Tensei Oujo to Tensai Reijou no Mahou Kakumei 1

Now you are reading Tensei Oujo to Tensai Reijou no Mahou Kakumei Chapter 1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Chapter 1

ข้าชอบ “เวทมนตร์” เพราะมันสามารถสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับทุกคนได้

ข้ารักเวทมนตร์ แต่มันกลับเป็นสิ่งที่ห่างไกล…ไกลเกินเอื้อมถึง

ถ้าหากสมมุติว่ามีตะเกียงวิเศษละก็ ข้าจะใช้พรทั้งสามข้อแลกกับหนึ่งความปรารถนาด้วยความยินดี ข้าอยากจะเป็นผู้ใช้เวทมนตร์

นั่นคือสิ่งแรกที่รู้สึกหลังได้รับความทรงจำในอดีตคืนกลับมา

***

ชื่อของข้าคือ อานิสเฟียร์ วอน พาเลทเทีย เจ้าหญิงลำดับที่หนึ่งแห่งอาณาจักรพาเลทเทีย

ทุกอย่างมันเริ่มขึ้นตอนอายุห้าขวบขณะที่กำลังแหงนมองขึ้นไปบนฟ้า

ถ้าหากข้ามีเวทมนตร์แล้วละก็ คงจะสามารถบินไปบนท้องฟ้านั้นได้แท้ๆ ความคิดแบบนั้นที่วนเวียนอยู่ในหัวเป็นเหมือนกับตัวกระตุ้น

แค่ใช้เวทมนตร์ได้ข้าก็จะบินได้ แล้วทำไมอยู่ๆถึงคิดแบบนั้นละ? 

แต่ก่อนที่จะรู้ถึงตอบ ความทรงจำในชาติที่แล้วที่ได้หลงลืมไปจนหมดกลับผุดขึ้นมาในหัว

มันรู้สึกเหมือนกับมีใครสักคนวางชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ที่สูญหายไปกลับเข้าที่เดิม นั่นคือจุดเปลี่ยนในชีวิตของอานิสเฟียร์ วอน พาเลทเทีย

ความทรงจำนั้นเต็มไปด้วยสิ่งของแปลกๆที่ไม่มีในโลกใบนี้ เครื่องบินที่พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า รถที่วิ่งตัดผ่านกันไปมาบนถนนลาดยางและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆอีกมากมาย

แต่ข้ากลับไม่เคยเห็นมันผ่านตาคู่นี้มาก่อน เท่าที่รู้โลกใบนี้ไม่มีของอย่างเครื่องบินและรถ มีเพียงนกและสัตว์อสูรเท่านั้นที่สามารถขึ้นไปแหวกว่ายบนท้องฟ้าได้ มีเพียงรถม้าเท่านั้นที่วิ่งไปบนถนนที่ขรุขระและไม่ได้ปูด้วยยางมะตอย

ครอบครัวขุนนางชนชั้นสูงซึ่งมีอำนาจปกครองประเทศน่าจะเป็นสิ่งที่มีอยู่แค่ในนิทาน แต่ตัวข้ากลับเป็นเจ้าหญิงตัวจริงเสียงจริง

ในขณะที่กำลังคิดถึงเรื่องต่างๆอยู่นั้น คำๆแรกที่ออกมาจากปากก็คือ

 

“แย่ล่ะสิ”

 

เพราะอยู่ๆความทรงจำในอดีตก็กลับมาทำให้ความคิดและความรู้สึกในชาติที่แล้ว มันมีตัวตนเหนือกว่าตัวตนของสาวน้อยอย่างอานิสเฟียร์

หน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะสมาชิกราชวงศ์งั้นเหรอ? ความภาคภูมิใจในฐานะชนชั้นขุนนางงั้นเหรอ? ของแบบนั้นมันก็รู้อยู่หรอก แต่แล้วไงใครสน เพราะในชาติที่แล้วเองต่อให้ไม่มีขุนนาง โลกก็ยังคงหมุนต่อไปได้เลย

และเพราะค่านิยมสมัยใหม่ที่ติดตัวมานี้เอง ทำให้ข้ารู้สึกว่าตัวเองเข้ากันไม่ได้อย่างสมบูรณ์กับการดำรงอยู่ในฐานะ ‘สมาชิกราชวงศ์’ ขณะเดียวกันก็ตระหนักได้ว่าการหลุดออกจากกรอบการใช้ชีวิตแบบเดิมๆมันเป็นปัญหากว่าที่คิด เอาตรงๆเลยนะการที่อยู่ๆความทรงจำมันกลับมานี่น่ารำคาญสุดๆ

 

“อืม ช่างมันแล้วกัน”

 

ตอนนี้ข้าเพิ่งห้าขวบเอง เดี๋ยวผ่านไปสักพักสามัญสำนึกก็เปลี่ยนไปเองแหละ อย่างน้อยก็หวังว่าจะเป็นงั้นนะ

และที่สำคัญกว่านั้น คือการทำตามความฝันในชาติที่แล้วให้เป็นจริงต่างหากล่ะ

 

“ที่โลกนี้มีอยู่ใช่ไหมล่ะ? เวทมนตร์น่ะ!”

 

ใช่แล้ว ในโลกนี้เวทมนตร์ไม่ได้เป็นเพียงแค่นิทานหรือนิยายแฟนตาซีแต่มันมีอยู่จริง

ควบคุมธาตุทั้งสี่ได้แก่ ไฟ น้ำ ลม และดิน ในตอนนั้นข้ายังไม่เข้าใจถึงหลักการและทฤษฎีว่ามันทำงานอย่างไร 

แต่เมื่อได้เผชิญหน้ามากับตัวเองหัวใจข้าก็เริ่มเต้นรัว

ถ้าข้าใช้เวทมนตร์ได้จะสามารถบินไปบนท้องฟ้าได้ไหมนะ? มันจะมีเวทมนตร์แบบนั้นอยู่หรือเปล่านะ?….อ่าาาาา ตื่นเต้นซะจนเวียนหัวไปหมดแล้วสิ

 

“จะตีเหล็กก็ต้องตีตอนกำลังร้อนๆนี่แหละ”

 

คลื่นแห่งความมุ่งมั่นถาโถมเข้าใส่ ข้ากำหมัดแน่นและกระโดดลงจากเก้าอี้ ก่อนจะเปิดประตูห้องและวิ่งผ่านทางเดินของปราสาทไปอย่างรวดเร็ว

ขณะที่เคลื่อนที่ไปตามทางเดินก็ได้พบเข้ากับสาวใช้คนหนึ่ง ข้าจึงพยายามแทรกตัวไปด้านข้างเพื่อที่จะแซงหน้าเธอไป

 

“อ-องค์หญิง?! กรุณาอย่างวิ่งบนทางเดินสิคะ?!”

 

ก่อนที่จะทันได้หนี ข้ากลับถึงดึงไว้จากทางด้านหลัง เพราะยังตัวเล็กอยู่ก็เลยถูกสาวใช้คนนั้นอุ้มขึ้นมาในอ้อมแขนได้อย่างง่ายดาย

 

“มูวว คนใจร้าย”

 

เมื่อรู้ว่าหมดทางหนีแล้วข้าจึงยอมแพ้อย่างรวดเร็ว

เมื่อเธอเห็นว่าข้าเลิกขัดขืน สาวใช้ที่ชื่ออิเลียจึงปล่อยข้าลง

 

“จะรีบร้อนไปไหนงั้นหรือคะ?”

“มีเรื่องบางอย่างจะขอร้องท่านพ่อน่ะ!”

“ขอร้อง?”

“ใช่ คำขอร้องของข้า อานิสเฟียร์ วอน พาเลทเทีย ก็คือข้าอยากจะเรียนเวทมนตร์!”

“เอ๊ะ เวทมนตร์…?”

 

อิเลียคุกเข่าลงเบาๆเพื่อสบตาข้า สีหน้าเธอดูสับสนอย่างเห็นได้ชัด

 

“ใช่ ข้าอยากจะเรียนรู้วิธีการใช้เวทมนตร์”

“ดิฉันก็คิดว่าเป็นเรื่องดีที่มีแรงจูงใจ แต่ทำไมถึงกะทันหันแบบนี้คะ?”

“อยากจะบินไปบนท้องฟ้า”

“คะ?”

“บินไปบนท้องฟ้า”

“ไม่ใช่ท่านบอกว่าจะเรียนเวทมนตร์หรือคะ?”

“เพื่อใช้บินยังไงล้า!”

“ฮ้าาา….”

 

เธอทำเหมือนกับว่าสิ่งที่ข้าพูดเป็นแค่เรื่องตลก ซึ่งเป็นเรื่องปกติจากที่ข้ารู้ยังไม่มีวิธีไหนที่สามารถบินเป็นระยะทางไกลๆได้

 

“นั่นเป็นเพียงแค่หนึ่งในสิ่งที่ข้าอยากทำด้วยเวทมนตร์นะ ข้ายังอยากใช้เวทมนตร์เพื่อเอาชนะคนเลวและช่วยเหลือผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือด้วย!”

“เป็นความฝันที่วิเศษมาค่ะ แต่เพราะฝ่าบาททรงงานยุ่งมาก ดิฉันจะนำคำขอร้องของท่านไปให้ฝ่าบาทอย่างแน่นอน เพราะงั้นตอนนี้พวกเรากลับห้องท่านกันก่อนดีไหมคะ?”

“มูวว ดูท่าวันนี้คงต้องยอมแพ้แล้วฝากให้อิเลียจัดการสินะ”

“ขอบพระคุณมากค่ะ”

 

เธอตอบรับพร้อมกับวางมือบนหน้าอกตัวเองเบาๆ ประมาณว่าปล่อยให้เป็นหน้าทีของดิฉันเองค่ะ 

อิเลียเป็นคนสวยแถมยังหน้าอกใหญ่ การที่ได้มาทำงานในวังเป็นเหมือนกับการการันตีความสวยของเธอได้เป็นอย่างดี

และเพราะอิเลียรับปากว่าจะจัดการเอง จึงไม่เหลืออะไรที่ข้าทำได้อีกแล้ว ดังนั้นข้าจึงถูกพาตัวกลับมาที่ห้องของตนเอง ถึงแม้ว่าจะลองนึกถึงความทรงจำให้ชาติที่แล้วมากเท่าไหร่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งที่เป็นประโยชน์มากนัก ข้าก็เลยลองจิตนาการถึงความเป็นไปได้ต่างจนเริ่มปวดหัว

และนี่คือจุดเริ่มต้นของข้าในฐานะ อานิสเฟียร์ วอน พาเลทเทีย

จะต้องทำให้ได้! ข้าจะต้องเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ให้ได้เลย!

 

และหลังจากนั้นหลายปีข้าถึงได้รู้สึกตัว…..

***

ในอาณาจักรพาเลทเทีย มีสถาบันการศึกษาที่ได้รับเงินทุนจากอาณาจักรอยู่ ซึ่งมีไว้สำหรับบุตรชายและบุตรสาวจากราชวงศ์รวมถึงขุนนางชั้นต่างๆ

ชื่อของมันคือ สถาบันขุนนางแห่งอาณาจักรพาเลทเทีย มีแม้กระทั้งนักเรียนจากประเทศรอบๆข้างด้วย ถือได้ว่าเป็นพื้นที่เฉพาะของชั้นชนสูงเลยก็ว่าได้

แน่นอนว่าจุดประสงค์หลักคือการให้การศึกษา

กล่าวได้ว่าเน้นไปที่ผลการเรียนมากกว่าฐานะทางสังคม แต่ถึงแบบนั้นขุนนางก็ยังคงเป็นขุนนางและราชวงศ์ก็ยังคงเป็นราชวงศ์ ผู้ที่มีตำแหน่งใหญ่โตมักเกาะกลุ่มกันเอง ส่วนผู้ที่ตำแหน่งด้อยกว่าต่างก็รู้ตัวดีว่าหากไปเหยียบเท้าผิดคน อนาคตของตนเองคงจะพังพินาศ

และถึงแม้สถาบันจะเป็นพื้นที่ปิด แต่ถ้าหากผู้ปกครองถูกดึงเข้ามาร่วมการทะเลาะภายในสถาบันด้วย มันก็อาจจะเป็นชนวนซึ่งนำไปสู่การขัดแย้งทางการเมืองได้

และวันนี้เองก็เป็นวันสำคัญของสถาบัน เนื่องจากการสอบปลายภาคได้สิ้นสุดลง จึงมีการจัดงานฉลองสุดยิ่งใหญ่ให้กับความพยายามของเหล่านักเรียนทั้งหลาย

เสียงดนตรีคลาสสิกอันไพเราะถูกบรรเลงโดยวงออเคสตราเล็กๆบนเวที เป็นปาตี้ที่ตกแต่งอย่างสวยงานและมีบรรยากาศที่น่ารื่นรมย์….นั่นคือสิ่งที่มันเคยเป็น

 

“ข้าขอประกาศต่อหน้าพวกท่านทุกคนได้โปรดเป็นพยานว่า บัดนี้การหมั่นหมายระหว่างข้ากับยูฟีเรีย มาเจนต้า ได้สิ้นสุดลงแล้ว!”

 

เจ้าชายลำดับที่หนึ่งและรัชทายาทผู้สืบราชบัลลังก์แห่งอาณาจักรพาเลเทีย  อัลการ์ด วอน พาเลเทีย ได้ประกาศออกมาด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง

เพียงเพราะคำประกาศถอนหมั่นคำเดียว จากห้องปาตี้สุดผ่อนคลายกลับกลายเป็นห้องพิพากษา

เมื่อได้ยินคำๆนั้น ดวงตาของยูฟีเรีย มาเจนต้า ก็เบิกว้าง เธอกัดริมฝีปากแน่นและแหงนหน้ามองไปยังอัลการ์ดที่อยู่สูงกว่า

ยูฟีเรียเป็นบุตรสาวของดยุคมาเจนต้าซึ่งมีอำนาจมากที่สุดท่ามกลางบรรดาขุนนางทั้งหมดภายในอาณาจักร และยังเป็นผู้หญิงที่สวยสง่างามเกินคำบรรยาย เส้นผมสีเงินยาวสยายลงถึงเอว นัยน์ตาสีชมพูนั้นแฝงไปด้วยเจตจำนงอันแข็งแกร่งแน่วแน่ เคยมีคนกล่าวว่าผู้ที่มีนัยน์ตาแหลมคนเช่นนี้มักยากจะเข้าหา แต่นั้นไม่ใช่กับหญิงสาวที่ชื่อยูฟีเรีย มาเจนต้า

กลับกันสายตาอันเฉียบคมนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเสน่ห์อันน่าดึงดูด

เธอเหมาะสมกับฐานะคู่หมั้นของรัชทายาท ผู้ซึ่งวันหนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นราชินีในอนาคตโดยไร้ข้อกังขา
แต่อนาคตนั้นกลับพังทลายลงต่อหน้าเธอ

อันที่จริงนี่ไม่ใช่สิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ความขัดแย้งอย่างต่อเนื่องระหว่างอัลการ์ดกับยูฟีเรีย เป็นหัวข้อพูดคุยอันดับหนึ่งในหมู่นักเรียนของสถาบัน

อัลการ์ดในฐานะผู้สืบทอดราชบัลลังก์ เข้ามาที่สถาบันเพื่อสร้างสายสัมพันธ์กับขุนนางวัยเยาว์ทั้งหลาย รวมถึงได้รับการศึกษาในแขนงต่างๆ โดยมียูฟีเรียซึ่งเป็นบุตรสาวตระกูลดยุคมาเจนต้ายืนอยู่เคียงข้าง

ผู้คนต่างจ้องมองทั้งสองด้วยความชื่นชมและอิจฉาคู่รักในอุดมคติ ผู้ซึ่งจะมีบทบาทในการปกครองอาณาจักรสืบต่อไป

แต่อุดมคติเหล่านั้นก็เริ่มเรือนลางเมื่อมีบุตรสาวตระกูลบารอนแทรกเข้ามา และในตอนนี้เธอก็กำลังยืนอยู่ในอ้อมแขนของอัลการ์ด

 

“…เจ้าชายอัลการ์ด ทำไมท่านถึงต้องการยกเลิกการหมั้นหมายของพวกเรากันละคะ”

 

ยูฟีเรียถามอัลการ์ดช้าๆแต่หนักแน่นด้วยน้ำเสียงที่ไม่สั่นคลอน

หมัดของเธอถูกกำแน่นจนไม่แปลกใจหากจะมีเลือดไหล

เพื่อตอบคำถามนั้น อัลการ์ดจ้องยูฟีเรียกลับอย่างเย็นชา

 

“เพราะเจ้าไม่คู่ควร และข้าก็จะไม่มีวันยอมยกโทษให้กับการกระทำอันชั่วช้าที่เจ้าได้กระทำต่อ เรย์อิน เซนต์ เป็นอันขาด!”

 

ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างกายอัลการ์ดก็คือ เรย์อิน เซนต์ สาวงามที่มีใบหน้าน่ารักและดวงตาที่เปื้อนไปด้วยหยดน้ำตา กระตุ้นให้ใครๆต่างก็อยากจะเข้าไปปกป้อง

ท่าทีของเธอที่สั่นกลัวราวกับสามารถล้มลงได้ทุกเมื่อ ตรงกันข้ามกับยูฟีเรียที่ยืนอย่างองอาจด้วยนัยน์ตาที่แหลมคม

เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างอัลการ์ดและยูฟีเรียก็เป็นแค่การหมั่นหมายทางการเมือง

เป็นแค่การทำหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ของอาณาจักร

ในด้านความรู้สึกหรือสายสัมพันธ์ที่มีต่อกันเรียกได้ว่า ไปได้ไม่ดีนัก

นั่นเป็นเหตุให้เรย์อินที่มีเสน่ห์แบบตรงกันข้ามกับของยูฟีเรียทุกอย่าง สามารถเข้าไปอยู่ในหัวใจของอัลการ์ดได้อย่างง่ายดาย ถ้าจะให้พูดก็ไม่ได้มีเพียงอัลการ์ดคนเดียวที่ถูกช่วงชิงหัวใจไป
อย่างไรก็ตามเรย์อินนั้นเป็นบุตรสาวของบารอน ไม่ใช่คนที่จะสามารถยืนเคียงข้างอัลการ์ดได้เลย

ยูฟีเรียที่มีความเกี่ยวข้องเป็นคู่หมั่นจึงได้เข้าไปตักเตือน

ด้วยเหตุนี้เอง ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองที่ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้ว จึงเริ่มกลายเป็นความบาดหมางอย่างแท้จริง

แรกเริ่ม อัลการ์ดเองก็ไม่ค่อยชอบยูฟีเรียเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย

ยิ่งเป็นยูฟีเรียที่ทั้งถือตัวและเป็นคนมีมาตรฐานสูง ทำให้เริ่มมีทัศนคติที่แข็งกระด้างต่อเรย์อินมากเท่าไหร่ อัลการ์ดก็เริ่มจ้องมองเธออย่างไม่พอใจมากขึ้นเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวลือที่เริ่มปะทุขึ้นท่ามกลางเหล่าบุตรชายและบุตรสาวชนชั้นสูงที่เข้าเรียนในสถาบัน ก็เป็นดั่งการสาดน้ำมันลงบนกองไฟ ที่ช่วยให้ความสัมพันธ์ทั้งสองคนกระอักกระอ่วนจนยากจะแก้ไข เหมือนกับบ้านที่สร้างจากไพ่ซึ่งโอนเอนอยู่แล้วได้พังทลายลง

แต่ในขณะที่ความรู้สึกของอัลการ์ดที่มีต่อยูฟีเรียแปลเปลี่ยนไปกลายเป็นความเย็นชา

แล้วความรู้สึกของยูฟีเรียที่มีต่ออัลการ์ดละเป็นเช่นไร?

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้รักเขาจริงๆ แต่เธอก็รู้สึกได้ถึงความรับผิดชอบต่ออาณาจักรที่มีร่วมกัน และตั้งใจจะสนับสนุนเขาในฐานะเสาหลักของอาณาจักร

นั่นคือ ความรู้สึกทั้งหมดที่เธอมีให้กับผู้ชายที่ชื่ออัลการ์ดตลอดสองปีที่ผ่านมา

แน่นอนว่าเธอยังไม่ละทิ้งความเป็นไปได้ ที่วันหนึ่งความรู้สึกของเธอจะเบ่งบานกลายเป็นความรัก 

นั่นคือสิ่งที่ยูฟีเรียเชื่อว่าดีที่สุดแล้วเพื่อทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จลุล่วง ในขณะที่สนับสนุนอัลการ์ดทุกวิถีทางที่เธอสามารถทำได้…

ดังนั้นแล้ว การถอนหมั่นจึงไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เธอตกใจมากที่สุด แต่มันคือพฤติกรรมของอัลการ์ดต่างหาก

 

“หม่อมฉันไม่รู้ว่า ‘การกระทำอันชั่วช้า’ ที่ท่านพูดหมายถึงอะไร แต่ว่าองค์ชายอัลการ์ด ท่านได้รับอนุญาตจากองค์ราชาแล้วรึคะ?”

“ข้าจะให้ท่านพ่ออนุญาตหลังจากนี้เอง”

“ทำไม…ทำไมท่านถึงได้พยายามยุติการหมั้นหมายที่ท่านพ่อของพวกเราตัดสินใจด้วยตัวเองกันละคะ….?! เข้าใจไหมท่านว่ากำลังทำอะไรอยู่!”

 

ยูฟีเรียตะโกนคำนั้นออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา เพราะว่ามันเป็นการกระทำที่มีผลต่อความมั่นคงของอาณาจักร

และเป็นการแต่งงานทางการเมืองที่พวกผู้ใหญ่ตัดสินใจกันเมื่อทั้งคู่ยังเป็นเด็ก

ถ้าหากเขาได้รับอนุญาตจากองค์ราชาให้ยุติการหมั่นหมายเธอเองก็คงจะไม่ต่อต้าน

แต่เธอไม่อยากเชื่อเลยว่าอัลการ์ดจะประกาศถอนหมั้นด้วยตัวของเขาเองโดยไม่ได้ปรึกษากับใครก่อน

ยิ่งไปกว่านั้น การหมั้นหมายครั้งนี้ก็เป็นการร้องขอจากราชวงศ์ถึงตระกูลดยุคมาเจนต้าโดยตรง หรือก็คือ มันเป็นฝ่ายของอัลการ์ดเองที่มาหาบิดาของเธอและทำให้มันเกิดขึ้น

การประกาศถอนหมั้นอย่างกระทันของอัลการ์ดจะทำให้เกิดปัญหาต่างๆตามมามากมาย

 

“ข้าจะไม่ฟังการคัดค้านใดๆของท่านพ่อหรือว่าท่านแม่! นี่คือชีวิตของข้าและข้าจะเป็นคนสร้างเส้นทางชีวิตของตนเอง!”

“แต่มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ค่ะ! โปรดพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้งเถอะค่ะองค์ชายอัลการ์ด! เมื่อใดกันที่ดวงตาท่านมืดบอดเช่นนี้!”

“มืดบอดงั้นรึ! คนเดียวในที่นี้ที่ดวงตามืดบอดก็คือเจ้า! ยูฟีเรีย! เจ้ามันไม่คู่ควรต่อตำแหน่งราชินี ทั้งลุ่มหลงในความทะเยอทะยานและกระทำเรื่องที่ต่ำช้าไม่น่าอภัย…!”

“หมายความยังไงกันคะ…?!”

“เจ้าก่อกวนและคุกคามเรย์อิน ขโมยและทำลายทรัพย์สินส่วนตัวของเธอ หรือแม้กระทั่งพยายามลอบสังหาร! คนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือเจ้า!”

“พวกเราทุกคนสามารถเป็นพยานให้ได้ การกระทำอันชั่วช้าที่เจ้ากระทำต่อเรย์อินนั้นมีมากมายเกินกว่าจะนับ!”

 

ชายกลุ่มหนึ่งก้าวไปยืนข้างหลังอัลการ์ด พวกเขาทั้งหมดเป็นบุตรชายของตระกูลขุนนางที่มีชื่อเสียงซึ่งมีอำนาจมากมายในประเทศนี้

ยิ่งไปกว่านั้น ยูฟีเรียยังจำได้ว่าพวกเขาว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่อยู่ใกล้ชิดกับเรย์อิน

จริงอยู่ที่ยูฟีเรียถูกผู้ชายบางส่วนมองว่าเป็นตัวน่ารำคาญ ซึ่งนั้นเกิดมาจากผลการเรียนอันยอดเยี่ยมของเธอ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาด้านวิชาการ เวทย์มนตร์ หรือแม้แต่วิชาดาบ ก็ไม่มีใครสามารถทัดเทียมได้

เธอสนุกกับการฝึกฝนทักษะการต่อสู้เพื่อจะได้เอาไว้ป้องกันตัวเอง อีกทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์

เมื่อรวมทักษะเหล่านี้เข้าด้วยกัน เธอจึงถูกนับว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักร

ควบคู่ไปกับทัศนคติที่เด็ดขาดและรูปลักษณ์ที่เฉียบแหลม ทำให้เธอทั้งถูกอิจฉาและต้องเหินห่างจากใครหลายๆคน

และเนื่องจากเติบโตมาพร้อมกับการฝึกฝนเพื่อขึ้นเป็นราชินี ยูฟีเรียนั้นพยายามที่จะเอาชนะอุปสรรคทุกอย่างที่เธอต้องเผชิญอยู่ด้วยตัวเพียงคนเดียว

ทำให้ในบางครั้งเธอก็ไม่ได้ตระนักถึงความรู้สึกของคนรอบข้าง หรือก็คือเธอไม่สนใจที่จะรับฟังความเห็นของผู้อื่น

นั่นเป็นสาเหตุที่นอกจากอัลการ์ดแล้ว ยังมีคนอื่นๆมาร่วมเข้าแถวกล่าวหาเธอด้วย

ความถูกต้องควรอยู่ข้างข้าสิ แล้วทำไมพวกเขาถึงได้ทำแบบนี้ละ? นั่นคือสิ่งที่ยูฟีเรียคิด

 

“จงสำนึกผิดในการกระทำของตนเองและขอโทษเรย์อินซะ! ยูฟีเรีย มาเจนต้า!”

 

เธอต้องขอโทษ แต่มันต้องขอโทษเรื่องอะไรละ?

ไม่เห็นจะเข้าใจเลย

เพราะไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน เธอจึงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองทำอะไรผิด 

ต้องรีบแก้สถานการณ์ คัดค้านว่าทุกๆอย่างมันเป็นเรื่องเข้าใจผิด

แต่ถึงแบบนั้น คำพูดต่างๆมากมายกับติดอยู่ที่ลำคอ

ไม่มีใครในที่นี้เชื่อเธอเลย

ถึงจะรู้ว่าตัวเองถูกต้องและสิ่งที่ออกจากปากตัวเองเป็นความจริง

และเมื่อพูดออกไปทุกๆอย่างจะต้องเรียบร้อย…แต่ความเป็นจริงนั้นกลับแตกต่างออกไป

ถึงไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอถูกใส่ร้าย แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป พวกเขาไม่ได้แสดงท่าทีอาฆาตพยาบาท แต่กลับแสดงออกด้วยความเชื่อและทัศนคติของตนเอง

ไม่เห็นจะเข้าใจเลย

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม ยูฟีเรีย มาเจนต้า

ผู้ซึ่งยืนหยัดอย่างเข้มแข็งมาโดยตลอด กลับรู้สึกว่าขาของตนเริ่มอ่อนแรงเมื่อต้องเชิญกับความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้า

ราวกับเธอกำลังคุกเข่าลงกับพื้นและร้องขอการให้อภัย

…แต่ก่อนที่เธอจะล้มลง ยูฟีเรียก็ได้ยินเสียงแปลกๆเข้า

 

“….เอ๊ะ?”

 

ไม่ใช่แค่ยูฟีเรียคนเดียว พวกอัลการ์ดรวมถึงทุกคนในห้องต่างก็เงี่ยหูฟังเสียงปริศนาที่พุ่งตรงมาจากหน้าต่างบานใหญ่

เป็นเสียงลมกรรโชกอย่างรุนแรงผสมกับ…เสียงกรีดร้อง?

 

“อ๊าาา!?!?!?!?!?”

 

เสียงกรีดร้องดังลั่น พร้อมกับหน้าต่างบานใหญ่ที่ถูกกระแทกอย่างแรงจนแตกละเอียด

ห๊ะ? คำๆเดียวที่แทนความรู้สึกของทุกคน มีบางสิ่งพุ่งเข้ามาในห้อง สิ่งนั้นไถลไปตามพื้นก่อนจะหยุดอยู่ระหว่างยูฟีเรียกับอัลการ์ด

บรรยากาศที่ราวกับห้องลงทัณฑ์ถูกพัดหายไป ผู้ที่อยู่ใกล้หน้าต่างซึ่งรอดจากการถูกพุ่งชน ต่างมองไปที่สิ่งนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา

 

“อู้ยย…ควบคุมยากชะมัดยังต้องวิจัยอีกมากเลยนะเนี่ย หื้ม?”

 

สาวงามปริศนายืนขึ้นและปัดเศษกระจกที่ติดตามเสื้อผ้าออก

เธอสวมเสื้อแจ็คเก็ตหนังและกางเกงขายาวที่เคลื่อนไหวสะดวก แต่มันกลับไม่ทำให้เธอดูแปลกแยกกับงานปาตี้ที่มีชุดเดรสและอาหารค่ำสุดหรูหรา

นั่นก็เพราะเธอมีเสน่ห์ที่ยากจะต้านทาน แม้ว่าจะไม่ได้แต่งหน้าแต่กลับสามารถดึงดูดสายตาของผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย บางทีอาจเป็นเพราะความร่าเริงนั่นก็ได้

ถึงใบหน้าจะเลอะไปด้วยฝุ่นดำแต่ก็ไม่สามารถลดทอนความสง่างามของเธอลงได้

หญิงสาวก้มลงหยิบไม้กวาดขึ้นมาและตรวจสอบอย่างละเอียด

ดวงตาสีเขียวเข้มของเธอทำให้ทุกคนที่ได้เห็นต่างก็หลงใหล

แต่ที่ทำให้พวกเขาตกใจมากที่สุดก็คือเธอมีสีผมแพลตินั่มบลอนด์เช่นเดียวกับอัลการ์ด ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของราชวงศ์

 

“อ…อ่ะ…!!”

 

อัลการ์ดชี้มาที่เธอด้วยน้ำเสียงสั่นเทา จากนั้นเขาค่อยๆเปลี่ยนจากความตกตะลึงมาเป็นความโกรธ

เมื่อเธอสังเกตเห็นเขาก็โบกมือขึ้นอย่างสบายๆ

 

“โอ๊ะ? งายอัลคุง! นี่ข้าเข้ามาขัดอะไรหรือ?”

“ท่านพี่!?”

 

อานิสเฟียร์ วอน พาเลทเทีย ยิ้มตอบอย่างร่าเริง เจ้าหญิงผู้ซึ่งได้ฉายาว่าเด็กมีปัญหาแห่งอาณาจักรพาเลทเทีย

‘ที่สุดของเด็กมีปัญหาในประวัติศาสตร์แห่งอาณาจักรพาเลทเทีย’ ‘ผู้ที่เพี้ยนที่สุดในอาณาจักร’ ‘ความเดือดดาลของราชวงศ์’ และชื่ออื่นๆอีกมากมาย

เธอคืออานิสเฟียร์ วอน พาเลทเทีย ความเพี้ยนของเธอดูเหมือนจะทวีคูณขึ้นทุกวัน อีกทั้งยังก่อความวุ่นวายอีกนับไม่ถ้วน จนคำว่า “โอ๊ะ เจ้าหญิงอานิสเฟียร์อีกแล้วเหรอ?”ได้กลายเป็นหนึ่งในวลีที่พบบ่อยที่สุดในเมืองหลวง

ว่ากันว่าเธอเคยพยายามใช้เวทลมในการบินแต่ก็จบด้วยการเอาหัวพุ่งปักกำแพง

ว่ากันว่าเธอเคยพยายามใช้เวทไฟต้มน้ำเพื่อลองทำ ‘อ่างอาบน้ำ’ แต่ก็ลงเอยด้วยการลวกตัวเอง

ว่ากันว่าเธอเป็นผู้ที่ปราบกลุ่มมอนสเตอร์ที่ขัดขวางโครงการสร้างถนนใหม่ด้วยตัวเธอเองเพียงลำพัง

ว่ากันว่าเธอได้ทำให้หัวใจของพระราชาผู้หน้าสงสารแตกสลายเป็นฝุ่นเมื่อบอกว่าตนเองไม่อยากแต่งงาน

และอื่นๆอีกมากมายเมื่อพูดถึงเจ้าหญิงอานิสเฟียร์

เธอเป็นองค์หญิงที่เพี้ยนแบบสุดๆ แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าคนบ้าและอัจฉริยะเป็นเหมือนกับเหรียญสองด้าน

และมีวลียอดนิยมที่หลายคนที่ใช้อธิบายเกี่ยวกับตัวเธอ

‘อัจฉริยะผู้หลงรักเวทมนตร์ยิ่งกว่าใครๆ แต่ก็เป็นผู้ที่เวทมนตร์เกลียดชังมากที่สุด’

เจ้าหญิงที่ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ซึ่งราชวงศ์และเหล่าชนชั้นสูงทั่วไปสามารถใช้ได้

นั่นแหละคืออานิสเฟียร์ วอน พาเลทเทีย

และเนื่องจากไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้เหมือนกับคนอื่นๆ เธอจึงได้กลายเป็นมารดาผู้บุกเบิก ‘ศาสตร์แห่งเวทมนตร์’ ซึ่งเธอได้ขนานนามมันว่า ‘เวทมนต์วิทยา’

***

‘นี่มัน…ไม่ใช่ว่าโผล่มาได้ผิดจังหวะสุดๆเลยเหรอ?’

ข้าอานิสเฟียร์ วอน พาเลทเทีย ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย

มีเหล่าชายหญิงมากมายยืนอยู่รอบห้อง ดูจากชุดแล้วคงจะเป็นพวกลูกขุนนางแถมยังมองมาที่ข้าแบบแปลกๆด้วย

แบบนี้มันเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่เลยไหมเนี่ย?

เมื่อกี้ข้าเพิ่งลองบินทดสอบตอนกลางคือด้วยอุปกรณ์เวทมนต์ และตอนที่กำลังฝันโรแมนติกๆอย่างการเอื้อมมือไปคว้าดวงดาวบนท้องฟ้า รู้ตัวอีกทีก็ตกลงมาที่นี่ซะแล้ว

ว่าแล้วข้าก็รีบตรวจสอบสภาพของอุปกรณ์เวทมนต์ ‘ไม้กวาดแม่มด’ ทันที ถ้ามันพังขึ้นมาข้าคงร้องไห้หนักมาก แต่โชคดีที่มันไม่ได้เสียหายตรงไหน นอกจากชื่อเสียงของข้าอ่ะนะ เพราะงั้นไม่มีปัญหา!

และเมื่อหันไปมองรอบๆ ก็ได้พบกับน้องชายของข้า อัลการ์ดนั่นเอง! ดูเหมือนจะกำลังโกรธอะไรข้าอยู่ด้วย ดูสิจ้องตาเขม็งเลย

หืม? ว่าแต่เด็กคนนั้นกอดใครอยู่น่ะไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนั้นมาก่อนเลย เหมือนกำลังพยายามจะปกป้องเธออยู่เหรอ?

คนที่อยู่ตรงนั้นควรจะเป็นคู่หมั่นของอัลคุงไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงได้ยืนอยู่ตรงข้ามกันละ?

 

“เฮ้ อัลคุงมีผู้หญิงคนอื่นด้วยเหรอ ไม่ใช่ว่านายมีคุณหนูยูฟีเรียอยู่แล้วนิ?”

“….นะ-นั่นมันไม่เกี่ยวกับเธอ!!”

 

ทำไมต้องโกรธข้าด้วยละ ไม่สิก็โกรธได้แหละ

จากนั้นดูเหมือนเขาจะกลัวเล็กน้อยแล้วก็ถอยหลังไปก้าวนึง ดูท่าจะเป็นเพราะแผลใจในอดีตซึ่งข้าก็คิดว่ามันช่วยไม่ได้

แต่เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันคนละเรื่องกัน ข้าอาจเป็นแกะดำของราชวงศ์แต่ถึงแบบนั้นก็ยังคิดว่ามันแปลกๆที่ว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไปจะไม่ยืนอยู่ข้างราชินีในอนาคต

 

“อืม คุณหนูยูฟีเรียหรือว่าเธอจะเป็นนางสนมเหรอ?”

 

ข้าละสายตาจากอัลคุงและหันไปมองคุณหนูยูฟีเรีย เหมือนเธอจะตกใจกับกับคำถามจากนั้นเธอก็ก้มหน้าลงมองพื้น

 

“หื้ม? มีอะไรหรือเปล่า?”

“ไม่ค่ะ คือ….”

 

หื้ม? เป็นอะไรไปน่ะ? ปกติยูฟีเรียเป็นหญิงแกร่งที่สามารถแสดงความคิดเห็นของตนเองออกมาตรงๆแม้แต่กับพวกผู้ใหญ่ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงมีคุณสมบัติเหมาะจะเป็นราชินีในอนาคต แต่ตอนนี้เธอดูเหมือนกำลังจะร้องไห้….เดี๋ยวนะ เธอกำลังร้องไห้อยู่จริงๆนิ?

หรือเพราะข้าเผลอไปทำหน้าต่างแตก?

ไม่สิ เดี๋ยวก่อนๆ สถานการณ์แบบนี้ คนยืนมุงรอบๆแบบนี้ รู้สึกคุ้นๆเหมือนเคยเห็นมาก่อน…?

 

“อ่ะ รู้แล้ว หรือว่ากำลังถูกใส่ความแล้วถอนหมั่นเหรอ?”

“…!!”

 

ทำไมถึงรู้ได้ละ?…เธอมองกลับมาที่ข้าคล้ายกับจะถามแบบนั้น

สีหน้าเรียบเฉยที่เหมือนกับหน้ากากเหล็กของเธอจางหายไปพร้อมกับแววตาประหลาดใจ

…เอ๋ เอาจริงเหรอ? ในชาติก่อนก็พอจำพล๊อตเรื่องประมาณนี้ได้อยู่หรอก แต่เรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นจริงได้ด้วยเหรอ?

 

“ดูจากสถานการณ์แล้ว หรือว่าเธอกำลังตัวคนเดียวอยู่?”

“เอ่อ ทำไม…?”

“อืม…ดีล่ะ! ตัดสินใจได้แล้ว!”

 

ข้าไม่รู้ว่าฝ่ายไหนถูก บางทีอาจจะทั้งถูกและผิดด้วยกันทั้งคู่ก็ได้ แต่ตอนนี้ข้าจะปกป้องยูฟีเรียที่ไม่มีคนอยู่เคียงข้างก่อน แล้วก่อนหาว่าใครถูกทีหลัง

 

“ไปกันเถอะคุณหนูยูฟีเรีย ข้าจะเป็นคนลักพาตัวเธอไปเอง”

“…เอ๊ะ?”

“ข้าเป็นคนลักพาตัวคุณหนูยูฟีเรียไปเอง ดังนั้นแล้วอย่ามาโทษเธอล่ะ! งั้นก็ไปจากที่นี่กันเถอะ! แล้วก็อัล ข้าจะบอกเรื่องนี้ให้ท่านแม่กับท่านพ่อรับรู้ด้วย ดังแล้วเรามีประชุมครอบครัวกันต่อ เข้าใจนะ!”

 

ข้าเดินเข้าไปหายูฟีเรียแล้วใช้แขนอุ้มเธอเอาไว้ ปกติแล้วคงต้องใช้ท่าอุ้มเจ้าหญิงแต่ดันเหลือมือแค่ข้างเดียวนี่สิ

 

“อ่ะ อ๊าาา…!”

“ดะ-เดี่ยวก่อนท่านพี่”

“แล้วเจอกันนะอัลคุง!”

 

รู้สึกราวกับเป็นจอมโจรผู้ยิ่งใหญ่พร้อมกับโชว์รอยยิ้มสุดเท่ จากนั้นก็หนีบยูฟีเรียเอาไว้ข้างเอว ถ่ายเทพลังเวทย์ลงไปยังตราประทับที่สลักเอาไว้บนร่างกายของตัวเอง

ข้าออกแรงถีบพื้นกระโจนผ่านบานหน้าต่างที่พังเข้ามา ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและถูกแรงโน้มถ่วงฉุดลงมา ยูฟีเรียที่รู้สึกได้เริ่มกรีดร้องออกมา

 

“ไม่น้าาาา?!?!?!”

“วะฮ่าฮ่าฮ่า! บันจี้จัมพ์ไร้เชือกแสนสนุกยังไงล่ะ! ยินดีต้อนรับสู่สายการบินเฟิร์สคลาสนะคุณหนูยูฟีเรีย!”

 

ก่อนที่พวกเราจะกระแทกพื้น ข้าได้ถ่ายเทพลังเวทย์จากร่างกายลงสู่ไม้กวาดแม่มด ทันใดนั้นร่างกายของพวกเราก็พุ่งทะยานขึ้นด้วยความรวดเร็ว

งั้นก็ไปเยี่ยมท่านพ่อกันเลย!

***

เจ้าหญิงผู้ซึ่งถูกเกลียดชังโดยเวทมนต์

แม้ว่าบรรดาราชวงศ์แล้วชนชั้นสูงจะสามารถใช้เวทมนต์ได้ แต่เธอกับใช้เวทย์ง่ายๆไม่ได้ด้วยซ้ำ

แต่ถึงแบบนั้นแล้วเธอก็ยังรักและหลงใหลในเวทมนต์ เธอจึงคิดว่า

‘งั้นก็แค่สร้างอุปกรณ์ที่ให้ผลเหมือนหรือมากกว่าเวทมนต์ก็พอแล้วนี่’

และนี่คือตำนานของเจ้าหญิง ผู้ที่จะฝากเรื่องราวอันแสนแปลกประหลาดของตนเองเอาไว้ในในประวัติศาสตร์สืบต่อไป

 

 

ถ้าสำนวนแปลกๆหรือแปลผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วย

แปลตอนว่างๆไปเรื่อยๆ ดังนั้นอาจจะลงได้ไม่บ่อยมากนัก ยังไงก็ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน๊า~

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Tensei Oujo to Tensai Reijou no Mahou Kakumei 1

Now you are reading Tensei Oujo to Tensai Reijou no Mahou Kakumei Chapter 1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Chapter 1

ข้าชอบ “เวทมนตร์” เพราะมันสามารถสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับทุกคนได้

ข้ารักเวทมนตร์ แต่มันกลับเป็นสิ่งที่ห่างไกล…ไกลเกินเอื้อมถึง

ถ้าหากสมมุติว่ามีตะเกียงวิเศษละก็ ข้าจะใช้พรทั้งสามข้อแลกกับหนึ่งความปรารถนาด้วยความยินดี ข้าอยากจะเป็นผู้ใช้เวทมนตร์

นั่นคือสิ่งแรกที่รู้สึกหลังได้รับความทรงจำในอดีตคืนกลับมา

***

ชื่อของข้าคือ อานิสเฟียร์ วอน พาเลทเทีย เจ้าหญิงลำดับที่หนึ่งแห่งอาณาจักรพาเลทเทีย

ทุกอย่างมันเริ่มขึ้นตอนอายุห้าขวบขณะที่กำลังแหงนมองขึ้นไปบนฟ้า

ถ้าหากข้ามีเวทมนตร์แล้วละก็ คงจะสามารถบินไปบนท้องฟ้านั้นได้แท้ๆ ความคิดแบบนั้นที่วนเวียนอยู่ในหัวเป็นเหมือนกับตัวกระตุ้น

แค่ใช้เวทมนตร์ได้ข้าก็จะบินได้ แล้วทำไมอยู่ๆถึงคิดแบบนั้นละ? 

แต่ก่อนที่จะรู้ถึงตอบ ความทรงจำในชาติที่แล้วที่ได้หลงลืมไปจนหมดกลับผุดขึ้นมาในหัว

มันรู้สึกเหมือนกับมีใครสักคนวางชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ที่สูญหายไปกลับเข้าที่เดิม นั่นคือจุดเปลี่ยนในชีวิตของอานิสเฟียร์ วอน พาเลทเทีย

ความทรงจำนั้นเต็มไปด้วยสิ่งของแปลกๆที่ไม่มีในโลกใบนี้ เครื่องบินที่พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า รถที่วิ่งตัดผ่านกันไปมาบนถนนลาดยางและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆอีกมากมาย

แต่ข้ากลับไม่เคยเห็นมันผ่านตาคู่นี้มาก่อน เท่าที่รู้โลกใบนี้ไม่มีของอย่างเครื่องบินและรถ มีเพียงนกและสัตว์อสูรเท่านั้นที่สามารถขึ้นไปแหวกว่ายบนท้องฟ้าได้ มีเพียงรถม้าเท่านั้นที่วิ่งไปบนถนนที่ขรุขระและไม่ได้ปูด้วยยางมะตอย

ครอบครัวขุนนางชนชั้นสูงซึ่งมีอำนาจปกครองประเทศน่าจะเป็นสิ่งที่มีอยู่แค่ในนิทาน แต่ตัวข้ากลับเป็นเจ้าหญิงตัวจริงเสียงจริง

ในขณะที่กำลังคิดถึงเรื่องต่างๆอยู่นั้น คำๆแรกที่ออกมาจากปากก็คือ

 

“แย่ล่ะสิ”

 

เพราะอยู่ๆความทรงจำในอดีตก็กลับมาทำให้ความคิดและความรู้สึกในชาติที่แล้ว มันมีตัวตนเหนือกว่าตัวตนของสาวน้อยอย่างอานิสเฟียร์

หน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะสมาชิกราชวงศ์งั้นเหรอ? ความภาคภูมิใจในฐานะชนชั้นขุนนางงั้นเหรอ? ของแบบนั้นมันก็รู้อยู่หรอก แต่แล้วไงใครสน เพราะในชาติที่แล้วเองต่อให้ไม่มีขุนนาง โลกก็ยังคงหมุนต่อไปได้เลย

และเพราะค่านิยมสมัยใหม่ที่ติดตัวมานี้เอง ทำให้ข้ารู้สึกว่าตัวเองเข้ากันไม่ได้อย่างสมบูรณ์กับการดำรงอยู่ในฐานะ ‘สมาชิกราชวงศ์’ ขณะเดียวกันก็ตระหนักได้ว่าการหลุดออกจากกรอบการใช้ชีวิตแบบเดิมๆมันเป็นปัญหากว่าที่คิด เอาตรงๆเลยนะการที่อยู่ๆความทรงจำมันกลับมานี่น่ารำคาญสุดๆ

 

“อืม ช่างมันแล้วกัน”

 

ตอนนี้ข้าเพิ่งห้าขวบเอง เดี๋ยวผ่านไปสักพักสามัญสำนึกก็เปลี่ยนไปเองแหละ อย่างน้อยก็หวังว่าจะเป็นงั้นนะ

และที่สำคัญกว่านั้น คือการทำตามความฝันในชาติที่แล้วให้เป็นจริงต่างหากล่ะ

 

“ที่โลกนี้มีอยู่ใช่ไหมล่ะ? เวทมนตร์น่ะ!”

 

ใช่แล้ว ในโลกนี้เวทมนตร์ไม่ได้เป็นเพียงแค่นิทานหรือนิยายแฟนตาซีแต่มันมีอยู่จริง

ควบคุมธาตุทั้งสี่ได้แก่ ไฟ น้ำ ลม และดิน ในตอนนั้นข้ายังไม่เข้าใจถึงหลักการและทฤษฎีว่ามันทำงานอย่างไร 

แต่เมื่อได้เผชิญหน้ามากับตัวเองหัวใจข้าก็เริ่มเต้นรัว

ถ้าข้าใช้เวทมนตร์ได้จะสามารถบินไปบนท้องฟ้าได้ไหมนะ? มันจะมีเวทมนตร์แบบนั้นอยู่หรือเปล่านะ?….อ่าาาาา ตื่นเต้นซะจนเวียนหัวไปหมดแล้วสิ

 

“จะตีเหล็กก็ต้องตีตอนกำลังร้อนๆนี่แหละ”

 

คลื่นแห่งความมุ่งมั่นถาโถมเข้าใส่ ข้ากำหมัดแน่นและกระโดดลงจากเก้าอี้ ก่อนจะเปิดประตูห้องและวิ่งผ่านทางเดินของปราสาทไปอย่างรวดเร็ว

ขณะที่เคลื่อนที่ไปตามทางเดินก็ได้พบเข้ากับสาวใช้คนหนึ่ง ข้าจึงพยายามแทรกตัวไปด้านข้างเพื่อที่จะแซงหน้าเธอไป

 

“อ-องค์หญิง?! กรุณาอย่างวิ่งบนทางเดินสิคะ?!”

 

ก่อนที่จะทันได้หนี ข้ากลับถึงดึงไว้จากทางด้านหลัง เพราะยังตัวเล็กอยู่ก็เลยถูกสาวใช้คนนั้นอุ้มขึ้นมาในอ้อมแขนได้อย่างง่ายดาย

 

“มูวว คนใจร้าย”

 

เมื่อรู้ว่าหมดทางหนีแล้วข้าจึงยอมแพ้อย่างรวดเร็ว

เมื่อเธอเห็นว่าข้าเลิกขัดขืน สาวใช้ที่ชื่ออิเลียจึงปล่อยข้าลง

 

“จะรีบร้อนไปไหนงั้นหรือคะ?”

“มีเรื่องบางอย่างจะขอร้องท่านพ่อน่ะ!”

“ขอร้อง?”

“ใช่ คำขอร้องของข้า อานิสเฟียร์ วอน พาเลทเทีย ก็คือข้าอยากจะเรียนเวทมนตร์!”

“เอ๊ะ เวทมนตร์…?”

 

อิเลียคุกเข่าลงเบาๆเพื่อสบตาข้า สีหน้าเธอดูสับสนอย่างเห็นได้ชัด

 

“ใช่ ข้าอยากจะเรียนรู้วิธีการใช้เวทมนตร์”

“ดิฉันก็คิดว่าเป็นเรื่องดีที่มีแรงจูงใจ แต่ทำไมถึงกะทันหันแบบนี้คะ?”

“อยากจะบินไปบนท้องฟ้า”

“คะ?”

“บินไปบนท้องฟ้า”

“ไม่ใช่ท่านบอกว่าจะเรียนเวทมนตร์หรือคะ?”

“เพื่อใช้บินยังไงล้า!”

“ฮ้าาา….”

 

เธอทำเหมือนกับว่าสิ่งที่ข้าพูดเป็นแค่เรื่องตลก ซึ่งเป็นเรื่องปกติจากที่ข้ารู้ยังไม่มีวิธีไหนที่สามารถบินเป็นระยะทางไกลๆได้

 

“นั่นเป็นเพียงแค่หนึ่งในสิ่งที่ข้าอยากทำด้วยเวทมนตร์นะ ข้ายังอยากใช้เวทมนตร์เพื่อเอาชนะคนเลวและช่วยเหลือผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือด้วย!”

“เป็นความฝันที่วิเศษมาค่ะ แต่เพราะฝ่าบาททรงงานยุ่งมาก ดิฉันจะนำคำขอร้องของท่านไปให้ฝ่าบาทอย่างแน่นอน เพราะงั้นตอนนี้พวกเรากลับห้องท่านกันก่อนดีไหมคะ?”

“มูวว ดูท่าวันนี้คงต้องยอมแพ้แล้วฝากให้อิเลียจัดการสินะ”

“ขอบพระคุณมากค่ะ”

 

เธอตอบรับพร้อมกับวางมือบนหน้าอกตัวเองเบาๆ ประมาณว่าปล่อยให้เป็นหน้าทีของดิฉันเองค่ะ 

อิเลียเป็นคนสวยแถมยังหน้าอกใหญ่ การที่ได้มาทำงานในวังเป็นเหมือนกับการการันตีความสวยของเธอได้เป็นอย่างดี

และเพราะอิเลียรับปากว่าจะจัดการเอง จึงไม่เหลืออะไรที่ข้าทำได้อีกแล้ว ดังนั้นข้าจึงถูกพาตัวกลับมาที่ห้องของตนเอง ถึงแม้ว่าจะลองนึกถึงความทรงจำให้ชาติที่แล้วมากเท่าไหร่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งที่เป็นประโยชน์มากนัก ข้าก็เลยลองจิตนาการถึงความเป็นไปได้ต่างจนเริ่มปวดหัว

และนี่คือจุดเริ่มต้นของข้าในฐานะ อานิสเฟียร์ วอน พาเลทเทีย

จะต้องทำให้ได้! ข้าจะต้องเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ให้ได้เลย!

 

และหลังจากนั้นหลายปีข้าถึงได้รู้สึกตัว…..

***

ในอาณาจักรพาเลทเทีย มีสถาบันการศึกษาที่ได้รับเงินทุนจากอาณาจักรอยู่ ซึ่งมีไว้สำหรับบุตรชายและบุตรสาวจากราชวงศ์รวมถึงขุนนางชั้นต่างๆ

ชื่อของมันคือ สถาบันขุนนางแห่งอาณาจักรพาเลทเทีย มีแม้กระทั้งนักเรียนจากประเทศรอบๆข้างด้วย ถือได้ว่าเป็นพื้นที่เฉพาะของชั้นชนสูงเลยก็ว่าได้

แน่นอนว่าจุดประสงค์หลักคือการให้การศึกษา

กล่าวได้ว่าเน้นไปที่ผลการเรียนมากกว่าฐานะทางสังคม แต่ถึงแบบนั้นขุนนางก็ยังคงเป็นขุนนางและราชวงศ์ก็ยังคงเป็นราชวงศ์ ผู้ที่มีตำแหน่งใหญ่โตมักเกาะกลุ่มกันเอง ส่วนผู้ที่ตำแหน่งด้อยกว่าต่างก็รู้ตัวดีว่าหากไปเหยียบเท้าผิดคน อนาคตของตนเองคงจะพังพินาศ

และถึงแม้สถาบันจะเป็นพื้นที่ปิด แต่ถ้าหากผู้ปกครองถูกดึงเข้ามาร่วมการทะเลาะภายในสถาบันด้วย มันก็อาจจะเป็นชนวนซึ่งนำไปสู่การขัดแย้งทางการเมืองได้

และวันนี้เองก็เป็นวันสำคัญของสถาบัน เนื่องจากการสอบปลายภาคได้สิ้นสุดลง จึงมีการจัดงานฉลองสุดยิ่งใหญ่ให้กับความพยายามของเหล่านักเรียนทั้งหลาย

เสียงดนตรีคลาสสิกอันไพเราะถูกบรรเลงโดยวงออเคสตราเล็กๆบนเวที เป็นปาตี้ที่ตกแต่งอย่างสวยงานและมีบรรยากาศที่น่ารื่นรมย์….นั่นคือสิ่งที่มันเคยเป็น

 

“ข้าขอประกาศต่อหน้าพวกท่านทุกคนได้โปรดเป็นพยานว่า บัดนี้การหมั่นหมายระหว่างข้ากับยูฟีเรีย มาเจนต้า ได้สิ้นสุดลงแล้ว!”

 

เจ้าชายลำดับที่หนึ่งและรัชทายาทผู้สืบราชบัลลังก์แห่งอาณาจักรพาเลเทีย  อัลการ์ด วอน พาเลเทีย ได้ประกาศออกมาด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง

เพียงเพราะคำประกาศถอนหมั่นคำเดียว จากห้องปาตี้สุดผ่อนคลายกลับกลายเป็นห้องพิพากษา

เมื่อได้ยินคำๆนั้น ดวงตาของยูฟีเรีย มาเจนต้า ก็เบิกว้าง เธอกัดริมฝีปากแน่นและแหงนหน้ามองไปยังอัลการ์ดที่อยู่สูงกว่า

ยูฟีเรียเป็นบุตรสาวของดยุคมาเจนต้าซึ่งมีอำนาจมากที่สุดท่ามกลางบรรดาขุนนางทั้งหมดภายในอาณาจักร และยังเป็นผู้หญิงที่สวยสง่างามเกินคำบรรยาย เส้นผมสีเงินยาวสยายลงถึงเอว นัยน์ตาสีชมพูนั้นแฝงไปด้วยเจตจำนงอันแข็งแกร่งแน่วแน่ เคยมีคนกล่าวว่าผู้ที่มีนัยน์ตาแหลมคนเช่นนี้มักยากจะเข้าหา แต่นั้นไม่ใช่กับหญิงสาวที่ชื่อยูฟีเรีย มาเจนต้า

กลับกันสายตาอันเฉียบคมนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเสน่ห์อันน่าดึงดูด

เธอเหมาะสมกับฐานะคู่หมั้นของรัชทายาท ผู้ซึ่งวันหนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นราชินีในอนาคตโดยไร้ข้อกังขา
แต่อนาคตนั้นกลับพังทลายลงต่อหน้าเธอ

อันที่จริงนี่ไม่ใช่สิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ความขัดแย้งอย่างต่อเนื่องระหว่างอัลการ์ดกับยูฟีเรีย เป็นหัวข้อพูดคุยอันดับหนึ่งในหมู่นักเรียนของสถาบัน

อัลการ์ดในฐานะผู้สืบทอดราชบัลลังก์ เข้ามาที่สถาบันเพื่อสร้างสายสัมพันธ์กับขุนนางวัยเยาว์ทั้งหลาย รวมถึงได้รับการศึกษาในแขนงต่างๆ โดยมียูฟีเรียซึ่งเป็นบุตรสาวตระกูลดยุคมาเจนต้ายืนอยู่เคียงข้าง

ผู้คนต่างจ้องมองทั้งสองด้วยความชื่นชมและอิจฉาคู่รักในอุดมคติ ผู้ซึ่งจะมีบทบาทในการปกครองอาณาจักรสืบต่อไป

แต่อุดมคติเหล่านั้นก็เริ่มเรือนลางเมื่อมีบุตรสาวตระกูลบารอนแทรกเข้ามา และในตอนนี้เธอก็กำลังยืนอยู่ในอ้อมแขนของอัลการ์ด

 

“…เจ้าชายอัลการ์ด ทำไมท่านถึงต้องการยกเลิกการหมั้นหมายของพวกเรากันละคะ”

 

ยูฟีเรียถามอัลการ์ดช้าๆแต่หนักแน่นด้วยน้ำเสียงที่ไม่สั่นคลอน

หมัดของเธอถูกกำแน่นจนไม่แปลกใจหากจะมีเลือดไหล

เพื่อตอบคำถามนั้น อัลการ์ดจ้องยูฟีเรียกลับอย่างเย็นชา

 

“เพราะเจ้าไม่คู่ควร และข้าก็จะไม่มีวันยอมยกโทษให้กับการกระทำอันชั่วช้าที่เจ้าได้กระทำต่อ เรย์อิน เซนต์ เป็นอันขาด!”

 

ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างกายอัลการ์ดก็คือ เรย์อิน เซนต์ สาวงามที่มีใบหน้าน่ารักและดวงตาที่เปื้อนไปด้วยหยดน้ำตา กระตุ้นให้ใครๆต่างก็อยากจะเข้าไปปกป้อง

ท่าทีของเธอที่สั่นกลัวราวกับสามารถล้มลงได้ทุกเมื่อ ตรงกันข้ามกับยูฟีเรียที่ยืนอย่างองอาจด้วยนัยน์ตาที่แหลมคม

เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างอัลการ์ดและยูฟีเรียก็เป็นแค่การหมั่นหมายทางการเมือง

เป็นแค่การทำหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ของอาณาจักร

ในด้านความรู้สึกหรือสายสัมพันธ์ที่มีต่อกันเรียกได้ว่า ไปได้ไม่ดีนัก

นั่นเป็นเหตุให้เรย์อินที่มีเสน่ห์แบบตรงกันข้ามกับของยูฟีเรียทุกอย่าง สามารถเข้าไปอยู่ในหัวใจของอัลการ์ดได้อย่างง่ายดาย ถ้าจะให้พูดก็ไม่ได้มีเพียงอัลการ์ดคนเดียวที่ถูกช่วงชิงหัวใจไป
อย่างไรก็ตามเรย์อินนั้นเป็นบุตรสาวของบารอน ไม่ใช่คนที่จะสามารถยืนเคียงข้างอัลการ์ดได้เลย

ยูฟีเรียที่มีความเกี่ยวข้องเป็นคู่หมั่นจึงได้เข้าไปตักเตือน

ด้วยเหตุนี้เอง ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองที่ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้ว จึงเริ่มกลายเป็นความบาดหมางอย่างแท้จริง

แรกเริ่ม อัลการ์ดเองก็ไม่ค่อยชอบยูฟีเรียเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย

ยิ่งเป็นยูฟีเรียที่ทั้งถือตัวและเป็นคนมีมาตรฐานสูง ทำให้เริ่มมีทัศนคติที่แข็งกระด้างต่อเรย์อินมากเท่าไหร่ อัลการ์ดก็เริ่มจ้องมองเธออย่างไม่พอใจมากขึ้นเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวลือที่เริ่มปะทุขึ้นท่ามกลางเหล่าบุตรชายและบุตรสาวชนชั้นสูงที่เข้าเรียนในสถาบัน ก็เป็นดั่งการสาดน้ำมันลงบนกองไฟ ที่ช่วยให้ความสัมพันธ์ทั้งสองคนกระอักกระอ่วนจนยากจะแก้ไข เหมือนกับบ้านที่สร้างจากไพ่ซึ่งโอนเอนอยู่แล้วได้พังทลายลง

แต่ในขณะที่ความรู้สึกของอัลการ์ดที่มีต่อยูฟีเรียแปลเปลี่ยนไปกลายเป็นความเย็นชา

แล้วความรู้สึกของยูฟีเรียที่มีต่ออัลการ์ดละเป็นเช่นไร?

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้รักเขาจริงๆ แต่เธอก็รู้สึกได้ถึงความรับผิดชอบต่ออาณาจักรที่มีร่วมกัน และตั้งใจจะสนับสนุนเขาในฐานะเสาหลักของอาณาจักร

นั่นคือ ความรู้สึกทั้งหมดที่เธอมีให้กับผู้ชายที่ชื่ออัลการ์ดตลอดสองปีที่ผ่านมา

แน่นอนว่าเธอยังไม่ละทิ้งความเป็นไปได้ ที่วันหนึ่งความรู้สึกของเธอจะเบ่งบานกลายเป็นความรัก 

นั่นคือสิ่งที่ยูฟีเรียเชื่อว่าดีที่สุดแล้วเพื่อทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จลุล่วง ในขณะที่สนับสนุนอัลการ์ดทุกวิถีทางที่เธอสามารถทำได้…

ดังนั้นแล้ว การถอนหมั่นจึงไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เธอตกใจมากที่สุด แต่มันคือพฤติกรรมของอัลการ์ดต่างหาก

 

“หม่อมฉันไม่รู้ว่า ‘การกระทำอันชั่วช้า’ ที่ท่านพูดหมายถึงอะไร แต่ว่าองค์ชายอัลการ์ด ท่านได้รับอนุญาตจากองค์ราชาแล้วรึคะ?”

“ข้าจะให้ท่านพ่ออนุญาตหลังจากนี้เอง”

“ทำไม…ทำไมท่านถึงได้พยายามยุติการหมั้นหมายที่ท่านพ่อของพวกเราตัดสินใจด้วยตัวเองกันละคะ….?! เข้าใจไหมท่านว่ากำลังทำอะไรอยู่!”

 

ยูฟีเรียตะโกนคำนั้นออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา เพราะว่ามันเป็นการกระทำที่มีผลต่อความมั่นคงของอาณาจักร

และเป็นการแต่งงานทางการเมืองที่พวกผู้ใหญ่ตัดสินใจกันเมื่อทั้งคู่ยังเป็นเด็ก

ถ้าหากเขาได้รับอนุญาตจากองค์ราชาให้ยุติการหมั่นหมายเธอเองก็คงจะไม่ต่อต้าน

แต่เธอไม่อยากเชื่อเลยว่าอัลการ์ดจะประกาศถอนหมั้นด้วยตัวของเขาเองโดยไม่ได้ปรึกษากับใครก่อน

ยิ่งไปกว่านั้น การหมั้นหมายครั้งนี้ก็เป็นการร้องขอจากราชวงศ์ถึงตระกูลดยุคมาเจนต้าโดยตรง หรือก็คือ มันเป็นฝ่ายของอัลการ์ดเองที่มาหาบิดาของเธอและทำให้มันเกิดขึ้น

การประกาศถอนหมั้นอย่างกระทันของอัลการ์ดจะทำให้เกิดปัญหาต่างๆตามมามากมาย

 

“ข้าจะไม่ฟังการคัดค้านใดๆของท่านพ่อหรือว่าท่านแม่! นี่คือชีวิตของข้าและข้าจะเป็นคนสร้างเส้นทางชีวิตของตนเอง!”

“แต่มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ค่ะ! โปรดพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้งเถอะค่ะองค์ชายอัลการ์ด! เมื่อใดกันที่ดวงตาท่านมืดบอดเช่นนี้!”

“มืดบอดงั้นรึ! คนเดียวในที่นี้ที่ดวงตามืดบอดก็คือเจ้า! ยูฟีเรีย! เจ้ามันไม่คู่ควรต่อตำแหน่งราชินี ทั้งลุ่มหลงในความทะเยอทะยานและกระทำเรื่องที่ต่ำช้าไม่น่าอภัย…!”

“หมายความยังไงกันคะ…?!”

“เจ้าก่อกวนและคุกคามเรย์อิน ขโมยและทำลายทรัพย์สินส่วนตัวของเธอ หรือแม้กระทั่งพยายามลอบสังหาร! คนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือเจ้า!”

“พวกเราทุกคนสามารถเป็นพยานให้ได้ การกระทำอันชั่วช้าที่เจ้ากระทำต่อเรย์อินนั้นมีมากมายเกินกว่าจะนับ!”

 

ชายกลุ่มหนึ่งก้าวไปยืนข้างหลังอัลการ์ด พวกเขาทั้งหมดเป็นบุตรชายของตระกูลขุนนางที่มีชื่อเสียงซึ่งมีอำนาจมากมายในประเทศนี้

ยิ่งไปกว่านั้น ยูฟีเรียยังจำได้ว่าพวกเขาว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่อยู่ใกล้ชิดกับเรย์อิน

จริงอยู่ที่ยูฟีเรียถูกผู้ชายบางส่วนมองว่าเป็นตัวน่ารำคาญ ซึ่งนั้นเกิดมาจากผลการเรียนอันยอดเยี่ยมของเธอ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาด้านวิชาการ เวทย์มนตร์ หรือแม้แต่วิชาดาบ ก็ไม่มีใครสามารถทัดเทียมได้

เธอสนุกกับการฝึกฝนทักษะการต่อสู้เพื่อจะได้เอาไว้ป้องกันตัวเอง อีกทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์

เมื่อรวมทักษะเหล่านี้เข้าด้วยกัน เธอจึงถูกนับว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักร

ควบคู่ไปกับทัศนคติที่เด็ดขาดและรูปลักษณ์ที่เฉียบแหลม ทำให้เธอทั้งถูกอิจฉาและต้องเหินห่างจากใครหลายๆคน

และเนื่องจากเติบโตมาพร้อมกับการฝึกฝนเพื่อขึ้นเป็นราชินี ยูฟีเรียนั้นพยายามที่จะเอาชนะอุปสรรคทุกอย่างที่เธอต้องเผชิญอยู่ด้วยตัวเพียงคนเดียว

ทำให้ในบางครั้งเธอก็ไม่ได้ตระนักถึงความรู้สึกของคนรอบข้าง หรือก็คือเธอไม่สนใจที่จะรับฟังความเห็นของผู้อื่น

นั่นเป็นสาเหตุที่นอกจากอัลการ์ดแล้ว ยังมีคนอื่นๆมาร่วมเข้าแถวกล่าวหาเธอด้วย

ความถูกต้องควรอยู่ข้างข้าสิ แล้วทำไมพวกเขาถึงได้ทำแบบนี้ละ? นั่นคือสิ่งที่ยูฟีเรียคิด

 

“จงสำนึกผิดในการกระทำของตนเองและขอโทษเรย์อินซะ! ยูฟีเรีย มาเจนต้า!”

 

เธอต้องขอโทษ แต่มันต้องขอโทษเรื่องอะไรละ?

ไม่เห็นจะเข้าใจเลย

เพราะไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน เธอจึงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองทำอะไรผิด 

ต้องรีบแก้สถานการณ์ คัดค้านว่าทุกๆอย่างมันเป็นเรื่องเข้าใจผิด

แต่ถึงแบบนั้น คำพูดต่างๆมากมายกับติดอยู่ที่ลำคอ

ไม่มีใครในที่นี้เชื่อเธอเลย

ถึงจะรู้ว่าตัวเองถูกต้องและสิ่งที่ออกจากปากตัวเองเป็นความจริง

และเมื่อพูดออกไปทุกๆอย่างจะต้องเรียบร้อย…แต่ความเป็นจริงนั้นกลับแตกต่างออกไป

ถึงไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอถูกใส่ร้าย แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป พวกเขาไม่ได้แสดงท่าทีอาฆาตพยาบาท แต่กลับแสดงออกด้วยความเชื่อและทัศนคติของตนเอง

ไม่เห็นจะเข้าใจเลย

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม ยูฟีเรีย มาเจนต้า

ผู้ซึ่งยืนหยัดอย่างเข้มแข็งมาโดยตลอด กลับรู้สึกว่าขาของตนเริ่มอ่อนแรงเมื่อต้องเชิญกับความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้า

ราวกับเธอกำลังคุกเข่าลงกับพื้นและร้องขอการให้อภัย

…แต่ก่อนที่เธอจะล้มลง ยูฟีเรียก็ได้ยินเสียงแปลกๆเข้า

 

“….เอ๊ะ?”

 

ไม่ใช่แค่ยูฟีเรียคนเดียว พวกอัลการ์ดรวมถึงทุกคนในห้องต่างก็เงี่ยหูฟังเสียงปริศนาที่พุ่งตรงมาจากหน้าต่างบานใหญ่

เป็นเสียงลมกรรโชกอย่างรุนแรงผสมกับ…เสียงกรีดร้อง?

 

“อ๊าาา!?!?!?!?!?”

 

เสียงกรีดร้องดังลั่น พร้อมกับหน้าต่างบานใหญ่ที่ถูกกระแทกอย่างแรงจนแตกละเอียด

ห๊ะ? คำๆเดียวที่แทนความรู้สึกของทุกคน มีบางสิ่งพุ่งเข้ามาในห้อง สิ่งนั้นไถลไปตามพื้นก่อนจะหยุดอยู่ระหว่างยูฟีเรียกับอัลการ์ด

บรรยากาศที่ราวกับห้องลงทัณฑ์ถูกพัดหายไป ผู้ที่อยู่ใกล้หน้าต่างซึ่งรอดจากการถูกพุ่งชน ต่างมองไปที่สิ่งนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา

 

“อู้ยย…ควบคุมยากชะมัดยังต้องวิจัยอีกมากเลยนะเนี่ย หื้ม?”

 

สาวงามปริศนายืนขึ้นและปัดเศษกระจกที่ติดตามเสื้อผ้าออก

เธอสวมเสื้อแจ็คเก็ตหนังและกางเกงขายาวที่เคลื่อนไหวสะดวก แต่มันกลับไม่ทำให้เธอดูแปลกแยกกับงานปาตี้ที่มีชุดเดรสและอาหารค่ำสุดหรูหรา

นั่นก็เพราะเธอมีเสน่ห์ที่ยากจะต้านทาน แม้ว่าจะไม่ได้แต่งหน้าแต่กลับสามารถดึงดูดสายตาของผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย บางทีอาจเป็นเพราะความร่าเริงนั่นก็ได้

ถึงใบหน้าจะเลอะไปด้วยฝุ่นดำแต่ก็ไม่สามารถลดทอนความสง่างามของเธอลงได้

หญิงสาวก้มลงหยิบไม้กวาดขึ้นมาและตรวจสอบอย่างละเอียด

ดวงตาสีเขียวเข้มของเธอทำให้ทุกคนที่ได้เห็นต่างก็หลงใหล

แต่ที่ทำให้พวกเขาตกใจมากที่สุดก็คือเธอมีสีผมแพลตินั่มบลอนด์เช่นเดียวกับอัลการ์ด ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของราชวงศ์

 

“อ…อ่ะ…!!”

 

อัลการ์ดชี้มาที่เธอด้วยน้ำเสียงสั่นเทา จากนั้นเขาค่อยๆเปลี่ยนจากความตกตะลึงมาเป็นความโกรธ

เมื่อเธอสังเกตเห็นเขาก็โบกมือขึ้นอย่างสบายๆ

 

“โอ๊ะ? งายอัลคุง! นี่ข้าเข้ามาขัดอะไรหรือ?”

“ท่านพี่!?”

 

อานิสเฟียร์ วอน พาเลทเทีย ยิ้มตอบอย่างร่าเริง เจ้าหญิงผู้ซึ่งได้ฉายาว่าเด็กมีปัญหาแห่งอาณาจักรพาเลทเทีย

‘ที่สุดของเด็กมีปัญหาในประวัติศาสตร์แห่งอาณาจักรพาเลทเทีย’ ‘ผู้ที่เพี้ยนที่สุดในอาณาจักร’ ‘ความเดือดดาลของราชวงศ์’ และชื่ออื่นๆอีกมากมาย

เธอคืออานิสเฟียร์ วอน พาเลทเทีย ความเพี้ยนของเธอดูเหมือนจะทวีคูณขึ้นทุกวัน อีกทั้งยังก่อความวุ่นวายอีกนับไม่ถ้วน จนคำว่า “โอ๊ะ เจ้าหญิงอานิสเฟียร์อีกแล้วเหรอ?”ได้กลายเป็นหนึ่งในวลีที่พบบ่อยที่สุดในเมืองหลวง

ว่ากันว่าเธอเคยพยายามใช้เวทลมในการบินแต่ก็จบด้วยการเอาหัวพุ่งปักกำแพง

ว่ากันว่าเธอเคยพยายามใช้เวทไฟต้มน้ำเพื่อลองทำ ‘อ่างอาบน้ำ’ แต่ก็ลงเอยด้วยการลวกตัวเอง

ว่ากันว่าเธอเป็นผู้ที่ปราบกลุ่มมอนสเตอร์ที่ขัดขวางโครงการสร้างถนนใหม่ด้วยตัวเธอเองเพียงลำพัง

ว่ากันว่าเธอได้ทำให้หัวใจของพระราชาผู้หน้าสงสารแตกสลายเป็นฝุ่นเมื่อบอกว่าตนเองไม่อยากแต่งงาน

และอื่นๆอีกมากมายเมื่อพูดถึงเจ้าหญิงอานิสเฟียร์

เธอเป็นองค์หญิงที่เพี้ยนแบบสุดๆ แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าคนบ้าและอัจฉริยะเป็นเหมือนกับเหรียญสองด้าน

และมีวลียอดนิยมที่หลายคนที่ใช้อธิบายเกี่ยวกับตัวเธอ

‘อัจฉริยะผู้หลงรักเวทมนตร์ยิ่งกว่าใครๆ แต่ก็เป็นผู้ที่เวทมนตร์เกลียดชังมากที่สุด’

เจ้าหญิงที่ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ซึ่งราชวงศ์และเหล่าชนชั้นสูงทั่วไปสามารถใช้ได้

นั่นแหละคืออานิสเฟียร์ วอน พาเลทเทีย

และเนื่องจากไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้เหมือนกับคนอื่นๆ เธอจึงได้กลายเป็นมารดาผู้บุกเบิก ‘ศาสตร์แห่งเวทมนตร์’ ซึ่งเธอได้ขนานนามมันว่า ‘เวทมนต์วิทยา’

***

‘นี่มัน…ไม่ใช่ว่าโผล่มาได้ผิดจังหวะสุดๆเลยเหรอ?’

ข้าอานิสเฟียร์ วอน พาเลทเทีย ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย

มีเหล่าชายหญิงมากมายยืนอยู่รอบห้อง ดูจากชุดแล้วคงจะเป็นพวกลูกขุนนางแถมยังมองมาที่ข้าแบบแปลกๆด้วย

แบบนี้มันเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่เลยไหมเนี่ย?

เมื่อกี้ข้าเพิ่งลองบินทดสอบตอนกลางคือด้วยอุปกรณ์เวทมนต์ และตอนที่กำลังฝันโรแมนติกๆอย่างการเอื้อมมือไปคว้าดวงดาวบนท้องฟ้า รู้ตัวอีกทีก็ตกลงมาที่นี่ซะแล้ว

ว่าแล้วข้าก็รีบตรวจสอบสภาพของอุปกรณ์เวทมนต์ ‘ไม้กวาดแม่มด’ ทันที ถ้ามันพังขึ้นมาข้าคงร้องไห้หนักมาก แต่โชคดีที่มันไม่ได้เสียหายตรงไหน นอกจากชื่อเสียงของข้าอ่ะนะ เพราะงั้นไม่มีปัญหา!

และเมื่อหันไปมองรอบๆ ก็ได้พบกับน้องชายของข้า อัลการ์ดนั่นเอง! ดูเหมือนจะกำลังโกรธอะไรข้าอยู่ด้วย ดูสิจ้องตาเขม็งเลย

หืม? ว่าแต่เด็กคนนั้นกอดใครอยู่น่ะไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนั้นมาก่อนเลย เหมือนกำลังพยายามจะปกป้องเธออยู่เหรอ?

คนที่อยู่ตรงนั้นควรจะเป็นคู่หมั่นของอัลคุงไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงได้ยืนอยู่ตรงข้ามกันละ?

 

“เฮ้ อัลคุงมีผู้หญิงคนอื่นด้วยเหรอ ไม่ใช่ว่านายมีคุณหนูยูฟีเรียอยู่แล้วนิ?”

“….นะ-นั่นมันไม่เกี่ยวกับเธอ!!”

 

ทำไมต้องโกรธข้าด้วยละ ไม่สิก็โกรธได้แหละ

จากนั้นดูเหมือนเขาจะกลัวเล็กน้อยแล้วก็ถอยหลังไปก้าวนึง ดูท่าจะเป็นเพราะแผลใจในอดีตซึ่งข้าก็คิดว่ามันช่วยไม่ได้

แต่เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันคนละเรื่องกัน ข้าอาจเป็นแกะดำของราชวงศ์แต่ถึงแบบนั้นก็ยังคิดว่ามันแปลกๆที่ว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไปจะไม่ยืนอยู่ข้างราชินีในอนาคต

 

“อืม คุณหนูยูฟีเรียหรือว่าเธอจะเป็นนางสนมเหรอ?”

 

ข้าละสายตาจากอัลคุงและหันไปมองคุณหนูยูฟีเรีย เหมือนเธอจะตกใจกับกับคำถามจากนั้นเธอก็ก้มหน้าลงมองพื้น

 

“หื้ม? มีอะไรหรือเปล่า?”

“ไม่ค่ะ คือ….”

 

หื้ม? เป็นอะไรไปน่ะ? ปกติยูฟีเรียเป็นหญิงแกร่งที่สามารถแสดงความคิดเห็นของตนเองออกมาตรงๆแม้แต่กับพวกผู้ใหญ่ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงมีคุณสมบัติเหมาะจะเป็นราชินีในอนาคต แต่ตอนนี้เธอดูเหมือนกำลังจะร้องไห้….เดี๋ยวนะ เธอกำลังร้องไห้อยู่จริงๆนิ?

หรือเพราะข้าเผลอไปทำหน้าต่างแตก?

ไม่สิ เดี๋ยวก่อนๆ สถานการณ์แบบนี้ คนยืนมุงรอบๆแบบนี้ รู้สึกคุ้นๆเหมือนเคยเห็นมาก่อน…?

 

“อ่ะ รู้แล้ว หรือว่ากำลังถูกใส่ความแล้วถอนหมั่นเหรอ?”

“…!!”

 

ทำไมถึงรู้ได้ละ?…เธอมองกลับมาที่ข้าคล้ายกับจะถามแบบนั้น

สีหน้าเรียบเฉยที่เหมือนกับหน้ากากเหล็กของเธอจางหายไปพร้อมกับแววตาประหลาดใจ

…เอ๋ เอาจริงเหรอ? ในชาติก่อนก็พอจำพล๊อตเรื่องประมาณนี้ได้อยู่หรอก แต่เรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นจริงได้ด้วยเหรอ?

 

“ดูจากสถานการณ์แล้ว หรือว่าเธอกำลังตัวคนเดียวอยู่?”

“เอ่อ ทำไม…?”

“อืม…ดีล่ะ! ตัดสินใจได้แล้ว!”

 

ข้าไม่รู้ว่าฝ่ายไหนถูก บางทีอาจจะทั้งถูกและผิดด้วยกันทั้งคู่ก็ได้ แต่ตอนนี้ข้าจะปกป้องยูฟีเรียที่ไม่มีคนอยู่เคียงข้างก่อน แล้วก่อนหาว่าใครถูกทีหลัง

 

“ไปกันเถอะคุณหนูยูฟีเรีย ข้าจะเป็นคนลักพาตัวเธอไปเอง”

“…เอ๊ะ?”

“ข้าเป็นคนลักพาตัวคุณหนูยูฟีเรียไปเอง ดังนั้นแล้วอย่ามาโทษเธอล่ะ! งั้นก็ไปจากที่นี่กันเถอะ! แล้วก็อัล ข้าจะบอกเรื่องนี้ให้ท่านแม่กับท่านพ่อรับรู้ด้วย ดังแล้วเรามีประชุมครอบครัวกันต่อ เข้าใจนะ!”

 

ข้าเดินเข้าไปหายูฟีเรียแล้วใช้แขนอุ้มเธอเอาไว้ ปกติแล้วคงต้องใช้ท่าอุ้มเจ้าหญิงแต่ดันเหลือมือแค่ข้างเดียวนี่สิ

 

“อ่ะ อ๊าาา…!”

“ดะ-เดี่ยวก่อนท่านพี่”

“แล้วเจอกันนะอัลคุง!”

 

รู้สึกราวกับเป็นจอมโจรผู้ยิ่งใหญ่พร้อมกับโชว์รอยยิ้มสุดเท่ จากนั้นก็หนีบยูฟีเรียเอาไว้ข้างเอว ถ่ายเทพลังเวทย์ลงไปยังตราประทับที่สลักเอาไว้บนร่างกายของตัวเอง

ข้าออกแรงถีบพื้นกระโจนผ่านบานหน้าต่างที่พังเข้ามา ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและถูกแรงโน้มถ่วงฉุดลงมา ยูฟีเรียที่รู้สึกได้เริ่มกรีดร้องออกมา

 

“ไม่น้าาาา?!?!?!”

“วะฮ่าฮ่าฮ่า! บันจี้จัมพ์ไร้เชือกแสนสนุกยังไงล่ะ! ยินดีต้อนรับสู่สายการบินเฟิร์สคลาสนะคุณหนูยูฟีเรีย!”

 

ก่อนที่พวกเราจะกระแทกพื้น ข้าได้ถ่ายเทพลังเวทย์จากร่างกายลงสู่ไม้กวาดแม่มด ทันใดนั้นร่างกายของพวกเราก็พุ่งทะยานขึ้นด้วยความรวดเร็ว

งั้นก็ไปเยี่ยมท่านพ่อกันเลย!

***

เจ้าหญิงผู้ซึ่งถูกเกลียดชังโดยเวทมนต์

แม้ว่าบรรดาราชวงศ์แล้วชนชั้นสูงจะสามารถใช้เวทมนต์ได้ แต่เธอกับใช้เวทย์ง่ายๆไม่ได้ด้วยซ้ำ

แต่ถึงแบบนั้นแล้วเธอก็ยังรักและหลงใหลในเวทมนต์ เธอจึงคิดว่า

‘งั้นก็แค่สร้างอุปกรณ์ที่ให้ผลเหมือนหรือมากกว่าเวทมนต์ก็พอแล้วนี่’

และนี่คือตำนานของเจ้าหญิง ผู้ที่จะฝากเรื่องราวอันแสนแปลกประหลาดของตนเองเอาไว้ในในประวัติศาสตร์สืบต่อไป

 

 

ถ้าสำนวนแปลกๆหรือแปลผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วย

แปลตอนว่างๆไปเรื่อยๆ ดังนั้นอาจจะลงได้ไม่บ่อยมากนัก ยังไงก็ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน๊า~

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+