หลังจากถูกเพื่อนสมัยเด็กที่เป็นแฟนสาวนอกใจ จึงได้ไปคบกับไอดอลสาวที่พบเจอบนเกาะร้าง 1 ความหมายของชายชาตรี
ตอนช่วงมัธยมต้นนั้น ผมได้คิดว่าในที่สุดช่วงฤดูใบไม้ผลิของผมก็มาถึงจริงๆ สักที
ตัวผมชื่อ โยชิคาวะ ไดคิจิ ได้มีแฟนสาวที่น่ารักที่สุดในโรงเรียน ซึ่งชื่อของเธอคือ อาคาริ เบนิยะ แล้วเธอก็ยังเป็นเพื่อนสมัยเด็กของผมอีกด้วย
ตอนช่วงมัธยมต้นผมกับอาคาริรักกันมากๆ
พวกเราจู๋จี๋กันตลอดเวลาไม่ว่าจะในโรงเรียนหรือแม้กระทั่งหลังเลิกเรียน วันหยุดพวกเราก็จู๋จี๋กันเหมือนกัน ส่วนเรื่องโรงเรียนมัธยมปลายแน่นอนว่าพวกเราเลือกโรงเรียนเดียวกัน
แต่ว่าพอหลังจากเข้าเรียนมัธยมปลาย ก็มีอะไรแปลกไป… ช่วงเทอมแรกพวกเราเจอกันน้อยลงมากๆ ผมอยู่ชมรมกลับบ้าน ส่วนเธออยู่ชมรมดนตรี มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงนะ
“ขอโทษด้วยนะ พอดีวันนี้ฉันมีซ้อมดนตรีน่ะ”
แย่กว่านั้นคือตอนผมชวนเธอไปเดท เธอตอบผมกลับมาแบบนั้น
พอถึงช่วงเทอมสอง พวกเราแทบจะไม่ได้คุยกันในโรงเรียนเลย และตอนนั้นเอง อาคาริ ได้ย้อมสีผมของเธอเองจากสีดำเป็นสีแดง
ผมเลยบอกเธอไปว่าผมชอบเธอที่เป็นผมสีดำมากกว่านะ แต่เธอตอบกลับมาว่า ‘ฉันอยากย้อมเป็นสีแดงมากกว่าน่ะ’
ผมยังจำความรู้สึกนั่นได้แม่นเลยว่ามันรู้สึกอึดอัดแค่ไหน หรือแบบนี้เขาเรียกว่าความสัมพันธ์แบบ*รูทงั้นหรอ
(*TLN: ความสัมพันธ์แบบรูท [Rut] เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นได้ทั้งทางรูปร่างหน้าตา หรือ ทางความรู้สึก แต่โดยรวมๆ หมายถึงการที่เรารู้สึกว่าเราขาดการเชื่อมต่อกับคู่รักของตัวเอง)
แบบนี้อาจจะเป็นเรื่องปกติก็ได้เพราะเราก็คบกันมาตั้งแต่ช่วงมัธยมต้นปีหนึ่งแล้ว
แต่ว่าถึงอย่างนั้นผมก็ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว
และแล้ววันหนึ่ง ที่ผมกำลังหาทางทำอะไรสักอย่างอยู่นั้น ผมก็ได้ไปรู้มาว่า…
อาคาริออกจากชมรมดนตรีไปได้สักพักแล้ว
แต่ว่าเธอยังคงปฏิเสธคำเชิญของผมโดยบอกว่า’ยุ่งกับชมรมดนตรีอยู่น่ะ’ ทำให้ผมคิดว่า ‘หรือว่าเธอจะย้ายไปชมรมอื่นกันนะ’
พอผมถามเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้เธอก็ตอบกลับมาว่า
“อื้มใช่แล้ว ย้ายไปชมรมเครื่องเป่าน่ะ”
ตอนนั้นผมจึงหลงเชื่อแล้วคิดว่า
“เป็นแบบนั้นเองสินะ”
แล้วก็มาถึงช่วง โกลเด้นท์วีค ของเทอมสอง ซึ่งผมก็ต้องอยู่คนเดียวแน่นอนอยู่แล้ว เลยเดินเล่นเข้าไปในเมือง
แล้วผมก็ได้ไปเห็น…
อาคาริกำลังนอกใจอยู่
ฝ่ายชายคือรุ่นพี่ในโรงเรียนเดียวกัน เขาเป็นหนุ่มหล่อที่มีชื่อเสียงในโรงเรียนว่าเป็น*อีตัว
(*TLN: ไม่รู้จะเอาคำไหนมาแทนดี แต่สำหรับคนไม่รู้ความหมายคำนี้อย่างผมได้ไปหามา พูดแบบสุภาพๆ ความหมายมันประมาณว่า เปลี่ยนหญิงไปเรื่อย ผมไม่ชัวร์เน้ออ ใครรู้บอกได้นะครับ)
ไม่กี่วันหลังจากนั้นผมเรียกอาคาริมาที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน และเพราะตอนนี้เป็นตอนกลางคืนจึงไม่มีใครมาแน่นอน
ผมเอารูปที่ผมได้ถ่ายเธอกับรุ่นพี่ไว้ให้เธอดู แล้วให้เธออธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้มา ซึ่งเธอก็พูดตอบออกมาตรงๆ
“โอ๊ะ นายเห็นด้วยงั้นหรอ…”
“เธอกำลังนอกใจชั้นอยู่ใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว”
เธอยอมรับออกมาอย่างง่ายดาย
“ช่วยไม่ได้นี่นา–“
เธอพูดต่อ
“–มันเป็นความผิดของนายนั่นแหละไดคิจิ ที่ไม่แมนพอ”
“ห๊ะ?”
“ขนาดชื่อยังง่อยเลย ไดคิจิ เนี่ยนะ อย่างกับโอมิกูจิเลยนะ”
(*TLN: เท่าที่ไปหามา โอมิกูจิคือ เป็นกระดาษเขียนคำทำนายดวงชะตา แปลตรงตัวว่า สลากศักดิ์สิทธิ์ ผิดยังไงบอกได้นะครับ นี่ไปหามาจากกูเกิ้ลอีกที)
หลังจากนั้นเธอก็เล่าไปเรื่อยๆ ว่าผมเป็นคนไม่ได้เรื่องยังไงบ้าง
ไม่แมนพอ ไม่ใช่ผู้ชายแบดๆ หน้าตาธรรมดา นิสัยอ่อนแอ นั่นคือสิ่งที่เธอพูดออกมา
“ถ้าไม่อยากให้แฟนของตัวเองนอกใจล่ะก็ นายควรจะทำตัวให้แมนขึ้นกว่านี้นะ ไม่ใช่มาเป็นคนโง่แบบนี้”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาคาริไม่มีวันพูดเรื่องแบบนี้ออกมาแน่ๆ เธอพูดโดยยกเรื่องการเป็นผู้ชายงี่เง่า ไม่แมนพอออกมาพูด
ทำเหมือนว่าเป็นเรื่องปกติ ที่ฝ่ายหญิงไปอ่อยผู้ชายคนอื่นแล้วพูดกับชู้ของตัวเองว่าไม่ต้องกังวลหรอก ‘เป็นความผิดของฝ่ายชายนั่นแหละที่ทำให้ฝ่ายหญิงนอกใจได้น่ะ’
“ฉันว่าจะทำให้สายสัมพันธ์ของเราหายไปตามกาลเวลาเพราะฉันไม่อยากทำให้นายเสียใจนะไดคิจิ แต่ในเมื่อนายก็รู้แล้วเพราะงั้นฉันขอพูดตรงๆ เลยแล้วกันนะ พวกเราเลิกกันเถอะ ล่าก่อน”
อาคาริเดินจากไปโดยไม่ได้สำนึกผิดอะไรเลยสักนิด
◊◊◊
ผมไม่ได้เสียใจเรื่องของอาคาริก็เลยสักนิด แต่เจ็บใจกับคำพูดของเธอมากกว่าอีก
–นายมันไม่แมนพอไง
–ถ้าไม่อยากถูกนอกใจก็ทำตัวแมนๆ ซะสิ ไม่ใช่ทำตัวงี่เง่าแบบนี้
ผมคิดว่าเธออาจจะพูดถูกก็ได้ ถ้าผมยังทำตัวเหมือนเดิมผมอาจจะทำผิดพลาดแบบนี้อีกก็ได้
และมันคงจะแย่มากๆ ถ้าผมมีแฟนใหม่แล้วเธอดันมานอกใจเพราะเหตุผลพรรณนี้อีก
พอคิดไปคิดมาแล้ว
“ต้องทำอะไรซักอย่างแล้วล่ะ”
แล้วผมก็ตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องที่จะทำได้แล้ว
。。。
“ไดคิจิ เกาะนี้อันตรายมากเลยนะ เจ้าแน่ใจแล้วหรอ?”
“ที่นี่สินะที่จะทำให้ผมมีความเป็นชายชาตรีมากขึ้นน่ะ”
“สำหรับข้าแล้วเจ้าก็แมนมากพอแล้วนะ”
“ไม่หรอกคุณปู่ ผมต้องการให้ตัวเองแมนมากกว่านี้อีก”
ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ผมให้ปู่ของผมพาขึ้นเรือไปยังเกาะร้างที่คุณปู่เป็นเจ้าของเอง
ผมจะใช้เวลาสองสัปดาห์อยู่บนเกาะร้างด้วยตัวคนเดียว เพื่อที่จะทำให้ตัวผมมีความเป็นชายชาตรีมากขึ้น
“ข้าก็แก่มากแล้วนะ คงจะมาที่นี่ทุกวันไม่ได้หรอกนะ”
“ไม่เป็นไรหรอครับคุณปู่ ผมอยู่ด้วยตัวเองได้แค่มารับผมในอีกสองสัปดาห์ก็พอครับ”
“สองสัปดาห์งั้นหรอ… วันที่ 20 สิงหาคม ใช่ไหม”
“ครับ”
นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงต้องมาเอาชีวิตรอดบนเกาะร้างเป็นเวลา 2 สัปดาห์
◊◊◊
ถึงจะบอกว่าเป็นเกาะร่างแต่ก็ไม่ได้ร้างขนาดนั้น แค่ไม่มีไฟฟ้าใช้แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีกระท่อมพอให้เข้าไปอาศัยอยู่
ข้างในกระท่อมมีขนมเซ็มเบ้ ฟูกนอน กับเตาไฟที่จมดินอยู่ แค่มีอาหารผมก็สามารถอยู่รอดได้แล้ว ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะอาหารมันค่อนข้างหายากเลยนะบนเกาะนี่น่ะ
.
.
“เหลืออีกแค่ไม่กี่วันเองสินะที่ต้องมาอยู่แบบนี้…”
ในช่วงบ่ายของวันที่ 17 สิงหาคม ผมยังอยู่รอดครบ 32 ปกติดี ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ผมคงไม่มีปัญหาอะไรจนถึงวันที่ 20 สิงหาคม
“ตอนนี้ชั้นคงจะเป็นชายชาตรีมากขึ้นแล้วสินะ”
จากนั้นผมก็เดินไปที่ทะเลพร้อมกับเคี้ยวปลาอายุที่ย่างแล้วไปด้วย ระหว่างเดินไปก็รู้สึกหิวน้ำ ดีนะที่ว่าผมเติมน้ำใส่น้ำเต้าก่อนออกมาจากกระท่อมแล้วแขวนไว้ที่เอว
ร่างกายของผมกลายเป็นผิวสีแทนไปแล้ว และผมก็คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นพอที่จะเป็นชายชาตรีบ้างแล้ว อีกทั้งการมีเคราที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียว
“เอาล่ะ..ไปทำให้เสร็จดีกว่า”
เมื่อไปถึงชายหาดผมก็ได้ก่อกองไฟขึ้นมาแล้วใส่ใบต้นสนลงไป ทำให้เกิดควันขึ้นจำนวนมาก เป็นสัญญาณควันไฟ เพื่อส่งข้อความให้คุณปู่ว่าผมยังสบายดี ถ้าไม่มีสัญญาณนี่ล่ะก็คุณปู่คงจะรีบมาหาผมที่นี่ทันทีแน่ๆ
“แค่นี้ก็น่าจะได้แล้วแหละ”
ที่เหลือก็แค่หาอาหารแล้วกลับไปที่กระท่อม แต่ว่าก็มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นซะก่อน
“เอ๊ะ!?”
ผมได้เจอกับอะไรบางอย่างบนชายหาด ซึ่งไม่น่าจะใช่ขยะเพราะมันใหญ่เกินไป เท่าที่ดูจากรูปร่างแล้วดูเหมือนจะเป็นคนมากกว่า
“อะไรล่ะนั่น”
จากนั้นพอผมเดินเข้าไปใกล้ๆ มากขึ้น แล้วเห็นรูปร่างชัดขึ้นผมก็รีบวิ่งเข้าไปทันที ปรากฏว่าสิ่งนั้นคือคนที่ถูกน้ำทะเลซัดมา
พอดูๆ แล้วเธอเป็นผู้หญิงที่น่าจะอายุราวๆ เดียวกับผม ซึ่งชุดที่ใส่อยู่เป็นยูนิฟอร์มนักเรียน แต่มันออกจะเหมือนชุดคอสเพลย์มากกว่า เดาว่าคงเป็นเพราะรอยจีบของกระโปรงตัดกับผมยาวสีเงินของเธอทำให้มันดูเหมือนการคอสเพลย์
“นี่! เป็นอะไรไหม! โอเครึเปล่า!!”
ผมเรียกเธอแต่เธอไม่ตอบกลับมา แต่ว่ายังได้ยินเสียงหัวใจเต้นอยู่เพราะงั้นเธอยังมีชีวิตอยู่แน่ๆ ผมจึงอุ้มเธอไปที่กองไฟซึ่งเป็นที่ที่ผมทำสัญญาณควันไฟเมื่อกี้
“ไม่ยอมให้มาตายต่อหน้าต่อตาชั้นหรอก!”
แล้วผมก็ช่วยเธอโดยการผายปอดให้เธอ
“อะแฮก!” (TLN: *เสียงสำลักน้ำ+ไอ*)
เธอกระอักน้ำออกมาเยอะมากหลังจากนั้นก็สำลักน้ำไปสักพัก ถึงเธอจะยังไม่ลืมตาแต่ว่าคงจะพ้นขีดอันตรายแล้วล่ะ นั่นทำให้ผมรู้สึกโล่งใจเลยล่ะ
(จะว่าไปแล้วเธอน่ารักสุดๆ เลยแฮะ)
ถึงจะไม่รู้ว่าคนอื่นจะมองว่าเธอน่ารักยังไงก็เถอะ แต่ว่าสำหรับผมแค่มองก็รู้แล้วว่าเธอน่ารักขนาดนี้เพราะอะไร
เค้าโครงหน้าของเธอนั้นเพอร์เฟคแบบไร้ที่ติ ถึงจะดูเหมือนโดนผึ้งต่อยมาก็เถอะ แต่ว่าก็ยังน่ารักอยู่ดี
“อะ..อือ…”
เธอเริ่มได้สติกลับมาแล้ว
.
.
.
.
.
.
ตอนนี้อาจจะแปลมึนๆ หน่อยนะครับแหะๆ เดี๋ยวจะพยายามมาปรับคำทีหลังก็แล้วกันนะครับ
แล้วก็ขออภัยที่ห่างหายไปนาน
(เรื่องจูบเพื่อนสมัยเด็กยังแปลอยู่นะครับ แค่หมดไฟกลางทางเฉยๆ แหะๆ)
สุดท้ายนี้อยากให้ปรับคำตรงไหนแจ้งได้นะครับ
Comments
หลังจากถูกเพื่อนสมัยเด็กที่เป็นแฟนสาวนอกใจ จึงได้ไปคบกับไอดอลสาวที่พบเจอบนเกาะร้าง 1 ความหมายของชายชาตรี
ตอนช่วงมัธยมต้นนั้น ผมได้คิดว่าในที่สุดช่วงฤดูใบไม้ผลิของผมก็มาถึงจริงๆ สักที
ตัวผมชื่อ โยชิคาวะ ไดคิจิ ได้มีแฟนสาวที่น่ารักที่สุดในโรงเรียน ซึ่งชื่อของเธอคือ อาคาริ เบนิยะ แล้วเธอก็ยังเป็นเพื่อนสมัยเด็กของผมอีกด้วย
ตอนช่วงมัธยมต้นผมกับอาคาริรักกันมากๆ
พวกเราจู๋จี๋กันตลอดเวลาไม่ว่าจะในโรงเรียนหรือแม้กระทั่งหลังเลิกเรียน วันหยุดพวกเราก็จู๋จี๋กันเหมือนกัน ส่วนเรื่องโรงเรียนมัธยมปลายแน่นอนว่าพวกเราเลือกโรงเรียนเดียวกัน
แต่ว่าพอหลังจากเข้าเรียนมัธยมปลาย ก็มีอะไรแปลกไป… ช่วงเทอมแรกพวกเราเจอกันน้อยลงมากๆ ผมอยู่ชมรมกลับบ้าน ส่วนเธออยู่ชมรมดนตรี มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงนะ
“ขอโทษด้วยนะ พอดีวันนี้ฉันมีซ้อมดนตรีน่ะ”
แย่กว่านั้นคือตอนผมชวนเธอไปเดท เธอตอบผมกลับมาแบบนั้น
พอถึงช่วงเทอมสอง พวกเราแทบจะไม่ได้คุยกันในโรงเรียนเลย และตอนนั้นเอง อาคาริ ได้ย้อมสีผมของเธอเองจากสีดำเป็นสีแดง
ผมเลยบอกเธอไปว่าผมชอบเธอที่เป็นผมสีดำมากกว่านะ แต่เธอตอบกลับมาว่า ‘ฉันอยากย้อมเป็นสีแดงมากกว่าน่ะ’
ผมยังจำความรู้สึกนั่นได้แม่นเลยว่ามันรู้สึกอึดอัดแค่ไหน หรือแบบนี้เขาเรียกว่าความสัมพันธ์แบบ*รูทงั้นหรอ
(*TLN: ความสัมพันธ์แบบรูท [Rut] เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นได้ทั้งทางรูปร่างหน้าตา หรือ ทางความรู้สึก แต่โดยรวมๆ หมายถึงการที่เรารู้สึกว่าเราขาดการเชื่อมต่อกับคู่รักของตัวเอง)
แบบนี้อาจจะเป็นเรื่องปกติก็ได้เพราะเราก็คบกันมาตั้งแต่ช่วงมัธยมต้นปีหนึ่งแล้ว
แต่ว่าถึงอย่างนั้นผมก็ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว
และแล้ววันหนึ่ง ที่ผมกำลังหาทางทำอะไรสักอย่างอยู่นั้น ผมก็ได้ไปรู้มาว่า…
อาคาริออกจากชมรมดนตรีไปได้สักพักแล้ว
แต่ว่าเธอยังคงปฏิเสธคำเชิญของผมโดยบอกว่า’ยุ่งกับชมรมดนตรีอยู่น่ะ’ ทำให้ผมคิดว่า ‘หรือว่าเธอจะย้ายไปชมรมอื่นกันนะ’
พอผมถามเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้เธอก็ตอบกลับมาว่า
“อื้มใช่แล้ว ย้ายไปชมรมเครื่องเป่าน่ะ”
ตอนนั้นผมจึงหลงเชื่อแล้วคิดว่า
“เป็นแบบนั้นเองสินะ”
แล้วก็มาถึงช่วง โกลเด้นท์วีค ของเทอมสอง ซึ่งผมก็ต้องอยู่คนเดียวแน่นอนอยู่แล้ว เลยเดินเล่นเข้าไปในเมือง
แล้วผมก็ได้ไปเห็น…
อาคาริกำลังนอกใจอยู่
ฝ่ายชายคือรุ่นพี่ในโรงเรียนเดียวกัน เขาเป็นหนุ่มหล่อที่มีชื่อเสียงในโรงเรียนว่าเป็น*อีตัว
(*TLN: ไม่รู้จะเอาคำไหนมาแทนดี แต่สำหรับคนไม่รู้ความหมายคำนี้อย่างผมได้ไปหามา พูดแบบสุภาพๆ ความหมายมันประมาณว่า เปลี่ยนหญิงไปเรื่อย ผมไม่ชัวร์เน้ออ ใครรู้บอกได้นะครับ)
ไม่กี่วันหลังจากนั้นผมเรียกอาคาริมาที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน และเพราะตอนนี้เป็นตอนกลางคืนจึงไม่มีใครมาแน่นอน
ผมเอารูปที่ผมได้ถ่ายเธอกับรุ่นพี่ไว้ให้เธอดู แล้วให้เธออธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้มา ซึ่งเธอก็พูดตอบออกมาตรงๆ
“โอ๊ะ นายเห็นด้วยงั้นหรอ…”
“เธอกำลังนอกใจชั้นอยู่ใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว”
เธอยอมรับออกมาอย่างง่ายดาย
“ช่วยไม่ได้นี่นา–“
เธอพูดต่อ
“–มันเป็นความผิดของนายนั่นแหละไดคิจิ ที่ไม่แมนพอ”
“ห๊ะ?”
“ขนาดชื่อยังง่อยเลย ไดคิจิ เนี่ยนะ อย่างกับโอมิกูจิเลยนะ”
(*TLN: เท่าที่ไปหามา โอมิกูจิคือ เป็นกระดาษเขียนคำทำนายดวงชะตา แปลตรงตัวว่า สลากศักดิ์สิทธิ์ ผิดยังไงบอกได้นะครับ นี่ไปหามาจากกูเกิ้ลอีกที)
หลังจากนั้นเธอก็เล่าไปเรื่อยๆ ว่าผมเป็นคนไม่ได้เรื่องยังไงบ้าง
ไม่แมนพอ ไม่ใช่ผู้ชายแบดๆ หน้าตาธรรมดา นิสัยอ่อนแอ นั่นคือสิ่งที่เธอพูดออกมา
“ถ้าไม่อยากให้แฟนของตัวเองนอกใจล่ะก็ นายควรจะทำตัวให้แมนขึ้นกว่านี้นะ ไม่ใช่มาเป็นคนโง่แบบนี้”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาคาริไม่มีวันพูดเรื่องแบบนี้ออกมาแน่ๆ เธอพูดโดยยกเรื่องการเป็นผู้ชายงี่เง่า ไม่แมนพอออกมาพูด
ทำเหมือนว่าเป็นเรื่องปกติ ที่ฝ่ายหญิงไปอ่อยผู้ชายคนอื่นแล้วพูดกับชู้ของตัวเองว่าไม่ต้องกังวลหรอก ‘เป็นความผิดของฝ่ายชายนั่นแหละที่ทำให้ฝ่ายหญิงนอกใจได้น่ะ’
“ฉันว่าจะทำให้สายสัมพันธ์ของเราหายไปตามกาลเวลาเพราะฉันไม่อยากทำให้นายเสียใจนะไดคิจิ แต่ในเมื่อนายก็รู้แล้วเพราะงั้นฉันขอพูดตรงๆ เลยแล้วกันนะ พวกเราเลิกกันเถอะ ล่าก่อน”
อาคาริเดินจากไปโดยไม่ได้สำนึกผิดอะไรเลยสักนิด
◊◊◊
ผมไม่ได้เสียใจเรื่องของอาคาริก็เลยสักนิด แต่เจ็บใจกับคำพูดของเธอมากกว่าอีก
–นายมันไม่แมนพอไง
–ถ้าไม่อยากถูกนอกใจก็ทำตัวแมนๆ ซะสิ ไม่ใช่ทำตัวงี่เง่าแบบนี้
ผมคิดว่าเธออาจจะพูดถูกก็ได้ ถ้าผมยังทำตัวเหมือนเดิมผมอาจจะทำผิดพลาดแบบนี้อีกก็ได้
และมันคงจะแย่มากๆ ถ้าผมมีแฟนใหม่แล้วเธอดันมานอกใจเพราะเหตุผลพรรณนี้อีก
พอคิดไปคิดมาแล้ว
“ต้องทำอะไรซักอย่างแล้วล่ะ”
แล้วผมก็ตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องที่จะทำได้แล้ว
。。。
“ไดคิจิ เกาะนี้อันตรายมากเลยนะ เจ้าแน่ใจแล้วหรอ?”
“ที่นี่สินะที่จะทำให้ผมมีความเป็นชายชาตรีมากขึ้นน่ะ”
“สำหรับข้าแล้วเจ้าก็แมนมากพอแล้วนะ”
“ไม่หรอกคุณปู่ ผมต้องการให้ตัวเองแมนมากกว่านี้อีก”
ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ผมให้ปู่ของผมพาขึ้นเรือไปยังเกาะร้างที่คุณปู่เป็นเจ้าของเอง
ผมจะใช้เวลาสองสัปดาห์อยู่บนเกาะร้างด้วยตัวคนเดียว เพื่อที่จะทำให้ตัวผมมีความเป็นชายชาตรีมากขึ้น
“ข้าก็แก่มากแล้วนะ คงจะมาที่นี่ทุกวันไม่ได้หรอกนะ”
“ไม่เป็นไรหรอครับคุณปู่ ผมอยู่ด้วยตัวเองได้แค่มารับผมในอีกสองสัปดาห์ก็พอครับ”
“สองสัปดาห์งั้นหรอ… วันที่ 20 สิงหาคม ใช่ไหม”
“ครับ”
นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงต้องมาเอาชีวิตรอดบนเกาะร้างเป็นเวลา 2 สัปดาห์
◊◊◊
ถึงจะบอกว่าเป็นเกาะร่างแต่ก็ไม่ได้ร้างขนาดนั้น แค่ไม่มีไฟฟ้าใช้แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีกระท่อมพอให้เข้าไปอาศัยอยู่
ข้างในกระท่อมมีขนมเซ็มเบ้ ฟูกนอน กับเตาไฟที่จมดินอยู่ แค่มีอาหารผมก็สามารถอยู่รอดได้แล้ว ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะอาหารมันค่อนข้างหายากเลยนะบนเกาะนี่น่ะ
.
.
“เหลืออีกแค่ไม่กี่วันเองสินะที่ต้องมาอยู่แบบนี้…”
ในช่วงบ่ายของวันที่ 17 สิงหาคม ผมยังอยู่รอดครบ 32 ปกติดี ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ผมคงไม่มีปัญหาอะไรจนถึงวันที่ 20 สิงหาคม
“ตอนนี้ชั้นคงจะเป็นชายชาตรีมากขึ้นแล้วสินะ”
จากนั้นผมก็เดินไปที่ทะเลพร้อมกับเคี้ยวปลาอายุที่ย่างแล้วไปด้วย ระหว่างเดินไปก็รู้สึกหิวน้ำ ดีนะที่ว่าผมเติมน้ำใส่น้ำเต้าก่อนออกมาจากกระท่อมแล้วแขวนไว้ที่เอว
ร่างกายของผมกลายเป็นผิวสีแทนไปแล้ว และผมก็คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นพอที่จะเป็นชายชาตรีบ้างแล้ว อีกทั้งการมีเคราที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียว
“เอาล่ะ..ไปทำให้เสร็จดีกว่า”
เมื่อไปถึงชายหาดผมก็ได้ก่อกองไฟขึ้นมาแล้วใส่ใบต้นสนลงไป ทำให้เกิดควันขึ้นจำนวนมาก เป็นสัญญาณควันไฟ เพื่อส่งข้อความให้คุณปู่ว่าผมยังสบายดี ถ้าไม่มีสัญญาณนี่ล่ะก็คุณปู่คงจะรีบมาหาผมที่นี่ทันทีแน่ๆ
“แค่นี้ก็น่าจะได้แล้วแหละ”
ที่เหลือก็แค่หาอาหารแล้วกลับไปที่กระท่อม แต่ว่าก็มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นซะก่อน
“เอ๊ะ!?”
ผมได้เจอกับอะไรบางอย่างบนชายหาด ซึ่งไม่น่าจะใช่ขยะเพราะมันใหญ่เกินไป เท่าที่ดูจากรูปร่างแล้วดูเหมือนจะเป็นคนมากกว่า
“อะไรล่ะนั่น”
จากนั้นพอผมเดินเข้าไปใกล้ๆ มากขึ้น แล้วเห็นรูปร่างชัดขึ้นผมก็รีบวิ่งเข้าไปทันที ปรากฏว่าสิ่งนั้นคือคนที่ถูกน้ำทะเลซัดมา
พอดูๆ แล้วเธอเป็นผู้หญิงที่น่าจะอายุราวๆ เดียวกับผม ซึ่งชุดที่ใส่อยู่เป็นยูนิฟอร์มนักเรียน แต่มันออกจะเหมือนชุดคอสเพลย์มากกว่า เดาว่าคงเป็นเพราะรอยจีบของกระโปรงตัดกับผมยาวสีเงินของเธอทำให้มันดูเหมือนการคอสเพลย์
“นี่! เป็นอะไรไหม! โอเครึเปล่า!!”
ผมเรียกเธอแต่เธอไม่ตอบกลับมา แต่ว่ายังได้ยินเสียงหัวใจเต้นอยู่เพราะงั้นเธอยังมีชีวิตอยู่แน่ๆ ผมจึงอุ้มเธอไปที่กองไฟซึ่งเป็นที่ที่ผมทำสัญญาณควันไฟเมื่อกี้
“ไม่ยอมให้มาตายต่อหน้าต่อตาชั้นหรอก!”
แล้วผมก็ช่วยเธอโดยการผายปอดให้เธอ
“อะแฮก!” (TLN: *เสียงสำลักน้ำ+ไอ*)
เธอกระอักน้ำออกมาเยอะมากหลังจากนั้นก็สำลักน้ำไปสักพัก ถึงเธอจะยังไม่ลืมตาแต่ว่าคงจะพ้นขีดอันตรายแล้วล่ะ นั่นทำให้ผมรู้สึกโล่งใจเลยล่ะ
(จะว่าไปแล้วเธอน่ารักสุดๆ เลยแฮะ)
ถึงจะไม่รู้ว่าคนอื่นจะมองว่าเธอน่ารักยังไงก็เถอะ แต่ว่าสำหรับผมแค่มองก็รู้แล้วว่าเธอน่ารักขนาดนี้เพราะอะไร
เค้าโครงหน้าของเธอนั้นเพอร์เฟคแบบไร้ที่ติ ถึงจะดูเหมือนโดนผึ้งต่อยมาก็เถอะ แต่ว่าก็ยังน่ารักอยู่ดี
“อะ..อือ…”
เธอเริ่มได้สติกลับมาแล้ว
.
.
.
.
.
.
ตอนนี้อาจจะแปลมึนๆ หน่อยนะครับแหะๆ เดี๋ยวจะพยายามมาปรับคำทีหลังก็แล้วกันนะครับ
แล้วก็ขออภัยที่ห่างหายไปนาน
(เรื่องจูบเพื่อนสมัยเด็กยังแปลอยู่นะครับ แค่หมดไฟกลางทางเฉยๆ แหะๆ)
สุดท้ายนี้อยากให้ปรับคำตรงไหนแจ้งได้นะครับ
Comments
หลังจากถูกเพื่อนสมัยเด็กที่เป็นแฟนสาวนอกใจ จึงได้ไปคบกับไอดอลสาวที่พบเจอบนเกาะร้าง 1 ความหมายของชายชาตรี
ตอนช่วงมัธยมต้นนั้น ผมได้คิดว่าในที่สุดช่วงฤดูใบไม้ผลิของผมก็มาถึงจริงๆ สักที
ตัวผมชื่อ โยชิคาวะ ไดคิจิ ได้มีแฟนสาวที่น่ารักที่สุดในโรงเรียน ซึ่งชื่อของเธอคือ อาคาริ เบนิยะ แล้วเธอก็ยังเป็นเพื่อนสมัยเด็กของผมอีกด้วย
ตอนช่วงมัธยมต้นผมกับอาคาริรักกันมากๆ
พวกเราจู๋จี๋กันตลอดเวลาไม่ว่าจะในโรงเรียนหรือแม้กระทั่งหลังเลิกเรียน วันหยุดพวกเราก็จู๋จี๋กันเหมือนกัน ส่วนเรื่องโรงเรียนมัธยมปลายแน่นอนว่าพวกเราเลือกโรงเรียนเดียวกัน
แต่ว่าพอหลังจากเข้าเรียนมัธยมปลาย ก็มีอะไรแปลกไป… ช่วงเทอมแรกพวกเราเจอกันน้อยลงมากๆ ผมอยู่ชมรมกลับบ้าน ส่วนเธออยู่ชมรมดนตรี มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงนะ
“ขอโทษด้วยนะ พอดีวันนี้ฉันมีซ้อมดนตรีน่ะ”
แย่กว่านั้นคือตอนผมชวนเธอไปเดท เธอตอบผมกลับมาแบบนั้น
พอถึงช่วงเทอมสอง พวกเราแทบจะไม่ได้คุยกันในโรงเรียนเลย และตอนนั้นเอง อาคาริ ได้ย้อมสีผมของเธอเองจากสีดำเป็นสีแดง
ผมเลยบอกเธอไปว่าผมชอบเธอที่เป็นผมสีดำมากกว่านะ แต่เธอตอบกลับมาว่า ‘ฉันอยากย้อมเป็นสีแดงมากกว่าน่ะ’
ผมยังจำความรู้สึกนั่นได้แม่นเลยว่ามันรู้สึกอึดอัดแค่ไหน หรือแบบนี้เขาเรียกว่าความสัมพันธ์แบบ*รูทงั้นหรอ
(*TLN: ความสัมพันธ์แบบรูท [Rut] เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นได้ทั้งทางรูปร่างหน้าตา หรือ ทางความรู้สึก แต่โดยรวมๆ หมายถึงการที่เรารู้สึกว่าเราขาดการเชื่อมต่อกับคู่รักของตัวเอง)
แบบนี้อาจจะเป็นเรื่องปกติก็ได้เพราะเราก็คบกันมาตั้งแต่ช่วงมัธยมต้นปีหนึ่งแล้ว
แต่ว่าถึงอย่างนั้นผมก็ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว
และแล้ววันหนึ่ง ที่ผมกำลังหาทางทำอะไรสักอย่างอยู่นั้น ผมก็ได้ไปรู้มาว่า…
อาคาริออกจากชมรมดนตรีไปได้สักพักแล้ว
แต่ว่าเธอยังคงปฏิเสธคำเชิญของผมโดยบอกว่า’ยุ่งกับชมรมดนตรีอยู่น่ะ’ ทำให้ผมคิดว่า ‘หรือว่าเธอจะย้ายไปชมรมอื่นกันนะ’
พอผมถามเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้เธอก็ตอบกลับมาว่า
“อื้มใช่แล้ว ย้ายไปชมรมเครื่องเป่าน่ะ”
ตอนนั้นผมจึงหลงเชื่อแล้วคิดว่า
“เป็นแบบนั้นเองสินะ”
แล้วก็มาถึงช่วง โกลเด้นท์วีค ของเทอมสอง ซึ่งผมก็ต้องอยู่คนเดียวแน่นอนอยู่แล้ว เลยเดินเล่นเข้าไปในเมือง
แล้วผมก็ได้ไปเห็น…
อาคาริกำลังนอกใจอยู่
ฝ่ายชายคือรุ่นพี่ในโรงเรียนเดียวกัน เขาเป็นหนุ่มหล่อที่มีชื่อเสียงในโรงเรียนว่าเป็น*อีตัว
(*TLN: ไม่รู้จะเอาคำไหนมาแทนดี แต่สำหรับคนไม่รู้ความหมายคำนี้อย่างผมได้ไปหามา พูดแบบสุภาพๆ ความหมายมันประมาณว่า เปลี่ยนหญิงไปเรื่อย ผมไม่ชัวร์เน้ออ ใครรู้บอกได้นะครับ)
ไม่กี่วันหลังจากนั้นผมเรียกอาคาริมาที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน และเพราะตอนนี้เป็นตอนกลางคืนจึงไม่มีใครมาแน่นอน
ผมเอารูปที่ผมได้ถ่ายเธอกับรุ่นพี่ไว้ให้เธอดู แล้วให้เธออธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้มา ซึ่งเธอก็พูดตอบออกมาตรงๆ
“โอ๊ะ นายเห็นด้วยงั้นหรอ…”
“เธอกำลังนอกใจชั้นอยู่ใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว”
เธอยอมรับออกมาอย่างง่ายดาย
“ช่วยไม่ได้นี่นา–“
เธอพูดต่อ
“–มันเป็นความผิดของนายนั่นแหละไดคิจิ ที่ไม่แมนพอ”
“ห๊ะ?”
“ขนาดชื่อยังง่อยเลย ไดคิจิ เนี่ยนะ อย่างกับโอมิกูจิเลยนะ”
(*TLN: เท่าที่ไปหามา โอมิกูจิคือ เป็นกระดาษเขียนคำทำนายดวงชะตา แปลตรงตัวว่า สลากศักดิ์สิทธิ์ ผิดยังไงบอกได้นะครับ นี่ไปหามาจากกูเกิ้ลอีกที)
หลังจากนั้นเธอก็เล่าไปเรื่อยๆ ว่าผมเป็นคนไม่ได้เรื่องยังไงบ้าง
ไม่แมนพอ ไม่ใช่ผู้ชายแบดๆ หน้าตาธรรมดา นิสัยอ่อนแอ นั่นคือสิ่งที่เธอพูดออกมา
“ถ้าไม่อยากให้แฟนของตัวเองนอกใจล่ะก็ นายควรจะทำตัวให้แมนขึ้นกว่านี้นะ ไม่ใช่มาเป็นคนโง่แบบนี้”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาคาริไม่มีวันพูดเรื่องแบบนี้ออกมาแน่ๆ เธอพูดโดยยกเรื่องการเป็นผู้ชายงี่เง่า ไม่แมนพอออกมาพูด
ทำเหมือนว่าเป็นเรื่องปกติ ที่ฝ่ายหญิงไปอ่อยผู้ชายคนอื่นแล้วพูดกับชู้ของตัวเองว่าไม่ต้องกังวลหรอก ‘เป็นความผิดของฝ่ายชายนั่นแหละที่ทำให้ฝ่ายหญิงนอกใจได้น่ะ’
“ฉันว่าจะทำให้สายสัมพันธ์ของเราหายไปตามกาลเวลาเพราะฉันไม่อยากทำให้นายเสียใจนะไดคิจิ แต่ในเมื่อนายก็รู้แล้วเพราะงั้นฉันขอพูดตรงๆ เลยแล้วกันนะ พวกเราเลิกกันเถอะ ล่าก่อน”
อาคาริเดินจากไปโดยไม่ได้สำนึกผิดอะไรเลยสักนิด
◊◊◊
ผมไม่ได้เสียใจเรื่องของอาคาริก็เลยสักนิด แต่เจ็บใจกับคำพูดของเธอมากกว่าอีก
–นายมันไม่แมนพอไง
–ถ้าไม่อยากถูกนอกใจก็ทำตัวแมนๆ ซะสิ ไม่ใช่ทำตัวงี่เง่าแบบนี้
ผมคิดว่าเธออาจจะพูดถูกก็ได้ ถ้าผมยังทำตัวเหมือนเดิมผมอาจจะทำผิดพลาดแบบนี้อีกก็ได้
และมันคงจะแย่มากๆ ถ้าผมมีแฟนใหม่แล้วเธอดันมานอกใจเพราะเหตุผลพรรณนี้อีก
พอคิดไปคิดมาแล้ว
“ต้องทำอะไรซักอย่างแล้วล่ะ”
แล้วผมก็ตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องที่จะทำได้แล้ว
。。。
“ไดคิจิ เกาะนี้อันตรายมากเลยนะ เจ้าแน่ใจแล้วหรอ?”
“ที่นี่สินะที่จะทำให้ผมมีความเป็นชายชาตรีมากขึ้นน่ะ”
“สำหรับข้าแล้วเจ้าก็แมนมากพอแล้วนะ”
“ไม่หรอกคุณปู่ ผมต้องการให้ตัวเองแมนมากกว่านี้อีก”
ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ผมให้ปู่ของผมพาขึ้นเรือไปยังเกาะร้างที่คุณปู่เป็นเจ้าของเอง
ผมจะใช้เวลาสองสัปดาห์อยู่บนเกาะร้างด้วยตัวคนเดียว เพื่อที่จะทำให้ตัวผมมีความเป็นชายชาตรีมากขึ้น
“ข้าก็แก่มากแล้วนะ คงจะมาที่นี่ทุกวันไม่ได้หรอกนะ”
“ไม่เป็นไรหรอครับคุณปู่ ผมอยู่ด้วยตัวเองได้แค่มารับผมในอีกสองสัปดาห์ก็พอครับ”
“สองสัปดาห์งั้นหรอ… วันที่ 20 สิงหาคม ใช่ไหม”
“ครับ”
นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงต้องมาเอาชีวิตรอดบนเกาะร้างเป็นเวลา 2 สัปดาห์
◊◊◊
ถึงจะบอกว่าเป็นเกาะร่างแต่ก็ไม่ได้ร้างขนาดนั้น แค่ไม่มีไฟฟ้าใช้แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีกระท่อมพอให้เข้าไปอาศัยอยู่
ข้างในกระท่อมมีขนมเซ็มเบ้ ฟูกนอน กับเตาไฟที่จมดินอยู่ แค่มีอาหารผมก็สามารถอยู่รอดได้แล้ว ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะอาหารมันค่อนข้างหายากเลยนะบนเกาะนี่น่ะ
.
.
“เหลืออีกแค่ไม่กี่วันเองสินะที่ต้องมาอยู่แบบนี้…”
ในช่วงบ่ายของวันที่ 17 สิงหาคม ผมยังอยู่รอดครบ 32 ปกติดี ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ผมคงไม่มีปัญหาอะไรจนถึงวันที่ 20 สิงหาคม
“ตอนนี้ชั้นคงจะเป็นชายชาตรีมากขึ้นแล้วสินะ”
จากนั้นผมก็เดินไปที่ทะเลพร้อมกับเคี้ยวปลาอายุที่ย่างแล้วไปด้วย ระหว่างเดินไปก็รู้สึกหิวน้ำ ดีนะที่ว่าผมเติมน้ำใส่น้ำเต้าก่อนออกมาจากกระท่อมแล้วแขวนไว้ที่เอว
ร่างกายของผมกลายเป็นผิวสีแทนไปแล้ว และผมก็คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นพอที่จะเป็นชายชาตรีบ้างแล้ว อีกทั้งการมีเคราที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียว
“เอาล่ะ..ไปทำให้เสร็จดีกว่า”
เมื่อไปถึงชายหาดผมก็ได้ก่อกองไฟขึ้นมาแล้วใส่ใบต้นสนลงไป ทำให้เกิดควันขึ้นจำนวนมาก เป็นสัญญาณควันไฟ เพื่อส่งข้อความให้คุณปู่ว่าผมยังสบายดี ถ้าไม่มีสัญญาณนี่ล่ะก็คุณปู่คงจะรีบมาหาผมที่นี่ทันทีแน่ๆ
“แค่นี้ก็น่าจะได้แล้วแหละ”
ที่เหลือก็แค่หาอาหารแล้วกลับไปที่กระท่อม แต่ว่าก็มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นซะก่อน
“เอ๊ะ!?”
ผมได้เจอกับอะไรบางอย่างบนชายหาด ซึ่งไม่น่าจะใช่ขยะเพราะมันใหญ่เกินไป เท่าที่ดูจากรูปร่างแล้วดูเหมือนจะเป็นคนมากกว่า
“อะไรล่ะนั่น”
จากนั้นพอผมเดินเข้าไปใกล้ๆ มากขึ้น แล้วเห็นรูปร่างชัดขึ้นผมก็รีบวิ่งเข้าไปทันที ปรากฏว่าสิ่งนั้นคือคนที่ถูกน้ำทะเลซัดมา
พอดูๆ แล้วเธอเป็นผู้หญิงที่น่าจะอายุราวๆ เดียวกับผม ซึ่งชุดที่ใส่อยู่เป็นยูนิฟอร์มนักเรียน แต่มันออกจะเหมือนชุดคอสเพลย์มากกว่า เดาว่าคงเป็นเพราะรอยจีบของกระโปรงตัดกับผมยาวสีเงินของเธอทำให้มันดูเหมือนการคอสเพลย์
“นี่! เป็นอะไรไหม! โอเครึเปล่า!!”
ผมเรียกเธอแต่เธอไม่ตอบกลับมา แต่ว่ายังได้ยินเสียงหัวใจเต้นอยู่เพราะงั้นเธอยังมีชีวิตอยู่แน่ๆ ผมจึงอุ้มเธอไปที่กองไฟซึ่งเป็นที่ที่ผมทำสัญญาณควันไฟเมื่อกี้
“ไม่ยอมให้มาตายต่อหน้าต่อตาชั้นหรอก!”
แล้วผมก็ช่วยเธอโดยการผายปอดให้เธอ
“อะแฮก!” (TLN: *เสียงสำลักน้ำ+ไอ*)
เธอกระอักน้ำออกมาเยอะมากหลังจากนั้นก็สำลักน้ำไปสักพัก ถึงเธอจะยังไม่ลืมตาแต่ว่าคงจะพ้นขีดอันตรายแล้วล่ะ นั่นทำให้ผมรู้สึกโล่งใจเลยล่ะ
(จะว่าไปแล้วเธอน่ารักสุดๆ เลยแฮะ)
ถึงจะไม่รู้ว่าคนอื่นจะมองว่าเธอน่ารักยังไงก็เถอะ แต่ว่าสำหรับผมแค่มองก็รู้แล้วว่าเธอน่ารักขนาดนี้เพราะอะไร
เค้าโครงหน้าของเธอนั้นเพอร์เฟคแบบไร้ที่ติ ถึงจะดูเหมือนโดนผึ้งต่อยมาก็เถอะ แต่ว่าก็ยังน่ารักอยู่ดี
“อะ..อือ…”
เธอเริ่มได้สติกลับมาแล้ว
.
.
.
.
.
.
ตอนนี้อาจจะแปลมึนๆ หน่อยนะครับแหะๆ เดี๋ยวจะพยายามมาปรับคำทีหลังก็แล้วกันนะครับ
แล้วก็ขออภัยที่ห่างหายไปนาน
(เรื่องจูบเพื่อนสมัยเด็กยังแปลอยู่นะครับ แค่หมดไฟกลางทางเฉยๆ แหะๆ)
สุดท้ายนี้อยากให้ปรับคำตรงไหนแจ้งได้นะครับ
Comments
หลังจากถูกเพื่อนสมัยเด็กที่เป็นแฟนสาวนอกใจ จึงได้ไปคบกับไอดอลสาวที่พบเจอบนเกาะร้าง 1 ความหมายของชายชาตรี
ตอนช่วงมัธยมต้นนั้น ผมได้คิดว่าในที่สุดช่วงฤดูใบไม้ผลิของผมก็มาถึงจริงๆ สักที
ตัวผมชื่อ โยชิคาวะ ไดคิจิ ได้มีแฟนสาวที่น่ารักที่สุดในโรงเรียน ซึ่งชื่อของเธอคือ อาคาริ เบนิยะ แล้วเธอก็ยังเป็นเพื่อนสมัยเด็กของผมอีกด้วย
ตอนช่วงมัธยมต้นผมกับอาคาริรักกันมากๆ
พวกเราจู๋จี๋กันตลอดเวลาไม่ว่าจะในโรงเรียนหรือแม้กระทั่งหลังเลิกเรียน วันหยุดพวกเราก็จู๋จี๋กันเหมือนกัน ส่วนเรื่องโรงเรียนมัธยมปลายแน่นอนว่าพวกเราเลือกโรงเรียนเดียวกัน
แต่ว่าพอหลังจากเข้าเรียนมัธยมปลาย ก็มีอะไรแปลกไป… ช่วงเทอมแรกพวกเราเจอกันน้อยลงมากๆ ผมอยู่ชมรมกลับบ้าน ส่วนเธออยู่ชมรมดนตรี มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงนะ
“ขอโทษด้วยนะ พอดีวันนี้ฉันมีซ้อมดนตรีน่ะ”
แย่กว่านั้นคือตอนผมชวนเธอไปเดท เธอตอบผมกลับมาแบบนั้น
พอถึงช่วงเทอมสอง พวกเราแทบจะไม่ได้คุยกันในโรงเรียนเลย และตอนนั้นเอง อาคาริ ได้ย้อมสีผมของเธอเองจากสีดำเป็นสีแดง
ผมเลยบอกเธอไปว่าผมชอบเธอที่เป็นผมสีดำมากกว่านะ แต่เธอตอบกลับมาว่า ‘ฉันอยากย้อมเป็นสีแดงมากกว่าน่ะ’
ผมยังจำความรู้สึกนั่นได้แม่นเลยว่ามันรู้สึกอึดอัดแค่ไหน หรือแบบนี้เขาเรียกว่าความสัมพันธ์แบบ*รูทงั้นหรอ
(*TLN: ความสัมพันธ์แบบรูท [Rut] เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นได้ทั้งทางรูปร่างหน้าตา หรือ ทางความรู้สึก แต่โดยรวมๆ หมายถึงการที่เรารู้สึกว่าเราขาดการเชื่อมต่อกับคู่รักของตัวเอง)
แบบนี้อาจจะเป็นเรื่องปกติก็ได้เพราะเราก็คบกันมาตั้งแต่ช่วงมัธยมต้นปีหนึ่งแล้ว
แต่ว่าถึงอย่างนั้นผมก็ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว
และแล้ววันหนึ่ง ที่ผมกำลังหาทางทำอะไรสักอย่างอยู่นั้น ผมก็ได้ไปรู้มาว่า…
อาคาริออกจากชมรมดนตรีไปได้สักพักแล้ว
แต่ว่าเธอยังคงปฏิเสธคำเชิญของผมโดยบอกว่า’ยุ่งกับชมรมดนตรีอยู่น่ะ’ ทำให้ผมคิดว่า ‘หรือว่าเธอจะย้ายไปชมรมอื่นกันนะ’
พอผมถามเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้เธอก็ตอบกลับมาว่า
“อื้มใช่แล้ว ย้ายไปชมรมเครื่องเป่าน่ะ”
ตอนนั้นผมจึงหลงเชื่อแล้วคิดว่า
“เป็นแบบนั้นเองสินะ”
แล้วก็มาถึงช่วง โกลเด้นท์วีค ของเทอมสอง ซึ่งผมก็ต้องอยู่คนเดียวแน่นอนอยู่แล้ว เลยเดินเล่นเข้าไปในเมือง
แล้วผมก็ได้ไปเห็น…
อาคาริกำลังนอกใจอยู่
ฝ่ายชายคือรุ่นพี่ในโรงเรียนเดียวกัน เขาเป็นหนุ่มหล่อที่มีชื่อเสียงในโรงเรียนว่าเป็น*อีตัว
(*TLN: ไม่รู้จะเอาคำไหนมาแทนดี แต่สำหรับคนไม่รู้ความหมายคำนี้อย่างผมได้ไปหามา พูดแบบสุภาพๆ ความหมายมันประมาณว่า เปลี่ยนหญิงไปเรื่อย ผมไม่ชัวร์เน้ออ ใครรู้บอกได้นะครับ)
ไม่กี่วันหลังจากนั้นผมเรียกอาคาริมาที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน และเพราะตอนนี้เป็นตอนกลางคืนจึงไม่มีใครมาแน่นอน
ผมเอารูปที่ผมได้ถ่ายเธอกับรุ่นพี่ไว้ให้เธอดู แล้วให้เธออธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้มา ซึ่งเธอก็พูดตอบออกมาตรงๆ
“โอ๊ะ นายเห็นด้วยงั้นหรอ…”
“เธอกำลังนอกใจชั้นอยู่ใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว”
เธอยอมรับออกมาอย่างง่ายดาย
“ช่วยไม่ได้นี่นา–“
เธอพูดต่อ
“–มันเป็นความผิดของนายนั่นแหละไดคิจิ ที่ไม่แมนพอ”
“ห๊ะ?”
“ขนาดชื่อยังง่อยเลย ไดคิจิ เนี่ยนะ อย่างกับโอมิกูจิเลยนะ”
(*TLN: เท่าที่ไปหามา โอมิกูจิคือ เป็นกระดาษเขียนคำทำนายดวงชะตา แปลตรงตัวว่า สลากศักดิ์สิทธิ์ ผิดยังไงบอกได้นะครับ นี่ไปหามาจากกูเกิ้ลอีกที)
หลังจากนั้นเธอก็เล่าไปเรื่อยๆ ว่าผมเป็นคนไม่ได้เรื่องยังไงบ้าง
ไม่แมนพอ ไม่ใช่ผู้ชายแบดๆ หน้าตาธรรมดา นิสัยอ่อนแอ นั่นคือสิ่งที่เธอพูดออกมา
“ถ้าไม่อยากให้แฟนของตัวเองนอกใจล่ะก็ นายควรจะทำตัวให้แมนขึ้นกว่านี้นะ ไม่ใช่มาเป็นคนโง่แบบนี้”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาคาริไม่มีวันพูดเรื่องแบบนี้ออกมาแน่ๆ เธอพูดโดยยกเรื่องการเป็นผู้ชายงี่เง่า ไม่แมนพอออกมาพูด
ทำเหมือนว่าเป็นเรื่องปกติ ที่ฝ่ายหญิงไปอ่อยผู้ชายคนอื่นแล้วพูดกับชู้ของตัวเองว่าไม่ต้องกังวลหรอก ‘เป็นความผิดของฝ่ายชายนั่นแหละที่ทำให้ฝ่ายหญิงนอกใจได้น่ะ’
“ฉันว่าจะทำให้สายสัมพันธ์ของเราหายไปตามกาลเวลาเพราะฉันไม่อยากทำให้นายเสียใจนะไดคิจิ แต่ในเมื่อนายก็รู้แล้วเพราะงั้นฉันขอพูดตรงๆ เลยแล้วกันนะ พวกเราเลิกกันเถอะ ล่าก่อน”
อาคาริเดินจากไปโดยไม่ได้สำนึกผิดอะไรเลยสักนิด
◊◊◊
ผมไม่ได้เสียใจเรื่องของอาคาริก็เลยสักนิด แต่เจ็บใจกับคำพูดของเธอมากกว่าอีก
–นายมันไม่แมนพอไง
–ถ้าไม่อยากถูกนอกใจก็ทำตัวแมนๆ ซะสิ ไม่ใช่ทำตัวงี่เง่าแบบนี้
ผมคิดว่าเธออาจจะพูดถูกก็ได้ ถ้าผมยังทำตัวเหมือนเดิมผมอาจจะทำผิดพลาดแบบนี้อีกก็ได้
และมันคงจะแย่มากๆ ถ้าผมมีแฟนใหม่แล้วเธอดันมานอกใจเพราะเหตุผลพรรณนี้อีก
พอคิดไปคิดมาแล้ว
“ต้องทำอะไรซักอย่างแล้วล่ะ”
แล้วผมก็ตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องที่จะทำได้แล้ว
。。。
“ไดคิจิ เกาะนี้อันตรายมากเลยนะ เจ้าแน่ใจแล้วหรอ?”
“ที่นี่สินะที่จะทำให้ผมมีความเป็นชายชาตรีมากขึ้นน่ะ”
“สำหรับข้าแล้วเจ้าก็แมนมากพอแล้วนะ”
“ไม่หรอกคุณปู่ ผมต้องการให้ตัวเองแมนมากกว่านี้อีก”
ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ผมให้ปู่ของผมพาขึ้นเรือไปยังเกาะร้างที่คุณปู่เป็นเจ้าของเอง
ผมจะใช้เวลาสองสัปดาห์อยู่บนเกาะร้างด้วยตัวคนเดียว เพื่อที่จะทำให้ตัวผมมีความเป็นชายชาตรีมากขึ้น
“ข้าก็แก่มากแล้วนะ คงจะมาที่นี่ทุกวันไม่ได้หรอกนะ”
“ไม่เป็นไรหรอครับคุณปู่ ผมอยู่ด้วยตัวเองได้แค่มารับผมในอีกสองสัปดาห์ก็พอครับ”
“สองสัปดาห์งั้นหรอ… วันที่ 20 สิงหาคม ใช่ไหม”
“ครับ”
นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงต้องมาเอาชีวิตรอดบนเกาะร้างเป็นเวลา 2 สัปดาห์
◊◊◊
ถึงจะบอกว่าเป็นเกาะร่างแต่ก็ไม่ได้ร้างขนาดนั้น แค่ไม่มีไฟฟ้าใช้แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีกระท่อมพอให้เข้าไปอาศัยอยู่
ข้างในกระท่อมมีขนมเซ็มเบ้ ฟูกนอน กับเตาไฟที่จมดินอยู่ แค่มีอาหารผมก็สามารถอยู่รอดได้แล้ว ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะอาหารมันค่อนข้างหายากเลยนะบนเกาะนี่น่ะ
.
.
“เหลืออีกแค่ไม่กี่วันเองสินะที่ต้องมาอยู่แบบนี้…”
ในช่วงบ่ายของวันที่ 17 สิงหาคม ผมยังอยู่รอดครบ 32 ปกติดี ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ผมคงไม่มีปัญหาอะไรจนถึงวันที่ 20 สิงหาคม
“ตอนนี้ชั้นคงจะเป็นชายชาตรีมากขึ้นแล้วสินะ”
จากนั้นผมก็เดินไปที่ทะเลพร้อมกับเคี้ยวปลาอายุที่ย่างแล้วไปด้วย ระหว่างเดินไปก็รู้สึกหิวน้ำ ดีนะที่ว่าผมเติมน้ำใส่น้ำเต้าก่อนออกมาจากกระท่อมแล้วแขวนไว้ที่เอว
ร่างกายของผมกลายเป็นผิวสีแทนไปแล้ว และผมก็คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นพอที่จะเป็นชายชาตรีบ้างแล้ว อีกทั้งการมีเคราที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียว
“เอาล่ะ..ไปทำให้เสร็จดีกว่า”
เมื่อไปถึงชายหาดผมก็ได้ก่อกองไฟขึ้นมาแล้วใส่ใบต้นสนลงไป ทำให้เกิดควันขึ้นจำนวนมาก เป็นสัญญาณควันไฟ เพื่อส่งข้อความให้คุณปู่ว่าผมยังสบายดี ถ้าไม่มีสัญญาณนี่ล่ะก็คุณปู่คงจะรีบมาหาผมที่นี่ทันทีแน่ๆ
“แค่นี้ก็น่าจะได้แล้วแหละ”
ที่เหลือก็แค่หาอาหารแล้วกลับไปที่กระท่อม แต่ว่าก็มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นซะก่อน
“เอ๊ะ!?”
ผมได้เจอกับอะไรบางอย่างบนชายหาด ซึ่งไม่น่าจะใช่ขยะเพราะมันใหญ่เกินไป เท่าที่ดูจากรูปร่างแล้วดูเหมือนจะเป็นคนมากกว่า
“อะไรล่ะนั่น”
จากนั้นพอผมเดินเข้าไปใกล้ๆ มากขึ้น แล้วเห็นรูปร่างชัดขึ้นผมก็รีบวิ่งเข้าไปทันที ปรากฏว่าสิ่งนั้นคือคนที่ถูกน้ำทะเลซัดมา
พอดูๆ แล้วเธอเป็นผู้หญิงที่น่าจะอายุราวๆ เดียวกับผม ซึ่งชุดที่ใส่อยู่เป็นยูนิฟอร์มนักเรียน แต่มันออกจะเหมือนชุดคอสเพลย์มากกว่า เดาว่าคงเป็นเพราะรอยจีบของกระโปรงตัดกับผมยาวสีเงินของเธอทำให้มันดูเหมือนการคอสเพลย์
“นี่! เป็นอะไรไหม! โอเครึเปล่า!!”
ผมเรียกเธอแต่เธอไม่ตอบกลับมา แต่ว่ายังได้ยินเสียงหัวใจเต้นอยู่เพราะงั้นเธอยังมีชีวิตอยู่แน่ๆ ผมจึงอุ้มเธอไปที่กองไฟซึ่งเป็นที่ที่ผมทำสัญญาณควันไฟเมื่อกี้
“ไม่ยอมให้มาตายต่อหน้าต่อตาชั้นหรอก!”
แล้วผมก็ช่วยเธอโดยการผายปอดให้เธอ
“อะแฮก!” (TLN: *เสียงสำลักน้ำ+ไอ*)
เธอกระอักน้ำออกมาเยอะมากหลังจากนั้นก็สำลักน้ำไปสักพัก ถึงเธอจะยังไม่ลืมตาแต่ว่าคงจะพ้นขีดอันตรายแล้วล่ะ นั่นทำให้ผมรู้สึกโล่งใจเลยล่ะ
(จะว่าไปแล้วเธอน่ารักสุดๆ เลยแฮะ)
ถึงจะไม่รู้ว่าคนอื่นจะมองว่าเธอน่ารักยังไงก็เถอะ แต่ว่าสำหรับผมแค่มองก็รู้แล้วว่าเธอน่ารักขนาดนี้เพราะอะไร
เค้าโครงหน้าของเธอนั้นเพอร์เฟคแบบไร้ที่ติ ถึงจะดูเหมือนโดนผึ้งต่อยมาก็เถอะ แต่ว่าก็ยังน่ารักอยู่ดี
“อะ..อือ…”
เธอเริ่มได้สติกลับมาแล้ว
.
.
.
.
.
.
ตอนนี้อาจจะแปลมึนๆ หน่อยนะครับแหะๆ เดี๋ยวจะพยายามมาปรับคำทีหลังก็แล้วกันนะครับ
แล้วก็ขออภัยที่ห่างหายไปนาน
(เรื่องจูบเพื่อนสมัยเด็กยังแปลอยู่นะครับ แค่หมดไฟกลางทางเฉยๆ แหะๆ)
สุดท้ายนี้อยากให้ปรับคำตรงไหนแจ้งได้นะครับ
Comments
Pengaturan Membaca
The quick brown fox jumps over the lazy dog
Background :
Font :
Size :