่ที่กึ่งกลาง จุดแสงอันดับสองและสามที่มีตัวเลขมากนั้นก็อยู่ใกล้ๆ นอกจากนี้ก็มีจุดแสงอีกหลายจุดในบริเวณเดียวกันที่แสดงตัวเลขลดหลั่น

และสุดท้าย อีกหนึ่งจุดที่มีตัวเลขไม่มากเท่ากับสามจุดแรกอยู่ห่างออกไป

 

“…มานาเซนเซ็อร์มีการตอบสนอง โคโบลด์ที่มีมานาขนาดใหญ่ตัวนึงเหลืออยู่ในถ้ำ”

“อะไรนะ? โดนลูกศรควันเข้าไปแล้วไม่หนีออกมา… ตัวตนพิเศษงั้นเหรอ?”

“อาจจะแค่เพราะว่ามันเหม็นมากจนเป็นลมไปก็ได้ม้าง?”

 

อุปกรณ์ที่ติดอยู่บนแขนของนักเวทย์หญิงนั้นมีชื่อเรียกว่า มานาเซ็นเซอร์ สามารถที่จะตรวจจับมานาหรือพลังเวทย์ที่สถิตย์อยู่ในทุกสรรพสิ่งได้ตามชื่อเรียกของมัน

ขอแค่มีสิ่งนี้อยู่ การจะตรวจจับมอนส์เตอร์ที่ซ่อนตัวอยู่ก็เป็นเรื่องง่าย

 

“ง้าน ฉันจะตามล่าพวกที่เหลือรอดอยู่เอง ฝากที่อยู่ข้างในด้วยนะ”

“เห้ย เห้ย อาจจะเป็นตัวตนพิเศษก็ได้นะเว้ย?”

“…ควรจะไปพร้อมกันทุกคน”

 

ปฏิเสธซึ่งความเห็นของชายถือธนูปากพล่อย ทั้งสามคนก็สาวเท้าเข้าไปในถ้ำอย่างไม่ประมาท

ที่เหลือรอดอยู่ในถ้ำนี้ ก็มีเพียงแค่โคลต์ที่รับรู้อันตรายที่อยู่ภายนอกแล้วไม่เคลื่อนไหวอย่างประมาท แต่ทว่าโชคชะตานั้นอาจจะมาจบลงที่ตรงนี้

แม้ว่าโคลต์จะเป็นโคโบลด์ที่มีพรสววรค์และเป็นความหวังของเผ่าพันธ์ แต่พลังรบนั้นก็ไม่ได้หลุดกรอบแต่อย่างใด หากเทียบกับโคโบลด์ตัวเต็มด้วยแล้ว โคลต์เป็นมีพละกำลังเท่ากับโคโบลด์เด็กทั่วไปเท่านั้น

อาจจะมีพลังเวทย์ที่มากกว่าโคโบลด์ทั่วไปตั้งแต่เกิด แต่เทียบกับมนุษย์ทั้งสามคนนี้แล้ว ไม่ว่าคนไหนก็มีพลังมากกว่าโคลต์ทั้งนั้น

 

“อ…ไอ้เชี่ยเอ้ย!”

 

สิ่งที่โคลต์ทำได้มีเพียงหยิบหินจากในถ้ำขึ้นมาแล้วพุ่งตัวออกไป

อยากจัดการศัตรูของพวกพ้อง อยากช่วยเหลือพวกพ้อง โคลต์เก็บความเชื่อมั่นในปาฏิหารย์ที่จะเปลี่ยนเอาความนึกคิดเหล่านี้ให้เปลี่ยนเป็นพลัง ใช้ก้อนหินที่อยู่ใกล้ตัวเป็นอาวุธสำหรับทุบตี แล้วเข้าโรมรันศัตรู

 

“เด็กงั้นเหรอ”

“เคี้ยน!?”

 

แม้จะเป็นโคโบลด์ที่มีอัจฉริยภาพเพียงใด ต่อหน้าประสบการณ์และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่าอย่างชายที่ถือโล่ใหญ่ก็เปล่าประโยชน์

การปะทะถูกป้องกันเอาไว้ได้พร้อมกับเสียงร้องแหลมสูงของสุนัขที่ดังขึ้น ตามด้วยคมดาบที่จ่อมายังคอหอย

 

“การตอบสนองเมื่อกี้คือเจ้านี่น่ะเหรอ?”

“…ใช่ โคโบลด์เด็ก”

“ทั้งที่เป็นแค่เด็กแต่มีพลังเวทย์เยอะมาก…อาจจะวิวัฒนาการไปเป็นตัวอันตรายในอนาคตก็ได้”

ถ้าโคลต์เติบโตขึ้น ก็อาจจะกลายเป็นวีรบุรุษที่จะเปลี่ยนแปลงสถานะของเหล่าโคโบลด์ก็เป็นได้

อนาคตที่เหล่าโคโบลด์ฝันถึง ที่แม้แต่มนุษย์ก็จินตนาการได้ แต่ทว่านั่นคงไม่ใช่อนาคตที่มนุษย์อยากให้เป็น เพราะฉะนั้นก็คงมีแต่ต้องกำจัดเสียตรงนี้

 

“โขลต์… นี..ไป”

“หา? อะไรเนี่ย? โคโบลด์ตัวนี้มันยังขยับได้อยู่เลยนะเว้ย?”

“…เวทมนตร์ที่ใช้เป็นวงกว้าง ยังไงก็มีพลังทำลายลดลง”

“อ่า มีตัวเหลือรอดนี่ก็เป็นไปตามแผนนั่นแหละ แต่ถึงขนาดยังขยับตัวได้นี่นอกเหนือการคำนวนแฮะ”

 

อย่างน้อยก็อยากให้ความหวังของเผ่าพันธ์เพียงตัวเดียวอย่างโคลต์รอดออกไปได้ โคโบลต์ตัวหนึ่งที่รวบรวมแรงใจขยับร่างกายอันหนักอึ้งที่ถูกไฟฟ้าช๊อตจนไหม้เกรียม เอาแขนขวาคว้าไปที่ข้อเท้าของมนุษย์

เปร่งเสียงขมุกขมัวจากลำคอที่แห้งผากอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อสื่อให้โคลต์หนีไป

แต่ปาฏิหารย์นี้ก็ได้จบลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการแทงดาบตัดขั้วหัวใจของโคโบลด์ที่ยังขยับอยู่ สะบั้นด้ายแห่งชีวิตที่รุ่งริ่งให้ขาดลงไป

โคลต์ที่ล้มนอนอยู่บนพื้นและเหล่าโคโบลด์จำนวนน้อยนิดที่ยังเหลือรอดอยู่นั้นสามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดายกับภาพที่เห็นนี้

ว่าพวกตนนั้นไม่มีทางหลีกหนีความพินาศไปได้

 

“…ไว้..ชีวิต”

“หา?…ได้ยินอะไรหรือเปล่าวะ?”

“หือ ไม่ได้ยินอะไรเลยว่ะ”

“…ฉันเองก็ไม่ได้ยิน”

“ขอร้อง พวกเรา ไม่เป็นไร อย่างน้อย ขอแค่โคลต์”

“เจ้าพวกปลาซิวปลาซ้อยมันหนวกหูเว้ย”

 

และอีกหนึ่งชีวิตก็ได้จากไป

พวกมนุษย์นั้นไร้ความเมตตา การสังหารมอนส์เตอร์นั้นเป็นการกระทำอันชอบธรรมที่ได้รับการยอมรับจากประเทศ

เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรที่เหล่าโคโบลด์นั้นสามารถทำได้อีก

จะมีก็คงเพียงแค่ภาวนาต่อพระเจ้าของเหล่ามอนส์เตอร์ที่ไม่น่าจะมีตัวตนอยู่จริง

 

“ขอร้องล่ะ ใครก็ได้ ใครสักคน ได้โปรดช่วย…!”

 

ความนึกคิดของเหล่าโคโบลด์ที่ยังเหลือรอดนั้นรวมกันเป็นหนึ่ง เป็นปกติที่จะให้ความสำคัญต่อเผ่าพันธ์มากกว่าตนเอง อยากจะให้ครอบครัวมีชีวิตอยู่รอดต่อไป ความคิดเหล่านี้ได้รวมกับเป็นคำภาวนาเพียงหนึ่งเดียว

ตนเองนั้นจะเป็นอย่างไรก็ไม่สน ได้โปรดช่วยเหลือโคลต์ด้วย

โดยมิได้จินตนาการไปว่าความปราถนานี้จะส่งไปยังที่ใด

 

“ได้เสีย พันธะสัญญานี้ได้สำเร็จแล้ว”

 

ได้ยินเสียงที่ไม่รู้ต้นกำเนิด เสียงอันบิดเบี้ยวที่รวมเอาความชั่วร้ายทั้งหลายบนโลกเข้าไว้ด้วยกัน

 

“ด้วยนามแห่งข้า จะสนองความปราถนาของพวกเจ้าเอง และค่าตอบแทนต่อคำขอนี้ ข้าจะขอรับทุกสิ่งของพวกเจ้าเอาไว้!”

 

พร้อมกับคำประกาศนี้ เหล่าโคโบลด์ที่แน่นิ่งอยู่บนพื้นก็กลับลุกขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่ เหมือนกับถูกบางสิ่งฉุดให้ลอยขึ้นมามากกว่า

เมื่อได้เห็นปรากฏการณ์อันพิลึกพิลั่นนี้ ดาบที่จ่อคอของโคลต์เอาไว้ก็พลันถูกดึงออกด้วยมือของมนุษย์ที่มีความตื่นตระหนกปรากฎบนใบหน้า

 

“ข้าจะขอใช้พวกเจ้าเป็นตัวแทน ฟื้นคืนชีพจากผนึกอันยาวนาน จงรับรู้นามแห่งข้า จงสลักนามนี้เข้าไปยังดวงวิญญาณ!”

 

ร่างของเหล่าโคโบลด์เริงระบำอยู่กลางอากาศ แล้วไปรวมกันอยู่ที่จุดหนึ่ง ศูนย์กลาง ณ จุดนั้นได้ปรากฎหลุมสีดำสนิทเปิดออก ที่ศูนย์กลางนั้น ร่างเนื้อของเหล่าโคโบลด์ได้ถูกบีบอัดด้วยกำลังของบางสิ่ง

ช่างเป็นปรากฏการณ์ที่น่าหวาดหวั่น แม้แต่เหล่ามนุษย์ที่เมื่อครู่ได้สังหารเหล่าโคโบลด์อย่างหน้าตาเฉยก็ไม่อาจจะทานทนได้ และพิธีอันสยดสยองนั้นก็มาถึงจุดสิ้นสุด 

ชีวิตร่างใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นจากการกลั่นตัวของพลังเวทย์จากร่างเนื้อของโคโบลด์ทั้งหมดนี้

ความชั่วร้ายนั้นสถิตย์อยู่ในร่าง แสงสว่างจากสรวงสวรรค์ได้ร่วงหล่น

ไม่มีซึ่งเศษเสี้ยวใดที่นำไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์ หรือข้องเกี่ยวกับเทพเจ้าใดๆ เปร่งประกายสีดำดุจดั่งมโนทัศน์แห่งความชั่วร้ายที่เดือดพล่าน

 

“…นามแห่งข้าคือ อูล โอม่า บัดนี้พันธสัญญาได้สำเร็จลงแล้ว”

 

นามของผู้ที่ถูกอัญเชิญออกมาโดยใช้เหล่าโคโบลด์เป็นเครื่องสังเวยคือ อูล โอม่า

ร่างที่นุ่งห่มออร่าอันชั่วร้าย รูปร่างนั้นถอดแบบมาจากเครื่องสังเวย นั่นก็คือร่างของโคโบลด์อันแสนอ่อนแอนั่นเอง

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด