มหากาพย์ดาบเทวะ! 36.2
ตอนที่ 36 ภัยร้ายจากสหายตัวจ้อย
คำว่าจิตวิญญาณแห่งดาบอ้างอิงจากดาบที่มีสติปัญญา พวกมันสามารถป้องกันเจ้าของด้วยความนึกคิดของมันเอง! จิตวิญญาณแห่งดาบโดยธรรมชาติ มันคือระดับของดาบที่สูงมาก หรือการเกิดขึ้นโดยบังเอิญที่ทำให้มันมีสติปัญญา
อีกชนิดหนึ่งก็คือจิตวิญญาณแห่งดาบเทียม มันถูกชุบขึ้นด้วยปรมาจารย์แห่งดาบ มีเพียงศิษย์สำนักดาบราชันขั้นปราณราชันขึ้นไปเท่านั้นถึงจะสามารถทำสิ่งนี้ได้ ดาบของพวกเขาจะถูกส่งไปยังจุดตันเถียนเพื่อหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณล้ำลึก เมื่อเวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง ดาบจะมีโอกาสก่อกำเนิดสติปัญญาขึ้นและเชื่อมต่อกับจิตใจของเจ้าของมัน!
แน่นอน จิตวิญญาณดาบเทียมไม่ร้ายกาจเท่าจิตวิญญาณดาบธรรมชาติ จิตวิญญาณดาบธรรมชาติจะเลี้ยงเจ้านายตนเอง และสติปัญญาของมันไม่ด้อยไปกว่าของมนุษย์เลย
ในทางตรงกันข้าม จิตวิญญาณดาบเทียมที่ถูกหล่อหลอมโดยเจ้าของ แม้มันจะมีสติปัญญา แต่ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความตั้งใจของมันเอง มันก็ยากที่จะมีจิตวิญญาณและสติปัญญาที่แท้จริง มากสุดพวกมันก็แค่ฉลาดกว่าดาบทั่วไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในเวลานี้ไม่ว่ามันจะเป็นจิตวิญญาณดาบธรรมชาติ หรือจิตวิญญาณดาบเทียมพวกมันก็ล้ำค่าอย่างมาก
แต่หยางเย่ก็ไม่ได้คาดคิด ว่าจะต้องมาพบเจอกับดาบที่มีจิตวิญญาณเทียมที่นี่!
เมื่อเห็นดาบสีเขียวพุ่งมาอีกครั้ง พลังสีม่วงปรากฏขึ้นตรงหน้าหยางเย่เพื่อปัดดาบออก
แต่ดาบยังไม่ยอมหยุดโจมตีหยางเย่ มันถูกตรึงไว้อย่างหนาแน่นโดยมิงค์ม่วงและหมาป่าสีเทา ขณะนี้ทั้งสองได้เข้าต่อสู้กับดาบสีเขียว
หยางเย่ไม่ได้สนใจสัตว์อสูรทั้งสองกับดาบที่กำลังสู้กัน ขณะนี้ร่างกายหยางเย่ร้อนราวกับถูกไฟเผา มันร้อนจัดพร้อมกับสติที่เลือนลาง
ท้ายที่สุด สายตาของเขาก็มองไปยังสตรีชุดขาวด้านข้าง เขาสังเกตเห็นดวงตาที่นองน้ำเปลี่ยนเป็นสีแดง ยิ่งกว่านั้นเสื้อผ้าของนางถูกปลดออกเผยให้เห็นผิวที่งดงาม
หยางเย่เดินไปหาสตรีชุดขาวโดยไม่รู้ตัว จากนั้นโอบกอดนางตามสัญชาตญาณพร้อมเริ่มจูบอย่างเป็นธรรมชาติ
“ข้า… ข้าจะสังหารเจ้า!” นางมองหยางเย่ที่หน้าแดงก่ำ น้ำบริสุทธิ์ไหลจากออกมาจากดวงตาสตรีชุดขาว จากนั้นร่องรอยสุดท้ายในดวงตานางก็ถูกปกคลุมด้วยสีแดงสด
บัดนี้มีความคิดเดียวในหัวหยางเย่ที่สูญเสียสติไปแล้ว—ระบาย! เขาต้องระบายความใคร่เท่านั้น! แม้ว่านางจะกล่าวสิ่งใดเขาก็ไม่ได้ยินอีกต่อไป…
เสื้อผ้าปลิวไสวขณะที่ร่างของทั้งสองพาดผ่านกันและกัน ฉากความรักดำเนินต่อไปอย่างเงียบงัน
เป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดได้ล่วงรู้
…
เวลาปัจจุบันก่อนถึงเทือกเขาแห่งความตาย ชายชราสองคนมีดาบอยู่ด้านหลังและสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินและขาวยืนอยู่ ชายชราเคราขาวมองไปที่เหวมรณะพร้อมกล่าว “ศิษย์น้องอวี่เหิง ท่านคิดว่าสตรีน้อยชิงฉือกระโดดลงไปยังเหวมรณะหรือไม่? เราจะเชื่อถือศิษย์ของสำนักภูตผีได้งั้นหรือ?”
ชายชรานามอวี่เหิงกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ “ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์สำนักภูตผีไม่อาจเชื่อถือได้อยู่แล้ว แต่เวลานี้พวกมันทั้งสองจากสำนักภูตผีคงไม่ได้โกหกแน่นอน และชิงฉือน่าจะกระโดดลงไปยังเหวมรณะจริง มิเช่นนั้นชิงฉือที่ถูกผนึกด้วยผนึกโลหิตทมิฬคงตกไปอยู่ในมือพวกสำนักภูตผีแล้ว หากนางตกไปอยู่ในมือพวกมันจริงจารึกวิญญาณคงหายไปแล้ว แต่จารึกวิญญาณนางยังไม่หายไป ดังนั้นจึงหมายความว่านางยังไม่ตาย หากชิงฉือยังมีชีวิตอยู่ นั่นก็หมายความว่านางกระโดดลงไปยังเหวมรณะจริง มิเช่นนั้นมันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชีวิตรอดจากพวกสำนักภูตผีเป็นแน่!”
“พวกสำนักภูตผี!” เมื่อได้ยินคำนี้ ชายชราเคราขาวหน้าเปลี่ยนสีในทันที ดวงตาเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร ยิ่งกว่านั้นปราณพลังถูกระเบิดออกมาทั่วร่างและก็หายไปในทันที
เมื่อสังเกตเห็นจิตสังหารในดวงตาชายชรา อวี่เหิงรีบกล่าว “ศิษย์พี่ใหญ่ จ้าวสำนักกำลังจะบรรลุขั้นปราณจักรพรรดิ เวลานี้พวกเราไม่ควรรบกวนเขาไม่ว่ายังไงก็ตาม! ในอีกด้านหนึ่ง อาจารย์ลุงซุยกำลังท่องยุทธภพและไม่ได้อยู่ในสำนัก ท่านกำลังอยู่ในภารกิจของสำนัก ดังนั้นไม่ควรวู่วาม” ชายชราเคราขาวส่ายหัวพร้อมกล่าว “ข้าไม่หุนหันบุกไปโจมตีสำนักภูตผีหรอก แต่ยอดฝีมือมากมายจากสำนักภูตผีปรากฏขึ้นในขุนเขาไม่สิ้นสุด ดังนั้นพวกมันคงจะปกปิดความลับบางอย่างอยู่เป็นแน่ อวี่เหิงจงแจ้งกองกำลังป้องกันของสำนักดาบราชัน และวานให้พวกเขาส่งคนมาที่นี่ห้าคน เจ้าจงนำกำลังค้นหาศิษย์สำนักภูตผี จากนั้นสังหารทุกคนที่เจ้าพบ!”
“รับทราบ!” อวี่เหิงตอบกลับก่อนจะกล่าวอีกครั้ง “ศิษย์พี่ใหญ่ แล้วชิงฉือ…”
ชายชราเคราขาวถอนหายใจ “หากชิงฉือกระโดดลงไปยังเหวมรณะจริง พวกเราก็ไร้หนทางที่จะช่วยเหลือแล้ว นอกเสียจากอาจารย์ลุงซุยจะอยู่ที่นี่ มิเช่นนั้นหากพวกเราลงไปที่นั่นก็มีโอกาสน้อยนักที่จะรอดชีวิต!”
เมื่อกล่าวจบ ชายชราเคราขาวครุ่นคิดอย่างหนักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “หรือพวกเราควรขอความช่วยเหลือจากสัตว์อสูรทมิฬ แต่พวกมันจะช่วยมนุษย์ได้ยังไงล่ะ? นี่มันไม่ใช่สนามรบโบราณเมื่อครั้งอดีต”
“พวกเราต้องลองดูก่อน!” อวี่เหิงกล่าวเสียงต่ำ “นอกจากจะเป็นบุตรสาวของจ้าวสำนักแล้ว เพียงแค่พรสวรรค์โดยธรรมชาติที่มีก็เพียงพอต่อการช่วยเหลือแล้ว ด้วยพรสวรรค์ของสตรีน้อยผู้นั้น ในอนาคตย่อมเป็นยอดฝีมือที่ไม่อาจหาผู้ใดเปรียบเทียบได้แน่ ยิ่งกว่านั้นสตรีน้อยยังเป็นเพียงผู้เดียวจากสำนักดาบราชันที่ทิ้งชื่อไว้ในเทียบอันดับมังกรลี้ลับ”
ชายชราเคราขาวครุ่นคิดอย่างหนักอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงมองลงไปที่เทือกเขาแห่งความตายพร้อมกล่าว “อวี่เหิง เจ้าจงนำกำลังไปจัดการคนของสำนักภูตผีเสีย ส่วนข้าจะไปยังแดนพยัคฆ์คลั่ง”
ทันทีที่กล่าวจบ เขาสะบัดมือขวาทำให้ดาบด้านหลังกลายเป็นแสงสีเขียวลงมาอยู่ใต้เท้า จากนั้นทั้งตัวได้กลายเป็นประกายแสงสีเขียวไปพร้อมกับดาบ ไม่นานก็ได้หายไปในทิศทางที่กำลังจะมุ่งไป
…
หยางเย่รู้สึกวิงเวียนศีรษะ ด้วยสติที่เลือนลางเขาทำได้ทำการส่ายหัวเบา
ผ่านไปนาน หยางเย่ลืมตาตื่น เขาถึงกับต้องมึนงงกับสถานการณ์ที่พบเห็นตรงหน้า
Comments