ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 654 ครั้งนี้ ไม่มีซีเหออีกแล้ว

Now you are reading ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง Chapter 654 ครั้งนี้ ไม่มีซีเหออีกแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เทียนตี้ไม่มีน้ำหนักอะไร……  

 

 

นางจงใจแฝงพลังวิญญาณลงไปในน้ำเสียงที่เอ่ยออกมา จนเสียงนี้ดังสะท้อนกลับไปกลับมาอยู่ในแดนสวรรค์  

 

 

ชั่วขณะนั้น ไม่รู้ว่าผู้คนบนแดนสวรรค์มากมายเท่าไหร่ต่างก็คิดที่จะตัดลิ้นของนางออกมา  

 

 

ผู้คนทั้งหลายไม่เพียงแต่หวาดกลัวเทียนตี้อย่างที่สุด แต่ว่ายังให้ความเคารพเขาอย่างยิ่งอีกด้วย  

 

 

เทียนตี้ทรงเป็นสัญลักษณ์ของแดนสวรรค์ ไม่อาจถูกลบหลู่ได้อย่างเด็ดขาด  

 

 

แต่ว่านางมารผู้นี้กลับปากพล่อย กล้าสบประมาทเทพสงครามและด่าทอเทียนตี้ว่าไร้ความสำคัญไปพร้อมๆกัน  

 

 

นางคงจะรู้ตัวว่าหนีไปไหนไม่พ้นแล้ว ก็เลยคิดจะทุบหม้อข้าวทิ้งสู้ตายสินะ?  

 

 

สีหน้าของซือเป่ยไม่น่ามอง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่หุบเขาปีศาจบนโลกปัจจุบันเขาละเว้นชีวิตนางไปครั้งหนึ่ง ถือเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในช่วงหลายต่อหลายปีที่ผ่านมา  

 

 

ขนนกบนหมวกเกราะของเขาถึงกับกระตุก ดวงตาที่เป็นประกายดุจดวงดาวคู่นั้นจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลัน ราวกับว่ากำลังจับตามองคนตายผู้หนึ่ง  

 

 

เขารู้ดีอยู่แล้ว ว่านางปากคอเราะรายถึงเพียงไหน ทั้งยังกลับดำเป็นขาวได้อย่างเก่งกาจที่สุด หากจะโต้เถียงกับนางไป ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา  

 

 

ซือเป่ยโบกมือเบาๆ เอ่ยกับแม่ทัพสวรรค์ทั้งหกคนว่า “สังหาร…..อย่าให้รอดไปได้”  

 

 

นางช่างชาญฉลาดนัก พอเอ่ยปากก็สร้างความขัดแย้งระหว่างเขากับเทียนตี้ขึ้นมา  

 

 

สตรีผู้นี้เจ้าคิดเจ้าแค้นเกินไป ความคิดความอ่านก็ลึกล้ำ สามารถบุกขึ้นมาบนแดนสวรรค์ด้วยกำลังของตนเอง หากว่าปล่อยทิ้งเอาไว้ จะต้องกลายเป็นรากเหง้าของหายนะ  

 

 

คนเช่นซือเป่ย….ย่อมไม่เคยปล่อยให้ตนเองต้องเผชิญกับหายนะ  

 

 

ทันทีที่เอ่ยคำว่าสังหารออกไป ก็เห็นแม่ทัพสวรรค์ทั้งหกเหาะออกไปตามคำบัญชาของซือเป่ย  

 

 

ในมือของพวกเขาต่างก็มีศาสตราวุธ ดวงตาขึงขัง  

 

 

ที่ใต้ประตูสวรรค์ทิศใต้ ยังเต็มไปด้วยซากศพของนักรบสวรรค์มากมาย  

 

 

ความน่ากลัวของใบมีดแสงบนประตูสวรรค์ทิศใต้อยู่ที่ มันไม่เพียงแต่ตัดร่างหั่นกระดูก แม้แต่ดวงวิญญาณก็ยังถูกทำลายจนหมดสิ้น  

 

 

นั่นก็หมายความว่า แม่ทัพสวรรค์อี๋ปู้และนักรบสวรรค์กลุ่มนั้นตายอนาถอย่างไม่อาจจะฟื้นคืนมาได้อีก  

 

 

ทั้งหมดพ่ายแพ้ให้แก่นางมารผู้นั้น  

 

 

ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่บนศีรษะของหงส์แดง รอบกายยังคงมีเขตอาคมปกป้องเอาไว้  

 

 

ในมือของนางก็ยังคงมีไม้คฑาดังเดิม ดวงตาดอกท้อคู่นั้นกวาดมองไปที่แม่ทัพสวรรค์ทั้งหกที่บุกเข้ามาด้วยความฮึกเหิมด้วยหางตาบางๆ  

 

 

สุดท้านก็ไปหยุดอยู่ที่ซือเป่ย  

 

 

“เจ้าเห็นว่าถูกข้าเปิดโปง จึงจะฆ่าคนปิดปากใช่หรือไม่?”  

 

 

“ตอนอยู่ที่เจดีย์กำราบเทพมาร เทียนตี้ยังทรงเคยตรัสว่าอนุญาตให้ข้าไปได้ทั่วแดนสวรรค์ ที่แท้คำพูดของเขาก็ใช้การไม่ได้ ผู้ครอบครองแดนสวรรค์แห่งนี้ก็คือเจ้า เทพแห่งสงครามซือเป่ยสินะ”  

 

 

นางยังคงพูดต่อไป และใช้พลังวิญญาณกระจายเสียงออกไปจนไกล แม้แต่เทพจื่อเวยซิงจุนที่อยู่ไกลออกไปก็ยังคงได้ยิน  

 

 

เขายังคงป้อนผลไม้พวกกวางอยู่ในสวนเซียน พอได้ยินคำพูดเหล่านั้นก็ถึงขั้นนั่งไม่ติดอีกต่อไป  

 

 

เขาได้ข่าวมาว่า นางมารผู้นั้นอาศัยการสิงอยู่ในร่างของเยี่ยเฉิน เพื่อขึ้นมาบนแดนสวรรค์  

 

 

วันนี้นางถึงกับ ‘ฉี่ราด’ ต่อหน้าเทียนจุน แต่เทียนจุนก็มิได้ลงโทษนาง  

 

 

ที่แท้ก้เป็นเพราะเกิดความสนใจในตัวนางขึ้นมาแล้ว?  

 

 

เทพจื่อเวยซิงจุนมิได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดอันใด เพราะ สตรีผู้นี้มีดวงตาที่คล้ายคลึงกับเทียนโฮว่  

 

 

ส่วนเทพสงครามซือเป่ยนั้น….  

 

 

เทพจื่อเว่ยซิงจุนโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง ในป่าเซียนก็ปรากฏจานดาราขึ้นมา  

 

 

บนจานดารา แสงสว่างของดาวจักรพรรดิยิ่งทียิ่งสลัวลงไป ไม่เพียงแค่นั้น แม้แต่ดวงดาวที่อยู่รอบๆก็ยังหม่นแสงลงไปด้วยเช่นกัน  

 

 

แต่ว่าดวงดาวที่มืดมิดดวงนั้น…….กลับมีขนาดใหญ่ขึ้นมาแล้ว  

 

 

และใกล้กับดวงดาวที่มืดมิดดวงนั้น ยังมีดาวสงครามอยู่ดวงหนึ่ง  

 

 

และดาวสงครามดวงนั้นทำท่าเหมือนจะระเบิดออก  

 

 

ดาวสงครามดวงนี้คือดาวประจำตัวของเทพสงครามซือเป่ย….  

 

 

เทพจื่อเวยซิงจุนทอดทอนหายใจออกมา เขาโบกแขนเสื้ออีกครั้ง จานดาราก็หายไปในอากาศ  

 

 

เขาทางหนึ่งก็ป้อนอาหารให้กับกวางเหล่านั้น อีกทางหนึ่งก็ส่ายศีรษะพลางเอ่ยกับตนเองว่า “ฟ้าดินเปลี่ยนผัน สับเปลี่ยนหมุนวน เป็นธรรมชาติ…..เป็นลิขิตของสวรรค์….”  

 

 

………………….  

 

 

ประตูสวรรค์ทิศใต้  

 

 

วาจากัดแทะหลายประโยคนั้นของตู๋กูซิงหลัน ยิ่งยั่วยุให้หกแม่ทัพสวรรค์มีโทสะลุกโชนมากกว่าเดิม  

 

 

พวกเขาถูกเขตอาคมของตู๋กูซิงหลันขวางกั้นเอาไว้ ทำให้ไม่อาจบุกเข้าไปถึงตัวนาง  

 

 

จิตวิญญาณกึ่งโปร่งแสงถูกห้อมล้อมเอาไว้ในเขตอาคมที่เหมือนกับโลกของหมอกสีแดงใบหนึ่ง ริมฝีปากสีแดงของนางยกยิ้ม ราวกับว่ากำลังท้าทายเหล่าเทพทั้งหลาย  

 

 

ในตอนนั้นเอง แม่ทัพสวรรค์ทั้งหกต่างก็ขับพลังวิญญาณของตนเองออกมา สองมือกุมศาสตราวุธของตนเองกลุ้มรุมกันเข้าไป  

 

 

กระบี่วิเศษ ง้าว ดาบ จักร ขวาน กระสวย  

 

 

อาวุธทั้งหมดพุ่งเข้าหาตู๋กูซิงหลันแทบจะพร้อมๆกัน  

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้ประมาท นางขับเคลื่อนพลังวิญญาณทั่วร่าง เสริมพลังให้กับเขตอาคม เพื่อสกัดกั้นอาวุธทั้งหมดไว้แต่เพียงด้านนอก  

 

 

ตอนนี้นางยังไม่ได้วางเม็ดหยกแดงกลับลงไปในปากของหงส์แดง เพราะยังต้องการถ่วงเวลาให้พวกเก้ามังกรและเยี่ยเฉินหลบหนีไป  

 

 

นางจะต้องต้านทานแม่ทัพสวรรค์เหล่านี้เอาไว้ให้จงได้ เพื่อให้มังกรทั้งเก้ากลับสู่โลกเบื้องล่างอย่างปลอดภัย  

 

 

……………….  

 

 

อาวุธทั้งหมดฟาดฟันลงมาบนเขตอาคมของนาง แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ ยามที่อาวุธเหล่านี้ฟันลงมา กลับไม่มีเสียงใดๆเกิดขึ้นทั้งสิ้น  

 

 

เขตอาคมของตู๋กูซิงหลันสะเทือนน้อยๆ ราวกับทะเลสาบที่เงียบสงบ ผุดวงน้ำขึ้นมาชั้นหนึ่ง  

 

 

ถึงแม้ว่าจะไม่มีเสียงใดๆ แต่ว่าในวินาทีนั้นก็เกิดประกายแสงสว่างจ้าขึ้นมา แสงสว่างนั้นสาดส่องออกไปรอบประตูสวรรค์ทิศใต้จนเจิดจ้า  

 

 

เหล่าแม่ทัพรู้สึกได้ว่าพลังที่แข็งแกร่งจำนวนมหาศาลของตนเองถูกดึงดูดออกไป แต่ละคนต้องเบิกตาโตมองดูตู๋กูซิงหลันอย่างอดไม่อยู่  

 

 

หลังแสงสว่างนั่นหายไป พวกเขาถึงได้สามารถมองเห็นว่าอาวุธเหล่านั้นถูกสะท้อนกลับออกมา  

 

 

ไม่เพียงแค่นั้น บนร่างของพวกเขายังถูกอาบไปด้วยแสงสว่างสีแดงชั้นหนึ่ง  

 

 

แม่ทัพที่พลาดท่าอย่างอนาถไปเมื่อครู่ ยังคงยืนอยู่ที่ด้านหลังของซือเป่ย พอเห็นสถานการณ์กลายเป็นเช่นนั้น เขาก็รีบร้องตะโกนออกไปว่า “ทุกคนจงระวัง นางมารผู้นั้นสามารถดูดกลืนพลังวิญญาณ ย้อนคืนใส่ผู้อื่น อันตรายอย่างที่สุด!”  

 

 

แม่ทัพสวรรค์ทั้งหกต่างก็เคยได้ยินเขาบอกเรื่องนี้มาก่อนแล้ว แต่ว่ายามที่บุกเข้าไปปะทะกับตู๋กูซิงหลัน ก็ยังคงไม่คิดจะเห็นนางอยู่ในสายตา  

 

 

เหล่าเทพบนสรวงสวรรค์ยังคงเชื่อมั่นในความสูงส่งจนเลิศลอยของตนเอง ต่อให้มีพวกพ้องร้องเตือน พวกเขาก็ยังคงรู้สึกว่า ตู๋กูซิงหลันเป็นเพียงนางมารจากโลกเบื้องล่าง ที่มิได้เก่งกล้าสักเท่าไรอยู่ดี  

 

 

เพียงแต่ว่าตอนนี้กระทั่งพวกเขาก็ยังคิดไม่ถึงว่า ทั้งหกบุกเข้าไปพร้อมๆกัน ก็ยังไม่สามารถทำลายเขตอาคมของนางลงได้  

 

 

นางมารผู้นี้ มีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ  

 

 

มิน่าเล่าจึงสามารถบุกเดี่ยวขึ้นมาบนสรวงสวรรค์ได้!  

 

 

อาวุธทั้งหมดสะท้อนกลับออกมา หกแม่ทัพสวรรค์ต่างก็รับเอาไว้ กระชับในมืออย่างเหนียวแน่น คราวนี้ไม่มีผู้ใดกล้าประมาทตู๋กูซิงหลันอีกแล้ว  

 

 

ในยุคเก่าก่อนนานมาแล้ว มีพวกผู้บำเพ็ญเพียรรุ่นก่อนที่ไม่คิดจะฝึกฝนจนเก่งกล้าขึ้นไปเรื่อยๆทีละก้าวๆ ดังนั้นจึงได้เกิดความคิดอันแยบยล ฝึกฝนในทางลัดขึ้นมา  

 

 

พวกนั้นอาศัยวิธีดูดกลืนพลังวิญญาณของผู้อื่นมาเป็นของตน จนกลายเป็นวิชามารที่ชั่วร้าย  

 

 

นางมารผู้นี้ที่จริงมิได้มีฝีมืออันใด เพียงแต่อาศัยวิชาดูดซับพลังวิญญาณจึงพอจะมีความสำเร็จอยู่บ้าง แต่สำหรับพวกเขาวิธีนี้ช่างน่าเหยียดหยามอย่างที่สุด  

 

 

……………  

 

 

ไกลออกไป ท่ามกลางดวงดาวและหมู่เมฆ มีแสงสีทองกลุ่มหนึ่งซุกซ่อนอยู่  

 

 

ดวงเนตรสีทองที่ระยิบระยับคู่นั้นมองฝ่ากลุ่มเมฆหนาแน่นไปที่ร่างของตู๋กูซิงหลัน  

 

 

ตลอดทางมายังที่นี่ ทุกความเคลื่อนไหวของนางล้วนอยู่ในสายพระเนตรของตี้เสียตลอดเวลา  

 

 

แถมในยามนี้ พระองค์ก็ยิ่งมั่นใจแล้วว่า สิ่งที่อยู่ในมือของนาง ก็คือ คฑาฮว๋าย  

 

 

ใต้หล้านี้มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถใช้มันได้  

 

 

ก่อนหน้า……ตอนที่นางตายไป คฑาฮว๋ายด้ามนี้ก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย พระองค์ส่งคนไปออกตามหานานหลายปี แต่ก็ไม่เจออะไรแม้แต่เศษไม้  

 

 

คิดไม่ถึงว่า มันจะมาปรากฏขึ้นอีกครั้งอย่างสมบูรณ์ในมือของนาง  

 

 

นางกลับมาแล้ว  

 

 

พระองค์หรี่พระเนตรลง ในสมองปรากฏภาพเก่ามากมายย้อนกลับมา  

 

 

พระองค์เคยร้องขออย่างจริงพระทัย เคยวิงวอนด้วยความทุกข์ทรมาน  

 

 

แต่นางก็ไม่เคยใจอ่อน กระทั่งยามตายก็ไม่ยินยอมมอบความอบอุ่นให้กับพระองค์แม้แต่น้อย  

 

 

ในที่สุดเจ้าก็กลับมา และครั้งนี้ ไม่มีซีเหออีกแล้ว  

 

 

มิว่าในแดนสวรรค์ หรือในหกภพภูมิ ก็มีแต่ข้าตี้เสียเท่านั้น  

 

 

……………………  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 654 ครั้งนี้ ไม่มีซีเหออีกแล้ว

Now you are reading ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง Chapter 654 ครั้งนี้ ไม่มีซีเหออีกแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เทียนตี้ไม่มีน้ำหนักอะไร……  

 

 

นางจงใจแฝงพลังวิญญาณลงไปในน้ำเสียงที่เอ่ยออกมา จนเสียงนี้ดังสะท้อนกลับไปกลับมาอยู่ในแดนสวรรค์  

 

 

ชั่วขณะนั้น ไม่รู้ว่าผู้คนบนแดนสวรรค์มากมายเท่าไหร่ต่างก็คิดที่จะตัดลิ้นของนางออกมา  

 

 

ผู้คนทั้งหลายไม่เพียงแต่หวาดกลัวเทียนตี้อย่างที่สุด แต่ว่ายังให้ความเคารพเขาอย่างยิ่งอีกด้วย  

 

 

เทียนตี้ทรงเป็นสัญลักษณ์ของแดนสวรรค์ ไม่อาจถูกลบหลู่ได้อย่างเด็ดขาด  

 

 

แต่ว่านางมารผู้นี้กลับปากพล่อย กล้าสบประมาทเทพสงครามและด่าทอเทียนตี้ว่าไร้ความสำคัญไปพร้อมๆกัน  

 

 

นางคงจะรู้ตัวว่าหนีไปไหนไม่พ้นแล้ว ก็เลยคิดจะทุบหม้อข้าวทิ้งสู้ตายสินะ?  

 

 

สีหน้าของซือเป่ยไม่น่ามอง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่หุบเขาปีศาจบนโลกปัจจุบันเขาละเว้นชีวิตนางไปครั้งหนึ่ง ถือเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในช่วงหลายต่อหลายปีที่ผ่านมา  

 

 

ขนนกบนหมวกเกราะของเขาถึงกับกระตุก ดวงตาที่เป็นประกายดุจดวงดาวคู่นั้นจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลัน ราวกับว่ากำลังจับตามองคนตายผู้หนึ่ง  

 

 

เขารู้ดีอยู่แล้ว ว่านางปากคอเราะรายถึงเพียงไหน ทั้งยังกลับดำเป็นขาวได้อย่างเก่งกาจที่สุด หากจะโต้เถียงกับนางไป ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา  

 

 

ซือเป่ยโบกมือเบาๆ เอ่ยกับแม่ทัพสวรรค์ทั้งหกคนว่า “สังหาร…..อย่าให้รอดไปได้”  

 

 

นางช่างชาญฉลาดนัก พอเอ่ยปากก็สร้างความขัดแย้งระหว่างเขากับเทียนตี้ขึ้นมา  

 

 

สตรีผู้นี้เจ้าคิดเจ้าแค้นเกินไป ความคิดความอ่านก็ลึกล้ำ สามารถบุกขึ้นมาบนแดนสวรรค์ด้วยกำลังของตนเอง หากว่าปล่อยทิ้งเอาไว้ จะต้องกลายเป็นรากเหง้าของหายนะ  

 

 

คนเช่นซือเป่ย….ย่อมไม่เคยปล่อยให้ตนเองต้องเผชิญกับหายนะ  

 

 

ทันทีที่เอ่ยคำว่าสังหารออกไป ก็เห็นแม่ทัพสวรรค์ทั้งหกเหาะออกไปตามคำบัญชาของซือเป่ย  

 

 

ในมือของพวกเขาต่างก็มีศาสตราวุธ ดวงตาขึงขัง  

 

 

ที่ใต้ประตูสวรรค์ทิศใต้ ยังเต็มไปด้วยซากศพของนักรบสวรรค์มากมาย  

 

 

ความน่ากลัวของใบมีดแสงบนประตูสวรรค์ทิศใต้อยู่ที่ มันไม่เพียงแต่ตัดร่างหั่นกระดูก แม้แต่ดวงวิญญาณก็ยังถูกทำลายจนหมดสิ้น  

 

 

นั่นก็หมายความว่า แม่ทัพสวรรค์อี๋ปู้และนักรบสวรรค์กลุ่มนั้นตายอนาถอย่างไม่อาจจะฟื้นคืนมาได้อีก  

 

 

ทั้งหมดพ่ายแพ้ให้แก่นางมารผู้นั้น  

 

 

ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่บนศีรษะของหงส์แดง รอบกายยังคงมีเขตอาคมปกป้องเอาไว้  

 

 

ในมือของนางก็ยังคงมีไม้คฑาดังเดิม ดวงตาดอกท้อคู่นั้นกวาดมองไปที่แม่ทัพสวรรค์ทั้งหกที่บุกเข้ามาด้วยความฮึกเหิมด้วยหางตาบางๆ  

 

 

สุดท้านก็ไปหยุดอยู่ที่ซือเป่ย  

 

 

“เจ้าเห็นว่าถูกข้าเปิดโปง จึงจะฆ่าคนปิดปากใช่หรือไม่?”  

 

 

“ตอนอยู่ที่เจดีย์กำราบเทพมาร เทียนตี้ยังทรงเคยตรัสว่าอนุญาตให้ข้าไปได้ทั่วแดนสวรรค์ ที่แท้คำพูดของเขาก็ใช้การไม่ได้ ผู้ครอบครองแดนสวรรค์แห่งนี้ก็คือเจ้า เทพแห่งสงครามซือเป่ยสินะ”  

 

 

นางยังคงพูดต่อไป และใช้พลังวิญญาณกระจายเสียงออกไปจนไกล แม้แต่เทพจื่อเวยซิงจุนที่อยู่ไกลออกไปก็ยังคงได้ยิน  

 

 

เขายังคงป้อนผลไม้พวกกวางอยู่ในสวนเซียน พอได้ยินคำพูดเหล่านั้นก็ถึงขั้นนั่งไม่ติดอีกต่อไป  

 

 

เขาได้ข่าวมาว่า นางมารผู้นั้นอาศัยการสิงอยู่ในร่างของเยี่ยเฉิน เพื่อขึ้นมาบนแดนสวรรค์  

 

 

วันนี้นางถึงกับ ‘ฉี่ราด’ ต่อหน้าเทียนจุน แต่เทียนจุนก็มิได้ลงโทษนาง  

 

 

ที่แท้ก้เป็นเพราะเกิดความสนใจในตัวนางขึ้นมาแล้ว?  

 

 

เทพจื่อเวยซิงจุนมิได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดอันใด เพราะ สตรีผู้นี้มีดวงตาที่คล้ายคลึงกับเทียนโฮว่  

 

 

ส่วนเทพสงครามซือเป่ยนั้น….  

 

 

เทพจื่อเว่ยซิงจุนโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง ในป่าเซียนก็ปรากฏจานดาราขึ้นมา  

 

 

บนจานดารา แสงสว่างของดาวจักรพรรดิยิ่งทียิ่งสลัวลงไป ไม่เพียงแค่นั้น แม้แต่ดวงดาวที่อยู่รอบๆก็ยังหม่นแสงลงไปด้วยเช่นกัน  

 

 

แต่ว่าดวงดาวที่มืดมิดดวงนั้น…….กลับมีขนาดใหญ่ขึ้นมาแล้ว  

 

 

และใกล้กับดวงดาวที่มืดมิดดวงนั้น ยังมีดาวสงครามอยู่ดวงหนึ่ง  

 

 

และดาวสงครามดวงนั้นทำท่าเหมือนจะระเบิดออก  

 

 

ดาวสงครามดวงนี้คือดาวประจำตัวของเทพสงครามซือเป่ย….  

 

 

เทพจื่อเวยซิงจุนทอดทอนหายใจออกมา เขาโบกแขนเสื้ออีกครั้ง จานดาราก็หายไปในอากาศ  

 

 

เขาทางหนึ่งก็ป้อนอาหารให้กับกวางเหล่านั้น อีกทางหนึ่งก็ส่ายศีรษะพลางเอ่ยกับตนเองว่า “ฟ้าดินเปลี่ยนผัน สับเปลี่ยนหมุนวน เป็นธรรมชาติ…..เป็นลิขิตของสวรรค์….”  

 

 

………………….  

 

 

ประตูสวรรค์ทิศใต้  

 

 

วาจากัดแทะหลายประโยคนั้นของตู๋กูซิงหลัน ยิ่งยั่วยุให้หกแม่ทัพสวรรค์มีโทสะลุกโชนมากกว่าเดิม  

 

 

พวกเขาถูกเขตอาคมของตู๋กูซิงหลันขวางกั้นเอาไว้ ทำให้ไม่อาจบุกเข้าไปถึงตัวนาง  

 

 

จิตวิญญาณกึ่งโปร่งแสงถูกห้อมล้อมเอาไว้ในเขตอาคมที่เหมือนกับโลกของหมอกสีแดงใบหนึ่ง ริมฝีปากสีแดงของนางยกยิ้ม ราวกับว่ากำลังท้าทายเหล่าเทพทั้งหลาย  

 

 

ในตอนนั้นเอง แม่ทัพสวรรค์ทั้งหกต่างก็ขับพลังวิญญาณของตนเองออกมา สองมือกุมศาสตราวุธของตนเองกลุ้มรุมกันเข้าไป  

 

 

กระบี่วิเศษ ง้าว ดาบ จักร ขวาน กระสวย  

 

 

อาวุธทั้งหมดพุ่งเข้าหาตู๋กูซิงหลันแทบจะพร้อมๆกัน  

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้ประมาท นางขับเคลื่อนพลังวิญญาณทั่วร่าง เสริมพลังให้กับเขตอาคม เพื่อสกัดกั้นอาวุธทั้งหมดไว้แต่เพียงด้านนอก  

 

 

ตอนนี้นางยังไม่ได้วางเม็ดหยกแดงกลับลงไปในปากของหงส์แดง เพราะยังต้องการถ่วงเวลาให้พวกเก้ามังกรและเยี่ยเฉินหลบหนีไป  

 

 

นางจะต้องต้านทานแม่ทัพสวรรค์เหล่านี้เอาไว้ให้จงได้ เพื่อให้มังกรทั้งเก้ากลับสู่โลกเบื้องล่างอย่างปลอดภัย  

 

 

……………….  

 

 

อาวุธทั้งหมดฟาดฟันลงมาบนเขตอาคมของนาง แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ ยามที่อาวุธเหล่านี้ฟันลงมา กลับไม่มีเสียงใดๆเกิดขึ้นทั้งสิ้น  

 

 

เขตอาคมของตู๋กูซิงหลันสะเทือนน้อยๆ ราวกับทะเลสาบที่เงียบสงบ ผุดวงน้ำขึ้นมาชั้นหนึ่ง  

 

 

ถึงแม้ว่าจะไม่มีเสียงใดๆ แต่ว่าในวินาทีนั้นก็เกิดประกายแสงสว่างจ้าขึ้นมา แสงสว่างนั้นสาดส่องออกไปรอบประตูสวรรค์ทิศใต้จนเจิดจ้า  

 

 

เหล่าแม่ทัพรู้สึกได้ว่าพลังที่แข็งแกร่งจำนวนมหาศาลของตนเองถูกดึงดูดออกไป แต่ละคนต้องเบิกตาโตมองดูตู๋กูซิงหลันอย่างอดไม่อยู่  

 

 

หลังแสงสว่างนั่นหายไป พวกเขาถึงได้สามารถมองเห็นว่าอาวุธเหล่านั้นถูกสะท้อนกลับออกมา  

 

 

ไม่เพียงแค่นั้น บนร่างของพวกเขายังถูกอาบไปด้วยแสงสว่างสีแดงชั้นหนึ่ง  

 

 

แม่ทัพที่พลาดท่าอย่างอนาถไปเมื่อครู่ ยังคงยืนอยู่ที่ด้านหลังของซือเป่ย พอเห็นสถานการณ์กลายเป็นเช่นนั้น เขาก็รีบร้องตะโกนออกไปว่า “ทุกคนจงระวัง นางมารผู้นั้นสามารถดูดกลืนพลังวิญญาณ ย้อนคืนใส่ผู้อื่น อันตรายอย่างที่สุด!”  

 

 

แม่ทัพสวรรค์ทั้งหกต่างก็เคยได้ยินเขาบอกเรื่องนี้มาก่อนแล้ว แต่ว่ายามที่บุกเข้าไปปะทะกับตู๋กูซิงหลัน ก็ยังคงไม่คิดจะเห็นนางอยู่ในสายตา  

 

 

เหล่าเทพบนสรวงสวรรค์ยังคงเชื่อมั่นในความสูงส่งจนเลิศลอยของตนเอง ต่อให้มีพวกพ้องร้องเตือน พวกเขาก็ยังคงรู้สึกว่า ตู๋กูซิงหลันเป็นเพียงนางมารจากโลกเบื้องล่าง ที่มิได้เก่งกล้าสักเท่าไรอยู่ดี  

 

 

เพียงแต่ว่าตอนนี้กระทั่งพวกเขาก็ยังคิดไม่ถึงว่า ทั้งหกบุกเข้าไปพร้อมๆกัน ก็ยังไม่สามารถทำลายเขตอาคมของนางลงได้  

 

 

นางมารผู้นี้ มีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ  

 

 

มิน่าเล่าจึงสามารถบุกเดี่ยวขึ้นมาบนสรวงสวรรค์ได้!  

 

 

อาวุธทั้งหมดสะท้อนกลับออกมา หกแม่ทัพสวรรค์ต่างก็รับเอาไว้ กระชับในมืออย่างเหนียวแน่น คราวนี้ไม่มีผู้ใดกล้าประมาทตู๋กูซิงหลันอีกแล้ว  

 

 

ในยุคเก่าก่อนนานมาแล้ว มีพวกผู้บำเพ็ญเพียรรุ่นก่อนที่ไม่คิดจะฝึกฝนจนเก่งกล้าขึ้นไปเรื่อยๆทีละก้าวๆ ดังนั้นจึงได้เกิดความคิดอันแยบยล ฝึกฝนในทางลัดขึ้นมา  

 

 

พวกนั้นอาศัยวิธีดูดกลืนพลังวิญญาณของผู้อื่นมาเป็นของตน จนกลายเป็นวิชามารที่ชั่วร้าย  

 

 

นางมารผู้นี้ที่จริงมิได้มีฝีมืออันใด เพียงแต่อาศัยวิชาดูดซับพลังวิญญาณจึงพอจะมีความสำเร็จอยู่บ้าง แต่สำหรับพวกเขาวิธีนี้ช่างน่าเหยียดหยามอย่างที่สุด  

 

 

……………  

 

 

ไกลออกไป ท่ามกลางดวงดาวและหมู่เมฆ มีแสงสีทองกลุ่มหนึ่งซุกซ่อนอยู่  

 

 

ดวงเนตรสีทองที่ระยิบระยับคู่นั้นมองฝ่ากลุ่มเมฆหนาแน่นไปที่ร่างของตู๋กูซิงหลัน  

 

 

ตลอดทางมายังที่นี่ ทุกความเคลื่อนไหวของนางล้วนอยู่ในสายพระเนตรของตี้เสียตลอดเวลา  

 

 

แถมในยามนี้ พระองค์ก็ยิ่งมั่นใจแล้วว่า สิ่งที่อยู่ในมือของนาง ก็คือ คฑาฮว๋าย  

 

 

ใต้หล้านี้มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถใช้มันได้  

 

 

ก่อนหน้า……ตอนที่นางตายไป คฑาฮว๋ายด้ามนี้ก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย พระองค์ส่งคนไปออกตามหานานหลายปี แต่ก็ไม่เจออะไรแม้แต่เศษไม้  

 

 

คิดไม่ถึงว่า มันจะมาปรากฏขึ้นอีกครั้งอย่างสมบูรณ์ในมือของนาง  

 

 

นางกลับมาแล้ว  

 

 

พระองค์หรี่พระเนตรลง ในสมองปรากฏภาพเก่ามากมายย้อนกลับมา  

 

 

พระองค์เคยร้องขออย่างจริงพระทัย เคยวิงวอนด้วยความทุกข์ทรมาน  

 

 

แต่นางก็ไม่เคยใจอ่อน กระทั่งยามตายก็ไม่ยินยอมมอบความอบอุ่นให้กับพระองค์แม้แต่น้อย  

 

 

ในที่สุดเจ้าก็กลับมา และครั้งนี้ ไม่มีซีเหออีกแล้ว  

 

 

มิว่าในแดนสวรรค์ หรือในหกภพภูมิ ก็มีแต่ข้าตี้เสียเท่านั้น  

 

 

……………………  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+