Hokenshitsu no Otona na Senpai, Ore no Mae de wa Sugu Dereru รุ่นพี่ประจําห้องพยาบาลเดเระเเตกซะเเล้ว! 1

Now you are reading Hokenshitsu no Otona na Senpai, Ore no Mae de wa Sugu Dereru รุ่นพี่ประจําห้องพยาบาลเดเระเเตกซะเเล้ว! Chapter 1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

–ผม มายามะ เคียวจิ เป็นขาประจำของห้องพยาบาลครับ

 

ผมมักจะไปที่นั่นในช่วงพักกลางวัน แต่บางครั้งผมก็ขออาจารย์เพื่อไประหว่างคาบเรียนเลยก็มี สำหรับนักเรียนที่ไม่รู้สถานการณ์ของผมนั้น คงจะคิดแค่ว่าผมเป็นพวกขี้เกียจที่หาเรื่องโดดเรียนล่ะมั้ง ถึงจริงๆแล้ว มันจะเป็นเพราะผมเป็นโรคโลหิตจางก็เถอะ

 

ด้วยสภาพร่างกายแบบนี้ ทำให้ผมสร้างความลำบากให้กับอาจารย์หลายคนตอนอยู่ม.ต้น เพราะอย่างนั้นตอนขึ้นม.ปลาย ผมเลยเลือกเข้าโรงเรียนที่สามารถเข้าใจคนที่เป็นโรคแบบนี้ได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ทุกครั้งที่เขาหยุดจากคาบเรียนและแวะเวียนมา อาจารย์ประจำห้องพยาบาลก็ต้อนรับเคียวจิเป็นอย่างดี

 

–อย่างไรก็ตามเคียวจิมีเหตุผลอยู่อย่างนึงที่ทำให้เขาไม่อยากไปพึ่งพาห้องพยาบาลให้มากนัก

 

เหตุผลนั้นก็คือ

 

“…มายามะคุงสภาพร่างกายเป็นยังไงบ้างคะ อีกเดี๋ยวพักเที่ยงก็จะหมดลงแล้วค่ะ”

 

ผมได้ยินเสียงของผ้าม่านที่ถูกเปิดออกและสติของผมที่ยังงัวเงียอยู่ก็ค่อยๆกลับมาชัดเจนขึ้น

 

แสงแดดยามบ่ายส่องเข้ามาผ่านทางหน้าต่างที่อยู่ทิศใต้ ห้องที่มีโครงสร้างโดยรวมเป็นสีขาวแห่งนี้เจิดจ้าขึ้นมาจากแสงสะท้อน

 

เจ้าหน้าที่ประจำห้องพยาบาลเพียงคนเดียวของโรงเรียนนี้ แม้แต่ในโรงเรียนก็เป็นสาวงามที่ไม่เป็นสองรองใคร ตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งก็ครองตำแหน่งผลการเรียนอันดับหนึ่งมาโดยตลอด ทักษะด้านกีฬาอยู่ในระดับดีเยี่ยม กระทั่งนิสัยก็ไม่มีจุดไหนที่ต้องให้ติ นักเรียนดีเด่นที่อย่างกับยอดมนุษย์ผู้สมบูรณ์แบบ

 

นอกจากนี้เธอยังเป็นเหตุผลที่ทำให้เคียวจิไม่อยากมาห้องพยาบาลอีกด้วย ตัวการของเรื่องทั้งหมด

 

“ถ้ารู้สึกทรมาณ ก็อย่าฝืนตัวเองนะคะ แต่ฉันคิดว่า ถ้าทำได้เธอควรเข้าเรียนบ้างนะ ถ้าขาดเรียนมากเกินไป มันจะมีปัญหาหลายอย่างตามมา เรื่องนั้นรู้ใช่ไหมคะ?”

 

เธอพูดออกมาแบบนั้นด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับกำลังสั่งสอนเด็กน้อยอยู่ ก่อนที่เธอจะยิ้มออกมา ถ้าเทียบกับคนวัยเดียวกัน ท่าทางการยิ้มของเธอช่างดูเป็นผู้ใหญ่และให้บรรยากาศที่สงบเสงี่ยม

 

มันเป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนน้อม ในขณะเดียวกันก็แฝงความน่าไว้วางใจไว้ด้วย นี่คือสาเหตุที่ไม่ใช่แค่ผู้ชายเพียงอย่างเดียว เธอยังเป็นที่นับถือในหมู่เด็กผู้หญิงอีกต่างหาก

 

แต่เพราะไม่รู้ว่าเธอซ่อนอะไรไว้ภายใต้รอยยิ้มนั่น จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เคียวจิไม่ถูกกับเธอโดยสัญชาตญาณ

 

“ต่อให้ไม่ต้องบอก ผมก็คิดจะลุกอยู่แล้วครับ …แล้วก็ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเรียนหรอกครับ ผมศึกษาด้วยตัวเองอยู่”

“แต่ถ้าเธอไม่รู้เนื้อหาในคาบเรียน มันก็มีขีดจำกัดของการเรียนด้วยตัวเอง ไม่ใช่เหรอคะ?”

“ผมไม่รู้เลยนะครับ ว่ารุ่นพี่อยากจะบอกอะไรกันแน่?”

“เพราะมิยามะคุงเป็นพวกขี้อาย ฉันเลยคิดว่าเธอไม่มีเพื่อนที่จะคอยให้ดูสมุดโน้ตซะอีกนะคะเนี่ย”

 

หุหุหุ ยูซึกิหัวเราะออกมาแบบนั้น ก่อนที่ผมจะเบี่ยงสายตาจากเธอ

 

ราวกับว่ากำลังหยอกล้อกับเด็กน้อยอยู่ไม่มีผิด เธอทำท่าทางเหมือนว่ามองทุกอย่างออกอย่างปราดเปรื่อง อย่างกับผมกำลังโดนล้อเลียนอยู่เลย รู้สึกไม่ค่อยพอใจเลยแฮะ

 

อย่างไรก็ตามดูเหมือนยูซึกิจะรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากที่ได้เห็นสีหน้าที่ดูหงุดหงิดของเคียวจิแบบนั้น เธอยิ้มอย่างสง่างามโดยไม่สนใจเคียวจิที่เงียบลงไป

 

“ถ้ามีกำลังพอที่จะทำหน้าบึ้งแบบนั้น ฉันคิดว่าคาบบ่ายเธอคงไม่เป็นไรหรอกค่ะ เอ้า ใส่เสื้อกลับได้แล้วค่ะ”

 

เพื่อที่จะไม่ให้เกิดรอยยับ เสื้อนอกที่วางไว้ด้านข้างของเตียงถูกพับไว้อยู่

 

“อีกเดี๋ยวอาจารย์คงกลับมาแล้วค่ะ ฉันเองก็ต้องกลับไปที่ห้องเรียนแล้ว-“

 

คำพูดของยูซึกิอยู่ๆก็ถูกตัดไปกลางทาง ในขณะเดียวกันผมก็ได้ยินเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น

 

“ประตูไม่ได้ล็อคอยู่ค่ะ เชิญเลย”

 

ในขณะเดียวกันกับที่เธอตอบกลับไป ผ้าม่านก็ถูกปิดลง ผมไม่สนใจหรอกจะเปิดทิ้งไว้ก็ได้ สิ่งที่ผมต้องทำก็แค่สวมเสื้อนอกแล้วออกไปก็เท่านั้นเอง

 

“ขอโทษนะคะ แต่พอดีตอนนี้อาจารย์ประจำห้องพยาบาลไม่อยู่น่ะค่ะ”

“อ๊ะ! ไม่เป็นไรหรอก คือว่าผมมาที่นี่เพื่อเจอชิราเสะซังน่ะ ขอเวลาสักแป๊ป จะได้ไหม?”

“ได้ค่ะ มีอะไรกับฉันเหรอ?”

 

คนที่เข้าห้องมาคือนักเรียนชายคนนึง จากที่ฟังบทสนทนาของทั้งคู่ดูเหมือนเขาจะเป็นรุ่นพี่

 

ในขณะที่ผมกำลังคิดว่า “เขาเป็นคนรู้จักของยูซึกิรึเปล่านะ” อยู่นั้นเอง-

 

“ผมขอเข้าเรื่องเลยละกัน… คือว่าตอนนี้ชิราเสะซังมีคนที่คบเป็นแฟนรึยังล่ะ?”

 

…หา?

 

แน่นอนว่าผมเคยได้ยินจากข่าวลือมาแล้วเหมือนกันว่ายูซึกิเนื้อหอมขนาดไหน ถึงอย่างนั้น แบบนี้มันไม่กะทันหันไปหน่อยเหรอ ในห้องพยาบาลแห่งนี้อาจจะมีคนที่นอนพักอยู่ได้ยินเข้าก็ได้นะ… ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเคียวจิก็ยังอยู่ในห้องจริงๆ

 

“แบบว่าขอโทษนะ จริงๆผมก็ได้ยินมาแล้วล่ะ ว่าดูเหมือนจะไม่มี แต่เพื่อความแน่ใจ ผมเลยอยากถามเอาไว้น่ะ แล้วก็ถ้าเกิดไม่มีจริงๆล่ะก็ ช่วยคบ-“

“ขอโทษค่ะ ฉันดีใจนะคะที่คุณรู้สึกแบบนั้นกับฉัน แต่ตอนนี้ฉันอยากโฟกัสกับการเรียนน่ะค่ะ… เพราะฉะนั้นฉันคบกับคุณไม่ได้หรอกค่ะ”

 

ควับ~ ผมสามารถเห็นเงาของยูซึกิที่ก้มตัวลงได้ผ่านผ้าม่านที่ถูกปิดอยู่ รวมถึงร่างกายของผู้ชายคนนั้นที่แข็งทื่อไปอีกด้วย

 

แม้ว่าน้ำเสียงของเธอจะดูแฝงไปด้วยความจริงใจ แต่คำพูดของยูซึกิแสดงความมุ่งมั่นของเธอออกมาอย่างชัดเจน ถูกเพศตรงข้ามสารภาพรัก… ไม่สิ เมื่อกี้จะนับว่าเป็นการสารภาพรักได้ไหมนะ

 

ถึงอย่างนั้นในมุมมองของเคียวจิมันก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่พอตัว แต่กลับสัมผัสความหวั่นไหวจากตัวของยูซึกิไม่ได้เลยสักนิด

 

บางทีเธออาจจะคุ้นชินกับสถานการณ์แบบนี้ไปแล้วก็ได้ ยูซึกิว่ากันว่าเป็นคนดังที่เนื้อหอมมากๆด้วยนี่นะ เพราะอย่างนั้นเลยมีคนมาลองสารภาพรักกับเธอแบบนี้ล่ะมั้ง

 

ถึงอย่างงั้นก็เถอะ การที่ถูกปฏิเสธทันควันแบบนี้ ผู้ชายคนนั้นจะรู้สึกยังไงนะ จะรอดชีวิตกลับไปได้รึเปล่า แม้แต่เคียวจิยังแทบกลั้นหายใจ

 

“…ระ รอก่อนสิ! สรุปแล้วเรื่องที่เธอไม่มีคนที่คบเป็นแฟนด้วย นี่จริงใช่ไหมล่ะ!? ถ้าอย่างงั้นให้โอกาสผมหน่อยไม่ได้เหรอ!? ไม่งั้นผมไม่ยอมหรอก!”

“ต่อให้คุณจะพูดออกมาแบบนั้นก็เถอะ… ขอโทษนะคะ ตอนนี้ฉันไม่มีความคิดจะคบกับใครจริงๆค่ะ…”

“ต่อให้ตอนนี้จะไม่อยากมี แต่หลังจากนี้อาจจะเปลี่ยนใจก็ได้นิ… ถ้าอย่างงั้นผมจะเป็นคนเปลี่ยนชิราเสะซังเอง! จะเป็นแฟนที่ดีซะจนทำให้เธอคิดว่า [ถ้าเป็นคนๆนี้จะคบด้วยก็ได้]​ ให้ดู!” <คนแปล : เอ็งคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกรึไงฟะ เจ้ารุ่นพี่ตัวประกอบเอ๊ย!>

 

ดูเหมือนผู้ชายคนนั้นจะจริงจังเป็นอย่างมากเลยทีเดียว ผมควรจะชื่นชมหัวใจที่แข็งแกร่งดุจหินผานั่นหรือรำคาญหมอนี่ที่ตอแยขนาดนี้ดีนะ

 

(ว่าไปแล้วเอ็งไปทำตอนที่ตรูไม่อยู่สิฟะ… จะสารภาพรักทั้งที เช็คให้ดีหน่อยสิ ว่ามีคนอื่นอยู่รอบๆรึเปล่า)

 

ยูซึกิคิดจะทำยังไงล่ะ ตั้งแต่เมื่อกี้ก็ดูพยายามจะปฏิเสธอยู่หรอก… ยังไงก็เถอะ รีบจัดการกับสถานการณ์นี้ แล้วปล่อยผมออกไปสักที

 

“โอกาสงั้นเหรอคะ นั่นสินะคะ…”

 

ผมเห็นเงาของยูซึกิที่สั่นไหวอยู่ผ่านผ้าม่าน ดูเหมือนเธอจะกำลังลำบากใจ

 

ไม่ว่ายูซึกิคิดจะทำอะไร เคียวจิก็ไม่จำเป็นต้องสนอยู่แล้ว

 

แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็หยุดความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองไม่ได้ เคียวจิค่อยๆเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น ก่อนที่จะแอบฟังบทสนทนาของทั้งคู่ผ่านอีกฝั่งของผ้าม่าน

 

“…งั้นเอางี้ดีไหมคะ ถ้าพูดมาขนาดนั้นแล้ว ลองจีบฉันให้ดูสิคะ ที่นี่ตอนนี้เลย”

“…เอ๊ะ?”

“ก็นี่ไงคะ [โอกาส] ที่ว่าน่ะ …พูดแบบนี้อาจจะดูหยิ่งไปหน่อย แต่ฉันชินกับการที่ถูกคนอื่นสารภาพรักแล้วค่ะ แต่ว่าน่าเสียดายที่คนเหล่านั้นไม่ได้จริงจังเหมือนกับที่ว่ามา… บางคนที่ไม่ได้รู้จักฉันดี แต่พูดว่า “ชอบ” ออกมาด้วยความรู้สึกครึ่งๆกลางๆก็มีค่ะ แล้วพอฉันปฏิเสธไป ก็เปลี่ยนใจแล้วหันมาว่าร้ายใส่ฉันแทน…”

 

กระซิกๆ~ ในขณะที่ร้องให้ปลอมๆ ยูซึกิก็พูดออกมาแบบนั้น

 

“ผะ.. ผมต่างจากพวกนั้นนะ!”

“ค่ะ แน่นอน ฉันคิดว่าคุณเป็นคนจริงใจนะคะ แค่มองก็รู้ค่ะ… เพราะอย่างนั้นเลยอยากให้พิสูจน์ให้ดูค่ะ ว่าคุณชอบฉันขนาดไหน ช่วยร้อยเรียงเป็นคำพูดที่ชัดเจนและเข้าใจง่ายทีค่ะ ถ้าทำแบบนั้นฉันอาจจะคิดอยากคบกับคุณขึ้นมาก็ได้นะคะ ลองทำให้ฉันรู้สึกใจเต้นดูสิคะ?”

 

ยิ้ม~ แค่น้ำเสียงนั้นเพียงอย่างเดียว ก็ทำให้ผมจินตนาการใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเธอออกเลยทีเดียว

 

“นะ.. แน่นอนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะกี่ข้อ ฉันก็จะบอกเอง! อย่างแรก ตรงจุดที่อ่อนโยน ฉันชอบมากเลยล่ะ!”

“ตายจริง~ งั้นถ้าฉันไม่อ่อนโยนขี้นมา คุณก็จะเลิกชอบสินะคะ?”

“เอ๊ะ? มะ.. ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย.. แล้วก็ นั่นไง! ผลการเรียนก็ดี แถมยังเป็นที่นับถือของผู้คนอีกต่างหาก…”

“ฉันก็ดีใจที่ถูกชมแบบนั้นอยู่หรอกค่ะ แต่ก็มีคนที่มีผลการเรียนดีเหมือนฉันและเป็นนักเรียนดีเด่นอีกตั้งเยอะใช่ไหมล่ะคะ?  ฉันอยากฟังเหตุผลที่ [ถ้าไม่ใช่ฉันไม่ได้เด็ดขาด]​ มากกว่านะคะ”

“เอ่อ.. ระ.. เรื่องนั้น… ตรงจุดที่เธอสวยก็ด้วย…”

“ขอบคุณมากค่ะ ถูกบอกแบบนั้นอยู่บ่อยๆเหมือนกัน …แล้ว? มีอะไรอีกไหมคะ?”

 

เสียงของนักเรียนชายคนนั้นค่อยๆแผ่วลงเรื่อยๆ รวมถึงพลังความกล้าและอื่นๆของเขาด้วย

 

“…ขอโทษครับ ช่วยทำเหมือนเรื่องเมื่อกี้ไม่เคยเกิดขึ้นที…”

 

เอี๊ยดอ๊าด~ เสียงของการปิดประตูดังขึ้นอย่างหดหู่ ด้วยน้ำเสียงที่ดูขี้เล่นตั้งแต่ต้นจนจบ นักเรียนชายปริศนา (ได้ยินแค่เสียง) ก็ได้ออกจากห้องพยาบาลแห่งนี้ไป ทิ้งเพียงผลกระทบอันยิ่งใหญ่ไว้ในจิตใจของเคียวจิ ในหลายๆความหมายอะนะ

 

“…ขอโทษนะคะ มายามะคุง คงจะรู้สึกอึดอัดสินะคะ”

 

ยูซึกิเปิดผ้าม่านออกและเรียกผมแบบนั้น เมื่อตะกี้เธอพึ่งจะหักอกคนทั้งคนไปแท้ๆ แต่เธอกลับไม่แสดงสีหน้าของความเห็นใจออกมาให้เห็นเลยสักนิด

 

…ถึงอย่างนั้นก็เถอะ

 

“…ให้ผมพูดมันก็ยังไงอยู่หรอก แต่ว่าทำแบบนั้น จะดีเหรอครับ”

 

ผมก็ไม่คิดจะว่าอะไรเธอหรอก แต่ผมพูดได้ไม่เต็มปาก ว่ามันเป็นวิธีการปฏิเสธที่ถูกต้อง แล้วก็แบบนั้นมันจะไม่กลายเป็นปัญหาในภายหลังเหรอ

 

อย่างไรก็ตามดูเหมือนตรงจุดนั้นยูซึกิก็จะ “เคยชิน” เหมือนกัน

 

“ฉันเข้าใจที่มายามะคุงพยายามจะบอกนะคะ ฉันเองก็ไม่อยากจะทำร้ายจิตใจใครเหมือนกันค่ะ …แต่ว่าต่อให้จะพูดยังไง คำตอบก็ไม่เปลี่ยนหรอกค่ะ ถึงจะตอบกลับไปอย่างอ่อนโยนขนาดไหน มันก็จะเป็นแค่การเสแสร้งซะมากกว่าค่ะ บางครั้งการยอมถูกเกลียดก็ให้ผลที่ดีกว่านะคะ”

 

“ฉันเคยชินกับเรื่องแบบนี้แล้วค่ะ แค่นี้เป็นเรื่องปกติ” เหมือนกับเธออยากจะบอกแบบนั้น

 

ถึงอย่างนั้น เสียงถอนหายใจที่หลุดออกมาระหว่างคำพูดเหล่านั้นก็ได้แฝงความเหนื่อยเอาไว้เล็กน้อย

 

“…ทั้งการสารภาพรักบ้างล่ะ การคบหากันบ้างล่ะ ทำไมทุกคนถึงหมกมุ่นกับเรื่องพวกนั้นกันจังคะ ในมุมมองของฉัน ฉันคิดว่าของแบบนั้น มันไม่ได้ดีเหมือนกับที่ผู้คนเขาว่ากันหรอกนะ”

 

เคียวจิรู้สึกสับสนเล็กน้อยกับน้ำเสียงของเธอที่ดูทิ่มแทงขึ้นมา ยูซึกิเองก็เนื้อหอมด้วย แถมการถูกสารภาพรักแบบนี้ ก็คงจะไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับเธอ บางทีเธออาจจะมีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีกับพวกที่ตามตอแยเธอก็ได้

 

“ของแบบนั้น… งั้นเหรอครับ”

“ก็เป็นของแบบนั้นแหละค่ะ สำหรับมายามะคุงอาจจะเหมือนกับฝันที่แตกสลายก็จริง …อย่างที่บอกไปเมื่อกี้นี้ ฉันถูกขอให้คบเป็นแฟนด้วยอยู่บ่อยๆเหมือนกัน แต่คนที่จริงจังกับฉันจริงๆน่ะ มีแค่ไม่กี่หยิบมือเท่านั้นแหละค่ะ [ตอนนั้น] อาจจะจริงจังก็จริง แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ ความรู้สึกก็จะค่อยๆเปลี่ยนเองค่ะ ถ้าเธอหวั่นไหวกับความรู้สึกแค่นั้น สุดท้ายเธอก็เป็นได้แค่เด็กเท่านั้นแหละ”

 

น้ำเสียงของเธอช่างเหมือนกับผู้ใหญ่ที่สั่งสอนเด็กไม่มีผิด

 

แต่พอยิ่งพูดต่อไปเรื่อยๆ มันก็เหมือนกับเธอกำลังพยายามบอกว่า “ไม่มีคนที่ชอบในตัวฉันจริงๆหรอกค่ะ” ออกมา

 

“…เรื่องที่ว่าไม่จริงจังเนี่ย ผมว่าไม่ใช่หรอกนะ นั่นไง การสารภาพรักเนี่ย ใช้ความกล้าพอตัวเลยนะครับ ผมคิดว่าไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นด้วยความรู้สึกครึ่งๆกลางๆได้หรอก”

 

พอรู้สึกตัว ทั้งๆที่ไม่ใช่นิสัยของตัวเองแท้ๆ แต่ผมก็หลุดปากพูดออกไปแบบนั้นซะแล้ว

 

ยูซึกิมองมาทางเขา เหมือนกับว่าเธอกำลังตกใจอยู่ ในขณะที่เธอจ้องเขาราวกับคิดว่าเขาตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ เคียวจิก็เบี่ยงสายตาจากเธอโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้สถานการณ์ของยูซึกิแท้ๆ แต่กลับพูดออกไปแบบนั้น ผมรู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที

 

“ไม่สิ เอ่อ… ยังไงก็ขอโทษนะครับ พอดีปากพล่อยไปหน่อยน่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ความรู้สึกนั้นของมายามะคุงน่ะ ฉันเข้าใจเป็นอย่างดีเลยล่ะค่ะ”

 

สีหน้าที่ดูจริงจังมาตลอดของเธอหายวับไป ราวกับว่าทุกอย่างเป็นเรื่องโกหก ก่อนที่ใบหน้าของยูซึกิจะเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม

 

แต่ว่าทำไมกันนะ? ผมสัมผัสถึงความหงุดหงิดจากรอยยิ้มนั้นได้…

 

“นั่นสินะคะ ถ้าเป็นมายามะคุงล่ะก็จะต้องสารภาพรักกับคนที่ชอบอย่างจริงจังและตรงไปตรงมาแน่เลย ฟุฟุ~ เธอจะพูดออกมาว่ายังไงนะ ฉันล่ะสนใจจริงๆค่ะ อยากลองฟังสักครั้งจังเลยนะคะ อุฟุฟุ~”

“ยะ.. อยู่ๆก็ดูโกรธขึ้นมาเลยนะครับ…?”

“ไม่ได้โกรธเลยสักนิดค่ะ”

 

ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มนั่นค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ทีละนิด เธอเข้ามานั่งข้างๆเคียวจิบนเตียงที่เขานั่งอยู่ ใบหน้าของยูซึกิที่มองมาทางนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มแท้ๆ แต่ผมกลับรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลจากมัน “ถ้าพูดออกมาขนาดนั้นแล้ว ก็ลองทำให้ดูสิ” เหมือนเธออยากจะบอกแบบนั้น

 

“ถ้ามายามะคุงสารภาพรักเป็นตัวอย่างให้ฉันดูได้ล่ะก็ บางทีหัวใจของฉันที่ถูกทำร้ายโดยเหล่าคนไม่จริงใจพวกนั้น อาจจะรู้สึกอยากกลับมาเชื่อในความรักอีกครั้งก็ได้นะคะ ต่อจากนี้ฉันจะมีความรักที่เต็มไปด้วยความสุขได้รึเปล่านั้น ขึ้นอยู่กับมายามะคุงแล้วค่ะ”

“ต่อให้จะบอกแบบนั้นก็เถอะ… ว่าไปแล้วรุ่นพี่ก็คงไม่ได้เอาจริงใช่ไหมล่ะ? แค่ล้อผมเล่นเฉยๆใช่ไหม?”

“ไม่ค่ะ ฉันเอาจริง แต่ไม่เป็นไรหรอกนะคะ? ถ้ามายามะคุงไม่อยากล่ะก็ จะปฏิเสธก็ได้เหมือนกันค่ะ ถึงถ้าเป็นแบบนั้นฉันจะยิ่งไม่เชื่อใจในความรัก จนแค้นมายามะคุงไปตลอดชีวิตก็เถอะ แต่นั่นมันเป็นปัญหาของฉัน ไม่ใช่ความผิดของมายามะคุงหรอกนะคะ”

 

อุฟุฟุฟุฟุ~ เธอหัวเราะออกมาแบบนั้น ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่สร้างแรงกดดันให้ผม แทนที่จะเรียกว่าเป็นการหยอกล้อรุ่นน้อง ผมเหมือนเป็นที่ระบายอารมณ์ของเธอซะมากกว่า รู้งี้ไม่น่าพูดอะไรที่ไม่จำเป็นออกไปเลยแฮะ

 

…แต่ว่า อย่างน้อยที่ผมพูดไปก็ไม่ใช่เรื่องโกหกแต่อย่างใด

 

ถ้าอย่างงั้นผมคิดว่า คงไม่เป็นอะไรหรอก ต่อให้สุดท้ายจะถูกแกล้ง จนจบด้วยความอับอาย แต่ถ้ามันทำให้ยูซึกิเปลี่ยนใจได้สักนิดล่ะก็ ถึงมันจะเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ก็เถอะ แต่ผมก็รู้สึกผิดที่ไปดักฟังการสารภาพรักด้วย

 

“รุ่นพี่…”

“คะ?”

 

เธอเอียงหัวเล็กน้อย ก่อนที่ขนตาเรียวยาวของเธอจะกะพริบ สายตาที่จ้องกลับมาราวกับมองอะไรที่น่าสนุกอยู่ ผมเผชิญหน้ากับมันซึ่งๆหน้า

 

“คือว่านะครับ กับรุ่นพี่แล้ว ผมไม่ได้คิดว่าใจดีเหมือนอย่างที่คนอื่นบอกหรอก แถมไม่ได้ชอบอะไรด้วย ยิ่งกว่านั้นรุ่นพี่ยังปฏิบัติเหมือนผมเป็นเด็กตลอดเลย พูดตามตรงไม่ชอบเลยครับ”

“เอ๊ะ? ทำไมอยู่ๆถึงปากเสียแบบนั้นล่ะคะ ช่วยพูดถึงพวกเสน่ห์ของฉันทีค่ะ ฉันหวังอะไรพวกนั้นอยู่นะ”

“ก็เพราะ… ผมพูดอะไรใหญ่โตแบบนั้นไม่ได้หรอก ไม่ใช่ว่ารู้จักรุ่นพี่ดีด้วย …การคิดว่าตัวเองรู้จักอีกฝ่ายดี แล้วพูดนู่นนี่ออกมา แบบนั้นน่าจะดูไม่จริงใจมากกว่า ไม่ใช่เหรอครับ?”

 

ในหัวของผมได้มีใบหน้าของเด็กนักเรียนชายที่ถูกปฏิเสธไปเมื่อตะกี้ผุดขึ้นมา ไม่สิ ผมไม่ได้เห็นหน้าของเขานี่นะ ที่เห็นมีแค่เงาเพียงอย่างเดียว ไม่รู้เพราะยูซึกิคิดแบบเดียวกับผมรึเปล่า “แหม~” เธอหัวเราะอย่างสนุกสนานออกมาแบบนั้น

 

“น่าเสียดายนะคะ ถ้ามายามะคุงพูดแบบเดียวกับที่เขาพูดเมื่อตะกี้นี้ล่ะก็ ฉันกะว่าจะแกล้งเธอเล่นแท้ๆเชียว”

“เห้อ~ ก็คิดไว้แล้วนั่นแหละว่าต้องเป็นแบบนั้น”

“ถ้าอย่างงั้นความเห็นของฉันที่ว่า [การสารภาพรักอะไรนั่นไม่ได้เอาจริงหรอก] ก็คงจะถูกไม่ใช่เหรอคะ? ทั้งๆที่พวกเขายังไม่ได้รู้จักอีกฝ่ายดีแท้ๆ แต่ก็คงจะบอก [ชอบ]​ จากการมองแค่ภายนอก ใช่ไหมล่ะคะ?”

“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย… เพราะไม่ได้รู้จักดีนั่นแหละ ถึงทำให้ยิ่งอยากรู้จักอีกฝ่ายมากขึ้น เพื่อการนั้นไม่ใช่แค่เพื่อน แต่อยากมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากกว่านั้น เป็นเเบบนั้นไม่ใช่รึไงครับ”

“…มายามะคุงล่ะ อยากจะรู้จักฉันให้มากขึ้นไหมคะ?”

 

ฟึบ~ ผมของยูซึกิปลิวไสว เธอก้มตัวลงและเอาใบหน้าของตัวเองเข้ามาใกล้เคียวจิ

 

“ไม่ใช่สักหน่อย เมื่อกี้มันเป็นแค่ทฤษฎีเฉยๆ ผมไม่ได้อยากจะทำอะไรแบบนั้นกับรุ่นพี่เลยสักนิด…”

“ค่ะ แล้วความจริงล่ะ?”

“…ก็ ถ้าได้รับการยอมรับจะดีใจไหมนะ ถ้าคนๆนี้หันมาชอบจะมีความสุขขนาดไหนนะ ผมคิดเรื่องพวกนั้นอยู่น่ะ”

“นั่นหมายความว่ายังไงล่ะคะ? ถ้าไม่พูดให้ชัดเจน ฉันก็ไม่เข้าใจหรอกนะ ถ้าอยากจะสื่อความรู้สึกของตัวเองให้คนที่สนใจฟัง มายามะคุงจะพูดว่ายังไงเอ่ย?”

 

…ดูแล้วไม่ว่ายังไงยูซึกิก็อยากจะให้เคียวจิพูดคำๆนั้นออกมา

 

ผมรู้ว่าตัวเองถูกปั่นหัวอยู่ ถ้าให้พูดตามตรง อยากจะให้ปล่อยผมไปสักที อย่างไรก็ตามยูซึกิไม่มีวี่แววว่าจะปล่อยเขาไปง่ายๆเลย ถึงอย่างงั้นเรื่องที่ผมปล่อยให้เธอยิ้มเเละมองอย่างขบขันมาทางนี้ต่อไปไม่ได้ก็เป็นความจริง

 

ดังนั้นเคียวจิจึงสูดหายใจเข้า ผมไม่ต้องการให้เธอคิดว่าผมประหม่า เพราะอย่างงั้นต้องดูปกติเข้าไว้ “นี่มันไม่ใช่การสารภาพรักจริงๆสักหน่อย” ผมพยายามบอกตัวเองแบบนั้น

 

“—รุ่นพี่ ผมชอบรุ่นพี่ครับ! ช่วยคบกับผมด้วย!”

 

…แน่นอนว่าผมไม่ได้จริงจัง เรื่องนั้นยูซึกิเองก็คงจะรู้เหมือนกัน

 

แต่เรื่องน่าอายไม่ว่ายังไงมันก็น่าอาย ผมไม่สามารถมองใบหน้าของยูซึกิตรงๆได้ ผมจึงก้มหน้าของตัวเองลง

 

ถึงอย่างงั้นถ้าถอนคำพูดของตัวเองตอนนี้ล่ะก็ มันก็ไม่ต่างจาก “เด็กน้อย” น่ะสิ

 

เพราะอย่างงั้นเคียวจิจึงพยายามเกร็งใบหน้าของตัวเอง ในขณะที่รอการตอบสนองจากยูซึกิ “แค่ล้อเล่นเฉยๆค่ะ” พอเธอพูดแบบนั้นและหัวเราะออกมา เรื่องนี้มันก็จะจบลงสักที

 

…หวังไว้แบบนั้นแท้ๆ แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานขนาดไหน ยูซึกิที่อยู่ข้างๆก็เงียบเป็นเป่าสาก

 

หรือว่าเพราะบทพูดของเคียวจิมันเกินความคาดหมายเกินไป เธอเลยพูดไม่ออกงั้นเหรอ… ในขณะที่ประหม่าอยู่เล็กน้อย ผมก็หันไปมองเธอจากด้านข้างอย่างหวาดหวั่น

 

ผมมองไปทางเธอ ก่อนที่เกือบจะหลุดร้อง “เอ๊ะ” ออกมา

 

ใบหน้าของยูซึกินั้น…

 

แดงก่ำขึ้นมาขนาดที่ผมไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน

 

“ระ.. รุ่นพี่?”

 

คำพูดที่ออกมานั้น แทนที่จะเรียกว่าพูด เหมือนผมพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัวซะมากกว่า

 

ทันใดนั้น “อึก” ร่างกายของยูซึกิก็สั่นไหวไปมา

 

“อะ.. อะ.. อะ.. อะไรกันคะ… คะ.. แค่นี้เอง มะ.. ไม่มีปัญหาเลย! กะ.. กะ.. กะ.. ก็ธรรมดาๆนี่คะคะคะคะคะ…”

 

ในขณะที่ยืดหลังตรง ยูซึกิทิ้งระยะห่างจากเคียวจิด้วยท่าทางที่เหมือนสไลด์ตัวออกมาและเพราะแบบนั้นเธอเลยไถลไกลไปหน่อย จนล้มลงไปกองกับพื้น “..อ๊ะ!?” เสียงร้องแสดงความเจ็บปวดหลุดออกมาจากปากของเธอ

 

“ปะ.. เป็นอะไรไหมครับ!?”

“นะ.. นะ.. นะ.. แน่นอนอยู่แล้วค่ะ! คะ.. แค่นี้ไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด! พะ.. พะ.. เพราะฉันเป็น ผะ.. ผะ.. [ผู้ใหญ่] ยังไงล่ะคะ!!”

 

“แล้วทำไมถึงเป็นอย่างงั้นล่ะครับ” ก่อนที่เคียวจิจะได้ตบมุขออกไปแบบนั้น เสียงระฆังก็ดังขึ้น มันเป็นระฆังเพื่อบ่งบอกว่าพักเที่ยงจะหมดลงในอีก 5 นาที

 

“เอ๊ะ โกหกน่า เวลาป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย— อะแฮ่ม! มะ.. ไม่ได้เลยนะคะ ถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อไป ฉันจะเข้าคาบเรียนสายเอาได้ จะ.. จะว่าไป! อาจารย์เขาฝากให้ฉันช่วยเตรียมการสำหรับคาบบ่ายด้วยนี่นะ! เพราะอย่างงั้นฉันต้องรีบกลับไปที่ห้องเรียนแล้วค่ะ! ถะ.. ถ้างั้น.. ฉะ.. ฉันขอตัวก่อนนะคะ!”

 

เธอวิ่งซะอย่างกับพายุเข้า “ต๊อกแต๊กๆ” ด้วยเสียงฝีเท้าที่ดังเช่นนั้น ยูซึกิก็ได้ออกจากห้องพยาบาลไป โดยไม่เหลือเศษเสี้ยวของความสงบเสงี่ยมและสง่างามตามปกติให้เห็นเลย

 

ราวกับไม่เชื่อในสายตาของตัวเอง เคียวจิจ้องไปทางประตูที่เปิดทิ้งไว้

 

“…ห๊ะ?”

 

นั่นเป็นเพียงคำเดียวที่หลุดออกมาจากปากของผม

 

 

ติดตามเพจผู้เเปลได้ที่​ Ao2Sides

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Hokenshitsu no Otona na Senpai, Ore no Mae de wa Sugu Dereru รุ่นพี่ประจําห้องพยาบาลเดเระเเตกซะเเล้ว! 1

Now you are reading Hokenshitsu no Otona na Senpai, Ore no Mae de wa Sugu Dereru รุ่นพี่ประจําห้องพยาบาลเดเระเเตกซะเเล้ว! Chapter 1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

–ผม มายามะ เคียวจิ เป็นขาประจำของห้องพยาบาลครับ

 

ผมมักจะไปที่นั่นในช่วงพักกลางวัน แต่บางครั้งผมก็ขออาจารย์เพื่อไประหว่างคาบเรียนเลยก็มี สำหรับนักเรียนที่ไม่รู้สถานการณ์ของผมนั้น คงจะคิดแค่ว่าผมเป็นพวกขี้เกียจที่หาเรื่องโดดเรียนล่ะมั้ง ถึงจริงๆแล้ว มันจะเป็นเพราะผมเป็นโรคโลหิตจางก็เถอะ

 

ด้วยสภาพร่างกายแบบนี้ ทำให้ผมสร้างความลำบากให้กับอาจารย์หลายคนตอนอยู่ม.ต้น เพราะอย่างนั้นตอนขึ้นม.ปลาย ผมเลยเลือกเข้าโรงเรียนที่สามารถเข้าใจคนที่เป็นโรคแบบนี้ได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ทุกครั้งที่เขาหยุดจากคาบเรียนและแวะเวียนมา อาจารย์ประจำห้องพยาบาลก็ต้อนรับเคียวจิเป็นอย่างดี

 

–อย่างไรก็ตามเคียวจิมีเหตุผลอยู่อย่างนึงที่ทำให้เขาไม่อยากไปพึ่งพาห้องพยาบาลให้มากนัก

 

เหตุผลนั้นก็คือ

 

“…มายามะคุงสภาพร่างกายเป็นยังไงบ้างคะ อีกเดี๋ยวพักเที่ยงก็จะหมดลงแล้วค่ะ”

 

ผมได้ยินเสียงของผ้าม่านที่ถูกเปิดออกและสติของผมที่ยังงัวเงียอยู่ก็ค่อยๆกลับมาชัดเจนขึ้น

 

แสงแดดยามบ่ายส่องเข้ามาผ่านทางหน้าต่างที่อยู่ทิศใต้ ห้องที่มีโครงสร้างโดยรวมเป็นสีขาวแห่งนี้เจิดจ้าขึ้นมาจากแสงสะท้อน

 

เจ้าหน้าที่ประจำห้องพยาบาลเพียงคนเดียวของโรงเรียนนี้ แม้แต่ในโรงเรียนก็เป็นสาวงามที่ไม่เป็นสองรองใคร ตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งก็ครองตำแหน่งผลการเรียนอันดับหนึ่งมาโดยตลอด ทักษะด้านกีฬาอยู่ในระดับดีเยี่ยม กระทั่งนิสัยก็ไม่มีจุดไหนที่ต้องให้ติ นักเรียนดีเด่นที่อย่างกับยอดมนุษย์ผู้สมบูรณ์แบบ

 

นอกจากนี้เธอยังเป็นเหตุผลที่ทำให้เคียวจิไม่อยากมาห้องพยาบาลอีกด้วย ตัวการของเรื่องทั้งหมด

 

“ถ้ารู้สึกทรมาณ ก็อย่าฝืนตัวเองนะคะ แต่ฉันคิดว่า ถ้าทำได้เธอควรเข้าเรียนบ้างนะ ถ้าขาดเรียนมากเกินไป มันจะมีปัญหาหลายอย่างตามมา เรื่องนั้นรู้ใช่ไหมคะ?”

 

เธอพูดออกมาแบบนั้นด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับกำลังสั่งสอนเด็กน้อยอยู่ ก่อนที่เธอจะยิ้มออกมา ถ้าเทียบกับคนวัยเดียวกัน ท่าทางการยิ้มของเธอช่างดูเป็นผู้ใหญ่และให้บรรยากาศที่สงบเสงี่ยม

 

มันเป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนน้อม ในขณะเดียวกันก็แฝงความน่าไว้วางใจไว้ด้วย นี่คือสาเหตุที่ไม่ใช่แค่ผู้ชายเพียงอย่างเดียว เธอยังเป็นที่นับถือในหมู่เด็กผู้หญิงอีกต่างหาก

 

แต่เพราะไม่รู้ว่าเธอซ่อนอะไรไว้ภายใต้รอยยิ้มนั่น จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เคียวจิไม่ถูกกับเธอโดยสัญชาตญาณ

 

“ต่อให้ไม่ต้องบอก ผมก็คิดจะลุกอยู่แล้วครับ …แล้วก็ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเรียนหรอกครับ ผมศึกษาด้วยตัวเองอยู่”

“แต่ถ้าเธอไม่รู้เนื้อหาในคาบเรียน มันก็มีขีดจำกัดของการเรียนด้วยตัวเอง ไม่ใช่เหรอคะ?”

“ผมไม่รู้เลยนะครับ ว่ารุ่นพี่อยากจะบอกอะไรกันแน่?”

“เพราะมิยามะคุงเป็นพวกขี้อาย ฉันเลยคิดว่าเธอไม่มีเพื่อนที่จะคอยให้ดูสมุดโน้ตซะอีกนะคะเนี่ย”

 

หุหุหุ ยูซึกิหัวเราะออกมาแบบนั้น ก่อนที่ผมจะเบี่ยงสายตาจากเธอ

 

ราวกับว่ากำลังหยอกล้อกับเด็กน้อยอยู่ไม่มีผิด เธอทำท่าทางเหมือนว่ามองทุกอย่างออกอย่างปราดเปรื่อง อย่างกับผมกำลังโดนล้อเลียนอยู่เลย รู้สึกไม่ค่อยพอใจเลยแฮะ

 

อย่างไรก็ตามดูเหมือนยูซึกิจะรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากที่ได้เห็นสีหน้าที่ดูหงุดหงิดของเคียวจิแบบนั้น เธอยิ้มอย่างสง่างามโดยไม่สนใจเคียวจิที่เงียบลงไป

 

“ถ้ามีกำลังพอที่จะทำหน้าบึ้งแบบนั้น ฉันคิดว่าคาบบ่ายเธอคงไม่เป็นไรหรอกค่ะ เอ้า ใส่เสื้อกลับได้แล้วค่ะ”

 

เพื่อที่จะไม่ให้เกิดรอยยับ เสื้อนอกที่วางไว้ด้านข้างของเตียงถูกพับไว้อยู่

 

“อีกเดี๋ยวอาจารย์คงกลับมาแล้วค่ะ ฉันเองก็ต้องกลับไปที่ห้องเรียนแล้ว-“

 

คำพูดของยูซึกิอยู่ๆก็ถูกตัดไปกลางทาง ในขณะเดียวกันผมก็ได้ยินเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น

 

“ประตูไม่ได้ล็อคอยู่ค่ะ เชิญเลย”

 

ในขณะเดียวกันกับที่เธอตอบกลับไป ผ้าม่านก็ถูกปิดลง ผมไม่สนใจหรอกจะเปิดทิ้งไว้ก็ได้ สิ่งที่ผมต้องทำก็แค่สวมเสื้อนอกแล้วออกไปก็เท่านั้นเอง

 

“ขอโทษนะคะ แต่พอดีตอนนี้อาจารย์ประจำห้องพยาบาลไม่อยู่น่ะค่ะ”

“อ๊ะ! ไม่เป็นไรหรอก คือว่าผมมาที่นี่เพื่อเจอชิราเสะซังน่ะ ขอเวลาสักแป๊ป จะได้ไหม?”

“ได้ค่ะ มีอะไรกับฉันเหรอ?”

 

คนที่เข้าห้องมาคือนักเรียนชายคนนึง จากที่ฟังบทสนทนาของทั้งคู่ดูเหมือนเขาจะเป็นรุ่นพี่

 

ในขณะที่ผมกำลังคิดว่า “เขาเป็นคนรู้จักของยูซึกิรึเปล่านะ” อยู่นั้นเอง-

 

“ผมขอเข้าเรื่องเลยละกัน… คือว่าตอนนี้ชิราเสะซังมีคนที่คบเป็นแฟนรึยังล่ะ?”

 

…หา?

 

แน่นอนว่าผมเคยได้ยินจากข่าวลือมาแล้วเหมือนกันว่ายูซึกิเนื้อหอมขนาดไหน ถึงอย่างนั้น แบบนี้มันไม่กะทันหันไปหน่อยเหรอ ในห้องพยาบาลแห่งนี้อาจจะมีคนที่นอนพักอยู่ได้ยินเข้าก็ได้นะ… ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเคียวจิก็ยังอยู่ในห้องจริงๆ

 

“แบบว่าขอโทษนะ จริงๆผมก็ได้ยินมาแล้วล่ะ ว่าดูเหมือนจะไม่มี แต่เพื่อความแน่ใจ ผมเลยอยากถามเอาไว้น่ะ แล้วก็ถ้าเกิดไม่มีจริงๆล่ะก็ ช่วยคบ-“

“ขอโทษค่ะ ฉันดีใจนะคะที่คุณรู้สึกแบบนั้นกับฉัน แต่ตอนนี้ฉันอยากโฟกัสกับการเรียนน่ะค่ะ… เพราะฉะนั้นฉันคบกับคุณไม่ได้หรอกค่ะ”

 

ควับ~ ผมสามารถเห็นเงาของยูซึกิที่ก้มตัวลงได้ผ่านผ้าม่านที่ถูกปิดอยู่ รวมถึงร่างกายของผู้ชายคนนั้นที่แข็งทื่อไปอีกด้วย

 

แม้ว่าน้ำเสียงของเธอจะดูแฝงไปด้วยความจริงใจ แต่คำพูดของยูซึกิแสดงความมุ่งมั่นของเธอออกมาอย่างชัดเจน ถูกเพศตรงข้ามสารภาพรัก… ไม่สิ เมื่อกี้จะนับว่าเป็นการสารภาพรักได้ไหมนะ

 

ถึงอย่างนั้นในมุมมองของเคียวจิมันก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่พอตัว แต่กลับสัมผัสความหวั่นไหวจากตัวของยูซึกิไม่ได้เลยสักนิด

 

บางทีเธออาจจะคุ้นชินกับสถานการณ์แบบนี้ไปแล้วก็ได้ ยูซึกิว่ากันว่าเป็นคนดังที่เนื้อหอมมากๆด้วยนี่นะ เพราะอย่างนั้นเลยมีคนมาลองสารภาพรักกับเธอแบบนี้ล่ะมั้ง

 

ถึงอย่างงั้นก็เถอะ การที่ถูกปฏิเสธทันควันแบบนี้ ผู้ชายคนนั้นจะรู้สึกยังไงนะ จะรอดชีวิตกลับไปได้รึเปล่า แม้แต่เคียวจิยังแทบกลั้นหายใจ

 

“…ระ รอก่อนสิ! สรุปแล้วเรื่องที่เธอไม่มีคนที่คบเป็นแฟนด้วย นี่จริงใช่ไหมล่ะ!? ถ้าอย่างงั้นให้โอกาสผมหน่อยไม่ได้เหรอ!? ไม่งั้นผมไม่ยอมหรอก!”

“ต่อให้คุณจะพูดออกมาแบบนั้นก็เถอะ… ขอโทษนะคะ ตอนนี้ฉันไม่มีความคิดจะคบกับใครจริงๆค่ะ…”

“ต่อให้ตอนนี้จะไม่อยากมี แต่หลังจากนี้อาจจะเปลี่ยนใจก็ได้นิ… ถ้าอย่างงั้นผมจะเป็นคนเปลี่ยนชิราเสะซังเอง! จะเป็นแฟนที่ดีซะจนทำให้เธอคิดว่า [ถ้าเป็นคนๆนี้จะคบด้วยก็ได้]​ ให้ดู!” <คนแปล : เอ็งคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกรึไงฟะ เจ้ารุ่นพี่ตัวประกอบเอ๊ย!>

 

ดูเหมือนผู้ชายคนนั้นจะจริงจังเป็นอย่างมากเลยทีเดียว ผมควรจะชื่นชมหัวใจที่แข็งแกร่งดุจหินผานั่นหรือรำคาญหมอนี่ที่ตอแยขนาดนี้ดีนะ

 

(ว่าไปแล้วเอ็งไปทำตอนที่ตรูไม่อยู่สิฟะ… จะสารภาพรักทั้งที เช็คให้ดีหน่อยสิ ว่ามีคนอื่นอยู่รอบๆรึเปล่า)

 

ยูซึกิคิดจะทำยังไงล่ะ ตั้งแต่เมื่อกี้ก็ดูพยายามจะปฏิเสธอยู่หรอก… ยังไงก็เถอะ รีบจัดการกับสถานการณ์นี้ แล้วปล่อยผมออกไปสักที

 

“โอกาสงั้นเหรอคะ นั่นสินะคะ…”

 

ผมเห็นเงาของยูซึกิที่สั่นไหวอยู่ผ่านผ้าม่าน ดูเหมือนเธอจะกำลังลำบากใจ

 

ไม่ว่ายูซึกิคิดจะทำอะไร เคียวจิก็ไม่จำเป็นต้องสนอยู่แล้ว

 

แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็หยุดความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองไม่ได้ เคียวจิค่อยๆเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น ก่อนที่จะแอบฟังบทสนทนาของทั้งคู่ผ่านอีกฝั่งของผ้าม่าน

 

“…งั้นเอางี้ดีไหมคะ ถ้าพูดมาขนาดนั้นแล้ว ลองจีบฉันให้ดูสิคะ ที่นี่ตอนนี้เลย”

“…เอ๊ะ?”

“ก็นี่ไงคะ [โอกาส] ที่ว่าน่ะ …พูดแบบนี้อาจจะดูหยิ่งไปหน่อย แต่ฉันชินกับการที่ถูกคนอื่นสารภาพรักแล้วค่ะ แต่ว่าน่าเสียดายที่คนเหล่านั้นไม่ได้จริงจังเหมือนกับที่ว่ามา… บางคนที่ไม่ได้รู้จักฉันดี แต่พูดว่า “ชอบ” ออกมาด้วยความรู้สึกครึ่งๆกลางๆก็มีค่ะ แล้วพอฉันปฏิเสธไป ก็เปลี่ยนใจแล้วหันมาว่าร้ายใส่ฉันแทน…”

 

กระซิกๆ~ ในขณะที่ร้องให้ปลอมๆ ยูซึกิก็พูดออกมาแบบนั้น

 

“ผะ.. ผมต่างจากพวกนั้นนะ!”

“ค่ะ แน่นอน ฉันคิดว่าคุณเป็นคนจริงใจนะคะ แค่มองก็รู้ค่ะ… เพราะอย่างนั้นเลยอยากให้พิสูจน์ให้ดูค่ะ ว่าคุณชอบฉันขนาดไหน ช่วยร้อยเรียงเป็นคำพูดที่ชัดเจนและเข้าใจง่ายทีค่ะ ถ้าทำแบบนั้นฉันอาจจะคิดอยากคบกับคุณขึ้นมาก็ได้นะคะ ลองทำให้ฉันรู้สึกใจเต้นดูสิคะ?”

 

ยิ้ม~ แค่น้ำเสียงนั้นเพียงอย่างเดียว ก็ทำให้ผมจินตนาการใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเธอออกเลยทีเดียว

 

“นะ.. แน่นอนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะกี่ข้อ ฉันก็จะบอกเอง! อย่างแรก ตรงจุดที่อ่อนโยน ฉันชอบมากเลยล่ะ!”

“ตายจริง~ งั้นถ้าฉันไม่อ่อนโยนขี้นมา คุณก็จะเลิกชอบสินะคะ?”

“เอ๊ะ? มะ.. ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย.. แล้วก็ นั่นไง! ผลการเรียนก็ดี แถมยังเป็นที่นับถือของผู้คนอีกต่างหาก…”

“ฉันก็ดีใจที่ถูกชมแบบนั้นอยู่หรอกค่ะ แต่ก็มีคนที่มีผลการเรียนดีเหมือนฉันและเป็นนักเรียนดีเด่นอีกตั้งเยอะใช่ไหมล่ะคะ?  ฉันอยากฟังเหตุผลที่ [ถ้าไม่ใช่ฉันไม่ได้เด็ดขาด]​ มากกว่านะคะ”

“เอ่อ.. ระ.. เรื่องนั้น… ตรงจุดที่เธอสวยก็ด้วย…”

“ขอบคุณมากค่ะ ถูกบอกแบบนั้นอยู่บ่อยๆเหมือนกัน …แล้ว? มีอะไรอีกไหมคะ?”

 

เสียงของนักเรียนชายคนนั้นค่อยๆแผ่วลงเรื่อยๆ รวมถึงพลังความกล้าและอื่นๆของเขาด้วย

 

“…ขอโทษครับ ช่วยทำเหมือนเรื่องเมื่อกี้ไม่เคยเกิดขึ้นที…”

 

เอี๊ยดอ๊าด~ เสียงของการปิดประตูดังขึ้นอย่างหดหู่ ด้วยน้ำเสียงที่ดูขี้เล่นตั้งแต่ต้นจนจบ นักเรียนชายปริศนา (ได้ยินแค่เสียง) ก็ได้ออกจากห้องพยาบาลแห่งนี้ไป ทิ้งเพียงผลกระทบอันยิ่งใหญ่ไว้ในจิตใจของเคียวจิ ในหลายๆความหมายอะนะ

 

“…ขอโทษนะคะ มายามะคุง คงจะรู้สึกอึดอัดสินะคะ”

 

ยูซึกิเปิดผ้าม่านออกและเรียกผมแบบนั้น เมื่อตะกี้เธอพึ่งจะหักอกคนทั้งคนไปแท้ๆ แต่เธอกลับไม่แสดงสีหน้าของความเห็นใจออกมาให้เห็นเลยสักนิด

 

…ถึงอย่างนั้นก็เถอะ

 

“…ให้ผมพูดมันก็ยังไงอยู่หรอก แต่ว่าทำแบบนั้น จะดีเหรอครับ”

 

ผมก็ไม่คิดจะว่าอะไรเธอหรอก แต่ผมพูดได้ไม่เต็มปาก ว่ามันเป็นวิธีการปฏิเสธที่ถูกต้อง แล้วก็แบบนั้นมันจะไม่กลายเป็นปัญหาในภายหลังเหรอ

 

อย่างไรก็ตามดูเหมือนตรงจุดนั้นยูซึกิก็จะ “เคยชิน” เหมือนกัน

 

“ฉันเข้าใจที่มายามะคุงพยายามจะบอกนะคะ ฉันเองก็ไม่อยากจะทำร้ายจิตใจใครเหมือนกันค่ะ …แต่ว่าต่อให้จะพูดยังไง คำตอบก็ไม่เปลี่ยนหรอกค่ะ ถึงจะตอบกลับไปอย่างอ่อนโยนขนาดไหน มันก็จะเป็นแค่การเสแสร้งซะมากกว่าค่ะ บางครั้งการยอมถูกเกลียดก็ให้ผลที่ดีกว่านะคะ”

 

“ฉันเคยชินกับเรื่องแบบนี้แล้วค่ะ แค่นี้เป็นเรื่องปกติ” เหมือนกับเธออยากจะบอกแบบนั้น

 

ถึงอย่างนั้น เสียงถอนหายใจที่หลุดออกมาระหว่างคำพูดเหล่านั้นก็ได้แฝงความเหนื่อยเอาไว้เล็กน้อย

 

“…ทั้งการสารภาพรักบ้างล่ะ การคบหากันบ้างล่ะ ทำไมทุกคนถึงหมกมุ่นกับเรื่องพวกนั้นกันจังคะ ในมุมมองของฉัน ฉันคิดว่าของแบบนั้น มันไม่ได้ดีเหมือนกับที่ผู้คนเขาว่ากันหรอกนะ”

 

เคียวจิรู้สึกสับสนเล็กน้อยกับน้ำเสียงของเธอที่ดูทิ่มแทงขึ้นมา ยูซึกิเองก็เนื้อหอมด้วย แถมการถูกสารภาพรักแบบนี้ ก็คงจะไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับเธอ บางทีเธออาจจะมีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีกับพวกที่ตามตอแยเธอก็ได้

 

“ของแบบนั้น… งั้นเหรอครับ”

“ก็เป็นของแบบนั้นแหละค่ะ สำหรับมายามะคุงอาจจะเหมือนกับฝันที่แตกสลายก็จริง …อย่างที่บอกไปเมื่อกี้นี้ ฉันถูกขอให้คบเป็นแฟนด้วยอยู่บ่อยๆเหมือนกัน แต่คนที่จริงจังกับฉันจริงๆน่ะ มีแค่ไม่กี่หยิบมือเท่านั้นแหละค่ะ [ตอนนั้น] อาจจะจริงจังก็จริง แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ ความรู้สึกก็จะค่อยๆเปลี่ยนเองค่ะ ถ้าเธอหวั่นไหวกับความรู้สึกแค่นั้น สุดท้ายเธอก็เป็นได้แค่เด็กเท่านั้นแหละ”

 

น้ำเสียงของเธอช่างเหมือนกับผู้ใหญ่ที่สั่งสอนเด็กไม่มีผิด

 

แต่พอยิ่งพูดต่อไปเรื่อยๆ มันก็เหมือนกับเธอกำลังพยายามบอกว่า “ไม่มีคนที่ชอบในตัวฉันจริงๆหรอกค่ะ” ออกมา

 

“…เรื่องที่ว่าไม่จริงจังเนี่ย ผมว่าไม่ใช่หรอกนะ นั่นไง การสารภาพรักเนี่ย ใช้ความกล้าพอตัวเลยนะครับ ผมคิดว่าไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นด้วยความรู้สึกครึ่งๆกลางๆได้หรอก”

 

พอรู้สึกตัว ทั้งๆที่ไม่ใช่นิสัยของตัวเองแท้ๆ แต่ผมก็หลุดปากพูดออกไปแบบนั้นซะแล้ว

 

ยูซึกิมองมาทางเขา เหมือนกับว่าเธอกำลังตกใจอยู่ ในขณะที่เธอจ้องเขาราวกับคิดว่าเขาตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ เคียวจิก็เบี่ยงสายตาจากเธอโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้สถานการณ์ของยูซึกิแท้ๆ แต่กลับพูดออกไปแบบนั้น ผมรู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที

 

“ไม่สิ เอ่อ… ยังไงก็ขอโทษนะครับ พอดีปากพล่อยไปหน่อยน่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ความรู้สึกนั้นของมายามะคุงน่ะ ฉันเข้าใจเป็นอย่างดีเลยล่ะค่ะ”

 

สีหน้าที่ดูจริงจังมาตลอดของเธอหายวับไป ราวกับว่าทุกอย่างเป็นเรื่องโกหก ก่อนที่ใบหน้าของยูซึกิจะเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม

 

แต่ว่าทำไมกันนะ? ผมสัมผัสถึงความหงุดหงิดจากรอยยิ้มนั้นได้…

 

“นั่นสินะคะ ถ้าเป็นมายามะคุงล่ะก็จะต้องสารภาพรักกับคนที่ชอบอย่างจริงจังและตรงไปตรงมาแน่เลย ฟุฟุ~ เธอจะพูดออกมาว่ายังไงนะ ฉันล่ะสนใจจริงๆค่ะ อยากลองฟังสักครั้งจังเลยนะคะ อุฟุฟุ~”

“ยะ.. อยู่ๆก็ดูโกรธขึ้นมาเลยนะครับ…?”

“ไม่ได้โกรธเลยสักนิดค่ะ”

 

ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มนั่นค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ทีละนิด เธอเข้ามานั่งข้างๆเคียวจิบนเตียงที่เขานั่งอยู่ ใบหน้าของยูซึกิที่มองมาทางนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มแท้ๆ แต่ผมกลับรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลจากมัน “ถ้าพูดออกมาขนาดนั้นแล้ว ก็ลองทำให้ดูสิ” เหมือนเธออยากจะบอกแบบนั้น

 

“ถ้ามายามะคุงสารภาพรักเป็นตัวอย่างให้ฉันดูได้ล่ะก็ บางทีหัวใจของฉันที่ถูกทำร้ายโดยเหล่าคนไม่จริงใจพวกนั้น อาจจะรู้สึกอยากกลับมาเชื่อในความรักอีกครั้งก็ได้นะคะ ต่อจากนี้ฉันจะมีความรักที่เต็มไปด้วยความสุขได้รึเปล่านั้น ขึ้นอยู่กับมายามะคุงแล้วค่ะ”

“ต่อให้จะบอกแบบนั้นก็เถอะ… ว่าไปแล้วรุ่นพี่ก็คงไม่ได้เอาจริงใช่ไหมล่ะ? แค่ล้อผมเล่นเฉยๆใช่ไหม?”

“ไม่ค่ะ ฉันเอาจริง แต่ไม่เป็นไรหรอกนะคะ? ถ้ามายามะคุงไม่อยากล่ะก็ จะปฏิเสธก็ได้เหมือนกันค่ะ ถึงถ้าเป็นแบบนั้นฉันจะยิ่งไม่เชื่อใจในความรัก จนแค้นมายามะคุงไปตลอดชีวิตก็เถอะ แต่นั่นมันเป็นปัญหาของฉัน ไม่ใช่ความผิดของมายามะคุงหรอกนะคะ”

 

อุฟุฟุฟุฟุ~ เธอหัวเราะออกมาแบบนั้น ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่สร้างแรงกดดันให้ผม แทนที่จะเรียกว่าเป็นการหยอกล้อรุ่นน้อง ผมเหมือนเป็นที่ระบายอารมณ์ของเธอซะมากกว่า รู้งี้ไม่น่าพูดอะไรที่ไม่จำเป็นออกไปเลยแฮะ

 

…แต่ว่า อย่างน้อยที่ผมพูดไปก็ไม่ใช่เรื่องโกหกแต่อย่างใด

 

ถ้าอย่างงั้นผมคิดว่า คงไม่เป็นอะไรหรอก ต่อให้สุดท้ายจะถูกแกล้ง จนจบด้วยความอับอาย แต่ถ้ามันทำให้ยูซึกิเปลี่ยนใจได้สักนิดล่ะก็ ถึงมันจะเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ก็เถอะ แต่ผมก็รู้สึกผิดที่ไปดักฟังการสารภาพรักด้วย

 

“รุ่นพี่…”

“คะ?”

 

เธอเอียงหัวเล็กน้อย ก่อนที่ขนตาเรียวยาวของเธอจะกะพริบ สายตาที่จ้องกลับมาราวกับมองอะไรที่น่าสนุกอยู่ ผมเผชิญหน้ากับมันซึ่งๆหน้า

 

“คือว่านะครับ กับรุ่นพี่แล้ว ผมไม่ได้คิดว่าใจดีเหมือนอย่างที่คนอื่นบอกหรอก แถมไม่ได้ชอบอะไรด้วย ยิ่งกว่านั้นรุ่นพี่ยังปฏิบัติเหมือนผมเป็นเด็กตลอดเลย พูดตามตรงไม่ชอบเลยครับ”

“เอ๊ะ? ทำไมอยู่ๆถึงปากเสียแบบนั้นล่ะคะ ช่วยพูดถึงพวกเสน่ห์ของฉันทีค่ะ ฉันหวังอะไรพวกนั้นอยู่นะ”

“ก็เพราะ… ผมพูดอะไรใหญ่โตแบบนั้นไม่ได้หรอก ไม่ใช่ว่ารู้จักรุ่นพี่ดีด้วย …การคิดว่าตัวเองรู้จักอีกฝ่ายดี แล้วพูดนู่นนี่ออกมา แบบนั้นน่าจะดูไม่จริงใจมากกว่า ไม่ใช่เหรอครับ?”

 

ในหัวของผมได้มีใบหน้าของเด็กนักเรียนชายที่ถูกปฏิเสธไปเมื่อตะกี้ผุดขึ้นมา ไม่สิ ผมไม่ได้เห็นหน้าของเขานี่นะ ที่เห็นมีแค่เงาเพียงอย่างเดียว ไม่รู้เพราะยูซึกิคิดแบบเดียวกับผมรึเปล่า “แหม~” เธอหัวเราะอย่างสนุกสนานออกมาแบบนั้น

 

“น่าเสียดายนะคะ ถ้ามายามะคุงพูดแบบเดียวกับที่เขาพูดเมื่อตะกี้นี้ล่ะก็ ฉันกะว่าจะแกล้งเธอเล่นแท้ๆเชียว”

“เห้อ~ ก็คิดไว้แล้วนั่นแหละว่าต้องเป็นแบบนั้น”

“ถ้าอย่างงั้นความเห็นของฉันที่ว่า [การสารภาพรักอะไรนั่นไม่ได้เอาจริงหรอก] ก็คงจะถูกไม่ใช่เหรอคะ? ทั้งๆที่พวกเขายังไม่ได้รู้จักอีกฝ่ายดีแท้ๆ แต่ก็คงจะบอก [ชอบ]​ จากการมองแค่ภายนอก ใช่ไหมล่ะคะ?”

“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย… เพราะไม่ได้รู้จักดีนั่นแหละ ถึงทำให้ยิ่งอยากรู้จักอีกฝ่ายมากขึ้น เพื่อการนั้นไม่ใช่แค่เพื่อน แต่อยากมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากกว่านั้น เป็นเเบบนั้นไม่ใช่รึไงครับ”

“…มายามะคุงล่ะ อยากจะรู้จักฉันให้มากขึ้นไหมคะ?”

 

ฟึบ~ ผมของยูซึกิปลิวไสว เธอก้มตัวลงและเอาใบหน้าของตัวเองเข้ามาใกล้เคียวจิ

 

“ไม่ใช่สักหน่อย เมื่อกี้มันเป็นแค่ทฤษฎีเฉยๆ ผมไม่ได้อยากจะทำอะไรแบบนั้นกับรุ่นพี่เลยสักนิด…”

“ค่ะ แล้วความจริงล่ะ?”

“…ก็ ถ้าได้รับการยอมรับจะดีใจไหมนะ ถ้าคนๆนี้หันมาชอบจะมีความสุขขนาดไหนนะ ผมคิดเรื่องพวกนั้นอยู่น่ะ”

“นั่นหมายความว่ายังไงล่ะคะ? ถ้าไม่พูดให้ชัดเจน ฉันก็ไม่เข้าใจหรอกนะ ถ้าอยากจะสื่อความรู้สึกของตัวเองให้คนที่สนใจฟัง มายามะคุงจะพูดว่ายังไงเอ่ย?”

 

…ดูแล้วไม่ว่ายังไงยูซึกิก็อยากจะให้เคียวจิพูดคำๆนั้นออกมา

 

ผมรู้ว่าตัวเองถูกปั่นหัวอยู่ ถ้าให้พูดตามตรง อยากจะให้ปล่อยผมไปสักที อย่างไรก็ตามยูซึกิไม่มีวี่แววว่าจะปล่อยเขาไปง่ายๆเลย ถึงอย่างงั้นเรื่องที่ผมปล่อยให้เธอยิ้มเเละมองอย่างขบขันมาทางนี้ต่อไปไม่ได้ก็เป็นความจริง

 

ดังนั้นเคียวจิจึงสูดหายใจเข้า ผมไม่ต้องการให้เธอคิดว่าผมประหม่า เพราะอย่างงั้นต้องดูปกติเข้าไว้ “นี่มันไม่ใช่การสารภาพรักจริงๆสักหน่อย” ผมพยายามบอกตัวเองแบบนั้น

 

“—รุ่นพี่ ผมชอบรุ่นพี่ครับ! ช่วยคบกับผมด้วย!”

 

…แน่นอนว่าผมไม่ได้จริงจัง เรื่องนั้นยูซึกิเองก็คงจะรู้เหมือนกัน

 

แต่เรื่องน่าอายไม่ว่ายังไงมันก็น่าอาย ผมไม่สามารถมองใบหน้าของยูซึกิตรงๆได้ ผมจึงก้มหน้าของตัวเองลง

 

ถึงอย่างงั้นถ้าถอนคำพูดของตัวเองตอนนี้ล่ะก็ มันก็ไม่ต่างจาก “เด็กน้อย” น่ะสิ

 

เพราะอย่างงั้นเคียวจิจึงพยายามเกร็งใบหน้าของตัวเอง ในขณะที่รอการตอบสนองจากยูซึกิ “แค่ล้อเล่นเฉยๆค่ะ” พอเธอพูดแบบนั้นและหัวเราะออกมา เรื่องนี้มันก็จะจบลงสักที

 

…หวังไว้แบบนั้นแท้ๆ แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานขนาดไหน ยูซึกิที่อยู่ข้างๆก็เงียบเป็นเป่าสาก

 

หรือว่าเพราะบทพูดของเคียวจิมันเกินความคาดหมายเกินไป เธอเลยพูดไม่ออกงั้นเหรอ… ในขณะที่ประหม่าอยู่เล็กน้อย ผมก็หันไปมองเธอจากด้านข้างอย่างหวาดหวั่น

 

ผมมองไปทางเธอ ก่อนที่เกือบจะหลุดร้อง “เอ๊ะ” ออกมา

 

ใบหน้าของยูซึกินั้น…

 

แดงก่ำขึ้นมาขนาดที่ผมไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน

 

“ระ.. รุ่นพี่?”

 

คำพูดที่ออกมานั้น แทนที่จะเรียกว่าพูด เหมือนผมพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัวซะมากกว่า

 

ทันใดนั้น “อึก” ร่างกายของยูซึกิก็สั่นไหวไปมา

 

“อะ.. อะ.. อะ.. อะไรกันคะ… คะ.. แค่นี้เอง มะ.. ไม่มีปัญหาเลย! กะ.. กะ.. กะ.. ก็ธรรมดาๆนี่คะคะคะคะคะ…”

 

ในขณะที่ยืดหลังตรง ยูซึกิทิ้งระยะห่างจากเคียวจิด้วยท่าทางที่เหมือนสไลด์ตัวออกมาและเพราะแบบนั้นเธอเลยไถลไกลไปหน่อย จนล้มลงไปกองกับพื้น “..อ๊ะ!?” เสียงร้องแสดงความเจ็บปวดหลุดออกมาจากปากของเธอ

 

“ปะ.. เป็นอะไรไหมครับ!?”

“นะ.. นะ.. นะ.. แน่นอนอยู่แล้วค่ะ! คะ.. แค่นี้ไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด! พะ.. พะ.. เพราะฉันเป็น ผะ.. ผะ.. [ผู้ใหญ่] ยังไงล่ะคะ!!”

 

“แล้วทำไมถึงเป็นอย่างงั้นล่ะครับ” ก่อนที่เคียวจิจะได้ตบมุขออกไปแบบนั้น เสียงระฆังก็ดังขึ้น มันเป็นระฆังเพื่อบ่งบอกว่าพักเที่ยงจะหมดลงในอีก 5 นาที

 

“เอ๊ะ โกหกน่า เวลาป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย— อะแฮ่ม! มะ.. ไม่ได้เลยนะคะ ถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อไป ฉันจะเข้าคาบเรียนสายเอาได้ จะ.. จะว่าไป! อาจารย์เขาฝากให้ฉันช่วยเตรียมการสำหรับคาบบ่ายด้วยนี่นะ! เพราะอย่างงั้นฉันต้องรีบกลับไปที่ห้องเรียนแล้วค่ะ! ถะ.. ถ้างั้น.. ฉะ.. ฉันขอตัวก่อนนะคะ!”

 

เธอวิ่งซะอย่างกับพายุเข้า “ต๊อกแต๊กๆ” ด้วยเสียงฝีเท้าที่ดังเช่นนั้น ยูซึกิก็ได้ออกจากห้องพยาบาลไป โดยไม่เหลือเศษเสี้ยวของความสงบเสงี่ยมและสง่างามตามปกติให้เห็นเลย

 

ราวกับไม่เชื่อในสายตาของตัวเอง เคียวจิจ้องไปทางประตูที่เปิดทิ้งไว้

 

“…ห๊ะ?”

 

นั่นเป็นเพียงคำเดียวที่หลุดออกมาจากปากของผม

 

 

ติดตามเพจผู้เเปลได้ที่​ Ao2Sides

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+