ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]ตอนพิเศษ (2) 14 ตกใจหมด

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] Chapter ตอนพิเศษ (2) 14 ตกใจหมด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เศรษฐีหวังคิดเรียบร้อยแล้ว แต่บ่าวรับใช้ยังไม่ทันได้เดินออกไป หวงฝู่อี้ก็เดินเข้ามาเสียก่อน

 

 

“พระชายาซื่อจื่อ มีรับสั่งให้เจ้าไปพบ!”

 

 

เพียงแค่ประโยคนี้ก็ทำให้เขาตกใจตาเหลือกจนเกือบจะเป็นลมสลบไป เดินตัวสั่นงันงกตามหวงฝู่อี้ไปถึงห้องพักพ่อลูกตระกูลหลี่ แต่ยังไม่ทันได้ดูให้ชัดเจนว่าใครเป็นใครก็คุกเข่าลงตรงหน้าเมิ่งเสียนแล้ว

 

 

“ข้าน้อยถวายบังคมพระชายาซื่อจื่อพะยะค่ะ!”

 

 

เมิ่งเสียนอึ้ง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะลั่น “ข้าก็คิดว่าผู้ที่ยุยงให้คนตระกูลหลี่เดินทางมายังเมืองหลวงจะเก่งกล้าแค่ไหนเชียว ที่แท้ก็เท่านี้เอง”

 

 

เมื่อได้ยินเสียงนางลอยมาจากอีกด้าน เศรษฐีหวังถึงได้รู้ว่าตนเองถวายบังคมผิดคน ทำเอาเหงื่อไหลโทรมกาย ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น และหมุนตัวไปอีกด้านหนึ่ง พร้อมกับเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “ข้าน้อยถวายบังคมพระชายาซื่อจื่อ!”

 

 

เหนือศีรษะไร้เสียงใดๆ มีเพียงแต่สายตาเย็นเยียบที่ทำให้เขาขนลุกชัน

 

 

เศรษฐีหวังเหงื่อไหลโทรมกายยิ่งกว่าเดิม ร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

 

 

พ่อลูกตระกูลหลี่เห็นเขาเป็นเช่นนั้นแล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกยินดีในใจ ความหวาดกลัวก็จางหายไปไม่น้อย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เอ่ยพูดอันใด เศรษฐีหวังก็ไม่กล้าลุกขึ้น

 

 

อากาศภายในห้องหยุดชะงัก

 

 

เศรษฐีหวังทนไม่ไหว เหงื่อเม็ดใหญ่หยดลงพื้นเม็ดแล้วเม็ดเล่า

 

 

ผ่านไปเนิ่นนาน นานจนเศรษฐีหวังใกล้จะเป็นลมหมดสติไป เมิ่งเชี่ยนโยวถึงได้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกที่ทำให้คนสั่นสะท้านว่า “ลุกขึ้นเถอะ”

 

 

เศรษฐีหวังโขกศีรษะลงกับพื้น “ขอบพระทัยพะย่ะค่ะ พระชายาซื่อจื่อ!”

 

 

เมื่อเอ่ยจบก็พยายามจะฝืนตัวลุกขึ้นยืน แต่ขาไร้เรี่ยวแรงเป็นอย่างมาก ลองอยู่หลายครั้งก็ยังลุกไม่ขึ้น

 

 

“อี้เอ๋อร์ ช่วยเขาหน่อยสิ”

 

 

หวงฝู่อี้ก้าวขึ้นมาด้านหน้า และออกแรงหิ้วเขาขึ้นมาวางไว้บนพื้น

 

 

ร่างของเศรษฐีหวังเซไปเซมาอยู่ครู่หนึ่งและยืนขึ้นได้ในที่สุด แต่ยังคงมีอาการหน้ามืดเหงื่อไหลไม่หยุด

 

 

“พวกเขากล่าวว่า เจ้าเป็นผู้ยั่วยุให้พวกเขามาเมืองหลวงเพื่อตำแหน่งขุนนางของหลานทั้งสองคนของเจ้าเช่นนั้นหรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามเนิบๆ

 

 

เศรษฐีหวังตกใจคุกเข่าลงกับพื้นอีกครั้ง “พระชายาซื่อจื่อโปรดละเว้นข้าน้อยด้วย พระชายาซื่อจื่อโปรดละเว้นข้าน้อยด้วย!”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว ถามเมิ่งเสียนว่า “พี่ใหญ่ ข้าน่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ”

 

 

เมิ่งเสียนส่ายศีรษะอย่างให้ความร่วมมือ

 

 

“แล้วนี่ เขาเป็น…”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามขึ้นด้วยความสงสัย

 

 

เมิ่งเสียนเม้มริมฝีปาก มองไปทางเศรษฐีหวังที่ตัวสั่นเทิ้ม“เขาไม่เชื่อฟังคำสั่งท่าน ทั้งๆที่ท่านให้เขาลุกขึ้นยืน แต่เขากลับนั่งคุกเข่าอยู่”

 

 

“อืม เช่นนั้นข้าควรลงโทษข้อหาลบหลู่เบื้องสูง?”

 

 

เมิ่งเสียน “ควรจะเป็นเช่นนั้น”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามหวงฝู่อี้ “อี้เอ๋อร์ การลบหลู่เบื้องสูงควรลงโทษสถานใด”

 

 

หวงฝู่อี้เอ่ยด้วยเสียงดังกังวานทรงพลัง “เรียนพระชายาซื่อจื่อ โทษของการลบหลู่เบื้องสูง สถานเบาโบยยี่สิบไม้ สถานหนักคือประหารชีวิตทันทีพะยะค่ะ”

 

 

เมื่อสิ้นสุดเสียง ก็เห็นแต่ร่างของเศรษฐีหวังที่สั่นเทิ้มไม่หยุดก่อนจะแน่นิ่งไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นแล้วก็จงใจแสร้งถามว่า “นี่เขาเป็นอันใด หมดสติไปแล้วหรือ”

 

 

เอ่ยจบแล้วก็ส่ายศีรษะไปมาสองที “อายุมากขนาดนี้แล้วไม่ควรออกจากบ้าน ไม่แน่ว่าอาจจะต้องทิ้งสังขารเอาไว้ที่เมืองหลวงแห่งนี้”

 

 

เศรษฐีหวังที่สลบไปแล้วย่อมไม่ได้ยิน แต่หลี่เหล่าฮั่นเข้าใจ และรู้สึกได้ว่าคำพูดนั้นกำลังพูดถึงตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น เมิ่งเชี่ยนโยวก็มองมาที่เขาในยามที่เอ่ยพูด เขาทนรับความกดดันนี้ไม่ไหวจึงตาเหลือกหมดสติไป

 

 

หลี่เหล่าเอ้อร์และหลี่เหล่าซานอยากจะหมดสติตามสองคนนั้นไป แต่ยิ่งคิดเช่นนี้ ในใจก็ยิ่งร้อนรน และมีสติมากยิ่งขึ้น

 

 

เอ่ยพูดเพียงไม่กี่คำก็ตกใจสลบไปแล้วสองคน เมิ่งเชี่ยนโยวที่บรรลุเป้าหมายแล้วก็คร้านจะพูดไร้สาระกับคนเหล่านี้อีกจึงลุกขึ้นยืน “ไปกันเถอะพี่ใหญ่ เดี๋ยวพวกเขาฟื้นขึ้นมาก็รู้ได้เองว่าควรจะทำเช่นไร”

 

 

พวกเขาลงมาด้านล่าง จั่งกุ้ยยืนถวายบังคมอยู่ที่ชั้นล่าง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่เขาแวบหนึ่ง และเอ่ยขึ้นอย่างลึกซึ้งว่า “จั่งกุ้ย โรงเตี๊ยมของเจ้าเจริญรุ่งเรืองดีนะ”

 

 

หน้าผากจั่งกุ้ยมีเม็ดเหงื่อผุดออกมา ยืนถวายบังคมส่งพวกเขาจากไปอย่างนอบน้อม เมื่อเห็นรถม้าจวนอ๋องฉีจากไปไกลแล้วตบเข้าที่หน้าตัก รีบสั่งการว่า “เร็ว เร็วเข้า รีบคิดเงินคนพวกนั้นและรีบไล่ออกไปเสีย!”

 

 

เสี่ยวเอ้อร์วิ่งตึงตังขึ้นไปชั้นบนและลงมาอย่างรวดเร็ว รายงานด้วยความตื่นตกใจ “จั่งกุ้ย พวก พวกเขา…”

 

 

จั่งกุ้ยที่ร้อนใจ ได้ยินเขาเอ่ยวาจาติดขัดก็ตำหนิเขาทันที “พวกเขาทำไมหรือ เจ้ารีบพูดเร็วเข้าสิ!”

 

 

เสี่ยวเอ้อร์กลืนน้ำลาย “ท่านขึ้นไปดูเองจะดีกว่า”

 

 

จั่งกุ้ยสะบัดชายเสื้อเดินขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ คนสี่คน หมดสติไปสอง ที่เหลืออีกสองคนตาเบิกกว้าง ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น

 

 

เขาเสียใจจนอยากจะเป็นลมจริงๆ

 

 

เมื่อวานนี้เขาก็มึนงง แม้ว่ามารดาของจอหงวนฝ่ายบู๊จะแต่งงานใหม่ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเพิ่งวิ่งโร่มาเมืองหลวงเพื่อยอมรับบุตรชายทั้งที่ผ่านไปหลายปีเช่นนี้แล้ว ในนี้จะต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน แต่ในใจเขาก็ยังคิดว่าโชคดี คิดว่าหากจอหงวนฝ่ายบู๊ยอมรับมารดาของตนเองจริงๆ หลังจากนี้โรงเตี๊ยมของตนเองก็มีชื่อเสียงแล้ว คราวนี้เป็นไงเล่า ไม่เพียงแต่ไม่มีชื่อเสียง ไม่แน่ว่าอาจจะต้องมีเรื่องกับท่านจอหงวนฝ่ายบู๊และจวนอ๋องฉีเพราะเหตุนี้ก็เป็นได้

 

 

แต่ด้วยเหตุการณ์ตรงหน้า จะไล่พวกเขาออกไปก็ไม่ได้ มิเช่นนั้นพรุ่งนี้คงลือกันไปทั่วเมืองหลวงอย่างแน่นอน เช่นนั้นโรงเตี๊ยมของเขาคงได้ปิดกิจการเร็วกว่าเดิมอย่างแน่นอน

 

 

จั่งกุ้ยเดือดเนื้อร้อนใจ และในจังหวะเดียวกันนั้น หลี่เซิ่งก็กลับมาด้วยอารมณ์เบิกบานใจ ฮัมเพลงเสียงเบา เดินขึ้นไปที่ชั้นบนของโรงเตี๊ยมเพราะไม่ต้องจ่ายเงินของตนเอง แถมยังได้รักษาอาการบาดเจ็บด้วย เมื่อถึงหน้าห้องตนเองก็เห็นจั่งกุ้ยอยู่ที่หน้าห้อง จึงทักทายอย่างสบายอารมณ์ “ขอบคุณท่านจั่งกุ้ยยิ่งนัก มือข้าไม่เจ็บแล้ว”

 

 

จั่งกุ้ยตาเป็นประกาย เอ่ยกับเขาว่า “ท่านกลับมาได้พอดี เร็วเข้า ครอบครัวท่านเกิดเรื่องร้ายแรงถึงแก่ชีวิตแล้ว!”

 

 

หลี่เซิ่งตกใจ รีบเดินเข้าไปในห้อง เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็ยิ่งตระหนก หันกลับมาถามจั่งกุ้ยว่า “เกิดอันใดขึ้นหรือ”

 

 

จั่งกุ้ยร้อนใจ “ข้าจะไปทราบได้เช่นไรเล่า หลังจากพระชายาซื่อจื่อจากไป พวกเขาก็มีอาการเช่นนี้แล้ว”

 

 

หลี่เซิ่งคว้าคอเสื้อเขาเอาไว้ “พระชายาซื่อจื่อ พระชายาคนไหน”

 

 

จั่งกุ้ยถูกเขาดึงคอเสื้อจนแทบจะหายใจไม่ออก ฝืนตอบเขาว่า “ก็ ก็พวก พวกท่าน…”

 

 

หลี่เซิ่งเบิกตากว้างทันที “เมิ่งเชี่ยนโยว!”

 

 

จั่งกุ้ยพยักหน้า ทำไม้ทำมือส่งสัญญาณให้เขาปล่อยตนเอง

 

 

หลี่เซิ่งปล่อยเขาเป็นอิสระ ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม สมองมีแต่คำว่า “เมิ่งเชี่ยนโยวมา เมิ่งเชี่ยนโยวมา…”

 

 

จั่งกุ้ยสูดลมหายใจอยู่หลายครั้ง ก็หายใจคล่องขึ้น กำลังจะบอกให้พวกเขาไปพักที่โรงเตี๊ยมอื่น แต่หลี่เซิ่งก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าหลี่เหล่าเอ้อร์และหลี่เหล่าซาน ทั้งยังตบลงไปที่ใบหน้าทั้งสองอย่างแรง “เหล่าเอ้อร์ เหล่าซาน ตื่นเร็วเข้า พวกเราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ต้องเปลี่ยนที่พัก”

 

 

หลี่เหล่าเอ้อร์และหลี่เหล่าซานที่โดนฝ่ามือตบจนตื่นก็สะดุ้งตัวโยน กระโดดพรวดออกไป “ใช่ๆๆ พี่ใหญ่พูดถูก อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว พวกเราต้องย้ายที่พัก”

 

 

“ท่านพ่อเล่า พาท่านพ่อไปด้วย!”

 

 

หลี่เซิ่งร้องตะโกนลั่นอยู่เบื้องหลัง

 

 

ทั้งสองจึงได้สติและกลับไปที่เตียง แบกร่างหลี่เหล่าฮั่นที่หมดสติอยู่เดินออกไปทันที

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]ตอนพิเศษ (2) 14 ตกใจหมด

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] Chapter ตอนพิเศษ (2) 14 ตกใจหมด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เศรษฐีหวังคิดเรียบร้อยแล้ว แต่บ่าวรับใช้ยังไม่ทันได้เดินออกไป หวงฝู่อี้ก็เดินเข้ามาเสียก่อน

 

 

“พระชายาซื่อจื่อ มีรับสั่งให้เจ้าไปพบ!”

 

 

เพียงแค่ประโยคนี้ก็ทำให้เขาตกใจตาเหลือกจนเกือบจะเป็นลมสลบไป เดินตัวสั่นงันงกตามหวงฝู่อี้ไปถึงห้องพักพ่อลูกตระกูลหลี่ แต่ยังไม่ทันได้ดูให้ชัดเจนว่าใครเป็นใครก็คุกเข่าลงตรงหน้าเมิ่งเสียนแล้ว

 

 

“ข้าน้อยถวายบังคมพระชายาซื่อจื่อพะยะค่ะ!”

 

 

เมิ่งเสียนอึ้ง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะลั่น “ข้าก็คิดว่าผู้ที่ยุยงให้คนตระกูลหลี่เดินทางมายังเมืองหลวงจะเก่งกล้าแค่ไหนเชียว ที่แท้ก็เท่านี้เอง”

 

 

เมื่อได้ยินเสียงนางลอยมาจากอีกด้าน เศรษฐีหวังถึงได้รู้ว่าตนเองถวายบังคมผิดคน ทำเอาเหงื่อไหลโทรมกาย ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น และหมุนตัวไปอีกด้านหนึ่ง พร้อมกับเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “ข้าน้อยถวายบังคมพระชายาซื่อจื่อ!”

 

 

เหนือศีรษะไร้เสียงใดๆ มีเพียงแต่สายตาเย็นเยียบที่ทำให้เขาขนลุกชัน

 

 

เศรษฐีหวังเหงื่อไหลโทรมกายยิ่งกว่าเดิม ร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

 

 

พ่อลูกตระกูลหลี่เห็นเขาเป็นเช่นนั้นแล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกยินดีในใจ ความหวาดกลัวก็จางหายไปไม่น้อย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เอ่ยพูดอันใด เศรษฐีหวังก็ไม่กล้าลุกขึ้น

 

 

อากาศภายในห้องหยุดชะงัก

 

 

เศรษฐีหวังทนไม่ไหว เหงื่อเม็ดใหญ่หยดลงพื้นเม็ดแล้วเม็ดเล่า

 

 

ผ่านไปเนิ่นนาน นานจนเศรษฐีหวังใกล้จะเป็นลมหมดสติไป เมิ่งเชี่ยนโยวถึงได้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกที่ทำให้คนสั่นสะท้านว่า “ลุกขึ้นเถอะ”

 

 

เศรษฐีหวังโขกศีรษะลงกับพื้น “ขอบพระทัยพะย่ะค่ะ พระชายาซื่อจื่อ!”

 

 

เมื่อเอ่ยจบก็พยายามจะฝืนตัวลุกขึ้นยืน แต่ขาไร้เรี่ยวแรงเป็นอย่างมาก ลองอยู่หลายครั้งก็ยังลุกไม่ขึ้น

 

 

“อี้เอ๋อร์ ช่วยเขาหน่อยสิ”

 

 

หวงฝู่อี้ก้าวขึ้นมาด้านหน้า และออกแรงหิ้วเขาขึ้นมาวางไว้บนพื้น

 

 

ร่างของเศรษฐีหวังเซไปเซมาอยู่ครู่หนึ่งและยืนขึ้นได้ในที่สุด แต่ยังคงมีอาการหน้ามืดเหงื่อไหลไม่หยุด

 

 

“พวกเขากล่าวว่า เจ้าเป็นผู้ยั่วยุให้พวกเขามาเมืองหลวงเพื่อตำแหน่งขุนนางของหลานทั้งสองคนของเจ้าเช่นนั้นหรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามเนิบๆ

 

 

เศรษฐีหวังตกใจคุกเข่าลงกับพื้นอีกครั้ง “พระชายาซื่อจื่อโปรดละเว้นข้าน้อยด้วย พระชายาซื่อจื่อโปรดละเว้นข้าน้อยด้วย!”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว ถามเมิ่งเสียนว่า “พี่ใหญ่ ข้าน่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ”

 

 

เมิ่งเสียนส่ายศีรษะอย่างให้ความร่วมมือ

 

 

“แล้วนี่ เขาเป็น…”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามขึ้นด้วยความสงสัย

 

 

เมิ่งเสียนเม้มริมฝีปาก มองไปทางเศรษฐีหวังที่ตัวสั่นเทิ้ม“เขาไม่เชื่อฟังคำสั่งท่าน ทั้งๆที่ท่านให้เขาลุกขึ้นยืน แต่เขากลับนั่งคุกเข่าอยู่”

 

 

“อืม เช่นนั้นข้าควรลงโทษข้อหาลบหลู่เบื้องสูง?”

 

 

เมิ่งเสียน “ควรจะเป็นเช่นนั้น”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามหวงฝู่อี้ “อี้เอ๋อร์ การลบหลู่เบื้องสูงควรลงโทษสถานใด”

 

 

หวงฝู่อี้เอ่ยด้วยเสียงดังกังวานทรงพลัง “เรียนพระชายาซื่อจื่อ โทษของการลบหลู่เบื้องสูง สถานเบาโบยยี่สิบไม้ สถานหนักคือประหารชีวิตทันทีพะยะค่ะ”

 

 

เมื่อสิ้นสุดเสียง ก็เห็นแต่ร่างของเศรษฐีหวังที่สั่นเทิ้มไม่หยุดก่อนจะแน่นิ่งไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นแล้วก็จงใจแสร้งถามว่า “นี่เขาเป็นอันใด หมดสติไปแล้วหรือ”

 

 

เอ่ยจบแล้วก็ส่ายศีรษะไปมาสองที “อายุมากขนาดนี้แล้วไม่ควรออกจากบ้าน ไม่แน่ว่าอาจจะต้องทิ้งสังขารเอาไว้ที่เมืองหลวงแห่งนี้”

 

 

เศรษฐีหวังที่สลบไปแล้วย่อมไม่ได้ยิน แต่หลี่เหล่าฮั่นเข้าใจ และรู้สึกได้ว่าคำพูดนั้นกำลังพูดถึงตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น เมิ่งเชี่ยนโยวก็มองมาที่เขาในยามที่เอ่ยพูด เขาทนรับความกดดันนี้ไม่ไหวจึงตาเหลือกหมดสติไป

 

 

หลี่เหล่าเอ้อร์และหลี่เหล่าซานอยากจะหมดสติตามสองคนนั้นไป แต่ยิ่งคิดเช่นนี้ ในใจก็ยิ่งร้อนรน และมีสติมากยิ่งขึ้น

 

 

เอ่ยพูดเพียงไม่กี่คำก็ตกใจสลบไปแล้วสองคน เมิ่งเชี่ยนโยวที่บรรลุเป้าหมายแล้วก็คร้านจะพูดไร้สาระกับคนเหล่านี้อีกจึงลุกขึ้นยืน “ไปกันเถอะพี่ใหญ่ เดี๋ยวพวกเขาฟื้นขึ้นมาก็รู้ได้เองว่าควรจะทำเช่นไร”

 

 

พวกเขาลงมาด้านล่าง จั่งกุ้ยยืนถวายบังคมอยู่ที่ชั้นล่าง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่เขาแวบหนึ่ง และเอ่ยขึ้นอย่างลึกซึ้งว่า “จั่งกุ้ย โรงเตี๊ยมของเจ้าเจริญรุ่งเรืองดีนะ”

 

 

หน้าผากจั่งกุ้ยมีเม็ดเหงื่อผุดออกมา ยืนถวายบังคมส่งพวกเขาจากไปอย่างนอบน้อม เมื่อเห็นรถม้าจวนอ๋องฉีจากไปไกลแล้วตบเข้าที่หน้าตัก รีบสั่งการว่า “เร็ว เร็วเข้า รีบคิดเงินคนพวกนั้นและรีบไล่ออกไปเสีย!”

 

 

เสี่ยวเอ้อร์วิ่งตึงตังขึ้นไปชั้นบนและลงมาอย่างรวดเร็ว รายงานด้วยความตื่นตกใจ “จั่งกุ้ย พวก พวกเขา…”

 

 

จั่งกุ้ยที่ร้อนใจ ได้ยินเขาเอ่ยวาจาติดขัดก็ตำหนิเขาทันที “พวกเขาทำไมหรือ เจ้ารีบพูดเร็วเข้าสิ!”

 

 

เสี่ยวเอ้อร์กลืนน้ำลาย “ท่านขึ้นไปดูเองจะดีกว่า”

 

 

จั่งกุ้ยสะบัดชายเสื้อเดินขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ คนสี่คน หมดสติไปสอง ที่เหลืออีกสองคนตาเบิกกว้าง ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น

 

 

เขาเสียใจจนอยากจะเป็นลมจริงๆ

 

 

เมื่อวานนี้เขาก็มึนงง แม้ว่ามารดาของจอหงวนฝ่ายบู๊จะแต่งงานใหม่ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเพิ่งวิ่งโร่มาเมืองหลวงเพื่อยอมรับบุตรชายทั้งที่ผ่านไปหลายปีเช่นนี้แล้ว ในนี้จะต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน แต่ในใจเขาก็ยังคิดว่าโชคดี คิดว่าหากจอหงวนฝ่ายบู๊ยอมรับมารดาของตนเองจริงๆ หลังจากนี้โรงเตี๊ยมของตนเองก็มีชื่อเสียงแล้ว คราวนี้เป็นไงเล่า ไม่เพียงแต่ไม่มีชื่อเสียง ไม่แน่ว่าอาจจะต้องมีเรื่องกับท่านจอหงวนฝ่ายบู๊และจวนอ๋องฉีเพราะเหตุนี้ก็เป็นได้

 

 

แต่ด้วยเหตุการณ์ตรงหน้า จะไล่พวกเขาออกไปก็ไม่ได้ มิเช่นนั้นพรุ่งนี้คงลือกันไปทั่วเมืองหลวงอย่างแน่นอน เช่นนั้นโรงเตี๊ยมของเขาคงได้ปิดกิจการเร็วกว่าเดิมอย่างแน่นอน

 

 

จั่งกุ้ยเดือดเนื้อร้อนใจ และในจังหวะเดียวกันนั้น หลี่เซิ่งก็กลับมาด้วยอารมณ์เบิกบานใจ ฮัมเพลงเสียงเบา เดินขึ้นไปที่ชั้นบนของโรงเตี๊ยมเพราะไม่ต้องจ่ายเงินของตนเอง แถมยังได้รักษาอาการบาดเจ็บด้วย เมื่อถึงหน้าห้องตนเองก็เห็นจั่งกุ้ยอยู่ที่หน้าห้อง จึงทักทายอย่างสบายอารมณ์ “ขอบคุณท่านจั่งกุ้ยยิ่งนัก มือข้าไม่เจ็บแล้ว”

 

 

จั่งกุ้ยตาเป็นประกาย เอ่ยกับเขาว่า “ท่านกลับมาได้พอดี เร็วเข้า ครอบครัวท่านเกิดเรื่องร้ายแรงถึงแก่ชีวิตแล้ว!”

 

 

หลี่เซิ่งตกใจ รีบเดินเข้าไปในห้อง เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็ยิ่งตระหนก หันกลับมาถามจั่งกุ้ยว่า “เกิดอันใดขึ้นหรือ”

 

 

จั่งกุ้ยร้อนใจ “ข้าจะไปทราบได้เช่นไรเล่า หลังจากพระชายาซื่อจื่อจากไป พวกเขาก็มีอาการเช่นนี้แล้ว”

 

 

หลี่เซิ่งคว้าคอเสื้อเขาเอาไว้ “พระชายาซื่อจื่อ พระชายาคนไหน”

 

 

จั่งกุ้ยถูกเขาดึงคอเสื้อจนแทบจะหายใจไม่ออก ฝืนตอบเขาว่า “ก็ ก็พวก พวกท่าน…”

 

 

หลี่เซิ่งเบิกตากว้างทันที “เมิ่งเชี่ยนโยว!”

 

 

จั่งกุ้ยพยักหน้า ทำไม้ทำมือส่งสัญญาณให้เขาปล่อยตนเอง

 

 

หลี่เซิ่งปล่อยเขาเป็นอิสระ ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม สมองมีแต่คำว่า “เมิ่งเชี่ยนโยวมา เมิ่งเชี่ยนโยวมา…”

 

 

จั่งกุ้ยสูดลมหายใจอยู่หลายครั้ง ก็หายใจคล่องขึ้น กำลังจะบอกให้พวกเขาไปพักที่โรงเตี๊ยมอื่น แต่หลี่เซิ่งก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าหลี่เหล่าเอ้อร์และหลี่เหล่าซาน ทั้งยังตบลงไปที่ใบหน้าทั้งสองอย่างแรง “เหล่าเอ้อร์ เหล่าซาน ตื่นเร็วเข้า พวกเราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ต้องเปลี่ยนที่พัก”

 

 

หลี่เหล่าเอ้อร์และหลี่เหล่าซานที่โดนฝ่ามือตบจนตื่นก็สะดุ้งตัวโยน กระโดดพรวดออกไป “ใช่ๆๆ พี่ใหญ่พูดถูก อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว พวกเราต้องย้ายที่พัก”

 

 

“ท่านพ่อเล่า พาท่านพ่อไปด้วย!”

 

 

หลี่เซิ่งร้องตะโกนลั่นอยู่เบื้องหลัง

 

 

ทั้งสองจึงได้สติและกลับไปที่เตียง แบกร่างหลี่เหล่าฮั่นที่หมดสติอยู่เดินออกไปทันที

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+