เกิดใหม่อยู่นั่นแหละ รำคาญ! 5 สมรู้ร่วมคิด

Now you are reading เกิดใหม่อยู่นั่นแหละ รำคาญ! Chapter 5 สมรู้ร่วมคิด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงรักคือคนโง่… เธอคิดเช่นนั้นตั้งแต่จำความได้

       แม้ชาติก่อนเติบโตมาในครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อม แต่พ่อแม่ผู้ชาญฉลาดก็มักทำเรื่องงี่เง่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ พวกเขามอบทุกสิ่งซึ่งได้มาจากความอุตสาหะตลอดหลายปีโดยไม่คิดหวงแหนเพียงเพราะรักเธอ

       มันช่างงดงาม ถูกต้อง และโง่งม

       การมีคนพร้อมสยบแทบเท้าและเสียสละแทนนั้นชวนให้รู้สึกดีกว่าอะไรทั้งสิ้น แต่หากต้องเป็นฝ่ายไล่ตามความรักจริงๆ น่ะขอตายเสียดีกว่า

       เธอเคยชินกับการได้รับมากกว่าการให้ และจะไม่ยอมลดทอนศักดิ์ศรีของตัวเองลงไปเป็นคนเขลา

       หากจะมีใครเคียงคู่ย่อมอนุญาตเพียงผู้มีความสามารถสูงสุดเท่านั้น… ในโลกที่แล้วคือเงินทอง ส่วนในโลกนี้เธอไม่สนใจ จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ไม่แตกต่าง แค่ใช้ประโยชน์ให้เธอได้ไปถึงเป้าหมายก็พอ

       “คุณหนูนัฟ… ตื่นเช้ามารอหน้าห้องฉันแบบนี้ทุกวันนายท่านจะไม่โกรธเอาหรือคะ” เด็กสาวผมสั้นกะพริบตาปริบๆ เมื่อเปิดประตูเจอคนคุ้นหน้า

       “เมื่อวานฉันแค่อยากอวดชุดใหม่เท่านั้นแหละ ส่วนวันนี้ฉันก็… แค่เอาจดหมายมาบอกข่าวดี” เจ้าของชุดกระโปรงฟูฟ่องถือซองกระดาษอันเคยถูกเปิดไปครั้งหนึ่งแล้วยื่นให้ “เห็นว่าส่งมาจากโรงเรียนเวทมนตร์เลยเผลอตัวแกะอ่านน่ะ…”

       ดูจากใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องอินิคาร์ก็ไม่ต้องเดาข้อความ เธอรับจดหมายมาอ่านผลสอบผ่านและมองเจ้านายอีกครั้ง

       “…” สีหน้าของนัฟสลับไปมาเหมือนอยากได้รับคำชมเรื่องเอาจดหมายมาให้ แต่อีกใจหนึ่งก็เหมือนขัดแย้งกับตนเอง

       การหว่านเสน่ห์ล่อลวงครั้งก่อนได้ผลดีจนอีกฝ่ายเริ่มเอนเอียงเข้าหามากกว่าปกติ แม้จุดประสงค์แรกเธอเพียงต้องการอยู่ที่นี่เพื่อดำเนินแผนต่อ แต่ตอนนี้สถานการณ์อาจเปลี่ยนไปแล้ว อินิคาร์ต้องรู้จักวางตัวเช่นกัน

       “ขอบคุณนะคะ คุณหนู” เธอยิ้มหวานส่งให้ “ฉันทำขนมฉลองเรื่องที่จะได้เข้าเรียนพร้อมกันดีไหมคะ”

       เด็กสาวผมสั้นไม่ได้รุกไล่ความรู้สึกอีกฝ่าย ขนาดชุดยังไม่รีบร้อนเปลี่ยนเป็นเครื่องแบบคนรับใช้หญิง เธอปล่อยให้คนผมบลอนด์ตัดสินด้วยตัวเองว่าต้องการแบบไหน

       ในใจนัฟตอนนี้คงสับสนอย่างมาก ถึงกับลุกมาเจอหน้าเธอทุกเช้าจนผิดวิสัยคงเพราะคิดไม่ตก ที่เหลือก็เพียงรอเจอเจ้าชายตัวจริงดูก่อน

       เชื้อพระวงศ์เป็นฐานะอันยากจะเข้าถึงอยู่แล้ว โดยเฉพาะกับสามัญชนและขุนนางระดับต่ำ นอกจากเจ้าบ้านคงไม่มีใครในคฤหาสน์เคยพบเจ้าชายที่นัฟใฝ่ฝัน

       นัฟจะเป็นฝ่ายตัดสินใจเลือกเองว่าจะตกหลุมรักใคร ซึ่งต่อให้ออกหัวหรือก้อยอินิคาร์ก็ได้ประโยชน์ทั้งนั้น

       คนโง่ในห้วงรักมักควบคุมง่ายเสมอ

       เธอไม่คิดพูดความจริงเรื่องโลกใบนี้ให้เด็กสาวฟัง เพราะกุญแจสำคัญจะหลุดมือไปถ้าอีกฝ่ายเกิดกลัวขึ้นมา

       อินิคาร์ไม่ใช่คนสร้างวิมานฝันแสนหวานว่าโลกนี้คือเกมจีบหนุ่ม แต่ก็ไม่ใช่คนพังมันทิ้งไป ถึงสุดท้ายจะนับเป็นการหลอกใช้เหมือนกันแต่บาปจะไม่ตกอยู่กับเธอเพียงผู้เดียว เพราะเป็นเพียงการสานต่อความคิดให้คนผมบลอนด์ตรงหน้าเท่านั้น

       “คุณหนูคะ” หญิงรับใช้ในคฤหาสน์ก้าวเข้าใกล้ประตูห้อง “คุณหนูลืมจดหมายอีกฉบับของคุณอินิคาร์”

       “จริงเหรอ… ฉันตื่นเต้นกับเรื่องโรงเรียนเวทมนตร์ไปหน่อยน่ะ” นัฟแสดงท่าทีเขินอายเล็กน้อย

       ซองกระดาษเรียบไร้ชื่อผู้ส่งปรากฏขึ้นอีกฉบับ มันจ่าหน้าถึงอินิคาร์ชัดเจน “มาจากสมาคมการค้ากุนกุนค่ะ”

       สาวใช้รายงานที่มาเพื่อไม่ให้ผู้รับเกิดความสงสัย สุดท้ายเด็กสาวผมสั้นก็รับมันมาเปิดอ่าน

       ผู้เขียนคือแม่ของอินิคาร์ เนื้อหาอธิบายความผิดดั่งสารภาพบาป อีกทั้งยังละอายต่อการกระทำตลอดหลายปีจนไม่มีหน้ามาพบเธอ… มารดาตัดสินใจว่าจะเก็บตัวเงียบ เปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่เพื่อชดใช้เรื่องราวทั้งหมด ระหว่างนั้นขอให้เธอตั้งใจเรียนทดแทนในส่วนของพี่ชายด้วย

       อินิคาร์ลอบกลอกตาหนหนึ่ง อย่างไรการเข้าโรงเรียนเวทมนตร์ก็เจอผู้ปกครองได้แค่ช่วงปิดเทอมอยู่แล้ว จดหมายนี้ไม่ได้ทำให้อะไรต่างจากเดิม แค่ตัดปัญหาค้างคาของครอบครัวใหม่ไปไว้ทีหลังเท่านั้นเอง

       ตบฉาดใหญ่แบบนั้นย่อมมองหน้ากันไม่ติดอยู่แล้ว

       “พวกเรามาเตรียมตัวเข้าเรียนกันเถอะค่ะ คุณหนู…” เด็กสาวผู้ติดตามวางจดหมายไว้ในห้อง เธอควรใช้เวลาใส่ใจนัฟมากกว่า

       ยิ่งอยากปีนป่ายให้สูงมากเท่าไรยิ่งต้องจัดลำดับความสำคัญในชีวิตให้ดี เรื่องแม่ในชาตินี้คงเลิกคิดไปได้อีกหลายปีเลยทีเดียว

       “ถ้างั้นไปวัดตัวซื้อเครื่องแบบกันวันนี้เลยดีกว่า!” บุตรีขุนนางกล่าวอย่างเบิกบาน “ใกล้จะเข้าเรียนแล้ว ฉันจะใช้เวทมนตร์แบบไหนได้บ้างนะ”

       ความตื่นเต้นของนัฟทำเอาอินิคาร์เอ็นดูขึ้นมาเล็กน้อย รู้สึกไม่ต่างจากมองลูกหมูฝันหวานที่กำลังถูกส่งไปโรงเชือด

       ไม่มีอะไรรับประกันว่าแผนการของเธอจะได้ผลและนัฟจะรอด

       แต่ถึงอินิคาร์ไม่หลอกใช้ประโยชน์จากอีกฝ่าย เจ้าตัวก็ต้องถูกลูกแก้วสูบชีวิตไปอยู่ดี ดังนั้นความรู้สึกผิดในอกจึงเบาบางลง

       …พวกเธอจัดการเตรียมข้าวของสำหรับการเข้าสู่โรงเรียนประจำ เพียงไม่กี่วันผ่านไปเวลาที่นัฟรอคอยก็มาถึง

       กลุ่มนักเรียนชุดเครื่องแบบวัยไล่เลี่ยกันต่างลงจากพาหนะและเรียงรายเข้าสู่รั้วสถานศึกษาแสนโอ่อ่าตระการตา

       ก่อนหน้านี้เธอมาสอบข้ามระดับยังไม่ทันมองให้ชัด แต่พื้นที่กว้างขวางสุดขอบเมืองหลวงแบบนี้ช่างให้บรรยากาศเงียบสงบสมเป็นพวกชนชั้นสูงกันจริงๆ

       “ขาเรียวสวยจัง…” ผู้เป็นนายงึมงำขณะจดจ้องคนข้างเคียง

       กระโปรงชุดเครื่องแบบไม่ได้สั้นจนเกินไปนัก แต่ด้วยความยาวขาของอินิคาร์จึงทำให้ชายมันเลยเหนือเข่าขึ้นมาเล็กน้อย และสามารถประมาณรูปร่างสมบูรณ์แบบของสาวน้อยวัยสิบสามได้

       “คุณหนูคะ” เธอเรียกสติอีกฝ่ายให้เดินตามคนอื่นเข้าไปข้างใน

       หน้าตาของนัฟก็ใช่จะธรรมดาสามัญ แต่พอยืนเทียบกันในชุดเครื่องแบบสีเข้มกลับดูหมองลงไปเสียอย่างนั้น… โชคดีที่อินิคาร์หลอกล่อเจ้านายในเชิงคนรักมากกว่าเพื่อนสาว ไม่อย่างนั้นอาจมีปัญหาเรื่องการอิจฉามากกว่าชื่นชมแบบตรงไปตรงมา

       สองสาวโดดเด่นขึ้นไปอีกเมื่อย่างเท้าเข้าใกล้เด็กคนอื่นในโถงอาคารเดิมซึ่งเคยใช้ทำการสอบ

       [ยินดีต้อนรับนักเรียนทุกคนสู่บ้านหลังใหม่ที่จะมอบพลังวิเศษและฝึกฝนให้รู้จักกับเวทมนตร์…] ชายวัยกลางคนขึ้นไปยืนหลังแท่นไม้

       แม้ไร้อุปกรณ์กระจายเสียงแต่ประโยคกลับกึกก้องพอให้นักเรียนชุดเครื่องแบบทุกคนได้ยิน มันทั่วถึงอย่างประหลาด ราวกับใช้เวทมนตร์ช่วยขยายเสียงอย่างไรอย่างนั้น

       ขณะที่การพูดต้อนรับดำเนินอยู่ อินิคาร์ก็หันมองซ้ายขวาเพื่อควานหาตัวเด็กสาวร่างท้วม

       ฮาราฟ นอยล์นั้นไม่สามารถติดต่อได้ตั้งแต่การสอบข้ามระดับจบลง ไม่ใช่เพราะไม่รู้ที่อยู่ แต่บรรดาศักดิ์เจ้าตัวสูงกว่าตระกูลของนัฟมาก การจะส่งจดหมายจากสามัญชนขอเข้าพบผู้ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนจึงเป็นไปไม่ได้ ต่อให้ใช้อะไรมาอ้างก็ตาม

       ความหวังในการไถ่ถามข้อมูลจึงมีเพียงโรงเรียนเวทมนตร์แห่งนี้

       “อินิคาร์ มองหาอะไรอยู่เหรอ” นัฟเอียงคอถามพร้อมยิ้มหวาน “หรือว่าจะมองหาเจ้าชายให้ฉัน”

       อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ คล้ายการหยอกเย้า แต่กลับต้องชะงักด้วยเสียงประกาศต่อมา

       [และตัวแทนนักเรียนใหม่ในปีนี้ คือเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง อริเคฟ น็อกอาร์ด] เพียงได้ยินว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ จะคนที่พูดคุยอยู่หรือไม่สนใจหน้าเวทีต่างก็เหลียวมองโดยไม่มีข้อยกเว้น

       บุรุษผู้สามารถกุมชะตาอาณาจักรน็อกอาร์ดในอนาคตได้ ผู้ที่ควรตีสนิทด้วย และเป้าหมายในการจีบของนัฟ

       “อึ๋ย…” เด็กสาวผมบลอนด์ผงะถอย “เขาไม่ใช่ตัวละครในเกมแน่”

       เจ้าชายอริเคฟรูปร่างจ้ำม่ำจนแทบจะเป็นอึ่งอ่าง เขาเดินเตาะแตะขึ้นเวทียกระดับและเอ่ยคำกล่าวทักทายด้วยเสียงตะกุกตะกักเหมือนหายใจไม่ทั่วท้อง

       เจ้านายสาวจับแขนเธอแน่นขึ้นและแนบตัวเข้าใกล้คล้ายตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตแล้ว

       นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกอ้วนท้วนสมบูรณ์ ผมสีดำมันขลับ และผิวโทนแดงเล็กน้อย เจ้าชายก็ดูไม่มีอะไรต่างไปจากคนธรรมดา คุณค่าสำหรับนัฟอาจหมดไปเพราะไม่ได้มีรูปร่างเป็นหนุ่มหล่อผอมเพรียวตามความชอบ ทว่ามูลค่าสำหรับอินิคาร์และใครอีกหลายคนยังคงอยู่ นั่นคือสายเลือดราชวงศ์

       “ตัวใหญ่แบบนี้ ในวังคงมีของอร่อยเยอะมากสินะ” เสียงเรียบเอ่ยขึ้นไม่ไกลจากสองสาว จากนั้นตามมาด้วยการกัดขนมปังชิ้นโตเข้าปาก

       อินิคาร์สะดุ้งเฮือกตอนเห็นฮาราฟปรากฏใกล้อย่างไม่ทันตั้งตัวทั้งที่เมื่อครู่ยังไม่เห็นแม้แต่เงา

       ถึงจะตกใจแต่ก็อดแซะผู้มาใหม่ไม่ได้ “กินอยู่กับปากยังอิจฉาอาหารของคนอื่นอีกเหรอ”

       “…” ร่างท้วมกะพริบตามองกลับมาอย่างไม่รู้สึกรู้สา สองแก้มเปล่งปลั่งขยับขึ้นลงตามการเคี้ยวตุ่ยๆ

       “ว่าแต่เธอเป็น…” เด็กสาวผมสั้นกำลังจะโยงเข้าคำถามสำคัญ แต่แสงภายในห้องโถงกลับหรี่ลงจนแทบมองอะไรไม่เห็น

       [มาถึงช่วงเวลาสำคัญก่อนย่างเท้าเข้าบ้านใหม่ของพวกเราแล้ว นักเรียนทุกคนที่ยังไม่ได้รับสถานะเวทมนตร์จะต้องเรียงแถวตามการแนะนำของเหล่าสาวกมาสัมผัสท่านเทพธิดา… หากไม่ได้รับพลังก็ไม่สามารถเข้าเป็นสมาชิกบ้านใหม่หลังนี้ได้!]

       เมื่อแสงสว่างกลับมาอีกครั้ง เหล่าสาวกในชุดเครื่องแบบสีขาวปิดบังใบหน้ากลับโผล่มาอยู่ตามขอบมุมห้อง พร้อมกันนั้นแท่นลูกแก้วก็ถูกเข็นมาปรากฏบนเวที

       ลูกแก้วมรณะซึ่งแผ่บรรยากาศกดดันอินิคาร์ทำให้ร่างกายของเธอสั่นสะท้านจนต้องจิกเล็บสะกดกลั้นเอาไว้

       “อินิคาร์?” นัฟสังเกตเห็นความผิดปกติเพราะกำลังแนบชิดเธออยู่

       “ไม่มีอะไร แค่ตื่นเต้นแทนคุณหนูนิดหน่อยน่ะค่ะ” เธอโกหกเพื่อกลบเกลื่อนความกลัว

       ใจเย็นสิ… เด็กสาวบอกตัวเองก่อนจะดึงผมสีดำออกมาเส้นหนึ่ง

       “คุณหนูคะ เรื่องที่ฉันพูดอาจจะฟังดูแปลก แต่คุณหนูห้ามสัมผัสกับลูกแก้วโดยตรงเด็ดขาด” เธอยกมือข้างหนึ่งประคองใบหน้าของผู้เป็นนายให้เงยขึ้นสบมอง “ช่วยทำเป็นเอามือเข้าใกล้แล้วใช้เส้นผมนี่วางลงไปแทนทีนะคะ มันเป็นเทคนิคที่จะทำให้ได้เวทมนตร์ดีๆ ค่ะ”

       เพื่อป้องกันการเมินเฉย อินิคาร์วางเหยื่อล่อด้วยคำว่าเวทมนตร์ให้อีกฝ่ายคิดว่าจะได้พลังแสนพิเศษกว่าคนอื่น

       “เทคนิคเหรอ… เข้าใจแล้ว” เจ้าของเรือนผมบลอนด์พยักหน้าพร้อมรับเส้นผมไปถือบนฝ่ามือ

       ผู้วางแผนไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือเปล่า ทั้งเรื่องที่นัฟอาจไม่ทำตามคำแนะนำ เรื่องเส้นผมเธออาจไม่มีคุณสมบัติเข้ากับเวทมนตร์แล้วก็ได้ หรือจะเรื่องลูกแก้วเทพธิดาอาจมองกลโกงนี้ออก

       ตามเงื่อนไขผู้เข้าแถวจะยกเว้นราชวงศ์และสามัญชนอย่างอินิคาร์ซึ่งได้รับพลังไปก่อนแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่อาจลงมือช่วยเหลือใดๆ ได้แต่ฝากความเชื่อใจไว้ที่นัฟ และหวังว่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามความคิด

       ฮาราฟก้าวไปต่อแถวอย่างไม่ทุกข์ร้อน ขนมปังชิ้นโตพร่องลงไปทีละน้อยตามการกิน ส่วนนัฟก็ขยับเท้าตาม

       ไม่มีใครถูกดับลมหายใจเหมือนรอบก่อนๆ ที่เธอพบเจอ ปกติสุขดุจการถูกพรากชีวิตเพื่อนร่วมชั้นและพี่ชายเป็นเพียงฝันร้ายอันไม่เคยเกิดขึ้นจริง…

       “พวกอาจารย์ บอกว่า เธอคือสามัญชน ที่สอบข้ามชั้น เข้ามาได้” ระหว่างรอคนอื่นรับเวทมนตร์จากเทพธิดา เจ้าชายตัวกลมดันเข้ามาพูดคุยกับเธออย่างไม่คาดคิด แต่การเว้นวรรคแปลกๆ เหมือนต้องการอากาศหายใจถี่รัวของเขาทำให้ต่อเป็นประโยคลำบาก “ตระกูลนอยล์ ออกเงินสนับสนุนโรงเรียน มากมาย ในวันสอบข้ามระดับ แลกกับการให้เธอ ได้สิทธิ์เข้าเรียน… ข้าสงสัย ว่าเจ้ามีอะไรที่ ทำให้ตระกูลนอยล์ ยอมขนาดนั้น”

       จังหวะการพูดชวนหงุดหงิดทำเอาอินิคาร์เกือบหมดความอดทนในการฟัง แต่พอได้ยินว่าฮาราฟจ่ายเงินให้โรงเรียนก็ใคร่รู้ขึ้นมาเช่นกัน

       คนคนนั้นคือใครกันแน่ ทำไมมีความทรงจำก่อนเกิดใหม่เหมือนเธอ ทำไมถึงฆ่าเธอในชาติที่แล้ว ทำไมถึงดึงดันจะให้เธอเข้าโรงเรียนในชาตินี้ ทั้งหมดมีเป้าหมายอะไร…

       จู่ๆ เสียงในห้องโถงก็ดังฮือฮาขึ้น ทำให้พวกเธอหันมองตามไปด้วย

       มีคนล้มลงหลังจากสัมผัสเทพธิดา

       หัวใจของอินิคาร์เกือบหล่นวูบ แต่พอเห็นฮาราฟและนัฟยังคงอยู่ในแถวจึงเบาใจลงเล็กน้อย ความรู้สึกของเธอคล้ายจะด้านชาลงทีละนิด ราวกับคุ้นชินเมื่อเห็นความตาย

       “ไม่เข้ากับเวทมนตร์” เจ้าชายลำดับที่หนึ่งยิ้มออกมา ดวงตาสีเขียวมรกตทอประกายแวววาว “ไม่เข้ากับเวทมนตร์จริงๆ”

       มันเป็นรอยยิ้มอันชวนขนลุกยิ่งกว่าก้อนเนื้อที่บีบตัวไปกองรวมกันข้างแก้มเสียอีก

       ราชวงศ์รู้ความลับอะไรถึงได้ยินดีกับการดับลมหายใจของลูกหลานขุนนางแบบนี้… อินิคาร์ขมวดคิ้วมองเขาแต่ยังไม่กล้าคุยด้วยระหว่างเห็นใบหน้าแห่งความสุขสุดสยอง

       ไม่นานแถวก็หดสั้นลง ฮาราฟจับลูกแก้วรับพลังอย่างราบรื่น ส่วนนัฟอังมือเข้าใกล้อยู่สักพักจนด้านหลังเร่งเร้าให้ดำเนินการเร็วๆ เมื่อเส้นผมของอินิคาร์สัมผัสผิวลูกแก้ว กรอบระบบกลับปรากฏบังข้างหน้า

       เด็กสาวผมสั้นหน้าซีดเผือด ไม่คิดว่าหน้าต่างสถานะจะเด้งขึ้นมาให้เธอที่อยู่ห่างกันตรงนี้แทน

       แม้กรอบข้อความจะโผล่มาแค่ชั่วขณะเดียวแล้วหายไป ถึงยังไม่มีใครสังเกตเห็น แต่นัฟอาจงุนงงและวางมือจับลงไปจริงๆ!

       อินิคาร์รีบร้อนก้าวไปใกล้หัวแถว ทว่ายังไม่ทันแตะตัวเป้าหมายเด็กสาวผมบลอนด์กลับถูกผลักไปข้างหน้า

       ดวงตาสีดำประกายฟ้าเบิกกว้างขึ้น ร่างกายขยับไปไวกว่าความคิดเมื่อรู้ว่าเธอจะเสียนัฟไปไม่ได้ เท้าหลังถีบตัวพุ่งไปคว้าแขนของเจ้านายและพลิกตัวหันหลังรับแรงกระแทกแท่นลูกแก้วแทน

       วัตถุทรงกลมขยับกลิ้งจากเบาะคล้ายจะร่วงหล่น แต่เพียงครู่เดียวก็กลับเข้าที่

       [พวกเจ้ากล้าเสียมารยาทต่อหน้าข้าหรือ?] น้ำเสียงไร้อารมณ์ของเทพธิดาเปล่งออกมาท่ามกลางความเงียบ

       เหล่าอาจารย์และนักเรียนทั้งหลายต่างตกใจกลัวและถอยห่าง แม้แต่อินิคาร์เองก็สั่นเทิ้มไปทั่วร่างเมื่อต้องเผชิญกับลูกแก้วมรณะ

       เจ้าของดวงหน้างามพลิกตัวกลับมาทั้งความเจ็บปวด เธอเงยขึ้นมองลูกแก้วด้วยสีหน้าวิงวอนขอชีวิต “ฉัน… ปกป้องเจ้านายไม่ให้หกล้ม… ฉันทำเกินเหตุไป ท่านเทพธิดาโปรดประทานอภัยให้ด้วย”

       ฝั่งนัฟรีบโค้งตามโดยสัญชาตญาณทันที

       [เจ้า… คือทารกไร้ประโยชน์คนนั้น] คล้ายเทพธิดาจะจำเธอได้ [อุตส่าห์รอดมาจนเข้าโรงเรียนเวทมนตร์อาณาจักรน็อกอาร์ดได้ ทำข้าหมดสนุกเสียจริง]

       คำพูดของอีกฝ่ายเหมือนคาดหวังให้ชีวิตของอินิคาร์ตกต่ำย่ำแย่

       เทพธิดาเวรนี่ต้องการอะไรจากเธอกันนะ ปล่อยให้เติบโตในครอบครัวผุพัง แต่ก็ไม่ได้ติดตามการเคลื่อนไหวหรือสนใจอะไรเลยสักนิด อย่างกับพวกสร้างเรื่องแล้วรออ่านข่าวสลดย้อนหลังอย่างภาคภูมิใจ

       [หมดธุระก็หลบทางได้แล้ว] เทพธิดาไม่ได้เอาเรื่องเธอ แถมยังข้ามคิวให้คนต่อไปเข้ามาสัมผัสรับพลัง

       “เดี๋ยว…” นัฟจะทักท้วงแต่อินิคาร์รีบอุดปากและดึงตัวมาด้านข้าง

       ยังไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเด็กสาวผมบลอนด์ไม่ได้รับเวทมนตร์มา ฝั่งเทพธิดาเองก็ด้วย… อาจรับรู้แค่ถูกสัมผัสไปแล้ว

       แผนการของเธอไม่สมบูรณ์แต่ก็ทำให้รอดมาได้

       นัฟยังมีประโยชน์กับเธอ ทั้งเรื่องสนับสนุนทุนการศึกษา สะพานเชื่อมเข้าหาชนชั้นสูง และที่สำคัญที่สุดคือการหาซื้อเครื่องสำอางในโลกสุดล้าหลังแห่งนี้

       สองสาวพากันเดินออกมานอกแถว อินิคาร์ถูกผู้ใหญ่มองเขม่นเล็กน้อยด้วยฐานะสามัญชนผู้สร้างเรื่องถึงสองครั้งสองครา ไม่ว่าจะการปิดบังเพศและเสียมารยาทต่อเทพธิดา

       ใบหน้างามเพียงแสดงท่าทีเฉยเมยและก้มกระซิบบอกนัฟว่า “พี่นัฟ จำเรื่องสมัยยังเด็กของพวกเราได้หรือเปล่า”

       คำเรียกแสนหวานดังเช่นอดีตทำคนฟังหน้าแดงขึ้นมาชั่วขณะ “เรื่องอะไรเหรอ”

       “เรื่องที่พี่นัฟมาจากต่างโลก…” เธอลดเสียงให้แผ่วเบาลงอีกหลายระดับ “ฉันเอง ความจริงก็เหมือนกัน”

       บุตรีขุนนางเบิกตากว้างขึ้นและมองอินิคาร์คล้ายไม่เชื่อสายตา

       นิ้วเรียวทาบริมฝีปากคนผมบลอนด์และยิ้มหวานให้เจ้าตัวปิดเงียบ

       ใช่ว่าเธออยากบอกความจริงเรื่องนี้ เพราะยิ่งคนรู้มากเท่าไรก็เพิ่มโอกาสหลุดไปถึงหูศาสนาเทพธิดามากเท่านั้น… ตราบเท่าที่ข้อมูลยังน้อยก็ควรเก็บความลับของตัวเองไว้เช่นกัน แต่หากไม่บอกอะไรให้นัฟเข้าใจเลย อีกฝ่ายคงได้ตายเร็วๆ นี้นี่แหละ คนไร้พลังท่ามกลางดงผู้ใช้เวทมนตร์ย่อมสร้างความเคลือบแคลงน่าสงสัยอยู่แล้ว

       มาถึงขั้นนี้นัฟไม่มีทางเลือกนอกจากกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดให้รอดไปด้วยกัน

       ไม่ต้องใช้การหว่านเสน่ห์อะไรอีก สถานะนายบ่าวเองก็ด้วย

       …และแล้วพวกเธอก็ได้ขนกระเป๋าเข้าสู่ภายใน

       ผู้ที่ไม่เข้ากับเวทมนตร์มีสามชีวิต นับเป็นจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับปริมาณคนเข้าเรียนปีนี้ ซึ่งหากอินิคาร์กับนัฟไม่ได้ใช้กลโกงหรือบังเอิญเข้ากันได้กับเวทมนตร์คงมีร่างไร้วิญญาณมากกว่านั้น

       อาคารหอพักหญิงกว้างขวางสมเป็นพื้นที่รองรับเหล่าชนชั้นสูง

       ทีแรกอินิคาร์นึกว่าระดับพวกขุนนางจะต้องได้ห้องส่วนตัวคนละหนึ่งห้องไปเลย เพราะการเอาพวกถูกเลี้ยงอย่างตามใจมาไว้รวมกันนั้นไม่ต่างจากเอาสุนัขจ่าฝูงมาปะทะชิงอาณาเขต

       ทว่าโรงเรียนเวทมนตร์โหดเหี้ยมกว่านั้นเสียอีก…

       “หนึ่งห้องสามคน ตกลงกันเองภายในวันนี้ได้เลยค่ะ เมื่อครบจำนวนแล้วก็มารับกุญแจกับผู้ดูแลใต้หอพักนะคะ” อาจารย์ผู้หญิงกล่าวเมื่อพาทุกคนมาถึงโถงหน้าบันได

       การให้ตกลงกันเองก็ตัดปัญหาความวุ่นวายไปได้ระดับหนึ่งอยู่หรอก แต่ความเป็นจริงคนที่มีฐานันดรสูงกว่าย่อมมีอิทธิพลในห้องพักมากกว่าอีกสองคนที่เหลืออยู่แล้ว

       อินิคาร์ดึงมือนัฟให้เดินไปหาฮาราฟพร้อมกัน แต่ยังไม่ทันอ้าปากถามเจ้าตัวกลับหนีไปอีกทาง

       ร่างท้วมของเด็กสาวนักกินถูกสกัดไว้ด้วยข้อเท้าของอินิคาร์

       แม้ขาสะดุดแต่กลับพลิกมาทรงตัวได้ทันทีอย่างน่าเหลือเชื่อ ปฏิกิริยาตอบสนองดูไม่ใช่พวกเอาแต่กินเลยสักนิด

       “หยุดนะ… อึก!” ขาเรียวยาวก้าวตามฮาราฟ แต่เพราะแผ่นหลังเกิดปวดขึ้นมากะทันหันจึงต้องหยุดชะงัก

       “อินิคาร์… หรือว่าตอนช่วยไม่ให้ฉันล้มจะเจ็บหนัก…” นัฟส่งสายตาเป็นห่วงมาพร้อมความเสน่หา

       แต่นี่ไม่ใช่เวลาหวานซึ้งสักหน่อย

       “ฮาราฟ นอยล์ ฉันอยากให้เธอมาอยู่ห้องเดียวกัน” แม้ส่งเสียงรั้ง แต่เจ้าตัวกลับก้าวต่อไปเหมือนไม่ได้ฟัง

       บ้าชะมัด จะหาข้อมูลจากฝั่งเจ้าชายก็ลำบากลำบนเกินไป คนที่ควรคว้าไว้ก็พยายามหนีหายไม่บอกกล่าวอีก

       คิดสิ อินิคาร์ อะไรที่จะทำให้ฮาราฟยอมตามมาได้

       หน้าตาของเธอเหรอ… ไม่ใช่ ฮาราฟต่างจากนัฟที่หวั่นไหวไปกับรูปลักษณ์ภายนอก

       เด็กสาวผมสั้นกลั้นใจพูดออกไปอีกครั้ง “…ถ้ามาอยู่ห้องเดียวกับฉัน จะมีขนมให้กินเยอะเลยนะ!”

       เด็กสาวตระกูลนอยล์นิ่งไปชั่วขณะ และพริบตาต่อมาก็สับเท้าเข้ามาในระยะประชิด “เยอะแค่ไหน”

       “…!” อินิคาร์ตกใจจนเกือบหงายท้อง สายตาของเธอเหลือบมองนัฟเพื่อขอความช่วยเหลือในการยืนยัน

       “เยอะสิ… เยอะมาก! กินได้ไม่อั้น!!” ถึงเจ้าของเรือนผมบลอนด์จะไม่เข้าใจสถานการณ์นัก แต่ก็รีบรับคำทันที สองแขนกางออกเหมือนเสริมคำล่อลวง “ฉันจะขอให้ท่านพ่อซื้อขนมในเมืองหลวงมาส่งให้ทุกสัปดาห์เลย”

       “ตกลง” ฮาราฟยอมรับข้อเสนออย่างง่ายดายเมื่อเป็นเรื่องของกิน

       ยัยนี่มันหมูชัดๆ

       ยอมรับไม่ได้เลยสักนิด… คนที่แทงคอเธอตายในชาติก่อนน่ะคือหมูสินะ!?

       “ในเมื่อครบสามคนแล้วก็รีบเอากุญแจขึ้นไปจัดห้องกันเถอะ” นัฟสรุปรวบรัดและคว้าสัมภาระไปด้วย

       นอกจากอินิคาร์อยากรู้เรื่องศาสนาเทพธิดาแล้วนัฟก็ดูร้อนใจอยากฟังข้อมูลเรื่องผู้มาจากต่างโลกของเธอเช่นกัน

       ด้วยเหตุนั้นสมาชิกห้องพักจึงพากันขนข้าวของไปชั้นบน

       กระเป๋าเบาหวิวของเธอไม่ลำบากในการยกขึ้นบันได แต่ขนาดสัมภาระของคุณหนูผมบลอนด์ค่อนข้างเป็นปัญหา และฝั่งที่น่าอัศจรรย์ใจคือฮาราฟ นอกจากกล่องใบโตก็มีสารพัดห่อขนมที่เจ้าตัวถือด้วยมือเดียวเหมือนไร้ซึ่งน้ำหนัก

       ร่างท้วมเห็นความทุลักทุเลของพวกเธอก็ช่วยยกด้วยแขนอีกข้างโดยไม่มีเหงื่อไหลสักหยด ราวกับกล้ามเนื้อใต้ไขมันเต็มไปด้วยพลังช้างสารอย่างไรอย่างนั้น

       “นี่ห้องของพวกเราสินะ” นัฟไขกุญแจเปิดประตูสู่ภายใน

       เตียงเดี่ยวสามหลังเรียงด้านเดียวกัน ส่วนที่เหลืออีกกว่าครึ่งคือพื้นโล่งสำหรับตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง และโต๊ะทำงาน ฝั่งห้องน้ำข้างในก็นับว่าไม่ใหญ่ไม่เล็ก โดยรวมถือว่าสมฐานะพวกผู้ดีในยุคนี้

       พวกเธอใช้เวลาสำรวจเพียงครู่เดียวและมารวมกันกลางห้อง ฮาราฟลากเก้าอี้มาครบสามตัวเพื่อนั่งหันหน้าเข้าหากัน จากนั้นหันที่นั่งตัวหนึ่งกลับด้านและกางขาคร่อมพนักพิงหลัง

       “อุตส่าห์ลากตัวมาอยู่ห้องเดียวกันแบบนี้ คงอยากรู้เรื่องผู้มาจากต่างโลกมากเลยสินะ” เด็กสาวตระกูลนอยล์เปิดประเด็นโดยไม่มีการเกริ่นนำ

       “…เธอรู้ได้ยังไง” นัฟขมวดคิ้ว “เรื่องที่อินิคาร์พูดก่อนหน้านี้ก็ด้วย เธอมาจากโลกอื่นเหมือนกันงั้นเหรอ แล้วทำไมถึงปิดบัง…”

       “ปิดบังน่ะถูกแล้ว” ฮาราฟเป็นฝ่ายขัดขึ้น “จะไว้ใจใครในโลกนี้ไม่ใช่แค่เชื่อแล้วบอกข้อมูล สิ่งที่ควรระวังคืออีกฝ่ายเก็บความลับได้มากแค่ไหน”

       “เธอเป็นใคร อยู่ฝั่งไหนกันแน่” อินิคาร์หรี่ตามองร่างท้วมผู้ไว้ผมทรงหางม้าต่ำ “และทำไมชาติที่แล้วถึงฆ่าฉัน”

       “ฆ่า? อะไรนะ?” นัฟสับสนงุนงงเป็นอย่างมาก ยิ่งพอได้ยินเรื่องคอขาดบาดตายยิ่งช็อกหนักกว่าเดิม “นี่เป็นโลกในเกมจีบหนุ่มไม่ใช่เหรอ”

       ฮาราฟหยิบลูกอมในกระเป๋าชุดเครื่องแบบออกมายัดใส่ปากและพูดทั้งอย่างนั้น “ทำไมพวกที่มาถึงชาติแรกถึงชอบคิดว่าโลกนี้เป็นการ์ตูน เกม หรือนิยายกันจังนะ”

       “ชาติแรก?” อินิคาร์ขมวดคิ้ว “ไม่สิ ตอบคำถามมาได้แล้ว”

       “เริ่มจาก ฉันเป็นใคร… ชาตินี้คือฮาราฟ นอยล์ บุตรีสายตรงของตระกูลดยุกแห่งอาณาจักรน็อกอาร์ด อยู่ฝั่งไหน… ไม่ใช่ฝ่ายเดียวกับเธอ และไม่ใช่ฝ่ายเดียวกับศาสนาเทพธิดา ทำไมถึงฆ่า… เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้นเธอไม่รอดแน่”

       “เธอจะบอกว่าการกะซวกคอคนแปลกหน้าคือการช่วยเหลือเหรอ!?” อินิคาร์ควบคุมระดับเสียงตัวเองไม่อยู่ ความเดือดดาลแผ่ออกมาจนชวนให้นัฟหวาดหวั่น

       โชคดีที่ห้องนี้อยู่สุดมุมอาคารด้านหนึ่งจึงไม่มีใครผ่านมาได้ยิน

       “ใช่” คำตอบเรียบง่ายของฮาราฟเปลี่ยนบรรยากาศให้นิ่งสงบ ลูกอมกลิ้งไปมาในปากด้วยการดุนลิ้นซ้ายขวา “เธอน่ะโชคดีแล้วที่ฉันอยู่ด้วย… บังเอิญทำภารกิจปลอมตัวลอบเข้าไปสืบข้อมูลศาสนาเทพธิดาในวันนั้นพอดี”

       ความเงียบปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง เด็กสาวสามคนมีหลายความคิดและหลากอารมณ์จนยากจะเข้าหน้ากันได้… นัฟผู้ไม่รู้อะไรเลย อินิคาร์ซึ่งรู้ครึ่งๆ กลางๆ และฮาราฟที่ไม่ยอมคายข้อมูลทั้งหมดในทีเดียว

       “ฮาราฟ เธอเองก็เป็นคนจากต่างโลกสินะ” ใบหน้างามเชิดขึ้นและยกแขนเท้าคาง

       คำตอบคือการเคี้ยวลูกอมให้แตกออก “ใช่”

       พอมองในมุมกลับแล้ว หากฮาราฟอยู่ฝ่ายเดียวกับศาสนาเทพธิดาจริงก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องช่วยพวกเธอปกปิดลูกแก้วทั้งที่รู้เต็มอก จะแฉไปเลยก็ได้ว่าเป็นพวกต่างโลก ดังนั้นเรื่องไม่ฝักใฝ่ฝ่ายคงไม่ใช่เรื่องโกหก

       และการมีความทรงจำชาติก่อนครบถ้วนก็สัมพันธ์กับเธอซึ่งถูกฆ่ามาหนหนึ่งแล้วยังนึกทุกอย่างในโลกเก่าออกได้

       “ตอบมาตามตรง ฮาราฟ… ที่นี่ โลกนี้มันคืออะไรกันแน่”

       นัฟผู้เข้าใจว่าที่นี่เป็นเกมมาตลอดเองก็จดจ่อรอรับรู้ความจริง

       คนถูกเค้นถามสูดหายใจเข้าลึกและผ่อนลมออก “ไม่มีใครรู้แน่ชัดหรอกว่าทำไม… แต่วิญญาณจากโลกอื่นจะถูกดึงดูดมากักขังไว้ในมิตินี้ พวกเราจะเวียนว่ายตายเกิดโดยมีความทรงจำทุกชาติติดตัวอย่างไม่รู้จบ จนกว่าจะถูกลูกแก้วนั่นดูดวิญญาณไป”

       “ดูดวิญญาณคนจากต่างโลก?” คุณหนูผมบลอนด์หน้าซีดเผือด นึกถึงสถานการณ์ก่อนหน้านี้ “ถ้าฉันไม่เชื่ออินิคาร์แล้วแตะลูกแก้วนั่น…”

       สองมือของคนพูดสั่นสะท้านก่อนจะคว้าแขนของผู้ติดตามไปแนบแก้มตนเองไว้ราวกับเป็นที่ยึดเหนี่ยวเพียงหนึ่งเดียว

       “แผนใช้เส้นผมแตะลูกแก้วแทนกันน่ะเสี่ยงมาก” คนตระกูลนอยล์เอ่ยถึงเรื่องที่สังเกตเห็นก่อนหน้านี้ไปพร้อมกัน “ถึงจะไม่เคยเจอกรณีดูดวิญญาณได้ด้วยเส้นผม แต่มันก็อันตรายต่อการเผยตัว…”

       “ฉันรู้” เจ้าของดวงตาสีดำประกายฟ้ายอมรับ เพราะเธอไร้สิ้นหนทางเลือก “แต่มันก็ทำให้รอดมาอยู่ต่อหน้าเธอตอนนี้แล้ว”

       “…ความจริงการข้องแวะหรือเปิดเผยข้อมูลให้กับพวกชาติแรกน่ะเป็นข้อห้ามสำคัญในการคงอยู่บนโลกนี้” ฮาราฟล้วงหาลูกอมขึ้นมาอีกเม็ด โยนเข้าปากราวว่างเว้นอาหารไม่ได้ “เพราะพวกที่มาถึงในชาติแรก นอกจากจะเอาชีวิตตัวเองไม่รอดแล้วยังลากคนอื่นซวยไปด้วยเสมอ”

       พวกเธอคล้ายถูกตราหน้าว่าเป็นตัวถ่วงเข้าอย่างจัง

       แถมยังข้อห้ามบ้าๆ อย่างการไม่ให้เกี่ยวข้องกับพวกชาติแรกนี่อีก

       มิน่าล่ะ เจ้าตัวถึงพยายามหลีกเลี่ยงการมาอยู่ร่วมห้องพักด้วย

       “คุณหนูผมทองกับพวกสามคนที่โดนดูดวิญญาณไปแล้ว มาเกิดชาติแรกเป็นพวกขุนนางน่ะดวงกุดที่สุดเลย” อีกฝ่ายยิ้มหวานเหมือนไม่รู้สึกรู้สากับการพูดเย้ยหยันชะตาของคนอื่น “เธอที่อุตส่าห์เกิดเป็นสามัญชนแต่มาอยู่ในดงขุนนางก็โชคร้ายเหมือนกัน”

       พอถูกวิจารณ์มากเข้าเด็กสาวผมสั้นก็เริ่มคิ้วกระตุก

       “แล้วเธอล่ะ เกิดเป็นถึงบุตรีดยุกเลยไม่ใช่หรือไง อภิมหาซวยเลยนี่ แต่ทำไมดูไม่ทุกข์ร้อนตอนจับลูกแก้วเวรนั่นเลยสักนิด มีกลโกงพิเศษอะไรถึงรอดการตรวจจับมาได้”

       ร่างท้วมยกรอยยิ้มให้กว้างขึ้นเล็กน้อย

       “ฉันก็เหมือนเธอไง เป็นดวงจิตพิสุทธิ์น่ะ…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด