Tensei Oujo to Tensai Reijou no Mahou Kakumei 2

Now you are reading Tensei Oujo to Tensai Reijou no Mahou Kakumei Chapter 2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ณ ราชวังภายในห้องทำงาน 

ออลฟรานส์ เอล พาเลทเทีย ราชาแห่งอาณาจักรพาเลทเทีย กำลังเพลิดเพลินอยู่กับชาชั้นเลิศในช่วงเวลาพักผ่อน

งานของกษัตริย์นั้นยุ่งมาก ดังนั้นเวลาพักผ่อนเพื่อรักษาร่างกายและปลอบประโลมจิตใจที่อ่อนล้าจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

เพราะถ้าไม่คิดแบบนี้คงทำงานต่อไม่ไหว การบริหารประเทศเป็นสิ่งยุ่งยากและมีปัญหามากมายคอยตามหลอกหลอนเขาอยู่เสมอ ฉับพลันหน้าของลูกสาวตัวป่วนก็ลอยเข้าทำให้เขาส่ายหัวอย่างหนักราวกับกำลังสลัดภาพนั้นให้หลุดออกไป

เมื่อเร็วๆนี้ลูกสาวตัวป่วนของเขาทำตัวสงบเสงี่ยมจนน่าสงสัย

เขาอยากจะเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าเธอสามารถควบคุมความเพี้ยนของตัวเองได้แล้ว

แต่เขาก็ไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้น ดูยังไงๆนี่ก็เป็นความสงบสุขก่อนพายุลูกใหญ่ชัดๆ

ลางสังหรณ์ของเขาบอกมาเช่นนั้น ก่อนที่เขาจะยัดมันเก็บไว้ลึกๆในใจและภาวนาไม่ให้มีอะไรเกิดขึ้น เพราะแค่นี้งานก็ยุ่งจะตายอยู่แล้ว

แต่ถึงแบบนั้นความปรารถนาของออลฟรานส์กลับแหลกสลายลงอย่างรวดเร็ว

 

“ฝ่าบาท! ขออภัยที่รบกวนแต่กระผมมีเรื่องด่วนมารายงานขอรับ คือ เจ้าหญิงอานิสเฟียร์ท่าน…!”

“…อ้า ให้ตายเถอะ! คราวนี้อะไรอีกละ?! เจ้าลูกบ้านั่นไปทำอะไรเข้าอีก!”

 

อัศวินที่เข้ามาตะโกนแจ้งข่าวอันเป็นสัญญาณของพายุคลั่งที่กำลังใกล้เข้ามา

ออลฟรานส์แหงนหน้ามองบนอย่างขุ่นเคืองพร้อมกับใช้มืออีกข้างลูบท้องที่กำลังเจ็บปวดจากความเครียด

 

“เจ้าหญิงมาเยี่ยมที่พระราชวังด้วยอุปกรณ์เวทมนต์ที่บินได้และขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทขอรับและ….”

“และอะไร?! รีบๆพูดออกมาได้แล้ว!”

“คะ-ครับ เจ้าหญิงอานิสเฟียร์อุ้มคุณหนูยูฟีเรีย บุตรสาวของดยุคมาเจนต้ามาด้วยครับ และ เอ่อ พวกเราคิดว่านี่เป็นการลักพาตัวครับ…!”

“นี่เจ้าลูกบ้านั่นทำอะไรลงไป ?!?!”

 

คุณหนูยูฟีเรีย เป็นบุตรสาวของดยุคมาเจนต้าและเป็นคู่หมั่นของอัลการ์ด พอได้ยินชื่อนั่นออลฟรานส์ก็รู้สึกเวียนหัวจนเกือบจะล้มลงไปบนเก้าอี้

วันนี้น่าจะเป็นวันจัดงานเลี้ยงฉลองของสถาบันขุนนาง แล้วทำไมยูฟีเรียถึงมาอยู่ที่นี่ได้ละ? หรือว่าจะโดนลักพาตัวมาตามที่อัศวินบอกจริงๆ

 

“พามานี่ เดี๋ยวนี้เลย!”

“ตะ-ตามบัญชาขอรับ!”

 

เมื่ออัศวินรีบจากไป ออลฟรานส์ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ 

เขาเปิดลิ้นชักใต้โต๊ะทำงานและเอื้อมมือหยิบขวดยาบางอย่างออกมา

มันคือยาที่ใช้รักษาโรคกระเพาะที่เกิดจากฝีมือของลูกสาวตนเอง

และยาขวดนี้ก็คือคู่หูเพียงหนึ่งเดียวของออลฟรานส์ที่ช่วยเขารับมือกับพายุที่กำลังโหมกระหน่ำ

แต่ก็เหมือนกับเรื่องตลกเพราะยาขวดนี้เองคนที่พัฒนามันก็ไม่ใช่ใครคนอื่นแต่คืออานิสเฟียร์อีกนั่นแหละ ตอนแรกที่รู้ความจริงมันก็ถึงกับทำให้เขาคุกเข่าลงด้วยความสิ้นหวัง

ออลฟรานส์นั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่นานเสียงของอัศวินก็ดังขึ้นจากอีกฝากของประตู ทันทีที่บอกให้เข้ามาได้ ประตูก็เปิดออกและทั้งสองคนก็ก้าวเข้ามาในห้อง

 

“สายัณห์สวัสดิ์ค่ะท่านพ่อ! ขอโทษที่มาโดยกระทันหันน๊า!”

 

ปี้ด! ออลฟรานส์รู้สึกเหมือนไมเกรนจะขึ้นขณะที่หรี่ตามองไปยังอานิสเฟียร์ผู้ซึ่งเดินเข้ามาในห้องโดยไม่สนใจโลก

และเมื่อเขาเห็นสิ่งที่เธอแบกอยู่ ก็ได้แต่ภาวนาอีกครั้งว่าขอให้ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่เป็นความฝัน

เนื่องจากสิ่งนั่นก็คือยูฟีเรียซึ่งกำลังถูกแบกคว่ำหน้าอยู่ เมื่ออานิสเฟียร์ปล่อยเธอลงพื้น ดวงตาของยูฟีเรียเบิกกว้างและสีหน้าก็เริ่มซีดลงเมื่อรู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด

 

“ฝ-ฝ่าบาท! ขออภัยสำหรับความไร้มารยาท! โปรดยกโทษให้หม่อมฉันด้วยเถอะค่ะ!”

“ไม่เป็นไร ข้ารู้ว่านี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ทั้งหมดนี่เป็นเพราะบุตรสาวงี่เง่าของข้าเอง ใช่หรือไม่อานิส ?”

“ใช่แล้วค่า!”

“เล่ามาสิ คราวนี้เจ้าไปก่อนเรื่องอะไรเอาไว้อีกล่ะ….?”

“ท่านพ่อให้ข้าได้อธิบายก่อนสิ คราวนี้ไม่ใช่ความผิดข้าคนเดียวซะหน่อย!”

“โฮ่ เรื่องนั้นข้าจะเป็นคนตัดสินเอง หลังจากที่เจ้าคายทุกอย่างออกมาล่ะนะ”

“คือตอนที่ข้ากำลังทำการทดสอบบินตอนกลางคืน มันก็คืบหน้าไปด้วยดีอยู่หรอก แต่รู้ตัวอีกทีข้าก็พังหน้าต่างเข้าไปในงานปาตี้ของสถาบันซะแล้ว!”

“เจ้า..โง่เอ้ยยย!!!”

ออลฟรานส์กระโดดลุกออกจากเก้าอี้และใช้กำปั้นเขกหัวอานิสเฟียร์

“แอ่กกก!”

เสียงกรีดร้องที่ไม่สมหญิง อานิสเฟียร์กุมหัวตัวเองและแหงนมองออลฟรานส์ด้วยสายตาลูกหมาร้องไห้ เมื่อเห็นเช่นนั้นอารมณ์โกรธของเขาก็ยิ่งพลุ่งพล่าน

 

“เจ้า…เจ้านี่มัน…! ต้องก่อเรื่องอีกสักกี่ครั้งมันถึงจะเจาะกะโหลกหนาๆนั่นเข้าจนจำว่าให้คิดก่อนทำอะไรน่ะห๊ะ?! หรือว่าในหัวนั่นมันจะเป็นแค่โพรงกลวงๆเอาไว้คั่นหูกันแน่?!”

“ท่านพ่อเอ๋ย หากกลัวความล้มเหลวก็ไม่มีวันก้าวไปข้างหน้าได้หรอกนะ!”

“แต่ก็บอกให้ระวังไปหลายครั้งแล้วนี่ การกระทำผิดผลาดซ้ำซากแล้วหวังจะให้เกิดผลลัพธ์ใหม่ๆนั่นน่ะคือที่สุดของความเพี้ยนแล้วเจ้าโง่!”

 

กำปั้นพุ่งใส่หัวอานิสเฟียร์อีกครั้ง คราวนี้เธอถึงกับลงไปกองบนพื้น ออลฟรานส์สูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามสงบสติอารมณ์ของตนเอง

ว่าแต่ถึงอานิสเฟียร์จะทำอะไรเพี้ยนๆเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ทำไมยูฟีเรียถึงอยู่กับนางได้ล่ะ?

 

“แล้วเจ้าล่ะยูฟีเรีย ทำไมเจ้าถึงอยู่กับอานิสได้?”

“น-นั่นมัน…”

 

เมื่อออลฟรานส์หันไปถาม ยูฟีเรียก็พูดติดขัดพร้อมกับกัดริมฝีปากแน่นและก้มหน้าลง

ท่าทางเช่นนั้นทำให้แม้แต่ออลฟรานส์เองก็ยังขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

ในความคิดของเขายูฟีเรียก็เปรียบเสมือนกับลูกสาวของตนอีกคนแม้ว่าจะยังไม่เป็นทางการก็ตาม นั่นทำให้ออลฟรานส์สัมผัสได้ถึงลางร้ายบางอย่าง 

ยูฟีเรียผู้ซึ่งวันหนึ่งจะได้กลายเป็นราชินีของอาณาจักรบัดนี้กลับยืนตัวสั่นอยู่ต่อหน้าเขา มีบางอย่างผิดปกติและต้องเป็นเรื่องใหญ่มากแน่ๆ

 

“อัลคุงคุงบอกว่าจะถอนหมั้นค่ะท่านพ่อ”

“ห๊ะ?”

“ถอนหมั้นค่ะ”

“…..”

“ก็บอกว่าถอนหมั้นไงคะ”

“ใคร? ใครถอนหมั้นกับใครนะ?”

“อัลคุงกับคุณหนูยูฟีเรียค่ะ”

“ใครบอกว่าจะทำนะ? อัลการ์ดน่ะเหรอ?”

“ก็บอกอยู่นี่ว่าอัลคุงน่ะ!”

 

อานิสเฟียร์รายงานพร้อมกับเอามือลูบหัวด้วยความเจ็บ ออลฟรานส์ยืนนิ่ง เขาต้องใช้เวลาสักพักเพื่อทำความเข้าใจสิ่งที่พึ่งได้ยินมา 

และเมื่อทุกอย่างประกอบเข้าร่าง ท้องของออลฟรานส์ก็ปวดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน 

เขาฝืนบังคับตนเองให้อดทนต่อความทรมานเพื่อรักษาท่าทางเยี่ยงกษัตริย์เอาไว้ ก่อนจะหันไปถามยูฟีเรียพร้อมกับมุมปากที่กระตุกไปมา

 

“ได้โปรดเถอะยูฟีเรีย ได้โปรดบอกข้าทีว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝัน เป็นแค่ความฝันใช่ไหม?”

“…ขออภัยด้วยค่ะ”

 

ยูฟีเรียยืนยันเช่นนั้นก่อนจะก้มศีรษะลง ออลฟรานส์แทบกระอักเลือด

 

“ท-ทำไมกัน? ทำไมเจ้าบ้านั่นถึงยกเลิกการหมั้นกลางงานปาตี้?!” ทำไมไม่บอกอะไรกับข้าสักอย่าง?! ถ้าบอกก่อนล่ะก็ข้าจะได้ทุบกระโหลกเจ้าบ้านั่นก่อนที่มันจะทำอะไรโง่ๆแบบนั้นลงไป!!”

“อ๊ะ แล้วก็ดูเหมือนอัลคุงจะมีผู้หญิงคนอื่นนอกจากคุณหนูยูฟีเรียด้วยนะท่านพ่อ”

“ใครกัน?! บ้าน่า….หรือว่าจะเป็นบุตรสาวของบารอนคนนั้นน่ะเรอะ?!”

 

ข่าวลือเกี่ยวกับอัลการ์ดที่ตกหลุมรักลูกสาวของบารอนระดับล่างผุดขึ้นในใจของออลฟรานส์

เขาไม่สนว่าอัลการ์ดจะมีสนมหรือไม่ แต่นั่นควรเป็นสิ่งที่ภรรยาหลวงให้การยอมรับและยินยอมให้มีได้

 

“ข้าได้ยินมาว่าอัลการ์ดถูกใจเธอ…แต่นี่ถึงขั้นยกเลิกการหมั้นกับยูฟีเรียเลยงั้นเรอะ! หรือว่าเขาตั้งใจจะให้บุตรสาวของบารอนนั่นขึ้นเป็นภรรยาหลวง!”

“ข้าก็ไม่ได้ถามเรื่องนั้นมา แต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้น อ่าใช่ๆ เรามีประชุมครอบครัวกันต่อจากนี้ ข้าบอกท่านแล้วดังนั้นท่านพ่อเองก็ต้องเข้าร่วมด้วยนะ!”

 

ออลฟรานส์มองบุตรสาวของตนเองที่ยืนฉีกยิ้มกว้าง นั่นทำให้เขาง้างกำปั้นขึ้นเตรียมจะเขกหัวอานิสเฟียร์แต่เขาก็หยุดตัวเองได้ทัน

 

“ร-ไร้สาระ…ลูกสาวของบารอนงั้นเรอะ?! เธอไม่เคยได้รับการฝึกฝนเพื่อขึ้นเป็นราชินีเลยแม้แต่น้อย! แล้วจะให้คนแบบนั้นขึ้นเป็นภรรยาหลวงของราชาในอนาคตเนี่ยนะ…เจ้าบ้านั่นเข้าใจไหมว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่?!”

“อื้มๆ อัลคุงนี่ก็ชอบทำให้ปวดหัวอยู่เรื่อยเลยน๊า”

“อย่างเจ้ามีสิทธิพูดด้วยเรอะ?!”

 

ออลฟรานส์ตะโกนพร้อมกับนวดขมับต่อคำบ่นของอานิสเฟียร์

ชนวนเหตุการณ์ในครั้งนี้มันร้ายแรงมากพอที่จะทำให้สิ่งต่างๆล้มพังครืนลงมาเหมือนกับโดมิโน่

ประการแรกเลยก็คือความสัมพันธ์กับดยุคมาเจนต้า พ่อของยูฟีเรีย 

เพราะคนที่ขอให้มีการหมั้นหมายระหว่างอัลการ์ดกับยูฟีเรียก็คือทางราชวงศ์เอง นี่ก็เพื่อเอาตัวยูฟีเรียที่ทั้งเก่งกาจแล้วมากความสามารถเข้าสู่ครอบครัวราชวงศ์ และก็เพื่อการสนับสนุนจากดยุคมาเจนต้า ให้สนับสนุนอัลการ์ดในฐานะรัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์

ดยุคมาเจนต้าเองก็หวงแหนลูกสาวของตนเองอย่างมาก จนลังเลที่จะให้หมั้นหมายในตอนแรก แต่ที่เขายอมรับก็เพราะความภักดีต่อราชวงศ์และมิตรภาพส่วนตัวระหว่างเขากับออลฟรานส์

หรือก็คือการถอยหมั้นครั้งนี้ก็เป็นเหมือนกับการถ่มน้ำลายใส่เกียรติและความภักดีของดยุคมาเจนต้า

ออลฟรานส์เองก็รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างอัลการ์ดกับยูฟีเรียนั้นไม่ค่อยดีนัก และยูฟีเรียเองก็อาจจะอยากยกเลิกการหมั้นครั้งนี้ด้วยตัวเอง แต่ออลฟรานส์ก็เชื่อมั่นว่ายูฟีเรียจะทำหน้าที่เพื่อสนับสนุนอาณาจักรต่อไป ทางนี้เองก็จะไม่ยกเลิกการหมั้นนี้เด็ดขาด…..อย่างน้อยผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็เคยตกลงกันเอาไว้เช่นนั้น

 

‘ถ้าเกิดแกรนท์รู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็…ห-หายนะชัดๆ…!”

 

ดยุค แกรนท์ มาเจนต้า เป็นทหารที่มากความสามารถอีกทั้งยังเป็นถึงปรมาจารย์ดาบ ชายผู้ภักดีต่อบัลลังก์และเพื่อนสนิทส่วนตัวของออลฟรานส์   

ออลฟานส์รู้ดีว่าถึงแม้เขาจะเข้มงวดกับลูกสาวของตนเองมากแค่ไหน แต่เขาก็รักเธออย่างสุดหัวใจ

และที่เขาเข้มงวดก็เพื่อตัวยูฟีเรียเองด้วย เพื่อให้เธอพร้อมรับมือกับความเป็นจริงอันโหดร้ายในฐานะราชินี และก็เพื่อบรรลุหน้าที่ของตนเองต่อราชวงศ์ ดังนั้นเขาจึงเข้มงวดกับเธอในฐานะดยุคไม่ใช่ในฐานะบิดา

อีกทั้งดยุคแกรนท์ยังเป็นคนที่น่ากลัวและป่าเถื่อนเมื่อถึงคราวจำเป็น

ตัวออลฟรานส์เองก่อนที่จะขึ้นเป็นราชาก็ได้ความโหดร้ายป่าเถื่อนของเขาช่วยเอาไว้มากมาย เมื่อคิดถึงมันแล้วความเย็นยะเยือกก็เสียดแทงเข้าที่หลัง

มันไม่ใช่เรื่องพื้นๆอย่างการถอนหมั้น แต่มันกำลังจะกลายไปเป็นหายนะระดับประเทศ

ในฐานะผู้นำของอาณาจักรแล้ว เขาจะทำอย่างไรดีเพื่อหยุดสถานการณ์เลวร้ายนี้เอาไว้?

ออลฟรานส์พบว่าตนเองกำลังจ้องมองไปยังปลายดาบของดยุคมาเจนต้าที่จ่อเข้ามา และเขาเองก็ไม่มีคำใดๆจะแก้ตัวด้วย

ถึงแม้ว่าอัลการ์ดจะมาบอกเขาก่อน เขาก็จะไม่มีวันยกโทษให้เด็ดขาด

และแม้ว่าการถอนหมั้นจะเป็นสิ่งที่หยุดไม่ได้แล้ว แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องปฏิเสธอย่างถึงที่สุดว่าไม่ใช่เพราะอัลการ์ดได้เจอคนที่รักเข้าให้แล้ว

มิหนำซ้ำยังเป็นผู้หญิงคนนั้น เธอเป็นเพียงลูกสาวของบารอน สามารถบอกได้เลยว่าเธอไม่เหมาะสมที่จะยืนเคียงข้างรัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์ บางทีมันอาจจะต่างออกไปถ้าหากเธอมีความสามารถหรือทำผลงานที่ยิ่งใหญ่ แต่มันก็ไม่มี

ในขณะที่ยูฟีเรียนั้นได้รับการฝึกฝนเพื่อเป็นราชินีตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อเทียบกันแล้วเรย์อินไม่มีสิ่งนั้น ถ้าหากมีก็คงจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นตั้งแต่แรก

สรุปแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่ทางราชวงศ์ จะยอมรับในตัวเรย์อินในฐานะคู่หมั้นของอัลการ์ดอย่างเป็นทางการ

แถมคนที่ถอนหมั้นในครั้งนี้ก็คือตัวของอัลการ์ดเอง เลวร้ายที่สุดก็คือการถอนหมั้นกลางานปาตี้ทำให้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะซุกเรื่องไว้ใต้พรม

ออลฟรานส์มองไม่เห็นทางออกของปัญหานี้เลย ถ้าจะให้พูดเขาเป็นห่วงว่าหัวของตนเองจะยังอยู่รอดจนถึงพระอาทิตย์ขึ้นหรือไม่มากกว่าด้วยซ้ำ พอคิดแบบนั้นใบหน้าเพื่อนของเขาผู้รักลูกสาวเหนือสิ่งอื่นใดในโลกก็ปรากฏขึ้นมา

 

“อุ….อุยยย…!”

 

กระเพราะของออลฟรานส์ปวดหนักมากขึ้นจนเขาทนไม่ไหวแล้วทรุดตัวลง ความเจ็บปวดที่ท้องซึ่งเกิดจากความเครียดแผ่กระจายไปทั่วร่างกาย

 

“ท่านพ่อ!”

“ฝ-ฝ่าบาทแข็งใจเอาไว้นะคะ!”

 

อานิสเฟียร์และยูฟีเรียพุ่งออกไปเพื่อประคองตัวออลฟรานส์เอาไว้และพยุงไหล่ทั้งสองข้างของเขาพานั่งลงบนเก้าอี้   

 

“…ทำไมล่ะ อัลการ์ด? ทำถึงทำแบบนี้…?”

 

ออลฟรานส์ไม่เชื่อว่าอัลการ์ดจะไร้ความสามารถถึงเพียงนี้ ถ้าหากเขาได้ขึ้นเป็นราชาและได้รับการสนับสนุนที่ดี สักวันหนึ่งเขาน่ะ… ใช่แล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นราชามากความสามารถจนถูกจาลึกชื่อลงในประวัติศาสตร์ แต่เขาก็เป็นราชาที่ดีได้หากได้รับการสนับสนุนเหมาะสม ด้วยเหตุผลนั้นเขาและอานิสเฟียร์จึงตกลงกันว่าเธอจะสละสิทธิ์ในราชบัลลังก์

 

“….ทั้งหมดนี้เป็นเพราะหม่อนฉันไร้ความสามารถเอง ต้องขอประทานอภัยจริงๆค่ะ..”

 

เมื่อเห็นท่าทางของออลฟรานส์ ยูฟีเรียก็คุกเข่าลงขอโทษ ไหล่ของเธอสั่นอย่างเจ็บปวดแล้วมีน้ำตาคลอในดวงตา

ออลฟรานส์กัดริมฝีปากด้วยความเสียใจเมื่อมองดูยูฟีเรีย ผู้ซึ่งเคยมีท่าทางแน่วแน่และสง่างามมาโดยตลอด

เขากัดริมฝีปากแน่นจนสัมผัสได้ถึงรสชาติของเลือด

 

“ไม่ใช่ความผิดของคุณหนูยูฟีเรียหรอกนะ อัลคุงเองก็ชอบก่อปัญหาไปเรื่อยแบบนี้แหละ”

“อย่างเจ้าน่ะไม่มีสิทธิพูด!”

 

ออลฟรานส์รู้ดีกว่าอัลการ์ดนั้นมีปนด้อยอยู่ แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของใครคนอื่นเลย นอกจากลูกสาวสุดเพี้ยนของตนอย่างอานิสเฟียร์!

ถึงแม้เธอจะเป็นเด็กมีปัญหา แต่ก็ไม่อาจแย้งได้ว่าอานิสเฟียร์เป็นนักประดิษฐ์รุ่นบุกเบิก ผู้มักจะอวดแนวคิดหรือโครงการใหม่ๆที่ไม่เคยมีใครฝันถึงมาก่อน

อัลการ์ดมีความสามารถก็จริง แต่เมื่อเทียบกับพี่สาวแล้ว อัลการ์ดไม่มีอะไรที่เทียบได้เลยสักอย่าง และอานิสเฟียร์ก็รู้เรื่องนี้ดีจึงพยายามเว้นระยะห่างจากเขา

 

“นี่ข้าก็สละสิทธิในการสืบทอดบัลลังก์ไปแล้วไม่ใช่เรอะ?”

“ปัญหาคือทุกอย่างที่เจ้าทำนั่นแหละ!”

“อ๊ะ ถ้างั้นข้าจะโดนไล่ออกจากราชวงศ์งั้นเหรอ? เป็นความคิดที่ดีเลยนี่นา!”

“หยุดพูดแบบนั้นสักทีเถอะน่า!!”

 

ขณะที่อานิสเฟียร์ยืดอกอย่างภูมิใจกับความคิดอันยอดเยี่ยมของตัวเอง ออลฟรานส์ก็คว้าเธอไว้แล้วเขย่าไปมา

ถ้าหากอานิสเฟียร์ไม่เป็นเด็กเจ้าปัญหา หรือไม่ก็เป็นผู้ชาย เขาก็คงจะไม่ต้องมานั่งกังวลแบบนี้แล้วแท้ๆ

แม้ว่าอานิสเฟียร์จะเป็นสมาชิกราชวงศ์ แต่ออลฟรานส์ก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกันตัวป่วนอย่างเธอออกจากงานบริหารบ้านเมือง ยกเว้นก็แต่งานวิจัยศาสตร์เวท

วิทยาการด้านเวทมนต์ของอาณาจักรพาเลทเทียพัฒนาขึ้นแบบก้าวกระโดดเพราะได้รับการสนับสนุนจากศาสตร์เวทของอานิสเฟียร์ จนมันกลายเป็นสิ่งที่อาณาจักรจะขาดไปไม่ได้ซะแล้ว

ออลฟรานส์รู้ว่าเรื่องนั้นทำให้อัลการ์ดเกิดปมในใจขึ้นมา เพราะถึงแม้ว่าอานิสเฟียร์จะทำตัวไม่เหมาะสมกับตำแหน่งราชวงศ์  แต่เธอก็แสดงให้เห็นว่าตนเองเป็นกำลังสำคัญของประเทศได้ด้วยพรสวรรค์เพียงหนึ่งเดียว

ดังนั้นเพื่อไม่ให้อัลการ์ดรู้สึกว่าตำแหน่งของตนเองกำลังถูกคุกคาม อานิสเฟียร์จึงแกล้งทำเป็นเด็กมีปัญหาเพื่อให้อัลการ์ดสบายใจ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ออลฟรานส์คิดแล้วภาวนาให้มันเป็นจริง

 

“ท่าน…ท่านพ่อ! เมตตาข้าด้วย ไม่ไหวจะอ้วกแล้…อุ๊ป!”

“ข้าไม่มีความเมตตาให้คนอย่างเจ้าาา!”

“งั้นฟังข้าก่อนสักนิด! ขืนเป็นแบบนี้ไม่รู้ว่าดยุคแกรนท์จะแก้แค้นอะไรท่านพ่อบ้าง!”

“หยุ๊ดดด! อย่าทำให้นึกถึงมันเซ่!”

“แต่ข้าอานิสเฟียร์ผู้นี้มีแผนที่จะช่วยท่านจากวิกฤตนี้นะ!”

“….ว่าไงนะ?”

 

ออลฟรานส์ผู้ซึ่งกำลังตกลงสู่ด้านมืดหยุดเขย่าแล้วปล่อยอานิสเฟียร์ให้เป็นอิสระ

อานิสเฟียร์รีบวิ่งหนีไปหลบอยู่ด้านหลังยูฟีเรียผู้ซึ่งเฝ้ามองด้วยสายตาอบอุ่น(?) และใช้เธอเหมือนโล่กำบัง

 

“ประการแรก เหตุผลหลักของการหมั้นก็คือการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์กับตระกูลดยุคมาเจนต้า แล้วก็เพื่อแสดงให้คนอื่นๆเห็นว่าเราอยู่ฝั่งเดียวกันถูกไหม ?”

“ข้าไม่ปฏิเสธ แน่นอนว่าข้าหวังจะให้ยูฟีเรียสนับสนุนอัลการ์ดในอนาคต แต่นั่นก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น”

“งั้นนน ก็ยังมีวิธีที่จะถอนหมั้นในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างทั้งสองฝั่งเอาไว้ได้อยู่!”

‘….ทำไมลางสังหรณ์ของข้ามัน..’

 

เมื่ออานิสเฟียร์กล่าวพร้อมฉีกยิ้มกว้าง ปากของออลฟรานส์ก็เริ่มกระตุกอีกครั้ง

 

“…ถึงจะมีลางสังหรณ์แปลกๆ แต่ข้าจะรับฟัง เจ้ามีแผนอะไรล่ะ?”

 

เมื่อได้ยินคำตอบนั้น รอยยิ้มของเธอก็ยิ่งฉีกกว้างขึ้นอีก

 

“ก็แค่ยกคุณหนูยูฟีเรียให้ข้าแทนก็สิ้นเรื่อง!”

 

ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วบริเวณ ทั้งสองคนมองหน้าอานิสเฟียร์แบบหมดคำจะพูด

 

“…หมายความว่ายังไง?”

 

“ข้าอยากให้คุณหนูยูฟีเรียมาเป็นหนูทดลอ…อะแฮม! หมายถึงผู้ช่วยงานวิจัยน่ะ”

“เจ้าาา! ไม่ต้องมาแกล้งไอปกปิดเลยนะ!”

“ข้ารู้ว่าคุณหนูยูฟีเรียเป็นนักเวทที่มีความสามารถ! เธอสามารถใช้เวทย์มนตร์ได้ทุกประเภทและข้าก็ได้ยินมาว่าเธอเป็นอัจฉริยะที่สุดในรุ่นด้วย! ข้าคิดมาตลอดเลยว่าอยากได้เธอมาเป็นผู้ช่วยในงานวิจัยของข้า!”

 

แน่นอนว่ายูฟีเรียเป็นเด็กสาวที่มีพรสวรรค์พิเศษ ไม่ใช่แค่ด้านการเรียนแต่ในฐานะนักเวทก็ด้วย มิหนำซ้ำยังมีความสามารถด้านเพลงดาบอีก

จากมุมมองของอานิสเฟียร์ผู้บุกเบิกด้านศาสตร์เวท สมควรแล้วที่จะอยากได้เธอมาเป็นผู้ช่วย

 

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่จะโน้มน้าวดยุคมาเจนต้าไม่ให้เชือดข้าทิ้งห๊ะ เจ้าเด็กตัวปัญหานี่….!”

“ก็เกี่ยวกับการถอนหมั้นของคุณหนูยูฟีเรียไง ป่านนี้มันคงจะกระจายไปทั่วเมืองหลวงแล้ว! ไม่มีทางที่จะปกปิดมันได้แน่นอน! นั่นเป็นเหตุผลที่ท่านพ่อสามารถใช้ข้าเด็กมีปัญหาอันดับหนึ่งของอาณาจักร กอบกู้สถานการณ์ที่น่าสิ้นหวังนี้ได้ยังไงล่ะ!”

“หยุดพูดแบบนั้นอย่างภาคภูมิใจซะที! หมายความว่าจะให้ข้าขายยูฟีเรียให้เจ้าเรอะ?!”

“ข้าขอโทษที่ต้องพูดตรงๆ แต่ท่านต้องคิดถึงอนาคตของคุณหนูยูฟีเรีย เพราะในสายตาของทุกคนตอนนี้เธอทั้งถูกดูหมิ่นและถูกราชวงศ์โยนทิ้งไปแล้ว! ด้วยอายุเธอตอนนี้ ท่านคิดว่ามันง่ายนักเหรอที่จะได้หมั้นหมายกับขุนนางชั้นสูงอีกครั้งน่ะ?”

 

คำพูดเหล่านั้นสร้างความเจ็บปวดให้แก่หัวใจของออลฟรานส์

สาวน้อยที่ถูกราชวงศ์ทอดทิ้ง ไม่มีทางที่การแต่งงานในอนาคตของเธอจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นหากอัลการ์ดได้ขึ้นเป็นราชา สถานการณ์ของยูฟีเรียก็จะยิ่งเลวร้ายลง เธอจะกลายเป็นผู้หญิงที่ถูกทอดทิ้งโดยพระราชาของอาณาจักรแทน

แต่เมื่อต้องแต่งเธอออกนอกประเทศ ความอัจฉริยะของตัวยูฟีเรียเองกลับกลายเป็นอุปสรรค์ พูดง่ายๆก็คือ เป็นเรื่องยากมากที่จะหาคู่ที่เหมาะสมกับยูฟีเรีย แถมคนๆนั้นจะต้องภักดีต่อราชวงศ์ของประเทศนี้อีก นั่นทำให้ตัวเลือกในอนาคตของเธอยิ่งแคบลงไปอีก

และตอนนี้อายุของยูฟีเรียเองก็เข้าสู่วัยที่เหมาะสมจะแต่งงานแล้ว ถ้าหากให้ยืดเยื้อนานไป จะมีปัญหาเกี่ยวกับอายุเธอ และมันจะทำให้เธอถูกดูหมิ่นเหยียดหยามมากกว่าเดิมซะอีก

 

“ดังนั้นแล้ว ถ้าเธอได้เรียนรู้ศาสตร์เวทและช่วยข้าพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆขึ้นมา ข้าแน่ใจว่าคุณหนูยูฟีเรียจะต้องได้รับเกียรติกลับคืนมาอย่างแน่นอน! หลังจากนั้นเธอก็จะเป็นเจ้าสาวที่สมบูรณ์แบบ! แถมเมื่อเวลาผ่านไปยูฟีเรียกับอัลคุงต้องเข้ากันได้มากขึ้นแน่ๆ!”

“ถึงที่พูดมาจะมีแต่เรื่องดีๆ ไม่สิ สมมุติว่าทุกอย่างไปได้ด้วยดีหมดก็จริงที่นี้บอกความต้องการที่แท้จริงของเจ้ามาได้แล้ว เจ้าต้องการอะไรกันแน่?”

“แน่นอนว่าข้าไม่มีทางพลาดโอกาสในการได้ผู้ช่วยวิจัยอยู่แล้วนี่ จริงไหม!”

“โอ่ร่าาาา!!”

“ก-กรงเล็บเหล็กเลยเรอะ?! หัวข้า..หัวข้าจะระเบิดแล้ว..!”

 

ออลฟรานส์กระโดดขึ้นจับใบหน้าของอานิสเฟียร์และยกเธอขึ้นไปในอากาศ

เธอพยายามดึงมือของเขาออกและต่อสู้เพื่ออิสระภาพ แต่สุดท้ายก็ตระหนักได้ว่ามันไร้ประโยชน์

ขณะที่จ้องมองอานิสเฟียร์ ออลฟรานส์สัมผัสได้ว่าทั้งหมดมันเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของแผนเท่านั้น

ตอนนี้ความรู้เกี่ยวกับศาสตร์เวททั้งหมดถูกอานิสเฟียร์ปกปิดเอาไว้ เพราะถึงแม้เธอจะเป็นเด็กมีปัญหาแต่เธอก็ใส่ใจมากพอที่จะกันคนอื่นออกจากอันตราย

เธอจะเปิดเผยงานวิจัยให้กับคนไม่กี่คนที่ตนไว้ใจเท่านั้น อีกทั้งเธอยังเก็บซ่อนงานวิจัยและสมุดบันทึกเอาไว้จนกว่าเธอจะแน่ใจว่ามันพร้อมที่จะเผยแพร่สู่สาธารณ

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมอานิสเฟียร์ถึงถึงมีคนข้างกายน้อยและไม่ปรากฏต่อสายตาของสาธารณชนเลยแม้จะเป็นสมาชิกราชวงศ์ก็ตาม

ออลฟรานส์จึงรู้สึกประหลาดใจมากที่เธอขอรับตัวยูฟีเรียไปเป็นผู้ช่วย

 

“เจ้ายังซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้อยู่ใช่มั้ยอานิส?”

“มือของท่าน…ปล่อยข้า….หัวของข้ากำลังจะ….!”

“ถ้ารู้ว่าจะโดนแบบนี้ก็หัดเรียนรู้ซะหน่อยเถอะ…”

 

ออลฟรานส์ถอนหายใจพร้อมกับปล่อยกรงเล็บเหล็กออก

อานิสเฟียร์เอามือลูบหน้าตนเองและกล่าวออกมา

 

“อื้ม…จริงอยู่ว่าข้าปกปิดอะไรบ้างอย่างเอาไว้ แต่ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะซ่อนหรอกนะ”

“โฮ่? เล่ามาสิ”

“ข้าอยากจะอยู่ข้างเธอก็เพราะว่าข้าคิดว่าคุณหนูยูฟีเรียนี่แหละใช่เลยยังไงล่ะ!”

“ห๊ะ?”

“เอ๊ะ?”

“…เจ้าหมายถึงเธอเหมาะสมในฐานะผู้ช่วยวิจัยอย่างนั้นหรือ?”

“ที่ข้าหมายถึงคือ ช้าชอบเธอในฐานะผู้หญิงต่างหาก”

 

ทันใดนั้นออลฟรานส์ก็ลำลึกถึงความทรงจำในอดีตอันห่างไกล

ใช่แล้วมีอยู่ครั้งนึงที่เขาพยายามจะหาคู่หมั้นที่เหมาะสมให้กับอานิสเฟียร์ แต่มันก็ไม่เกิดขึ้น แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเพี้ยนของเธอ แต่อานิสเฟียร์ก็ยังยืนยันหนักแน่น

 

“ข้าไม่อยากแต่งงานกับผู้ชาย! ข้าจะแต่งงานกับผู้หญิงเท่านั้น! และข้าก็จะแต่งงานด้วยความรัก! ดังนั้นไม่จำเป็นต้องมีการหมั้นหมาย ถ้าต้องเลือกจริงๆข้าก็จะแต่งงานกับอิเรีย!”

 

ความโกลาหลที่เกิดจากการประกาศเช่นนั้น บัดนี้ออลฟรานส์ก็ยังคงจำมันได้ชัดเจนมากเท่าที่เขาอยากจะลืม

คราวนี้ไม่ใช่แค่ริมฝีบากแต่เขาสัมผัสได้เลยว่าแก้มทั้งสองข้างของตนกระตุกอย่างรุนแรงเมื่อมองไปที่อานิสเฟียร์

ที่หางตาของเขา เขามองเห็นยูฟีเรียที่กำลังค่อยๆถอยห่างออกไปทางประตู

อานิสเฟียร์ยังคงสบตากับออลฟรานส์และพูดด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า

 

“ข้าจะ…ข้าจะทำให้คุณหนูยูฟีเรียมีความสุขอย่างแน่นอน! ดังนั้นแล้วท่านพ่อโปรดยกเธอให้กับข้าด้วยเถอะ!”

 

สิ้นเสียงนั้น หัวและท้องของออลฟรานส์ก็เจ็บปวดสุดแสนจะบรรยาย

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Tensei Oujo to Tensai Reijou no Mahou Kakumei 2

Now you are reading Tensei Oujo to Tensai Reijou no Mahou Kakumei Chapter 2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ณ ราชวังภายในห้องทำงาน 

ออลฟรานส์ เอล พาเลทเทีย ราชาแห่งอาณาจักรพาเลทเทีย กำลังเพลิดเพลินอยู่กับชาชั้นเลิศในช่วงเวลาพักผ่อน

งานของกษัตริย์นั้นยุ่งมาก ดังนั้นเวลาพักผ่อนเพื่อรักษาร่างกายและปลอบประโลมจิตใจที่อ่อนล้าจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

เพราะถ้าไม่คิดแบบนี้คงทำงานต่อไม่ไหว การบริหารประเทศเป็นสิ่งยุ่งยากและมีปัญหามากมายคอยตามหลอกหลอนเขาอยู่เสมอ ฉับพลันหน้าของลูกสาวตัวป่วนก็ลอยเข้าทำให้เขาส่ายหัวอย่างหนักราวกับกำลังสลัดภาพนั้นให้หลุดออกไป

เมื่อเร็วๆนี้ลูกสาวตัวป่วนของเขาทำตัวสงบเสงี่ยมจนน่าสงสัย

เขาอยากจะเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าเธอสามารถควบคุมความเพี้ยนของตัวเองได้แล้ว

แต่เขาก็ไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้น ดูยังไงๆนี่ก็เป็นความสงบสุขก่อนพายุลูกใหญ่ชัดๆ

ลางสังหรณ์ของเขาบอกมาเช่นนั้น ก่อนที่เขาจะยัดมันเก็บไว้ลึกๆในใจและภาวนาไม่ให้มีอะไรเกิดขึ้น เพราะแค่นี้งานก็ยุ่งจะตายอยู่แล้ว

แต่ถึงแบบนั้นความปรารถนาของออลฟรานส์กลับแหลกสลายลงอย่างรวดเร็ว

 

“ฝ่าบาท! ขออภัยที่รบกวนแต่กระผมมีเรื่องด่วนมารายงานขอรับ คือ เจ้าหญิงอานิสเฟียร์ท่าน…!”

“…อ้า ให้ตายเถอะ! คราวนี้อะไรอีกละ?! เจ้าลูกบ้านั่นไปทำอะไรเข้าอีก!”

 

อัศวินที่เข้ามาตะโกนแจ้งข่าวอันเป็นสัญญาณของพายุคลั่งที่กำลังใกล้เข้ามา

ออลฟรานส์แหงนหน้ามองบนอย่างขุ่นเคืองพร้อมกับใช้มืออีกข้างลูบท้องที่กำลังเจ็บปวดจากความเครียด

 

“เจ้าหญิงมาเยี่ยมที่พระราชวังด้วยอุปกรณ์เวทมนต์ที่บินได้และขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทขอรับและ….”

“และอะไร?! รีบๆพูดออกมาได้แล้ว!”

“คะ-ครับ เจ้าหญิงอานิสเฟียร์อุ้มคุณหนูยูฟีเรีย บุตรสาวของดยุคมาเจนต้ามาด้วยครับ และ เอ่อ พวกเราคิดว่านี่เป็นการลักพาตัวครับ…!”

“นี่เจ้าลูกบ้านั่นทำอะไรลงไป ?!?!”

 

คุณหนูยูฟีเรีย เป็นบุตรสาวของดยุคมาเจนต้าและเป็นคู่หมั่นของอัลการ์ด พอได้ยินชื่อนั่นออลฟรานส์ก็รู้สึกเวียนหัวจนเกือบจะล้มลงไปบนเก้าอี้

วันนี้น่าจะเป็นวันจัดงานเลี้ยงฉลองของสถาบันขุนนาง แล้วทำไมยูฟีเรียถึงมาอยู่ที่นี่ได้ละ? หรือว่าจะโดนลักพาตัวมาตามที่อัศวินบอกจริงๆ

 

“พามานี่ เดี๋ยวนี้เลย!”

“ตะ-ตามบัญชาขอรับ!”

 

เมื่ออัศวินรีบจากไป ออลฟรานส์ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ 

เขาเปิดลิ้นชักใต้โต๊ะทำงานและเอื้อมมือหยิบขวดยาบางอย่างออกมา

มันคือยาที่ใช้รักษาโรคกระเพาะที่เกิดจากฝีมือของลูกสาวตนเอง

และยาขวดนี้ก็คือคู่หูเพียงหนึ่งเดียวของออลฟรานส์ที่ช่วยเขารับมือกับพายุที่กำลังโหมกระหน่ำ

แต่ก็เหมือนกับเรื่องตลกเพราะยาขวดนี้เองคนที่พัฒนามันก็ไม่ใช่ใครคนอื่นแต่คืออานิสเฟียร์อีกนั่นแหละ ตอนแรกที่รู้ความจริงมันก็ถึงกับทำให้เขาคุกเข่าลงด้วยความสิ้นหวัง

ออลฟรานส์นั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่นานเสียงของอัศวินก็ดังขึ้นจากอีกฝากของประตู ทันทีที่บอกให้เข้ามาได้ ประตูก็เปิดออกและทั้งสองคนก็ก้าวเข้ามาในห้อง

 

“สายัณห์สวัสดิ์ค่ะท่านพ่อ! ขอโทษที่มาโดยกระทันหันน๊า!”

 

ปี้ด! ออลฟรานส์รู้สึกเหมือนไมเกรนจะขึ้นขณะที่หรี่ตามองไปยังอานิสเฟียร์ผู้ซึ่งเดินเข้ามาในห้องโดยไม่สนใจโลก

และเมื่อเขาเห็นสิ่งที่เธอแบกอยู่ ก็ได้แต่ภาวนาอีกครั้งว่าขอให้ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่เป็นความฝัน

เนื่องจากสิ่งนั่นก็คือยูฟีเรียซึ่งกำลังถูกแบกคว่ำหน้าอยู่ เมื่ออานิสเฟียร์ปล่อยเธอลงพื้น ดวงตาของยูฟีเรียเบิกกว้างและสีหน้าก็เริ่มซีดลงเมื่อรู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด

 

“ฝ-ฝ่าบาท! ขออภัยสำหรับความไร้มารยาท! โปรดยกโทษให้หม่อมฉันด้วยเถอะค่ะ!”

“ไม่เป็นไร ข้ารู้ว่านี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ทั้งหมดนี่เป็นเพราะบุตรสาวงี่เง่าของข้าเอง ใช่หรือไม่อานิส ?”

“ใช่แล้วค่า!”

“เล่ามาสิ คราวนี้เจ้าไปก่อนเรื่องอะไรเอาไว้อีกล่ะ….?”

“ท่านพ่อให้ข้าได้อธิบายก่อนสิ คราวนี้ไม่ใช่ความผิดข้าคนเดียวซะหน่อย!”

“โฮ่ เรื่องนั้นข้าจะเป็นคนตัดสินเอง หลังจากที่เจ้าคายทุกอย่างออกมาล่ะนะ”

“คือตอนที่ข้ากำลังทำการทดสอบบินตอนกลางคืน มันก็คืบหน้าไปด้วยดีอยู่หรอก แต่รู้ตัวอีกทีข้าก็พังหน้าต่างเข้าไปในงานปาตี้ของสถาบันซะแล้ว!”

“เจ้า..โง่เอ้ยยย!!!”

ออลฟรานส์กระโดดลุกออกจากเก้าอี้และใช้กำปั้นเขกหัวอานิสเฟียร์

“แอ่กกก!”

เสียงกรีดร้องที่ไม่สมหญิง อานิสเฟียร์กุมหัวตัวเองและแหงนมองออลฟรานส์ด้วยสายตาลูกหมาร้องไห้ เมื่อเห็นเช่นนั้นอารมณ์โกรธของเขาก็ยิ่งพลุ่งพล่าน

 

“เจ้า…เจ้านี่มัน…! ต้องก่อเรื่องอีกสักกี่ครั้งมันถึงจะเจาะกะโหลกหนาๆนั่นเข้าจนจำว่าให้คิดก่อนทำอะไรน่ะห๊ะ?! หรือว่าในหัวนั่นมันจะเป็นแค่โพรงกลวงๆเอาไว้คั่นหูกันแน่?!”

“ท่านพ่อเอ๋ย หากกลัวความล้มเหลวก็ไม่มีวันก้าวไปข้างหน้าได้หรอกนะ!”

“แต่ก็บอกให้ระวังไปหลายครั้งแล้วนี่ การกระทำผิดผลาดซ้ำซากแล้วหวังจะให้เกิดผลลัพธ์ใหม่ๆนั่นน่ะคือที่สุดของความเพี้ยนแล้วเจ้าโง่!”

 

กำปั้นพุ่งใส่หัวอานิสเฟียร์อีกครั้ง คราวนี้เธอถึงกับลงไปกองบนพื้น ออลฟรานส์สูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามสงบสติอารมณ์ของตนเอง

ว่าแต่ถึงอานิสเฟียร์จะทำอะไรเพี้ยนๆเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ทำไมยูฟีเรียถึงอยู่กับนางได้ล่ะ?

 

“แล้วเจ้าล่ะยูฟีเรีย ทำไมเจ้าถึงอยู่กับอานิสได้?”

“น-นั่นมัน…”

 

เมื่อออลฟรานส์หันไปถาม ยูฟีเรียก็พูดติดขัดพร้อมกับกัดริมฝีปากแน่นและก้มหน้าลง

ท่าทางเช่นนั้นทำให้แม้แต่ออลฟรานส์เองก็ยังขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

ในความคิดของเขายูฟีเรียก็เปรียบเสมือนกับลูกสาวของตนอีกคนแม้ว่าจะยังไม่เป็นทางการก็ตาม นั่นทำให้ออลฟรานส์สัมผัสได้ถึงลางร้ายบางอย่าง 

ยูฟีเรียผู้ซึ่งวันหนึ่งจะได้กลายเป็นราชินีของอาณาจักรบัดนี้กลับยืนตัวสั่นอยู่ต่อหน้าเขา มีบางอย่างผิดปกติและต้องเป็นเรื่องใหญ่มากแน่ๆ

 

“อัลคุงคุงบอกว่าจะถอนหมั้นค่ะท่านพ่อ”

“ห๊ะ?”

“ถอนหมั้นค่ะ”

“…..”

“ก็บอกว่าถอนหมั้นไงคะ”

“ใคร? ใครถอนหมั้นกับใครนะ?”

“อัลคุงกับคุณหนูยูฟีเรียค่ะ”

“ใครบอกว่าจะทำนะ? อัลการ์ดน่ะเหรอ?”

“ก็บอกอยู่นี่ว่าอัลคุงน่ะ!”

 

อานิสเฟียร์รายงานพร้อมกับเอามือลูบหัวด้วยความเจ็บ ออลฟรานส์ยืนนิ่ง เขาต้องใช้เวลาสักพักเพื่อทำความเข้าใจสิ่งที่พึ่งได้ยินมา 

และเมื่อทุกอย่างประกอบเข้าร่าง ท้องของออลฟรานส์ก็ปวดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน 

เขาฝืนบังคับตนเองให้อดทนต่อความทรมานเพื่อรักษาท่าทางเยี่ยงกษัตริย์เอาไว้ ก่อนจะหันไปถามยูฟีเรียพร้อมกับมุมปากที่กระตุกไปมา

 

“ได้โปรดเถอะยูฟีเรีย ได้โปรดบอกข้าทีว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝัน เป็นแค่ความฝันใช่ไหม?”

“…ขออภัยด้วยค่ะ”

 

ยูฟีเรียยืนยันเช่นนั้นก่อนจะก้มศีรษะลง ออลฟรานส์แทบกระอักเลือด

 

“ท-ทำไมกัน? ทำไมเจ้าบ้านั่นถึงยกเลิกการหมั้นกลางงานปาตี้?!” ทำไมไม่บอกอะไรกับข้าสักอย่าง?! ถ้าบอกก่อนล่ะก็ข้าจะได้ทุบกระโหลกเจ้าบ้านั่นก่อนที่มันจะทำอะไรโง่ๆแบบนั้นลงไป!!”

“อ๊ะ แล้วก็ดูเหมือนอัลคุงจะมีผู้หญิงคนอื่นนอกจากคุณหนูยูฟีเรียด้วยนะท่านพ่อ”

“ใครกัน?! บ้าน่า….หรือว่าจะเป็นบุตรสาวของบารอนคนนั้นน่ะเรอะ?!”

 

ข่าวลือเกี่ยวกับอัลการ์ดที่ตกหลุมรักลูกสาวของบารอนระดับล่างผุดขึ้นในใจของออลฟรานส์

เขาไม่สนว่าอัลการ์ดจะมีสนมหรือไม่ แต่นั่นควรเป็นสิ่งที่ภรรยาหลวงให้การยอมรับและยินยอมให้มีได้

 

“ข้าได้ยินมาว่าอัลการ์ดถูกใจเธอ…แต่นี่ถึงขั้นยกเลิกการหมั้นกับยูฟีเรียเลยงั้นเรอะ! หรือว่าเขาตั้งใจจะให้บุตรสาวของบารอนนั่นขึ้นเป็นภรรยาหลวง!”

“ข้าก็ไม่ได้ถามเรื่องนั้นมา แต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้น อ่าใช่ๆ เรามีประชุมครอบครัวกันต่อจากนี้ ข้าบอกท่านแล้วดังนั้นท่านพ่อเองก็ต้องเข้าร่วมด้วยนะ!”

 

ออลฟรานส์มองบุตรสาวของตนเองที่ยืนฉีกยิ้มกว้าง นั่นทำให้เขาง้างกำปั้นขึ้นเตรียมจะเขกหัวอานิสเฟียร์แต่เขาก็หยุดตัวเองได้ทัน

 

“ร-ไร้สาระ…ลูกสาวของบารอนงั้นเรอะ?! เธอไม่เคยได้รับการฝึกฝนเพื่อขึ้นเป็นราชินีเลยแม้แต่น้อย! แล้วจะให้คนแบบนั้นขึ้นเป็นภรรยาหลวงของราชาในอนาคตเนี่ยนะ…เจ้าบ้านั่นเข้าใจไหมว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่?!”

“อื้มๆ อัลคุงนี่ก็ชอบทำให้ปวดหัวอยู่เรื่อยเลยน๊า”

“อย่างเจ้ามีสิทธิพูดด้วยเรอะ?!”

 

ออลฟรานส์ตะโกนพร้อมกับนวดขมับต่อคำบ่นของอานิสเฟียร์

ชนวนเหตุการณ์ในครั้งนี้มันร้ายแรงมากพอที่จะทำให้สิ่งต่างๆล้มพังครืนลงมาเหมือนกับโดมิโน่

ประการแรกเลยก็คือความสัมพันธ์กับดยุคมาเจนต้า พ่อของยูฟีเรีย 

เพราะคนที่ขอให้มีการหมั้นหมายระหว่างอัลการ์ดกับยูฟีเรียก็คือทางราชวงศ์เอง นี่ก็เพื่อเอาตัวยูฟีเรียที่ทั้งเก่งกาจแล้วมากความสามารถเข้าสู่ครอบครัวราชวงศ์ และก็เพื่อการสนับสนุนจากดยุคมาเจนต้า ให้สนับสนุนอัลการ์ดในฐานะรัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์

ดยุคมาเจนต้าเองก็หวงแหนลูกสาวของตนเองอย่างมาก จนลังเลที่จะให้หมั้นหมายในตอนแรก แต่ที่เขายอมรับก็เพราะความภักดีต่อราชวงศ์และมิตรภาพส่วนตัวระหว่างเขากับออลฟรานส์

หรือก็คือการถอยหมั้นครั้งนี้ก็เป็นเหมือนกับการถ่มน้ำลายใส่เกียรติและความภักดีของดยุคมาเจนต้า

ออลฟรานส์เองก็รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างอัลการ์ดกับยูฟีเรียนั้นไม่ค่อยดีนัก และยูฟีเรียเองก็อาจจะอยากยกเลิกการหมั้นครั้งนี้ด้วยตัวเอง แต่ออลฟรานส์ก็เชื่อมั่นว่ายูฟีเรียจะทำหน้าที่เพื่อสนับสนุนอาณาจักรต่อไป ทางนี้เองก็จะไม่ยกเลิกการหมั้นนี้เด็ดขาด…..อย่างน้อยผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็เคยตกลงกันเอาไว้เช่นนั้น

 

‘ถ้าเกิดแกรนท์รู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็…ห-หายนะชัดๆ…!”

 

ดยุค แกรนท์ มาเจนต้า เป็นทหารที่มากความสามารถอีกทั้งยังเป็นถึงปรมาจารย์ดาบ ชายผู้ภักดีต่อบัลลังก์และเพื่อนสนิทส่วนตัวของออลฟรานส์   

ออลฟานส์รู้ดีว่าถึงแม้เขาจะเข้มงวดกับลูกสาวของตนเองมากแค่ไหน แต่เขาก็รักเธออย่างสุดหัวใจ

และที่เขาเข้มงวดก็เพื่อตัวยูฟีเรียเองด้วย เพื่อให้เธอพร้อมรับมือกับความเป็นจริงอันโหดร้ายในฐานะราชินี และก็เพื่อบรรลุหน้าที่ของตนเองต่อราชวงศ์ ดังนั้นเขาจึงเข้มงวดกับเธอในฐานะดยุคไม่ใช่ในฐานะบิดา

อีกทั้งดยุคแกรนท์ยังเป็นคนที่น่ากลัวและป่าเถื่อนเมื่อถึงคราวจำเป็น

ตัวออลฟรานส์เองก่อนที่จะขึ้นเป็นราชาก็ได้ความโหดร้ายป่าเถื่อนของเขาช่วยเอาไว้มากมาย เมื่อคิดถึงมันแล้วความเย็นยะเยือกก็เสียดแทงเข้าที่หลัง

มันไม่ใช่เรื่องพื้นๆอย่างการถอนหมั้น แต่มันกำลังจะกลายไปเป็นหายนะระดับประเทศ

ในฐานะผู้นำของอาณาจักรแล้ว เขาจะทำอย่างไรดีเพื่อหยุดสถานการณ์เลวร้ายนี้เอาไว้?

ออลฟรานส์พบว่าตนเองกำลังจ้องมองไปยังปลายดาบของดยุคมาเจนต้าที่จ่อเข้ามา และเขาเองก็ไม่มีคำใดๆจะแก้ตัวด้วย

ถึงแม้ว่าอัลการ์ดจะมาบอกเขาก่อน เขาก็จะไม่มีวันยกโทษให้เด็ดขาด

และแม้ว่าการถอนหมั้นจะเป็นสิ่งที่หยุดไม่ได้แล้ว แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องปฏิเสธอย่างถึงที่สุดว่าไม่ใช่เพราะอัลการ์ดได้เจอคนที่รักเข้าให้แล้ว

มิหนำซ้ำยังเป็นผู้หญิงคนนั้น เธอเป็นเพียงลูกสาวของบารอน สามารถบอกได้เลยว่าเธอไม่เหมาะสมที่จะยืนเคียงข้างรัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์ บางทีมันอาจจะต่างออกไปถ้าหากเธอมีความสามารถหรือทำผลงานที่ยิ่งใหญ่ แต่มันก็ไม่มี

ในขณะที่ยูฟีเรียนั้นได้รับการฝึกฝนเพื่อเป็นราชินีตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อเทียบกันแล้วเรย์อินไม่มีสิ่งนั้น ถ้าหากมีก็คงจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นตั้งแต่แรก

สรุปแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่ทางราชวงศ์ จะยอมรับในตัวเรย์อินในฐานะคู่หมั้นของอัลการ์ดอย่างเป็นทางการ

แถมคนที่ถอนหมั้นในครั้งนี้ก็คือตัวของอัลการ์ดเอง เลวร้ายที่สุดก็คือการถอนหมั้นกลางานปาตี้ทำให้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะซุกเรื่องไว้ใต้พรม

ออลฟรานส์มองไม่เห็นทางออกของปัญหานี้เลย ถ้าจะให้พูดเขาเป็นห่วงว่าหัวของตนเองจะยังอยู่รอดจนถึงพระอาทิตย์ขึ้นหรือไม่มากกว่าด้วยซ้ำ พอคิดแบบนั้นใบหน้าเพื่อนของเขาผู้รักลูกสาวเหนือสิ่งอื่นใดในโลกก็ปรากฏขึ้นมา

 

“อุ….อุยยย…!”

 

กระเพราะของออลฟรานส์ปวดหนักมากขึ้นจนเขาทนไม่ไหวแล้วทรุดตัวลง ความเจ็บปวดที่ท้องซึ่งเกิดจากความเครียดแผ่กระจายไปทั่วร่างกาย

 

“ท่านพ่อ!”

“ฝ-ฝ่าบาทแข็งใจเอาไว้นะคะ!”

 

อานิสเฟียร์และยูฟีเรียพุ่งออกไปเพื่อประคองตัวออลฟรานส์เอาไว้และพยุงไหล่ทั้งสองข้างของเขาพานั่งลงบนเก้าอี้   

 

“…ทำไมล่ะ อัลการ์ด? ทำถึงทำแบบนี้…?”

 

ออลฟรานส์ไม่เชื่อว่าอัลการ์ดจะไร้ความสามารถถึงเพียงนี้ ถ้าหากเขาได้ขึ้นเป็นราชาและได้รับการสนับสนุนที่ดี สักวันหนึ่งเขาน่ะ… ใช่แล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นราชามากความสามารถจนถูกจาลึกชื่อลงในประวัติศาสตร์ แต่เขาก็เป็นราชาที่ดีได้หากได้รับการสนับสนุนเหมาะสม ด้วยเหตุผลนั้นเขาและอานิสเฟียร์จึงตกลงกันว่าเธอจะสละสิทธิ์ในราชบัลลังก์

 

“….ทั้งหมดนี้เป็นเพราะหม่อนฉันไร้ความสามารถเอง ต้องขอประทานอภัยจริงๆค่ะ..”

 

เมื่อเห็นท่าทางของออลฟรานส์ ยูฟีเรียก็คุกเข่าลงขอโทษ ไหล่ของเธอสั่นอย่างเจ็บปวดแล้วมีน้ำตาคลอในดวงตา

ออลฟรานส์กัดริมฝีปากด้วยความเสียใจเมื่อมองดูยูฟีเรีย ผู้ซึ่งเคยมีท่าทางแน่วแน่และสง่างามมาโดยตลอด

เขากัดริมฝีปากแน่นจนสัมผัสได้ถึงรสชาติของเลือด

 

“ไม่ใช่ความผิดของคุณหนูยูฟีเรียหรอกนะ อัลคุงเองก็ชอบก่อปัญหาไปเรื่อยแบบนี้แหละ”

“อย่างเจ้าน่ะไม่มีสิทธิพูด!”

 

ออลฟรานส์รู้ดีกว่าอัลการ์ดนั้นมีปนด้อยอยู่ แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของใครคนอื่นเลย นอกจากลูกสาวสุดเพี้ยนของตนอย่างอานิสเฟียร์!

ถึงแม้เธอจะเป็นเด็กมีปัญหา แต่ก็ไม่อาจแย้งได้ว่าอานิสเฟียร์เป็นนักประดิษฐ์รุ่นบุกเบิก ผู้มักจะอวดแนวคิดหรือโครงการใหม่ๆที่ไม่เคยมีใครฝันถึงมาก่อน

อัลการ์ดมีความสามารถก็จริง แต่เมื่อเทียบกับพี่สาวแล้ว อัลการ์ดไม่มีอะไรที่เทียบได้เลยสักอย่าง และอานิสเฟียร์ก็รู้เรื่องนี้ดีจึงพยายามเว้นระยะห่างจากเขา

 

“นี่ข้าก็สละสิทธิในการสืบทอดบัลลังก์ไปแล้วไม่ใช่เรอะ?”

“ปัญหาคือทุกอย่างที่เจ้าทำนั่นแหละ!”

“อ๊ะ ถ้างั้นข้าจะโดนไล่ออกจากราชวงศ์งั้นเหรอ? เป็นความคิดที่ดีเลยนี่นา!”

“หยุดพูดแบบนั้นสักทีเถอะน่า!!”

 

ขณะที่อานิสเฟียร์ยืดอกอย่างภูมิใจกับความคิดอันยอดเยี่ยมของตัวเอง ออลฟรานส์ก็คว้าเธอไว้แล้วเขย่าไปมา

ถ้าหากอานิสเฟียร์ไม่เป็นเด็กเจ้าปัญหา หรือไม่ก็เป็นผู้ชาย เขาก็คงจะไม่ต้องมานั่งกังวลแบบนี้แล้วแท้ๆ

แม้ว่าอานิสเฟียร์จะเป็นสมาชิกราชวงศ์ แต่ออลฟรานส์ก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกันตัวป่วนอย่างเธอออกจากงานบริหารบ้านเมือง ยกเว้นก็แต่งานวิจัยศาสตร์เวท

วิทยาการด้านเวทมนต์ของอาณาจักรพาเลทเทียพัฒนาขึ้นแบบก้าวกระโดดเพราะได้รับการสนับสนุนจากศาสตร์เวทของอานิสเฟียร์ จนมันกลายเป็นสิ่งที่อาณาจักรจะขาดไปไม่ได้ซะแล้ว

ออลฟรานส์รู้ว่าเรื่องนั้นทำให้อัลการ์ดเกิดปมในใจขึ้นมา เพราะถึงแม้ว่าอานิสเฟียร์จะทำตัวไม่เหมาะสมกับตำแหน่งราชวงศ์  แต่เธอก็แสดงให้เห็นว่าตนเองเป็นกำลังสำคัญของประเทศได้ด้วยพรสวรรค์เพียงหนึ่งเดียว

ดังนั้นเพื่อไม่ให้อัลการ์ดรู้สึกว่าตำแหน่งของตนเองกำลังถูกคุกคาม อานิสเฟียร์จึงแกล้งทำเป็นเด็กมีปัญหาเพื่อให้อัลการ์ดสบายใจ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ออลฟรานส์คิดแล้วภาวนาให้มันเป็นจริง

 

“ท่าน…ท่านพ่อ! เมตตาข้าด้วย ไม่ไหวจะอ้วกแล้…อุ๊ป!”

“ข้าไม่มีความเมตตาให้คนอย่างเจ้าาา!”

“งั้นฟังข้าก่อนสักนิด! ขืนเป็นแบบนี้ไม่รู้ว่าดยุคแกรนท์จะแก้แค้นอะไรท่านพ่อบ้าง!”

“หยุ๊ดดด! อย่าทำให้นึกถึงมันเซ่!”

“แต่ข้าอานิสเฟียร์ผู้นี้มีแผนที่จะช่วยท่านจากวิกฤตนี้นะ!”

“….ว่าไงนะ?”

 

ออลฟรานส์ผู้ซึ่งกำลังตกลงสู่ด้านมืดหยุดเขย่าแล้วปล่อยอานิสเฟียร์ให้เป็นอิสระ

อานิสเฟียร์รีบวิ่งหนีไปหลบอยู่ด้านหลังยูฟีเรียผู้ซึ่งเฝ้ามองด้วยสายตาอบอุ่น(?) และใช้เธอเหมือนโล่กำบัง

 

“ประการแรก เหตุผลหลักของการหมั้นก็คือการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์กับตระกูลดยุคมาเจนต้า แล้วก็เพื่อแสดงให้คนอื่นๆเห็นว่าเราอยู่ฝั่งเดียวกันถูกไหม ?”

“ข้าไม่ปฏิเสธ แน่นอนว่าข้าหวังจะให้ยูฟีเรียสนับสนุนอัลการ์ดในอนาคต แต่นั่นก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น”

“งั้นนน ก็ยังมีวิธีที่จะถอนหมั้นในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างทั้งสองฝั่งเอาไว้ได้อยู่!”

‘….ทำไมลางสังหรณ์ของข้ามัน..’

 

เมื่ออานิสเฟียร์กล่าวพร้อมฉีกยิ้มกว้าง ปากของออลฟรานส์ก็เริ่มกระตุกอีกครั้ง

 

“…ถึงจะมีลางสังหรณ์แปลกๆ แต่ข้าจะรับฟัง เจ้ามีแผนอะไรล่ะ?”

 

เมื่อได้ยินคำตอบนั้น รอยยิ้มของเธอก็ยิ่งฉีกกว้างขึ้นอีก

 

“ก็แค่ยกคุณหนูยูฟีเรียให้ข้าแทนก็สิ้นเรื่อง!”

 

ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วบริเวณ ทั้งสองคนมองหน้าอานิสเฟียร์แบบหมดคำจะพูด

 

“…หมายความว่ายังไง?”

 

“ข้าอยากให้คุณหนูยูฟีเรียมาเป็นหนูทดลอ…อะแฮม! หมายถึงผู้ช่วยงานวิจัยน่ะ”

“เจ้าาา! ไม่ต้องมาแกล้งไอปกปิดเลยนะ!”

“ข้ารู้ว่าคุณหนูยูฟีเรียเป็นนักเวทที่มีความสามารถ! เธอสามารถใช้เวทย์มนตร์ได้ทุกประเภทและข้าก็ได้ยินมาว่าเธอเป็นอัจฉริยะที่สุดในรุ่นด้วย! ข้าคิดมาตลอดเลยว่าอยากได้เธอมาเป็นผู้ช่วยในงานวิจัยของข้า!”

 

แน่นอนว่ายูฟีเรียเป็นเด็กสาวที่มีพรสวรรค์พิเศษ ไม่ใช่แค่ด้านการเรียนแต่ในฐานะนักเวทก็ด้วย มิหนำซ้ำยังมีความสามารถด้านเพลงดาบอีก

จากมุมมองของอานิสเฟียร์ผู้บุกเบิกด้านศาสตร์เวท สมควรแล้วที่จะอยากได้เธอมาเป็นผู้ช่วย

 

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่จะโน้มน้าวดยุคมาเจนต้าไม่ให้เชือดข้าทิ้งห๊ะ เจ้าเด็กตัวปัญหานี่….!”

“ก็เกี่ยวกับการถอนหมั้นของคุณหนูยูฟีเรียไง ป่านนี้มันคงจะกระจายไปทั่วเมืองหลวงแล้ว! ไม่มีทางที่จะปกปิดมันได้แน่นอน! นั่นเป็นเหตุผลที่ท่านพ่อสามารถใช้ข้าเด็กมีปัญหาอันดับหนึ่งของอาณาจักร กอบกู้สถานการณ์ที่น่าสิ้นหวังนี้ได้ยังไงล่ะ!”

“หยุดพูดแบบนั้นอย่างภาคภูมิใจซะที! หมายความว่าจะให้ข้าขายยูฟีเรียให้เจ้าเรอะ?!”

“ข้าขอโทษที่ต้องพูดตรงๆ แต่ท่านต้องคิดถึงอนาคตของคุณหนูยูฟีเรีย เพราะในสายตาของทุกคนตอนนี้เธอทั้งถูกดูหมิ่นและถูกราชวงศ์โยนทิ้งไปแล้ว! ด้วยอายุเธอตอนนี้ ท่านคิดว่ามันง่ายนักเหรอที่จะได้หมั้นหมายกับขุนนางชั้นสูงอีกครั้งน่ะ?”

 

คำพูดเหล่านั้นสร้างความเจ็บปวดให้แก่หัวใจของออลฟรานส์

สาวน้อยที่ถูกราชวงศ์ทอดทิ้ง ไม่มีทางที่การแต่งงานในอนาคตของเธอจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นหากอัลการ์ดได้ขึ้นเป็นราชา สถานการณ์ของยูฟีเรียก็จะยิ่งเลวร้ายลง เธอจะกลายเป็นผู้หญิงที่ถูกทอดทิ้งโดยพระราชาของอาณาจักรแทน

แต่เมื่อต้องแต่งเธอออกนอกประเทศ ความอัจฉริยะของตัวยูฟีเรียเองกลับกลายเป็นอุปสรรค์ พูดง่ายๆก็คือ เป็นเรื่องยากมากที่จะหาคู่ที่เหมาะสมกับยูฟีเรีย แถมคนๆนั้นจะต้องภักดีต่อราชวงศ์ของประเทศนี้อีก นั่นทำให้ตัวเลือกในอนาคตของเธอยิ่งแคบลงไปอีก

และตอนนี้อายุของยูฟีเรียเองก็เข้าสู่วัยที่เหมาะสมจะแต่งงานแล้ว ถ้าหากให้ยืดเยื้อนานไป จะมีปัญหาเกี่ยวกับอายุเธอ และมันจะทำให้เธอถูกดูหมิ่นเหยียดหยามมากกว่าเดิมซะอีก

 

“ดังนั้นแล้ว ถ้าเธอได้เรียนรู้ศาสตร์เวทและช่วยข้าพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆขึ้นมา ข้าแน่ใจว่าคุณหนูยูฟีเรียจะต้องได้รับเกียรติกลับคืนมาอย่างแน่นอน! หลังจากนั้นเธอก็จะเป็นเจ้าสาวที่สมบูรณ์แบบ! แถมเมื่อเวลาผ่านไปยูฟีเรียกับอัลคุงต้องเข้ากันได้มากขึ้นแน่ๆ!”

“ถึงที่พูดมาจะมีแต่เรื่องดีๆ ไม่สิ สมมุติว่าทุกอย่างไปได้ด้วยดีหมดก็จริงที่นี้บอกความต้องการที่แท้จริงของเจ้ามาได้แล้ว เจ้าต้องการอะไรกันแน่?”

“แน่นอนว่าข้าไม่มีทางพลาดโอกาสในการได้ผู้ช่วยวิจัยอยู่แล้วนี่ จริงไหม!”

“โอ่ร่าาาา!!”

“ก-กรงเล็บเหล็กเลยเรอะ?! หัวข้า..หัวข้าจะระเบิดแล้ว..!”

 

ออลฟรานส์กระโดดขึ้นจับใบหน้าของอานิสเฟียร์และยกเธอขึ้นไปในอากาศ

เธอพยายามดึงมือของเขาออกและต่อสู้เพื่ออิสระภาพ แต่สุดท้ายก็ตระหนักได้ว่ามันไร้ประโยชน์

ขณะที่จ้องมองอานิสเฟียร์ ออลฟรานส์สัมผัสได้ว่าทั้งหมดมันเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของแผนเท่านั้น

ตอนนี้ความรู้เกี่ยวกับศาสตร์เวททั้งหมดถูกอานิสเฟียร์ปกปิดเอาไว้ เพราะถึงแม้เธอจะเป็นเด็กมีปัญหาแต่เธอก็ใส่ใจมากพอที่จะกันคนอื่นออกจากอันตราย

เธอจะเปิดเผยงานวิจัยให้กับคนไม่กี่คนที่ตนไว้ใจเท่านั้น อีกทั้งเธอยังเก็บซ่อนงานวิจัยและสมุดบันทึกเอาไว้จนกว่าเธอจะแน่ใจว่ามันพร้อมที่จะเผยแพร่สู่สาธารณ

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมอานิสเฟียร์ถึงถึงมีคนข้างกายน้อยและไม่ปรากฏต่อสายตาของสาธารณชนเลยแม้จะเป็นสมาชิกราชวงศ์ก็ตาม

ออลฟรานส์จึงรู้สึกประหลาดใจมากที่เธอขอรับตัวยูฟีเรียไปเป็นผู้ช่วย

 

“เจ้ายังซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้อยู่ใช่มั้ยอานิส?”

“มือของท่าน…ปล่อยข้า….หัวของข้ากำลังจะ….!”

“ถ้ารู้ว่าจะโดนแบบนี้ก็หัดเรียนรู้ซะหน่อยเถอะ…”

 

ออลฟรานส์ถอนหายใจพร้อมกับปล่อยกรงเล็บเหล็กออก

อานิสเฟียร์เอามือลูบหน้าตนเองและกล่าวออกมา

 

“อื้ม…จริงอยู่ว่าข้าปกปิดอะไรบ้างอย่างเอาไว้ แต่ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะซ่อนหรอกนะ”

“โฮ่? เล่ามาสิ”

“ข้าอยากจะอยู่ข้างเธอก็เพราะว่าข้าคิดว่าคุณหนูยูฟีเรียนี่แหละใช่เลยยังไงล่ะ!”

“ห๊ะ?”

“เอ๊ะ?”

“…เจ้าหมายถึงเธอเหมาะสมในฐานะผู้ช่วยวิจัยอย่างนั้นหรือ?”

“ที่ข้าหมายถึงคือ ช้าชอบเธอในฐานะผู้หญิงต่างหาก”

 

ทันใดนั้นออลฟรานส์ก็ลำลึกถึงความทรงจำในอดีตอันห่างไกล

ใช่แล้วมีอยู่ครั้งนึงที่เขาพยายามจะหาคู่หมั้นที่เหมาะสมให้กับอานิสเฟียร์ แต่มันก็ไม่เกิดขึ้น แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเพี้ยนของเธอ แต่อานิสเฟียร์ก็ยังยืนยันหนักแน่น

 

“ข้าไม่อยากแต่งงานกับผู้ชาย! ข้าจะแต่งงานกับผู้หญิงเท่านั้น! และข้าก็จะแต่งงานด้วยความรัก! ดังนั้นไม่จำเป็นต้องมีการหมั้นหมาย ถ้าต้องเลือกจริงๆข้าก็จะแต่งงานกับอิเรีย!”

 

ความโกลาหลที่เกิดจากการประกาศเช่นนั้น บัดนี้ออลฟรานส์ก็ยังคงจำมันได้ชัดเจนมากเท่าที่เขาอยากจะลืม

คราวนี้ไม่ใช่แค่ริมฝีบากแต่เขาสัมผัสได้เลยว่าแก้มทั้งสองข้างของตนกระตุกอย่างรุนแรงเมื่อมองไปที่อานิสเฟียร์

ที่หางตาของเขา เขามองเห็นยูฟีเรียที่กำลังค่อยๆถอยห่างออกไปทางประตู

อานิสเฟียร์ยังคงสบตากับออลฟรานส์และพูดด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า

 

“ข้าจะ…ข้าจะทำให้คุณหนูยูฟีเรียมีความสุขอย่างแน่นอน! ดังนั้นแล้วท่านพ่อโปรดยกเธอให้กับข้าด้วยเถอะ!”

 

สิ้นเสียงนั้น หัวและท้องของออลฟรานส์ก็เจ็บปวดสุดแสนจะบรรยาย

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+