[WN] พอลองตั้งเงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้เพราะไม่อยากไปดูตัว เพื่อนร่วมชั้นก็ดันปรากฏตัวออกมา 4

Now you are reading [WN] พอลองตั้งเงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้เพราะไม่อยากไปดูตัว เพื่อนร่วมชั้นก็ดันปรากฏตัวออกมา Chapter 4 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 1 ตอนที่ 4 ดูแล “คู่หมั้น”

 

 

“อ๊ะ เวรละ…”

“อันตราย!”

 

ยูสุรุสะดุดล้มอย่างรุนแรง และด้วยการเคลื่อนไหวของอาริสะจึงทำให้ผมหลีกเลี่ยงการจูบพื้นได้ทัน

แต่…

 

“ไม่ได้เป็นไรใช่มั้ยคะ”

“อึ…อื้ม ขอบคุณมาก” (มะ มีอะไรบางอย่างมาโดนหน้าเราด้วย)

 

ในขณะที่ยูสุรุกำลังพยุงตัวขึ้น เขาก็ได้นึกถึง “เบานุ่มๆ” ที่มาพยุงหน้าเขาไว้

โชคดีที่อาริสะไม่ทันสังเกตเห็นหรือว่าไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้

 

(หลากหลายความรู้สึกจริงๆ ทั้งหอม… แล้วก็นุ่ม)

ในขณะที่กำลังพยุงตัวขึ้นใหม่ด้วยไม้ค้ำที่ได้รับจากอาริสะ ยูสุรุก็นึกถึงคำหนึ่ง

นี่สินะสิทธิพิเศษ เขาคิด

 

“ก็ซาบซึ้งในความรู้สึกของเธออยู่นะ แต่ฉันไม่เป็นไรแล้ว จะให้รบกวนเธออีกคงไม่ได้”

 

ให้เด็กผู้หญิงมาดูแลนี่มันเห่ยสิ้นดี

ศักดิ์ศรีอันไร้ประโยชน์ของยูสุรุเริ่มทำงาน

 

และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ… เดี๋ยวมันจะกลายเป็นข่าวลือที่โรงเรียนเอา

หากมีคนเห็นว่ายูสุรุกับอาริสะสนิทกัน มันอาจจะมีนักเรียนบางคนเชื่อมโยงความสัมพันธ์และรู้เรื่องการหมั้นของพวกเราได้

ยิ่งในโรงเรียนมีเด็กบางคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลทาคาเซกาวะด้วย

 

จะให้ไปรูดซิปปากคนอื่นก็คงไม่ได้

ดังนั้นไม่นานพวกเราต้องตกเป็นจุดศูนย์กลางความสนใจของคนทั้งโรงเรียนแน่

 

“คนที่เกือบจะล้มลงไปก่อนหน้านี้พูดออกมาได้นะคะ”

“อึก…”

 

ผมปฏิเสธไม่ได้

เพราะว่าเมื่อวานนี้ผมก็ตะเกียกตะกายอยู่คนเดียวในห้องมาแล้ว

 

“ก็แค่ไม่ได้อยากติดค้างอะไรกันเท่านั้น ให้ฉันได้ทดแทนหนี้บุญคุณเถอะนะคะ”

 

“แต่ถ้าเกิดมีคนเห็นว่าอยู่ด้วยกันกับเธอ…”

 

“ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันเองก็ไม่อยากถูกเอาไปลือแปลกๆ กับคุณทาคาเซกาวะเหมือนกัน เข้าใจดีอยู่ค่ะ เอาเป็นแค่ช่วงออกไปจากอะพาร์ตเมนต์ถึงโรงเรียนก็พอ เท่านี้ก็ไม่มีนักเรียนคนอื่นเห็นแล้วใช่มั้ยล่ะคะ”

 

“แบบนั้น… อา เข้าใจแล้ว งั้นก็ฝากด้วยนะ”

 

ยูสุรุคิดว่าถึงจะฝืนปฏิเสธไปเธอก็จะยังตามมาอยู่ดี เพราะงั้นก็เลยตัดสินใจที่จะขอความช่วยเหลือแบบโดยดี

อันที่จริงแค่กดสวิตช์ลิฟต์เฉยๆ ผมก็ลำบากแล้ว ดังนั้นผมจึงรู้สึกขอบคุณเธอที่มาช่วยผมจนถึงออกจากอะพาร์ตเมนต์

 

“ถ้างั้นฉันขอตัวไปก่อนนะคะ …เดินไปต่อได้ใช่มั้ยคะ”

“อื้อ สบายมาก”

 

มากกว่านั้นอยากให้รีบเดินนำไปให้ไวที่สุดด้วยซ้ำ

จากอะพาร์ตเมนต์ของยูสุรุไปถึงโรงเรียนมันใช้เวลาเดินแค่เพียงประมาณ 10 นาที

เพราะงั้นจะมีนักเรียนเดินผ่านมาเมื่อไหร่ก็คงจะไม่แปลกใจเลย

 

“ก่อนหน้านั้นเรามาแลกข้อมูลติดต่อกันก่อนไหมคะ”

“จะว่าไปก็ยังไม่ได้แลกกันเลยนี่นะ”

 

ยูสุรุพยักหน้าเพราะเป็นเรื่องที่จำเป็น

แต่เนื่องจากมือของผมต้องถือไม้ค้ำยัน ผมจึงปล่อยให้อาริสะทำให้ทุกอย่างตั้งแต่เปิดกระเป๋าและหยิบโทรศัพท์ออกมา

 

“เรียบร้อยแล้วค่ะ ตอนที่จะกลับบ้านก็ช่วยแจ้งมาด้วยนะคะ”

“เข้าใจแล้ว”

 

หลังจากที่ผงกหัวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เสร็จ อาริสะก็ได้วิ่งเหยาะๆ ไปทางโรงเรียนต่อ

หลังจากนั้นยูสุรุก็ได้เดินไปที่โรงเรียนอย่างสบายๆ พร้อมกับใช้ไม้ค้ำยันอย่างระมัดระวัง

 

 

 

 

เอ้าฮึบ ถึงการใช้ไม้ค้ำยันมาโรงเรียนจะทำให้ทุกคนดูประหลาดใจ แต่คงเพราะเหล่าเพื่อนร่วมชั้นเชื่อในคำอธิบายของผมว่าเป็นการเพียงอาการเคล็ดขัดยอกขั้นรุนแรงพวกเขาก็เลยไม่ได้ถามไถ่ต่อเป็นพิเศษ

 

มื้อเที่ยง

ยูสุรุกับผองเพื่อนเอาโต๊ะในห้องเรียนมาวางติดกัน

 

“เอ้า ขนมปังที่เอ็งสั่ง”

“โอ้ ใจโว้ย”

 

โซอิจิโร่ หนึ่งในเพื่อนของยูสุรุโยนขนมปังที่ไปซื้อมาให้กับยูสุรุซึ่งนั่งรออยู่บนที่นั่งของเขา

จากนั้นเพื่อนอีกคนก็วางชาที่ไปซื้อมาลงบนโต๊ะของยูสุรุอย่างจงใจ

เสร็จแล้วก็หย่อนก้นลงบนเก้าอี้อย่างรุนแรง

 

“แล้ว… ไอ้แผลนั่นเป็นไงมาไงกันวะ”

 

คนที่ถามเรื่องนี้ก็คือเรียวเซนจิ ฮิจิริ เพื่อนซี้อีกคนหนึ่งของยูสุรุนั่นเอง

เป็นนักเรียนที่ให้ความประทับใจเหมือนกับพวกขี้หลี

สวมเครื่องแบบที่ผิดระเบียบเล็กน้อยเหมือนกับยูสุรุและโซอิจิโร่ นอกจากนี้ยังใส่สร้อยสีดำพันรอบคออีกด้วย

 

อนึ่ง ระเบียบการแต่งกายของโรงเรียนม.ปลายแห่งนี้ก็คือ “แต่งกายและไว้ทรงผมที่เหมาะสมกับนักเรียนม.ปลาย” (แปลให้แบบฟรีๆ ก็คือ ขอแค่ทำตามสามัญสำนึกพื้นฐานที่เหลือก็อิสระ) ดังนั้นนี่จึงไม่ผิดกฎ

 

“นี่เปลี่ยนจากไปโรงอาหารเพราะคิดถึงอาการบาดเจ็บของเอ็งแล้วซื้อขนมปังมาให้เลยนะเว้ย เอ้า ไหนเว้าให้ฟังหน่อยซิ”

 

โซอิจิโร่นั่งลงบนเก้าอี้และสอบถามยูสุรุ

ยูสุรุ โซอิจิโร่ ฮิจิริ

ทั้งสามคนนี้สนิทกันและมักจะอยู่ด้วยกันเป็นประจำ

 

แม้ว่าจริงๆ ทั้งสามคนจะเรียนอยู่คนละห้องเรียนกันก็ตาม

โดยปกติพวกเขาจะอยู่ที่โรงอาหาร แต่วันนี้พวกเขาเลือกที่จะมาทานอาหารอยู่ที่ห้องเรียนยูสุรุด้วยความเป็นห่วง

 

“เอ่อ… ก็แบบแมวมันอยู่บนต้นไม้… เป็นบาดแผลแห่งเกียรติยศเลยนะ”

 

เมื่อยูสุรุเล่าไปเช่นนั้น

โซ่อิจิโร่ก็เริ่มรั่วออกมาคนแรก

ต่อจากนั้นฮิจิริก็ระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่นพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ยูสุรุ

 

“นี่สินะ ความหมายของคำว่านักล่ามัมมี่กลายเป็นมัมมี่”

“จะเซ่อซ่าขนาดไหนก็ควรมีขีดจำกัดเปล่าวะ!”

“หนวกหูน่า… ก็แมวมันอาละวาดนี่”

“…ไม่อยากให้เอ็งไปช่วยสุดๆ เลยนี่หว่า”

“อุ๊บ… โดนแมวทำให้ร่วงด้วย! จะตลกเกินไปแล้ว”

 

โซอิจิโร่และฮิจิริหัวเราะโฮกฮากอย่างบ้าคลั่ง

ยูสุรุกอดอกแล้วก็ฟึดฟัดดึงฮึ่ม

 

“เอาน่าๆ โทษๆ อย่าโกรธไปเลยน่า …อุ๊บ”

“คิกๆ จะตลกเกินไปแล้ว …อุ๊บ”

“ชักสงสัยนิสัยพวกเอ็งแล้วว่ะ”

 

คำกล่าวที่ว่าเพื่อนจะเลือกคบคนเหมือนๆ กันผุดขึ้นมาในหัวแวบหนึ่ง แต่ยูสุรุก็รีบขยำทิ้งแล้วโยนมันออกไปจากหัว

ทั้งสองคนยังหัวเราะกันไปต่อสักพัก จากนั้นพวกเขาคงเบื่อกันแล้วก็เลยเปลี่ยนไปพูดหัวข้ออื่น

 

“จะว่าไปแล้วยูสุรุ การดูตัวเป็นยังไงบ้างวะ”

“อ๊ะ มีเรื่องแบบนั้นด้วยสินะ! เห็นว่าขอสาวผมทอง ตาฟ้า ผิวขาว นมเบิ้มไปใช่มะ ได้สาวสวยมาตามสั่งเปล่าวะ”

“เฮ้ย พวกเอ็ง อย่าเซดกันดังไป…”

 

อาริสะเองก็อยู่ในห้องเรียนนี้ด้วย และกำลังกินข้าวอยู่กับเพื่อนร่วมชั้น

เรื่องนอกจากผมทอง ตาฟ้า ผิวขาว นี่ไม่อยากให้ได้ยินเลย โดยเฉพาะส่วนของคำว่า “สาวสวยนมเบิ้ม” นี่ยิ่งแล้วใหญ่

 

“สรุปว่าก็ไม่ได้มาน่ะ …จะไปมีมาได้ยังไงกันล่ะ”

“น่าเบื่อว่ะ”

“เฮ่อ~ อันนั้นต่อให้โกหกก็ต้องบอกว่ามาดิ”

 

สำหรับพวกเขาสองคน เรื่องแต่งงานของยูสุรุก็เป็นเพียงแค่เรื่องของคนอื่นที่ตลกดีเท่านั้น

…ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะว่าถ้าพวกเขาจริงจังยูสุรุคงจะไม่สบายใจแน่ ดังนั้นจึงไม่ต้องซี

 

(ต่อให้หลอกว่าโกหก ก็ไม่มีทางที่เราจะไปพูดว่า “หมั้นอยู่” กับยูกิชิโระ อาริสะได้หรอก)

 

ตอนนี้เพราะว่าปิดปากแน่นเรื่องก็เลยแพร่งพรายออกไปไม่ได้ แต่ว่า…

ถ้าเกิดโดนรู้เมื่อไหร่ได้โดนหัวเราะเยาะไปยันตายแน่

 

“ยิ่งไปกว่านั้น… ของเอ็งล่ะโซอิจิโร่ กับอายากะจังแล้วก็จิฮารุจังเป็นยังไงบ้าง”

“เออใช่! ไอ้ขยะมนุษย์! คายออกมาเลยนะ!”

“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวดิวะ อย่ามาเปลี่ยนเป้ากะทันหันสิฟะ”

 

ยูสุรุเบี่ยงเบนความสนใจสำเร็จ ทำให้เขาไม่ถูกสอบถามเพิ่มเติมต่อ

 

 

 

 

หลังเลิกเรียน

หลังจากได้เพื่อนสองคนมาช่วยพาเดินลงบนได ยูสุรุก็ได้เดินไปที่อะพาร์ตเมนต์ต่อคนเดียว

 

“จะช่วยขนสัมภาระให้นะคะ”

“ขอบใจนะ”

 

ผมตอบรับความเมตาของอาริสะและให้เธอไปส่งที่หน้าประตู

ถึงจะเป็นแค่ขึ้นลิฟต์เฉยๆ แต่การได้รับความช่วยเหลือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จากคนอื่นมันก็สบายกว่า และที่สำคัญกว่า การที่มีคนมาคอยช่วยเหลือมันก็ทำให้เกิดความรู้สึกอุ่นใจในระดับหนึ่ง

 

“ถ้างั้นยูกิชิโระ วันนี้ก็พอเท่า…”

“จะช่วยจนกว่าถอดรองเท้าเสร็จนะคะ คงจะลำบากใช่ไหมล่ะคะ”

“กุญแจใส่ไว้ในช่องกระเป๋านะ”

 

ยูสุรุส่งให้เธอหากุญแจประตู เขาคิดว่าไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้วคงต้องให้เธอแสดงความใจดีให้สุดทาง

อาริสะเปิดประตูออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยตามปกติ

…จากนั้นก็แข็งค้าง

เธอเบิกตากว้างพร้อมกับตัวแข็งทื่อ

 

“มีอะไรเรอะ ยูกิชิโระ”

“ห้องนี่มันอะไรกันคะ …นี่มันไม่มีที่ให้เหยียบแล้วไม่ใช่เหรอคะ”

 

อาริสะขมวดคิ้วเมื่อเห็นในห้องเกลื่อนกลาดไปด้วยซากอาหาร ขยะ แล้วก็ใบปลิวแจกเต็มไปหมด

ยูสุรุนั้นไม่เก่งเรื่องการจัดเก็บข้าวของและการทำความสะอาดนั่นเอง

 

“จะว่าเป็นการเก็บของในแบบของตัวเองหรือไงดีล่ะ คือฉันรู้ว่าอะไรมันเก็บอยู่ตรงไหนน่ะ”

 

“คุณทาคาเซกาวะคะ ไม่ทราบว่าคุณจะเข้าใจหรือเปล่านะคะ ว่าการที่คนเดินไปไหนไม่ได้ถ้าไม่มีไม้ค้ำยันอาศัยอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางคนเดียวมันอันตรายเกินไปนะคะ”

 

แม้ตัวอาริสะจะพูดบ่นแบบนั้น แต่เธอก็ยังช่วยยูสุรุถอดรองเท้าของเขา

ด้วยเหตุนี้ผมจึงสามารถเดินจากหน้าประตูเข้าไปในห้องได้โดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

“เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณทาคาเซกาวะ”

“?”

“ปลายไม้ค้ำมันสกปรกนะคะ… อย่างน้อยก็ต้องเช็ดออกก่อนสิคะ”

 

พูดจบอาริสะก็หยิบทิชชูเปียกออกมาจากกระเป๋าตัวเอง

จากนั้นเธอก็ค่อยๆ เช็ดปลายไม้ค้ำยันอย่างระมัดระวัง

เสร็จแล้วเธอก็ถอนหายใจออกมา

 

“ต้องให้ดูแลแท้ๆ”

“โทษที แต่ฉันไม่ได้คิดอะไรหรอก”

“คิดหน่อยเถอะค่ะ! …ฉันจะไปแล้ว ไม่เป็นไรแน่ใช่ไหมคะ”

 

อาริสะพูดด้วยท่าทางเป็นห่วงจริงๆ พร้อมกับขยับสายตาไปมาระหว่างหายนะในห้องกับไม้ยันตรงรักแร้ของยูสุรุ

หน้าตาเธอเหมือนจะบอกว่า “ให้กลับบ้านไม่ได้”

ยูสุรุเดินไปมารอบๆ ห้อง เพื่อให้อาริสะมั่นใจว่าไม่มีสิ่งกีดขวางไหนเป็นอุปสรรคกับเขา

 

“ไม่เป็นไรน่า นี่มันห้องของฉันเองนะ รู้หมดทุกซอกทุก…”

 

ไม้ค้ำเหยียบเข้ากับเศษกระดาษและไถลไปตามพื้น ร่างกายของยูสุรุเอนตัวลงอย่างหนัก

 

“…ไม่ได้ไม่เป็นไรสินะคะ”

“ทะ โทษนะ เป็นหนี้บุญคุณซะแล้ว”

 

โชคดีที่มีอาริสะอยู่ข้างๆ และพยุงยูสุรุไว้ เขาก็เลยไม่ได้ล้ม

 

ตอนนี้ยูสุรุรู้สึกประหม่ามาก และสัมผัสได้ถึงเหงื่อเย็นเยียบที่ไหลออกมาจากร่างกายของเขา

 

“โธ่~ ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว …จะทำความสะอาดนะคะ ได้ใช่มั้ยคะ”

 

บางอย่างจากอาริสะทำให้ผมไม่สามารถปฏิเสธเธอได้

ยังไงผมก็อยากที่จะหลีกเลี่ยงการให้เพื่อนร่วมชั้นสาวมาทำความสะอาดห้องให้เพราะว่ามันน่าสมเพชเกินไป ทว่าผมก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงที่เกือบจะล้มลงไปตอนก่อนหน้านี้ได้ลง

 

“อ๊ะ ครับ”

 

ยูสุรุทำได้เพียงพยักหน้าเท่านั้น

 

——————————

ระดับความชอบในปัจจุบัน : 5%→4% (ได้ยินคำว่านมเบิ้ม)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[WN] พอลองตั้งเงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้เพราะไม่อยากไปดูตัว เพื่อนร่วมชั้นก็ดันปรากฏตัวออกมา 4

Now you are reading [WN] พอลองตั้งเงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้เพราะไม่อยากไปดูตัว เพื่อนร่วมชั้นก็ดันปรากฏตัวออกมา Chapter 4 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 1 ตอนที่ 4 ดูแล “คู่หมั้น”

 

 

“อ๊ะ เวรละ…”

“อันตราย!”

 

ยูสุรุสะดุดล้มอย่างรุนแรง และด้วยการเคลื่อนไหวของอาริสะจึงทำให้ผมหลีกเลี่ยงการจูบพื้นได้ทัน

แต่…

 

“ไม่ได้เป็นไรใช่มั้ยคะ”

“อึ…อื้ม ขอบคุณมาก” (มะ มีอะไรบางอย่างมาโดนหน้าเราด้วย)

 

ในขณะที่ยูสุรุกำลังพยุงตัวขึ้น เขาก็ได้นึกถึง “เบานุ่มๆ” ที่มาพยุงหน้าเขาไว้

โชคดีที่อาริสะไม่ทันสังเกตเห็นหรือว่าไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้

 

(หลากหลายความรู้สึกจริงๆ ทั้งหอม… แล้วก็นุ่ม)

ในขณะที่กำลังพยุงตัวขึ้นใหม่ด้วยไม้ค้ำที่ได้รับจากอาริสะ ยูสุรุก็นึกถึงคำหนึ่ง

นี่สินะสิทธิพิเศษ เขาคิด

 

“ก็ซาบซึ้งในความรู้สึกของเธออยู่นะ แต่ฉันไม่เป็นไรแล้ว จะให้รบกวนเธออีกคงไม่ได้”

 

ให้เด็กผู้หญิงมาดูแลนี่มันเห่ยสิ้นดี

ศักดิ์ศรีอันไร้ประโยชน์ของยูสุรุเริ่มทำงาน

 

และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ… เดี๋ยวมันจะกลายเป็นข่าวลือที่โรงเรียนเอา

หากมีคนเห็นว่ายูสุรุกับอาริสะสนิทกัน มันอาจจะมีนักเรียนบางคนเชื่อมโยงความสัมพันธ์และรู้เรื่องการหมั้นของพวกเราได้

ยิ่งในโรงเรียนมีเด็กบางคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลทาคาเซกาวะด้วย

 

จะให้ไปรูดซิปปากคนอื่นก็คงไม่ได้

ดังนั้นไม่นานพวกเราต้องตกเป็นจุดศูนย์กลางความสนใจของคนทั้งโรงเรียนแน่

 

“คนที่เกือบจะล้มลงไปก่อนหน้านี้พูดออกมาได้นะคะ”

“อึก…”

 

ผมปฏิเสธไม่ได้

เพราะว่าเมื่อวานนี้ผมก็ตะเกียกตะกายอยู่คนเดียวในห้องมาแล้ว

 

“ก็แค่ไม่ได้อยากติดค้างอะไรกันเท่านั้น ให้ฉันได้ทดแทนหนี้บุญคุณเถอะนะคะ”

 

“แต่ถ้าเกิดมีคนเห็นว่าอยู่ด้วยกันกับเธอ…”

 

“ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันเองก็ไม่อยากถูกเอาไปลือแปลกๆ กับคุณทาคาเซกาวะเหมือนกัน เข้าใจดีอยู่ค่ะ เอาเป็นแค่ช่วงออกไปจากอะพาร์ตเมนต์ถึงโรงเรียนก็พอ เท่านี้ก็ไม่มีนักเรียนคนอื่นเห็นแล้วใช่มั้ยล่ะคะ”

 

“แบบนั้น… อา เข้าใจแล้ว งั้นก็ฝากด้วยนะ”

 

ยูสุรุคิดว่าถึงจะฝืนปฏิเสธไปเธอก็จะยังตามมาอยู่ดี เพราะงั้นก็เลยตัดสินใจที่จะขอความช่วยเหลือแบบโดยดี

อันที่จริงแค่กดสวิตช์ลิฟต์เฉยๆ ผมก็ลำบากแล้ว ดังนั้นผมจึงรู้สึกขอบคุณเธอที่มาช่วยผมจนถึงออกจากอะพาร์ตเมนต์

 

“ถ้างั้นฉันขอตัวไปก่อนนะคะ …เดินไปต่อได้ใช่มั้ยคะ”

“อื้อ สบายมาก”

 

มากกว่านั้นอยากให้รีบเดินนำไปให้ไวที่สุดด้วยซ้ำ

จากอะพาร์ตเมนต์ของยูสุรุไปถึงโรงเรียนมันใช้เวลาเดินแค่เพียงประมาณ 10 นาที

เพราะงั้นจะมีนักเรียนเดินผ่านมาเมื่อไหร่ก็คงจะไม่แปลกใจเลย

 

“ก่อนหน้านั้นเรามาแลกข้อมูลติดต่อกันก่อนไหมคะ”

“จะว่าไปก็ยังไม่ได้แลกกันเลยนี่นะ”

 

ยูสุรุพยักหน้าเพราะเป็นเรื่องที่จำเป็น

แต่เนื่องจากมือของผมต้องถือไม้ค้ำยัน ผมจึงปล่อยให้อาริสะทำให้ทุกอย่างตั้งแต่เปิดกระเป๋าและหยิบโทรศัพท์ออกมา

 

“เรียบร้อยแล้วค่ะ ตอนที่จะกลับบ้านก็ช่วยแจ้งมาด้วยนะคะ”

“เข้าใจแล้ว”

 

หลังจากที่ผงกหัวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เสร็จ อาริสะก็ได้วิ่งเหยาะๆ ไปทางโรงเรียนต่อ

หลังจากนั้นยูสุรุก็ได้เดินไปที่โรงเรียนอย่างสบายๆ พร้อมกับใช้ไม้ค้ำยันอย่างระมัดระวัง

 

 

 

 

เอ้าฮึบ ถึงการใช้ไม้ค้ำยันมาโรงเรียนจะทำให้ทุกคนดูประหลาดใจ แต่คงเพราะเหล่าเพื่อนร่วมชั้นเชื่อในคำอธิบายของผมว่าเป็นการเพียงอาการเคล็ดขัดยอกขั้นรุนแรงพวกเขาก็เลยไม่ได้ถามไถ่ต่อเป็นพิเศษ

 

มื้อเที่ยง

ยูสุรุกับผองเพื่อนเอาโต๊ะในห้องเรียนมาวางติดกัน

 

“เอ้า ขนมปังที่เอ็งสั่ง”

“โอ้ ใจโว้ย”

 

โซอิจิโร่ หนึ่งในเพื่อนของยูสุรุโยนขนมปังที่ไปซื้อมาให้กับยูสุรุซึ่งนั่งรออยู่บนที่นั่งของเขา

จากนั้นเพื่อนอีกคนก็วางชาที่ไปซื้อมาลงบนโต๊ะของยูสุรุอย่างจงใจ

เสร็จแล้วก็หย่อนก้นลงบนเก้าอี้อย่างรุนแรง

 

“แล้ว… ไอ้แผลนั่นเป็นไงมาไงกันวะ”

 

คนที่ถามเรื่องนี้ก็คือเรียวเซนจิ ฮิจิริ เพื่อนซี้อีกคนหนึ่งของยูสุรุนั่นเอง

เป็นนักเรียนที่ให้ความประทับใจเหมือนกับพวกขี้หลี

สวมเครื่องแบบที่ผิดระเบียบเล็กน้อยเหมือนกับยูสุรุและโซอิจิโร่ นอกจากนี้ยังใส่สร้อยสีดำพันรอบคออีกด้วย

 

อนึ่ง ระเบียบการแต่งกายของโรงเรียนม.ปลายแห่งนี้ก็คือ “แต่งกายและไว้ทรงผมที่เหมาะสมกับนักเรียนม.ปลาย” (แปลให้แบบฟรีๆ ก็คือ ขอแค่ทำตามสามัญสำนึกพื้นฐานที่เหลือก็อิสระ) ดังนั้นนี่จึงไม่ผิดกฎ

 

“นี่เปลี่ยนจากไปโรงอาหารเพราะคิดถึงอาการบาดเจ็บของเอ็งแล้วซื้อขนมปังมาให้เลยนะเว้ย เอ้า ไหนเว้าให้ฟังหน่อยซิ”

 

โซอิจิโร่นั่งลงบนเก้าอี้และสอบถามยูสุรุ

ยูสุรุ โซอิจิโร่ ฮิจิริ

ทั้งสามคนนี้สนิทกันและมักจะอยู่ด้วยกันเป็นประจำ

 

แม้ว่าจริงๆ ทั้งสามคนจะเรียนอยู่คนละห้องเรียนกันก็ตาม

โดยปกติพวกเขาจะอยู่ที่โรงอาหาร แต่วันนี้พวกเขาเลือกที่จะมาทานอาหารอยู่ที่ห้องเรียนยูสุรุด้วยความเป็นห่วง

 

“เอ่อ… ก็แบบแมวมันอยู่บนต้นไม้… เป็นบาดแผลแห่งเกียรติยศเลยนะ”

 

เมื่อยูสุรุเล่าไปเช่นนั้น

โซ่อิจิโร่ก็เริ่มรั่วออกมาคนแรก

ต่อจากนั้นฮิจิริก็ระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่นพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ยูสุรุ

 

“นี่สินะ ความหมายของคำว่านักล่ามัมมี่กลายเป็นมัมมี่”

“จะเซ่อซ่าขนาดไหนก็ควรมีขีดจำกัดเปล่าวะ!”

“หนวกหูน่า… ก็แมวมันอาละวาดนี่”

“…ไม่อยากให้เอ็งไปช่วยสุดๆ เลยนี่หว่า”

“อุ๊บ… โดนแมวทำให้ร่วงด้วย! จะตลกเกินไปแล้ว”

 

โซอิจิโร่และฮิจิริหัวเราะโฮกฮากอย่างบ้าคลั่ง

ยูสุรุกอดอกแล้วก็ฟึดฟัดดึงฮึ่ม

 

“เอาน่าๆ โทษๆ อย่าโกรธไปเลยน่า …อุ๊บ”

“คิกๆ จะตลกเกินไปแล้ว …อุ๊บ”

“ชักสงสัยนิสัยพวกเอ็งแล้วว่ะ”

 

คำกล่าวที่ว่าเพื่อนจะเลือกคบคนเหมือนๆ กันผุดขึ้นมาในหัวแวบหนึ่ง แต่ยูสุรุก็รีบขยำทิ้งแล้วโยนมันออกไปจากหัว

ทั้งสองคนยังหัวเราะกันไปต่อสักพัก จากนั้นพวกเขาคงเบื่อกันแล้วก็เลยเปลี่ยนไปพูดหัวข้ออื่น

 

“จะว่าไปแล้วยูสุรุ การดูตัวเป็นยังไงบ้างวะ”

“อ๊ะ มีเรื่องแบบนั้นด้วยสินะ! เห็นว่าขอสาวผมทอง ตาฟ้า ผิวขาว นมเบิ้มไปใช่มะ ได้สาวสวยมาตามสั่งเปล่าวะ”

“เฮ้ย พวกเอ็ง อย่าเซดกันดังไป…”

 

อาริสะเองก็อยู่ในห้องเรียนนี้ด้วย และกำลังกินข้าวอยู่กับเพื่อนร่วมชั้น

เรื่องนอกจากผมทอง ตาฟ้า ผิวขาว นี่ไม่อยากให้ได้ยินเลย โดยเฉพาะส่วนของคำว่า “สาวสวยนมเบิ้ม” นี่ยิ่งแล้วใหญ่

 

“สรุปว่าก็ไม่ได้มาน่ะ …จะไปมีมาได้ยังไงกันล่ะ”

“น่าเบื่อว่ะ”

“เฮ่อ~ อันนั้นต่อให้โกหกก็ต้องบอกว่ามาดิ”

 

สำหรับพวกเขาสองคน เรื่องแต่งงานของยูสุรุก็เป็นเพียงแค่เรื่องของคนอื่นที่ตลกดีเท่านั้น

…ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะว่าถ้าพวกเขาจริงจังยูสุรุคงจะไม่สบายใจแน่ ดังนั้นจึงไม่ต้องซี

 

(ต่อให้หลอกว่าโกหก ก็ไม่มีทางที่เราจะไปพูดว่า “หมั้นอยู่” กับยูกิชิโระ อาริสะได้หรอก)

 

ตอนนี้เพราะว่าปิดปากแน่นเรื่องก็เลยแพร่งพรายออกไปไม่ได้ แต่ว่า…

ถ้าเกิดโดนรู้เมื่อไหร่ได้โดนหัวเราะเยาะไปยันตายแน่

 

“ยิ่งไปกว่านั้น… ของเอ็งล่ะโซอิจิโร่ กับอายากะจังแล้วก็จิฮารุจังเป็นยังไงบ้าง”

“เออใช่! ไอ้ขยะมนุษย์! คายออกมาเลยนะ!”

“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวดิวะ อย่ามาเปลี่ยนเป้ากะทันหันสิฟะ”

 

ยูสุรุเบี่ยงเบนความสนใจสำเร็จ ทำให้เขาไม่ถูกสอบถามเพิ่มเติมต่อ

 

 

 

 

หลังเลิกเรียน

หลังจากได้เพื่อนสองคนมาช่วยพาเดินลงบนได ยูสุรุก็ได้เดินไปที่อะพาร์ตเมนต์ต่อคนเดียว

 

“จะช่วยขนสัมภาระให้นะคะ”

“ขอบใจนะ”

 

ผมตอบรับความเมตาของอาริสะและให้เธอไปส่งที่หน้าประตู

ถึงจะเป็นแค่ขึ้นลิฟต์เฉยๆ แต่การได้รับความช่วยเหลือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จากคนอื่นมันก็สบายกว่า และที่สำคัญกว่า การที่มีคนมาคอยช่วยเหลือมันก็ทำให้เกิดความรู้สึกอุ่นใจในระดับหนึ่ง

 

“ถ้างั้นยูกิชิโระ วันนี้ก็พอเท่า…”

“จะช่วยจนกว่าถอดรองเท้าเสร็จนะคะ คงจะลำบากใช่ไหมล่ะคะ”

“กุญแจใส่ไว้ในช่องกระเป๋านะ”

 

ยูสุรุส่งให้เธอหากุญแจประตู เขาคิดว่าไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้วคงต้องให้เธอแสดงความใจดีให้สุดทาง

อาริสะเปิดประตูออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยตามปกติ

…จากนั้นก็แข็งค้าง

เธอเบิกตากว้างพร้อมกับตัวแข็งทื่อ

 

“มีอะไรเรอะ ยูกิชิโระ”

“ห้องนี่มันอะไรกันคะ …นี่มันไม่มีที่ให้เหยียบแล้วไม่ใช่เหรอคะ”

 

อาริสะขมวดคิ้วเมื่อเห็นในห้องเกลื่อนกลาดไปด้วยซากอาหาร ขยะ แล้วก็ใบปลิวแจกเต็มไปหมด

ยูสุรุนั้นไม่เก่งเรื่องการจัดเก็บข้าวของและการทำความสะอาดนั่นเอง

 

“จะว่าเป็นการเก็บของในแบบของตัวเองหรือไงดีล่ะ คือฉันรู้ว่าอะไรมันเก็บอยู่ตรงไหนน่ะ”

 

“คุณทาคาเซกาวะคะ ไม่ทราบว่าคุณจะเข้าใจหรือเปล่านะคะ ว่าการที่คนเดินไปไหนไม่ได้ถ้าไม่มีไม้ค้ำยันอาศัยอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางคนเดียวมันอันตรายเกินไปนะคะ”

 

แม้ตัวอาริสะจะพูดบ่นแบบนั้น แต่เธอก็ยังช่วยยูสุรุถอดรองเท้าของเขา

ด้วยเหตุนี้ผมจึงสามารถเดินจากหน้าประตูเข้าไปในห้องได้โดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

“เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณทาคาเซกาวะ”

“?”

“ปลายไม้ค้ำมันสกปรกนะคะ… อย่างน้อยก็ต้องเช็ดออกก่อนสิคะ”

 

พูดจบอาริสะก็หยิบทิชชูเปียกออกมาจากกระเป๋าตัวเอง

จากนั้นเธอก็ค่อยๆ เช็ดปลายไม้ค้ำยันอย่างระมัดระวัง

เสร็จแล้วเธอก็ถอนหายใจออกมา

 

“ต้องให้ดูแลแท้ๆ”

“โทษที แต่ฉันไม่ได้คิดอะไรหรอก”

“คิดหน่อยเถอะค่ะ! …ฉันจะไปแล้ว ไม่เป็นไรแน่ใช่ไหมคะ”

 

อาริสะพูดด้วยท่าทางเป็นห่วงจริงๆ พร้อมกับขยับสายตาไปมาระหว่างหายนะในห้องกับไม้ยันตรงรักแร้ของยูสุรุ

หน้าตาเธอเหมือนจะบอกว่า “ให้กลับบ้านไม่ได้”

ยูสุรุเดินไปมารอบๆ ห้อง เพื่อให้อาริสะมั่นใจว่าไม่มีสิ่งกีดขวางไหนเป็นอุปสรรคกับเขา

 

“ไม่เป็นไรน่า นี่มันห้องของฉันเองนะ รู้หมดทุกซอกทุก…”

 

ไม้ค้ำเหยียบเข้ากับเศษกระดาษและไถลไปตามพื้น ร่างกายของยูสุรุเอนตัวลงอย่างหนัก

 

“…ไม่ได้ไม่เป็นไรสินะคะ”

“ทะ โทษนะ เป็นหนี้บุญคุณซะแล้ว”

 

โชคดีที่มีอาริสะอยู่ข้างๆ และพยุงยูสุรุไว้ เขาก็เลยไม่ได้ล้ม

 

ตอนนี้ยูสุรุรู้สึกประหม่ามาก และสัมผัสได้ถึงเหงื่อเย็นเยียบที่ไหลออกมาจากร่างกายของเขา

 

“โธ่~ ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว …จะทำความสะอาดนะคะ ได้ใช่มั้ยคะ”

 

บางอย่างจากอาริสะทำให้ผมไม่สามารถปฏิเสธเธอได้

ยังไงผมก็อยากที่จะหลีกเลี่ยงการให้เพื่อนร่วมชั้นสาวมาทำความสะอาดห้องให้เพราะว่ามันน่าสมเพชเกินไป ทว่าผมก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงที่เกือบจะล้มลงไปตอนก่อนหน้านี้ได้ลง

 

“อ๊ะ ครับ”

 

ยูสุรุทำได้เพียงพยักหน้าเท่านั้น

 

——————————

ระดับความชอบในปัจจุบัน : 5%→4% (ได้ยินคำว่านมเบิ้ม)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[WN] พอลองตั้งเงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้เพราะไม่อยากไปดูตัว เพื่อนร่วมชั้นก็ดันปรากฏตัวออกมา 4

Now you are reading [WN] พอลองตั้งเงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้เพราะไม่อยากไปดูตัว เพื่อนร่วมชั้นก็ดันปรากฏตัวออกมา Chapter 4 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 1 ตอนที่ 4 ดูแล “คู่หมั้น”

 

 

“อ๊ะ เวรละ…”

“อันตราย!”

 

ยูสุรุสะดุดล้มอย่างรุนแรง และด้วยการเคลื่อนไหวของอาริสะจึงทำให้ผมหลีกเลี่ยงการจูบพื้นได้ทัน

แต่…

 

“ไม่ได้เป็นไรใช่มั้ยคะ”

“อึ…อื้ม ขอบคุณมาก” (มะ มีอะไรบางอย่างมาโดนหน้าเราด้วย)

 

ในขณะที่ยูสุรุกำลังพยุงตัวขึ้น เขาก็ได้นึกถึง “เบานุ่มๆ” ที่มาพยุงหน้าเขาไว้

โชคดีที่อาริสะไม่ทันสังเกตเห็นหรือว่าไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้

 

(หลากหลายความรู้สึกจริงๆ ทั้งหอม… แล้วก็นุ่ม)

ในขณะที่กำลังพยุงตัวขึ้นใหม่ด้วยไม้ค้ำที่ได้รับจากอาริสะ ยูสุรุก็นึกถึงคำหนึ่ง

นี่สินะสิทธิพิเศษ เขาคิด

 

“ก็ซาบซึ้งในความรู้สึกของเธออยู่นะ แต่ฉันไม่เป็นไรแล้ว จะให้รบกวนเธออีกคงไม่ได้”

 

ให้เด็กผู้หญิงมาดูแลนี่มันเห่ยสิ้นดี

ศักดิ์ศรีอันไร้ประโยชน์ของยูสุรุเริ่มทำงาน

 

และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ… เดี๋ยวมันจะกลายเป็นข่าวลือที่โรงเรียนเอา

หากมีคนเห็นว่ายูสุรุกับอาริสะสนิทกัน มันอาจจะมีนักเรียนบางคนเชื่อมโยงความสัมพันธ์และรู้เรื่องการหมั้นของพวกเราได้

ยิ่งในโรงเรียนมีเด็กบางคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลทาคาเซกาวะด้วย

 

จะให้ไปรูดซิปปากคนอื่นก็คงไม่ได้

ดังนั้นไม่นานพวกเราต้องตกเป็นจุดศูนย์กลางความสนใจของคนทั้งโรงเรียนแน่

 

“คนที่เกือบจะล้มลงไปก่อนหน้านี้พูดออกมาได้นะคะ”

“อึก…”

 

ผมปฏิเสธไม่ได้

เพราะว่าเมื่อวานนี้ผมก็ตะเกียกตะกายอยู่คนเดียวในห้องมาแล้ว

 

“ก็แค่ไม่ได้อยากติดค้างอะไรกันเท่านั้น ให้ฉันได้ทดแทนหนี้บุญคุณเถอะนะคะ”

 

“แต่ถ้าเกิดมีคนเห็นว่าอยู่ด้วยกันกับเธอ…”

 

“ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันเองก็ไม่อยากถูกเอาไปลือแปลกๆ กับคุณทาคาเซกาวะเหมือนกัน เข้าใจดีอยู่ค่ะ เอาเป็นแค่ช่วงออกไปจากอะพาร์ตเมนต์ถึงโรงเรียนก็พอ เท่านี้ก็ไม่มีนักเรียนคนอื่นเห็นแล้วใช่มั้ยล่ะคะ”

 

“แบบนั้น… อา เข้าใจแล้ว งั้นก็ฝากด้วยนะ”

 

ยูสุรุคิดว่าถึงจะฝืนปฏิเสธไปเธอก็จะยังตามมาอยู่ดี เพราะงั้นก็เลยตัดสินใจที่จะขอความช่วยเหลือแบบโดยดี

อันที่จริงแค่กดสวิตช์ลิฟต์เฉยๆ ผมก็ลำบากแล้ว ดังนั้นผมจึงรู้สึกขอบคุณเธอที่มาช่วยผมจนถึงออกจากอะพาร์ตเมนต์

 

“ถ้างั้นฉันขอตัวไปก่อนนะคะ …เดินไปต่อได้ใช่มั้ยคะ”

“อื้อ สบายมาก”

 

มากกว่านั้นอยากให้รีบเดินนำไปให้ไวที่สุดด้วยซ้ำ

จากอะพาร์ตเมนต์ของยูสุรุไปถึงโรงเรียนมันใช้เวลาเดินแค่เพียงประมาณ 10 นาที

เพราะงั้นจะมีนักเรียนเดินผ่านมาเมื่อไหร่ก็คงจะไม่แปลกใจเลย

 

“ก่อนหน้านั้นเรามาแลกข้อมูลติดต่อกันก่อนไหมคะ”

“จะว่าไปก็ยังไม่ได้แลกกันเลยนี่นะ”

 

ยูสุรุพยักหน้าเพราะเป็นเรื่องที่จำเป็น

แต่เนื่องจากมือของผมต้องถือไม้ค้ำยัน ผมจึงปล่อยให้อาริสะทำให้ทุกอย่างตั้งแต่เปิดกระเป๋าและหยิบโทรศัพท์ออกมา

 

“เรียบร้อยแล้วค่ะ ตอนที่จะกลับบ้านก็ช่วยแจ้งมาด้วยนะคะ”

“เข้าใจแล้ว”

 

หลังจากที่ผงกหัวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เสร็จ อาริสะก็ได้วิ่งเหยาะๆ ไปทางโรงเรียนต่อ

หลังจากนั้นยูสุรุก็ได้เดินไปที่โรงเรียนอย่างสบายๆ พร้อมกับใช้ไม้ค้ำยันอย่างระมัดระวัง

 

 

 

 

เอ้าฮึบ ถึงการใช้ไม้ค้ำยันมาโรงเรียนจะทำให้ทุกคนดูประหลาดใจ แต่คงเพราะเหล่าเพื่อนร่วมชั้นเชื่อในคำอธิบายของผมว่าเป็นการเพียงอาการเคล็ดขัดยอกขั้นรุนแรงพวกเขาก็เลยไม่ได้ถามไถ่ต่อเป็นพิเศษ

 

มื้อเที่ยง

ยูสุรุกับผองเพื่อนเอาโต๊ะในห้องเรียนมาวางติดกัน

 

“เอ้า ขนมปังที่เอ็งสั่ง”

“โอ้ ใจโว้ย”

 

โซอิจิโร่ หนึ่งในเพื่อนของยูสุรุโยนขนมปังที่ไปซื้อมาให้กับยูสุรุซึ่งนั่งรออยู่บนที่นั่งของเขา

จากนั้นเพื่อนอีกคนก็วางชาที่ไปซื้อมาลงบนโต๊ะของยูสุรุอย่างจงใจ

เสร็จแล้วก็หย่อนก้นลงบนเก้าอี้อย่างรุนแรง

 

“แล้ว… ไอ้แผลนั่นเป็นไงมาไงกันวะ”

 

คนที่ถามเรื่องนี้ก็คือเรียวเซนจิ ฮิจิริ เพื่อนซี้อีกคนหนึ่งของยูสุรุนั่นเอง

เป็นนักเรียนที่ให้ความประทับใจเหมือนกับพวกขี้หลี

สวมเครื่องแบบที่ผิดระเบียบเล็กน้อยเหมือนกับยูสุรุและโซอิจิโร่ นอกจากนี้ยังใส่สร้อยสีดำพันรอบคออีกด้วย

 

อนึ่ง ระเบียบการแต่งกายของโรงเรียนม.ปลายแห่งนี้ก็คือ “แต่งกายและไว้ทรงผมที่เหมาะสมกับนักเรียนม.ปลาย” (แปลให้แบบฟรีๆ ก็คือ ขอแค่ทำตามสามัญสำนึกพื้นฐานที่เหลือก็อิสระ) ดังนั้นนี่จึงไม่ผิดกฎ

 

“นี่เปลี่ยนจากไปโรงอาหารเพราะคิดถึงอาการบาดเจ็บของเอ็งแล้วซื้อขนมปังมาให้เลยนะเว้ย เอ้า ไหนเว้าให้ฟังหน่อยซิ”

 

โซอิจิโร่นั่งลงบนเก้าอี้และสอบถามยูสุรุ

ยูสุรุ โซอิจิโร่ ฮิจิริ

ทั้งสามคนนี้สนิทกันและมักจะอยู่ด้วยกันเป็นประจำ

 

แม้ว่าจริงๆ ทั้งสามคนจะเรียนอยู่คนละห้องเรียนกันก็ตาม

โดยปกติพวกเขาจะอยู่ที่โรงอาหาร แต่วันนี้พวกเขาเลือกที่จะมาทานอาหารอยู่ที่ห้องเรียนยูสุรุด้วยความเป็นห่วง

 

“เอ่อ… ก็แบบแมวมันอยู่บนต้นไม้… เป็นบาดแผลแห่งเกียรติยศเลยนะ”

 

เมื่อยูสุรุเล่าไปเช่นนั้น

โซ่อิจิโร่ก็เริ่มรั่วออกมาคนแรก

ต่อจากนั้นฮิจิริก็ระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่นพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ยูสุรุ

 

“นี่สินะ ความหมายของคำว่านักล่ามัมมี่กลายเป็นมัมมี่”

“จะเซ่อซ่าขนาดไหนก็ควรมีขีดจำกัดเปล่าวะ!”

“หนวกหูน่า… ก็แมวมันอาละวาดนี่”

“…ไม่อยากให้เอ็งไปช่วยสุดๆ เลยนี่หว่า”

“อุ๊บ… โดนแมวทำให้ร่วงด้วย! จะตลกเกินไปแล้ว”

 

โซอิจิโร่และฮิจิริหัวเราะโฮกฮากอย่างบ้าคลั่ง

ยูสุรุกอดอกแล้วก็ฟึดฟัดดึงฮึ่ม

 

“เอาน่าๆ โทษๆ อย่าโกรธไปเลยน่า …อุ๊บ”

“คิกๆ จะตลกเกินไปแล้ว …อุ๊บ”

“ชักสงสัยนิสัยพวกเอ็งแล้วว่ะ”

 

คำกล่าวที่ว่าเพื่อนจะเลือกคบคนเหมือนๆ กันผุดขึ้นมาในหัวแวบหนึ่ง แต่ยูสุรุก็รีบขยำทิ้งแล้วโยนมันออกไปจากหัว

ทั้งสองคนยังหัวเราะกันไปต่อสักพัก จากนั้นพวกเขาคงเบื่อกันแล้วก็เลยเปลี่ยนไปพูดหัวข้ออื่น

 

“จะว่าไปแล้วยูสุรุ การดูตัวเป็นยังไงบ้างวะ”

“อ๊ะ มีเรื่องแบบนั้นด้วยสินะ! เห็นว่าขอสาวผมทอง ตาฟ้า ผิวขาว นมเบิ้มไปใช่มะ ได้สาวสวยมาตามสั่งเปล่าวะ”

“เฮ้ย พวกเอ็ง อย่าเซดกันดังไป…”

 

อาริสะเองก็อยู่ในห้องเรียนนี้ด้วย และกำลังกินข้าวอยู่กับเพื่อนร่วมชั้น

เรื่องนอกจากผมทอง ตาฟ้า ผิวขาว นี่ไม่อยากให้ได้ยินเลย โดยเฉพาะส่วนของคำว่า “สาวสวยนมเบิ้ม” นี่ยิ่งแล้วใหญ่

 

“สรุปว่าก็ไม่ได้มาน่ะ …จะไปมีมาได้ยังไงกันล่ะ”

“น่าเบื่อว่ะ”

“เฮ่อ~ อันนั้นต่อให้โกหกก็ต้องบอกว่ามาดิ”

 

สำหรับพวกเขาสองคน เรื่องแต่งงานของยูสุรุก็เป็นเพียงแค่เรื่องของคนอื่นที่ตลกดีเท่านั้น

…ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะว่าถ้าพวกเขาจริงจังยูสุรุคงจะไม่สบายใจแน่ ดังนั้นจึงไม่ต้องซี

 

(ต่อให้หลอกว่าโกหก ก็ไม่มีทางที่เราจะไปพูดว่า “หมั้นอยู่” กับยูกิชิโระ อาริสะได้หรอก)

 

ตอนนี้เพราะว่าปิดปากแน่นเรื่องก็เลยแพร่งพรายออกไปไม่ได้ แต่ว่า…

ถ้าเกิดโดนรู้เมื่อไหร่ได้โดนหัวเราะเยาะไปยันตายแน่

 

“ยิ่งไปกว่านั้น… ของเอ็งล่ะโซอิจิโร่ กับอายากะจังแล้วก็จิฮารุจังเป็นยังไงบ้าง”

“เออใช่! ไอ้ขยะมนุษย์! คายออกมาเลยนะ!”

“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวดิวะ อย่ามาเปลี่ยนเป้ากะทันหันสิฟะ”

 

ยูสุรุเบี่ยงเบนความสนใจสำเร็จ ทำให้เขาไม่ถูกสอบถามเพิ่มเติมต่อ

 

 

 

 

หลังเลิกเรียน

หลังจากได้เพื่อนสองคนมาช่วยพาเดินลงบนได ยูสุรุก็ได้เดินไปที่อะพาร์ตเมนต์ต่อคนเดียว

 

“จะช่วยขนสัมภาระให้นะคะ”

“ขอบใจนะ”

 

ผมตอบรับความเมตาของอาริสะและให้เธอไปส่งที่หน้าประตู

ถึงจะเป็นแค่ขึ้นลิฟต์เฉยๆ แต่การได้รับความช่วยเหลือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จากคนอื่นมันก็สบายกว่า และที่สำคัญกว่า การที่มีคนมาคอยช่วยเหลือมันก็ทำให้เกิดความรู้สึกอุ่นใจในระดับหนึ่ง

 

“ถ้างั้นยูกิชิโระ วันนี้ก็พอเท่า…”

“จะช่วยจนกว่าถอดรองเท้าเสร็จนะคะ คงจะลำบากใช่ไหมล่ะคะ”

“กุญแจใส่ไว้ในช่องกระเป๋านะ”

 

ยูสุรุส่งให้เธอหากุญแจประตู เขาคิดว่าไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้วคงต้องให้เธอแสดงความใจดีให้สุดทาง

อาริสะเปิดประตูออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยตามปกติ

…จากนั้นก็แข็งค้าง

เธอเบิกตากว้างพร้อมกับตัวแข็งทื่อ

 

“มีอะไรเรอะ ยูกิชิโระ”

“ห้องนี่มันอะไรกันคะ …นี่มันไม่มีที่ให้เหยียบแล้วไม่ใช่เหรอคะ”

 

อาริสะขมวดคิ้วเมื่อเห็นในห้องเกลื่อนกลาดไปด้วยซากอาหาร ขยะ แล้วก็ใบปลิวแจกเต็มไปหมด

ยูสุรุนั้นไม่เก่งเรื่องการจัดเก็บข้าวของและการทำความสะอาดนั่นเอง

 

“จะว่าเป็นการเก็บของในแบบของตัวเองหรือไงดีล่ะ คือฉันรู้ว่าอะไรมันเก็บอยู่ตรงไหนน่ะ”

 

“คุณทาคาเซกาวะคะ ไม่ทราบว่าคุณจะเข้าใจหรือเปล่านะคะ ว่าการที่คนเดินไปไหนไม่ได้ถ้าไม่มีไม้ค้ำยันอาศัยอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางคนเดียวมันอันตรายเกินไปนะคะ”

 

แม้ตัวอาริสะจะพูดบ่นแบบนั้น แต่เธอก็ยังช่วยยูสุรุถอดรองเท้าของเขา

ด้วยเหตุนี้ผมจึงสามารถเดินจากหน้าประตูเข้าไปในห้องได้โดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

“เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณทาคาเซกาวะ”

“?”

“ปลายไม้ค้ำมันสกปรกนะคะ… อย่างน้อยก็ต้องเช็ดออกก่อนสิคะ”

 

พูดจบอาริสะก็หยิบทิชชูเปียกออกมาจากกระเป๋าตัวเอง

จากนั้นเธอก็ค่อยๆ เช็ดปลายไม้ค้ำยันอย่างระมัดระวัง

เสร็จแล้วเธอก็ถอนหายใจออกมา

 

“ต้องให้ดูแลแท้ๆ”

“โทษที แต่ฉันไม่ได้คิดอะไรหรอก”

“คิดหน่อยเถอะค่ะ! …ฉันจะไปแล้ว ไม่เป็นไรแน่ใช่ไหมคะ”

 

อาริสะพูดด้วยท่าทางเป็นห่วงจริงๆ พร้อมกับขยับสายตาไปมาระหว่างหายนะในห้องกับไม้ยันตรงรักแร้ของยูสุรุ

หน้าตาเธอเหมือนจะบอกว่า “ให้กลับบ้านไม่ได้”

ยูสุรุเดินไปมารอบๆ ห้อง เพื่อให้อาริสะมั่นใจว่าไม่มีสิ่งกีดขวางไหนเป็นอุปสรรคกับเขา

 

“ไม่เป็นไรน่า นี่มันห้องของฉันเองนะ รู้หมดทุกซอกทุก…”

 

ไม้ค้ำเหยียบเข้ากับเศษกระดาษและไถลไปตามพื้น ร่างกายของยูสุรุเอนตัวลงอย่างหนัก

 

“…ไม่ได้ไม่เป็นไรสินะคะ”

“ทะ โทษนะ เป็นหนี้บุญคุณซะแล้ว”

 

โชคดีที่มีอาริสะอยู่ข้างๆ และพยุงยูสุรุไว้ เขาก็เลยไม่ได้ล้ม

 

ตอนนี้ยูสุรุรู้สึกประหม่ามาก และสัมผัสได้ถึงเหงื่อเย็นเยียบที่ไหลออกมาจากร่างกายของเขา

 

“โธ่~ ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว …จะทำความสะอาดนะคะ ได้ใช่มั้ยคะ”

 

บางอย่างจากอาริสะทำให้ผมไม่สามารถปฏิเสธเธอได้

ยังไงผมก็อยากที่จะหลีกเลี่ยงการให้เพื่อนร่วมชั้นสาวมาทำความสะอาดห้องให้เพราะว่ามันน่าสมเพชเกินไป ทว่าผมก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงที่เกือบจะล้มลงไปตอนก่อนหน้านี้ได้ลง

 

“อ๊ะ ครับ”

 

ยูสุรุทำได้เพียงพยักหน้าเท่านั้น

 

——————————

ระดับความชอบในปัจจุบัน : 5%→4% (ได้ยินคำว่านมเบิ้ม)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+