[นิยายแปล] เส้นทางแห่งจอมมาร จอมมารเกิดใหม่ 1,000 ปีให้หลัง กลายเป็นโคโบลด์สุดกระจอก แต่ความรู้และประสบการณ์อยู่ครบ จะสั่งสอนพวกมนุษย์ที่ทำตามใจชอบโดยอ้างเทพเจ้าและความยุติธรรมเอง 7

Now you are reading [นิยายแปล] เส้นทางแห่งจอมมาร จอมมารเกิดใหม่ 1,000 ปีให้หลัง กลายเป็นโคโบลด์สุดกระจอก แต่ความรู้และประสบการณ์อยู่ครบ จะสั่งสอนพวกมนุษย์ที่ทำตามใจชอบโดยอ้างเทพเจ้าและความยุติธรรมเอง Chapter 7 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 7 จะแสดงเวทมนตร์ของจริงให้เห็นเอง

มุมมองจากฝั่งมนุษย์

ทวีปฟาลม่า สงครามระหว่างเทพเจ้าและปีศาจในยุคโบราณ สิ่งหนึ่งที่หลงเหลืออยู่ในโลกที่ล่มสลายจากการต่อสู้ระหว่างเหล่าเทพและจอมมาร ทวีปที่ยังคงมีสภาพแวดล้อมที่สิ่งมีชีวิตสามารถอาศัยได้อยู่

และผู้ปกครองทวีปแห่งนี้ นั่นคือก็คือสิ่งมีชีวิตผู้อยู่จุดสูงสุดของโลกนี้คืออะไรเล่า? ซึ่งเมื่อเกิดคำถามเช่นนี้ขึ้น คำตอบนั้นก็คงจะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกเสียจากมนุษย์

ในสงครามระหว่างเทพเจ้าและปีศาจนั้น ผู้ที่ชนะคือเทพเจ้า เหล่ามนุษย์ผู้อยู่ข้างพระเจ้าจึงได้รับสิทธิในการขึ้นนำในโลกใบใหม่ ในทางตรงกันข้าม เหล่ามอนสเตอร์และมนุษย์มารที่เป็นผู้แพ้ ได้สูญเสียพลัง ถูกไล่ล่าและต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ

เช่นนี้แล้ว เหล่ามนุษย์ผู้กลายเป็นเผ่าที่มีอิทธิพลมากที่สุด จะยอมจับมือแล้วอาศัยอยู่ร่วมกับเผ่าพันธ์อย่างสงบสุขได้หรือไม่?

คำตอบก็คือไม่ และเมื่อมนุษย์เริ่มคิดว่าตนเองประสบความสำเร็จในการกำจัดเผ่าพันธ์อื่นที่แข็งแกร่งแล้ว คราวนี้ก็เริ่มมองหาศัตรูจากภายใน แล้วก็แบ่งออกเป็นประเทศย่อยๆ

แต่ทว่าตัวตนที่แม้จะสูญเสียพลังไปแล้วอย่างมอนสเตอร์ แต่การที่หลงเหลือภัยอันตรายเอาไว้ แม้จะเป็นผู้ที่ถือครองความได้เปรียบเอาไว้อย่างมาก ก็ถือว่าเป็นการกระทำอันโง่เขลา ถ้าหากจอมมารจากยุคก่อนฟื้นคืนชีพมาเห็น คงจะหัวเราะเยาะขึ้นจมูกเอาแน่

แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่มนุษย์ก็เลือกที่ตั้งประเทศต่างๆ แล้วรวบรวมกำลังทหารเพื่อปกป้องตัวเองจากเพื่อนร่วมเผ่าพันธ์

ยกตัวอย่างเช่น ทวีปฟาลม่า ทวีปที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่มนุษย์ยังไม่รู้จัก หนึ่งในห้าประเทศที่ใหญ่ที่สุด ราชอาณาจักรรู โคอา (ル=コア王国) มีเป้าหมายในการพัฒนาทรัพยกรมนุษย์ที่น่าภาคภูมิใจอย่างนักเวทย์ มีสถาบันศึกษาในระดับประเทศที่มีชื่อเหมือนกับพระราชาพระองค์แรก โรงเรียนสอนเวทมนตร์อัลฮาเมส (アルハメス魔道学園) 

“ถ้างั้น ก็เริ่มคาบเรียนกันเลยนะ”

ห้องเรียนร้องหนึ่งที่ให้บรรยากาศการตกแต่งที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ เป็นห้องที่เหมือนกับว่าถูกสร้างมาแล้วอย่างยาวนาน ที่แห่งนั้นมีผู้ใหญ่คนหนึ่งพร้อมทั้งเด็กอีกหลายสิบชีวิตรวมกันอยู่

นี่ก็คือโรงเรียนสอนเวทมนตร์อัลฮาเมสแห่งราชอาณาจักรรู โคอาที่ก่อตั้งมาอย่างยาวนาน แม้กระทั้งกำแพงก็ยังให้ความรู้สึกของวันคืนที่ผ่านมาอย่างยาวนาน

…ยิ่งไปกว่านั้น หากมองจากในมุมของผู้ที่ไม่ใส่ใจในความสำคัญทางประวัติศาสตร์แล้ว ก็คงมองว่าเป็นแค่อาคารเก่าๆ แม้จะมีสิ่งประดับประดาหรูหราอยู่บ้าง แต่จากมุมมองของผู้ใช้ก็ไม่ได้มีความเห็นอื่นใด นอกจากว่าเป็นสิ่งเก่าแก่

และในห้องหนึ่งที่แยกออกมาอย่างโดดเดี่ยวในอาคารที่สามารถจะแสดงความเห็นหลากหลายได้ขึ้นกับมุมมองนี้ มีสุภาพบุรุษท่านหนึ่งที่มีอายุอานามเกินจากวัยเลขสี่ไปเล็กน้อยอยู่

ชายคนนี้มีบรรยากาศอันสุขุมลุ่มลึก กำลังเปิดหนังสือที่เป็นแบบเรียนขั้นต้นที่ใช้ในโรงเรียนสอนเวทมนตร์อัลฮาเมส

เขาคือลูกชายคนที่สามของตระกูลขุนนางชั้นล่างแห่งราชอาณาจักรรู โคอา นามว่าจิลต์ เรมเลส ฟาลกรา (ジルト・レムレス・ファルグア) เป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนสอนเวทมนตร์อัลฮาเมสผู้ที่เกิดมาด้วยพรสวรรค์ของนักเวทย์ เป็นชายที่เดินบนเส้นทางของการเป็นผู้ให้ความรู้

อาจารย์จิลต์นั้น เป็นครูชั้นประถม คอยให้ความรู้แก่เด็กอายุ 8 ปีถึง 12 ปีผู้ผ่านการทดสอบพรสวรรค์ทางเวทมนตร์ และกำลังจะเริ่มคาบเรียนแล้ว

“เอาล่ะ นักเรียนทุกคน พวกเธอได้รับความกรุณาจากฝ่าบาท ถึงได้มีโอกาสได้รับความรู้เพื่อที่จะเป็นนักเวทย์ได้ เพราะฉะนั้นจงขอบคุณโชคของตัวเอง อาจารย์หวังว่าพวกเธอจะไม่เสียความตั้งใจ… อย่างเช่นแอบหลับระหว่างเรียนซะล่ะ”

เมื่อจิลต์พูดถึงจุดหนึ่ง ก็หยุดพูดแล้วกวาดสายตามองนักเรียนทีละคน

ในวันนี้เป็นวันแรกของการเรียนการสอนของนักเรียนที่เข้าใหม่ในปีนี้ จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ไม่ควรจะถูกทำให้เสียหน้า

“…เอาล่ะ ตอนนี้พวกเธอเป็นแค่มือใหม่ที่มีพรสวรรค์ของการเป็นนักเวทย์ เพราะฉะนั้นก่อนอื่นอาจารย์จะเริ่มสอนพวกเธอตั้งแต่พื้นฐานของพื้นฐานเลย”

ในโรงเรียนสอนเวทมนตร์อัลฮาเมสนี้ มีการแบ่งชั้นเรียนออกเป็นชั้นเรียนของผู้มีฐานะที่รวมเอาลูกหลานขุนนางเอาไว้ และชั้นเรียนของผู้ยากไร้ที่รวมเอาสามัญชนเอาไว้

แม้ว่าบรรดาศักดิ์จะเป็นสิ่งที่แบ่งแยกได้ชัดเจน แต่ช่องว่าของความรู้เองก็สามารถเห็นได้เด่นชัดเช่นกัน ถ้าเป็นเด็กที่มีเงินแล้ว จะสามารถกำหนดอนาคตของตัวเองได้ด้วยการรับการทดสอบพรสวรรค์ของนักเวทย์ก่อนที่ประเทศจะเริ่มลงมือเสียอีก ถ้าหากว่ามีพรสวรรค์แล้ว ก็จะเริ่มต้นศึกษาในทันที

และสิ่งที่แสดงอย่างชัดเจนว่านักเวทย์นั้นถูกให้ความสำคัญเหนือทุกสิ่งอื่นคือการมองว่า เป็นเรื่องไร้เหตุผลที่จะมัดรวมชั้นเรียนของเด็กที่เพิ่งจะได้ทราบว่าตนเองสามารถเป็นนักเวทย์ได้ รวมกับเด็กที่ศึกษามาล่วงหน้าแล้ว

จะว่าไป ชั้นเรียนของลูกขุนนางนั้นมีอยู่ 2 ชั้น ของสามัญชนมี 6 ชั้น รวมกันเป็น 8 ชั้นเรียน และแบ่งเป็นชั้นเรียนละ 40 คน เพราะฉะนั้นในชั้นปีที่หนึ่งจะมีเด็กที่มีพรสวรรค์ทางเวทมนตร์รวมกันประมาณ 300 คน

“การใช้เวทมนตร์จริงนั้นจะเอาไว้ทีหลัง สิ่งที่พวกเธอจำเป็นจะต้องรู้เอาไว้ก่อน ก็คือการที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ทางเวทมนตร์นั้น ถือว่าเป็นโชคชะตา… เข้ามาแล้วแจกแบบเรียนได้”

“บุย(ブィ)”

อาจารย์จิลต์โบกมือให้สัญญาณกับผู้ช่วยที่อยู่ด้านนอก แบบเรียนที่เป็นของโรงเรียนก็ได้ถูกแจกไปยังเหล่านักเรียน

แต่ที่ยกแบบเรียนเข้ามาตามคำสั่งของอาจารย์จิลต์นั้น…หาได้ใช่มนุษย์ไม่ เป็นร่างของมอนสเตอร์ที่เรียกว่าออร์คที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นทั่วทั้งร่าง

ออร์คตัวนี้คือมอนสเตอร์ที่ถูกใช้เป็นทาสเรียกว่าเป็นดั่งลูกมือของมนุษย์ พวกมันมีทั้งที่ถูกจับมาฝึกฝน หรือเกิดมาจากลูกของมอนสเตอร์ที่เป็นทาสแล้วได้รับการสั่งสอนให้เป็นทาส ตัวตนของพวกมันมีไว้เพื่อนำมาทำงานที่ใช้แรงหรือเป็นเบ๊นั่นเอง

ทาสออร์คที่ถูกกระทำด้วยความรุนแรงอย่างต่อเนื่องจนหัวใจนั้นป่นปี้ไปแล้วได้ถูกขโมยความคิดที่จะต่อต้านไปทั้งหมด ได้แจกแบบเรียนให้กับเหล่านักเรียนด้วยความเชื่อฟัง

ในขณะที่นักเรียนเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับภาพดังกล่าว จัดเป็นเรื่องปกติ ที่เหล่ามอนสเตอร์จะต้องเชื่อฟังมนุษย์ และมีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้มนุษย์

“ถ้าเสร็จแล้วก็ออกไปซะ…เอาล่ะ นักเรียนทุกคน เปิดหน้าแรกขึ้นมาซะ”

จิลต์สั่งให้นักเรียนเปิดหน้าแรกของแบบเรียนซึ่งก็คือคำนำขึ้นมาแล้วเริ่มอธิบาย

ออร์คที่ทำงานเรียนร้อยแล้วก็ไม่ได้อยู่ในสายตาอีก เพราะแต่แรกแล้วก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องใส่ใจกับสัตว์ประหลาดอันอัปลักษณ์เหล่านี้

ทาสออร์คจึงได้เดินออกจากห้องเรียนไปอย่างเชื่อฟัง และชั้นเรียนก็ดำเนินผ่านไปอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เข้าใจใช่มั้ย? เวทมนตร์คือทักษะแห่งปาฏิหารย์ สามารถทำให้ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ร่างกายของมนุษย์ไม่สามารถทำได้ให้เกิดขึ้น แต่ว่าหากไม่มีพรสวรรค์แล้วไม่ว่าจะพยายามยังไงก็ไม่สามารถทำได้ แต่พวกเธอนั้นได้รับโชคดีที่สุดมาแล้ว ไม่เหมือนกับคนธรรมดา จงอย่าปล่อยให้โชคนั้นหลุดลอยไปแล้วพยายามอย่างเต็มที่ พวกเธอน่าจะเข้าใจอยู่แล้ว”

แม้จะเป็นคำพูดที่ฟังดูเป็นเรื่องจริง แต่วิธีพูดนั้นเป็นการปลูกฟังอคติของผู้ที่ถูกเลือกเอาไว้ จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเหล่านักเวทย์บ่อยๆ ว่ามีการดูถูกเหล่านักเวทย์ที่มีความแตกต่างกันระหว่างทักษะในการควบคุมเวทมนตร์ที่ชัดเจน 

โดยเฉพาะอาจารย์จิลต์นั้นเอง ที่มีอคติของผู้ที่ถูกเลือกฝังอยู่ในหัว เมื่อรวมกับความเป็นชนชั้นสูงแล้ว แม้จะเกิดเป็นลูกชายคนที่สามที่มักจะไม่มีอภิสิทธิ์อะไร แต่ก็ยังคงมีความภาคภูมิใจในสถานะทางสังคมนี้อยู่ดี

หากเป็นคนที่มีสติครบถ้วนสมบูรณ์แล้วอาจจะสงสัยว่าการให้คนแบบนี้มาเป็นครูนั้นจะดีหรือ… สิ่งที่ต้องการจริงๆ นั้นแล้วคือทรัพยากรอันมีค่าอย่างนักเวทย์ผู้รับรู้ในอภิสิทธิ์ที่ตนมีอยู่แล้วตั้งใจทำงานเพื่อรับใช้ประเทศต่างหาก แทนที่จะรับเอาคนที่ยอมรับในความเป็นสามัญชนแล้วเห็นอกเห็นใจผู้อ่อนแอ สู้เลือกคนที่อยู่ฟากชนชั้นสูงมาเป็นผู้ฝึกสอนจะดีกว่า

จึงเห็นได้ชัดเจนว่าทางโรงเรียนสอนเวทมนตร์จะเลือกเพียงแค่ขุนนางมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือเท่านั้น

“เข้าใจแล้วนะ? จากนี้ต่อไปมีเพียงผู้ที่ภาคภูมิในตนเองผู้ยอมรับให้ก้าวขึ้นสูงจุดสูงสุดในฐานะผู้ใช้เวทมนต์เท่านั้นที่จะเข้าท้าทายได้”

และแล้ว บทเรียนก็เริ่มต้นขึ้นจริงๆ พร้อมกับคำสั่งให้เปิดหน้าที่สอง

เด็กๆ ต่างส่งสายตาเป็นประกายเพราะในที่สุดก็จะได้เริ่มเรียนรู้ในสิ่งที่สนใจจริงๆ สักที จดจ้องหนังสือแบบเรียนที่ตามปกติแล้วนั้นเป็นของสุดหรูหรานี้

โดยทั่วไปแล้วสามัญชนที่อ่านออกเขียนได้นั้นมีไม่มาก แต่หากได้การยอมรับว่ามีพรสวรรค์ของนักเวทย์แล้ว จะได้รับการสอนอย่างไม่เสียค่าใช้จ่ายในอาคารที่แยกจากที่สอนเวทมนตร์ก่อน

ยกตัวอย่าง แม้จะเป็นชาวนายากจนธรรมดาที่แปะป้ายบนหน้าผากว่าชื่อ “จิล” ก็ตาม หากโชคดีพอแล้วก็สามารถที่จะเป็นนักเวทย์ฝึกหัดได้

“ก่อนอื่นก็ความรู้พื้นฐาน เวทมนตร์นั้นแบ่งออกเป็นสี่สายตามธรรมชาติ เรียกว่าวิถีและแบ่งออกเป็นขั้นทั้ง6ขั้น”

“ถ้าอย่างนั้น มาสอนเวทมนต์ให้พวกแกกันดีกว่า”

ในอีกฝากหนึ่ง ในถ้ำแห่งหนึ่งในป่าซิลก์อาณาเขตของเหล่ามอนสเตอร์ มีมอนสเตอร์จำนวนหนึ่งนั่งรวมตัวกันเป็นโครงสร้างเหมือนกับห้องเรียน

โคโบลด์ตัวหนึ่งรับหน้าที่สอน ยืนอยู่ข้างหน้า และมอนส์เตอร์ตัวอื่น… โคโบลด์หนึ่งตัวและก๊อบลินอีกเจ็ดตัว รวมเป็นมอนสเตอร์ทั้งหมดเก้าตัว

แม้จะเป็นเช่นนั้น สถานที่นี้ก็คือห้องเรียนที่มีฉากหลังเป็นถ้ำ ไม่ได้มีเอกสารประกอบการเรียนหรืออาคารเรียนดีๆ เหมือนกับเหล่ามนุษย์

พวกเขากำลังจะทำอะไรอย่างนั้นหรือ หากนักเวทย์มนุษย์มาได้ยินเข้าคงจะหัวเราะท้องแข็ง และหัวเราะไปเรื่อยๆ จนตายไปทั้งแบบนั้นเป็นแน่แท้ เป็นเรื่องอันสุดแสนจะไร้สาระ

ด้วยเหตุผลที่ว่า ผู้ที่ได้รับการสอนทักษะอย่างเวทมนต์นั้นก็คือ โคโบลด์ที่หัวดีนิดหน่อยกับเหล่าก๊อบลินที่อยู่แถวๆ นั้น

“ก่อนอื่นก็เป็นเงื่อนไขสำคัญ…พวกแกรู้จักการควบคุมพลังเวทย์หรือไม่?”

“พลังเวทย์?”

ก๊อบลินที่เริ่มแรกเอียงคอสงสัยให้กับคำพูดของโคโบลด์ผู้รับหน้าที่เป็นผู้สอนอย่างอูล โอม่า

การจะคาดหวังว่าพวกเขาจะมีความรู้ใดๆ ทั้งๆ ที่เมื่อวานยังอ้าปากพูดภาษาออกมายังไม่ได้เสียด้วยซ้ำนั้นเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์

ด้วยความที่อูลก็เข้าใจได้ถึงสาเหตุ จึงเริ่มอธิบายตั้งแต่ก้าวแรกอย่างไม่ปริปากบ่น

“…มันคือพลังงานที่อยู่ในทุกสรรพสิ่ง พลังเวทย์นั้นมีทั้งในอากาศ ในก้อนหินรอบๆ รวมถึงในสิ่งที่มีชีวิตก็ด้วย กล่าวได้ว่าเป็นพลังงานที่มีอยู่ทุกที่ จึงสรุปได้ว่าทุกสิ่งที่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้ที่ไม่มีพลังเวทย์นั้นไม่มี”

“อืม…แล้วยังไงต่อ?”

“เวทมนตร์นั้น คือสกิลที่อาศัยการเปลี่ยนรูปพลังเวทย์เพื่อสร้างปรากฏการณ์ต่างๆ จึงกล่าวสรุปได้ว่าการควบคุมพลังเวทย์เป็นเงื่อนไขอย่างไรล่ะ…ทำได้หรือไม่?”

“ถ ถึงจะบอกแบบนั้นก็เถอะ…”

ทั้งโคโบลด์หนุ่มที่ชื่อว่าโคลต์ รวมถึงก๊อบลินที่อยู่รอบๆ นั้นได้แต่เอียงคอ

เพราะไม่เคยรับรู้ถึงเรื่องดังกล่าว การจะควบคุมพลังเวทย์จึงได้เกินความเข้าใจไป

“…นั่นไม่ใช่เรื่องที่ยากนักหรอก ให้พูดอีกรอบ ว่าโลกในนี้มีพลังเวทย์สถิตย์อยู่ในทุกสรรพสิ่ง ไม่ต้องพูดถึงว่ามอนสเตอร์อย่างพวกเรา…หินเวทย์มีชีวิต ตามอย่างชื่อเรียก ภายในร่างกายนั้นมีหินเวทย์อยู่ เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่รวบรวมพลังเวทย์ที่ได้จากการกินและการหายใจเข้าไป เป็นข้อได้เปรียบที่มีต่อสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีหินเวทย์อย่างไรเล่า”

“หินเวทย์?”

“หิน ในร่าง มอนสเตอร์?”

“สิ่งนั้น บอส ชอบ”

“ฮึม บอสของพวกแกชอบหินเวทย์อย่างนั้นรึ ก็เป็นเรื่องปกติหรอกนะ สำหรับเหล่ามอนสเตอร์ที่อาศัยพลังเวทย์ในการเสริมความแข็งแกร่งของร่างเนื้อ ยิ่งรับเอาพลังเวทย์เข้าไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งแข็งแกร่ง เป็นวิธีการที่รวดเร็วที่สุด และแหล่งที่รวมพลังเวทย์เอาไว้มากที่สุดคือหินเวทย์ไม่ผิดแน่ เอาเถิด มันก็ไม่ได้จำเป็นเสมอไปหรอกนะ”

 

ด้วยความที่บทสนทนานั้นถูกพาออกทะเลไป อูลจึงกระแอมไปทีหนึ่งแล้วกลับมาพูดเรื่องเวทมนตร์อีกครั้ง

 

“การขับเคลื่อนพลังเวทย์นั้นไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าให้พูดแล้ว พวกแกก็ทำมันไปอย่างไม่รู้ตัวน่ะสิ?”

“อย่างนั้นเหรอ?”

“อ่า ถ้าให้ยกตัวอย่าง…จงจินตนาการว่าต้องยกของหนัก พวกแกจะทำอย่างไร?”

“ยังไง…ก็ใส่แรงลงไป?”

“ก็แบบนั้นแหละ ใครก็ต้องทำแบบนั้น ในช่วงเวลาที่ลงมือเอาแรงใส่ลงไปยังส่วนหนึ่งของร่างกาย ก็รวมเอาพลังเวทย์ในธรรมชาติและจากในร่างกายใส่เข้าไปแล้วขยับมัน ที่เหลือก็แค่ให้จับความรู้สึกที่พลังเวทย์เคลื่อนที่ ขอแค่ขยับมันโดยไม่พึ่งพากล้ามเนื้อเสียก็พอ”

 

พวกโคลต์ที่ได้ยินแล้วก็เกิดความมั่นใจว่า “ถ้าแค่นี้ก็น่าจะทำได้นะ”

แต่ทว่า มันก็ไม่ได้ง่ายแบบที่อูลพูดให้ฟัง ด้วยมาตรฐานของจอมมารก็อาจจะเป็นเรื่องแปลกถ้าทำไม่ได้ แต่สำหรับสิ่งมีชีวิตทั่วไปแล้วก็คงไม่เหมือนกัน

ด้วยเหตุผลที่ว่า การถูกตัดสินว่าเป็นทรัพยากรมนุษย์อันหายากนั้น ในประเทศของมนุษย์ขึ้นอยู่กับว่า…สามารถที่จะควบคุมพลังเวทย์ได้หรือไม่

ตามที่อูลได้กล่าวไว้ ต่อให้ไม่มีพรสวรรค์ใดๆ ไม่ว่าใครก็สามารถขับเคลื่อนพลังเวทย์ได้ แต่มีเพียงอัจฉริยะเท่านั้นที่สามารถควบคุมพลังเวทย์ให้เกิดเป็นแบบแผนและกลายเป็นเวทมนต์ได้ นั่นคือสามัญสำนึกของยุคนี้

ยิ่งไปกว่านั้น สามัญสำนึกของยุคนี้นั้นไม่ใช่สิ่งที่อูลจำเป็นต้องรู้ เพราะฉะนั้นอูลจึงใช้สามัญสำนึกจากยุคของตนเองบดขยี้ทับลงไป

 

“ไม่จำเป็นต้องกังวล เวทมนตร์คือสิ่งที่คิดค้นขึ้นเพื่อให้ผู้ที่ไร้ทั้งพรสวรรค์และไม่มีเมริทใดๆ สามารถได้รับพลังต่อสู้ล่ะนะ ถ้าหากว่ามีพลังเวทย์แล้ว เป็นใครก็สามารถใช้มันได้”

“อย่างนี้นี่เอง”

 

เวทมนตร์นั้นคือเทคนิคที่ใครก็ใช้ได้

หากเป็นนักเวทย์มนุษย์แล้วคงจะหลุดปากในทันทีว่ายอมรับไม่ได้ แต่พวกโคลต์ก็พยักหน้ารับ

 

“ข้าเองก็ตั้งใจจะพูดอย่างละเอียดเกี่ยวกับเวทมนตร์หรอก…แต่ก่อนอื่นคงเป็นการฝึกเพื่อควบคุมพลังเวทย์ล่ะนะ วิธีการที่ง่ายที่สุดก็น่าจะเป็น…ใช้น้ำ ถ้าเป็นไปได้ก็น้ำพลังเวทย์หรอกนะ เจ้าหนุ่ม แถวๆ นี้มีสถานที่ไหนที่มีน้ำเยอะๆ อยู่บ้าง?”

“เอ๋? อืม…ถ้าเป็นน้ำดื่ม ปกติก็ใช้น้ำฝนอยู่หรอก แต่ถ้าปริมาณเยอะๆ แล้ว คงต้องเป็นที่ทะเลสาบปีราน่า (ピラーナ)นั่นแหละ?”

“มนุษย์ปลาผี(怪魚人)…มอนสเตอร์ปลา ปีราน่าอย่างนั้นหรือ เจ้าพวกนั้นยึดครองแหล่งน้ำอย่างนั้นหรือ?”

“อืม ถ้าเป็นพื้นที่ในป่าล่ะก็จะเป็นผู้ปกครองจอมอาละวาดโอเกอร์อยู่หรอก แต่ถ้าเป็นในน้ำล่ะก็คงจะพ่ายแพ้ให้กับปีราน่าอย่างแน่นอน เข้าใกล้ทะเลสาบไม่ได้หรอกครับ”

 

ปีราน่า คือชื่อของมอนสเตอร์ครึ่งปลา คือมอนสเตอร์ปลาที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ มีอาวุธเป็นเขี้ยวที่แหลมคมและการเคลื่อนไหวในน้ำที่ฉับไว

ในทางกลับกัน หากขึ้นมาอยู่บนบกแล้วจะสูญเสียพลังรบไปทั้งหมด หากไม่เข้าใกล้ทะเลทราบแล้วก็จะไม่เป็นอันตราย

 

“…เอาเถอะ ยังไงการหาแหล่งน้ำก็เป็นเรื่องสำคัญ จะให้พึ่งพาน้ำฝนหยดแหมะแบบนี้ก็ไปไม่ถึงไหนเสียที ยังไงเสียการยึดครองอาณาเขตก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ หากผู้ปกครองลังเลที่จะเข้าใกล้แล้ว ก็จัดว่าเป็นเกราะกำบังชั้นยอด รีบไปกันเถิด”

 

แต่ว่าอูลนั้นก็ตัดสินใจโดยไม่มีความลังเล

ตนเองนั้นไม่เคยหวาดกลัวต่อสิ่งใด…ดุจดังจะแสดงแผ่นหลังนั้นต่อเหล่าบริวาร

 

“สำหรับการเรียนรู้นั้น การทำให้เห็นจะเป็นก้าวแรกที่รวดเร็วที่สุด ก่อนอื่นจะแสดงเวทมนตร์ของจริงให้พวกแกดูเอง”

 

อูลสร้างความไว้วางใจพลางเผยรอยยิ้มดั่งผู้แข็งแกร่ง และเริ่มขยับตัวออกไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด