บทเพลงแห่งพรหมลิขิตนำพาผมมาเจอเธอ 1: เทอมแรก

Now you are reading บทเพลงแห่งพรหมลิขิตนำพาผมมาเจอเธอ Chapter 1: เทอมแรก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

-เทอมแรก-

 

ผมฝันเห็น……..

ตัวผมกำลังยืนอยู่บนเวทีและเบื้องหน้าของผมคือผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังร้องเพลงอยู่

 

6 โมงเช้า

   “กริ๊ง!!!”

   วันจันทร์วันแรกที่จะได้ใช้ชีวิตมัธยมปลาย

ผมชื่อ คีธ ลูอิส นาเดียส ปีนี้ผมอายุ 16 แล้ว

พ่อแม่ผมอยู่ต่างประเทศ ไม่ค่อยจะกลับมาเท่าไหร่ พ่อเป็นโปรดิวเซอร์ชื่อดัง

ทำเพลงให้กับศิลปินที่มีชื่อเสียงหลายคน ส่วนแม่เป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงทั่วโลกมีแฟนเพลงมากมาย

ผมเลยต้องใช้ชีวิตอยู่ที่เพนท์เฮ้าส์เพียงลำพัง

   วันนี้เป็นวันแรกที่จะต้องไปโรงเรียนใหม่แต่ก่อนหน้านั้นผมต้องไปทำอาหารสักหน่อย ท้องเริ่มร้องแล้ว

ผมเข้าไปในครัวเปิดตู้เย็นเพื่อหาวัตถุดิบมาประกอบอาหาร

แต่เจอเพียงไข่ 4 ฟองเท่านั้น ผมจึงจะทำขนมปังชุบไข่ ผมเอาไข่ออกมา 2 ฟองและเดินไปหยิบขนมปัง

   “ติ๊ด”

เตาไฟฟ้าเริ่มทำงานหลังจากนั้นผมก็วางกระทะและนำขนมปังหย่อนลงไป ตามด้วยไข่ที่ตอกแล้วทั้งสองฟอง

   “ติ๊ด”

เฮ้อ เสร็จสักที การทำอาหารไม่ใช่สิ่งที่ผมถนัดเอาซะเลย คงต้องฝึกอีกเยอะ

หลังจากนั้นผมก็นำลงไปในจานแล้วก็ไปวางไว้ที่โต๊ะอาหาร

ผมมีนิสัยส่วนตัวอย่างหนึ่ง อาจจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่แต่ผมก็อยู่บ้านคนเดียว

ผมเลยชอบที่จะเปิดดูมือถือไปด้วยและกินข้าวไปด้วยแต่ผมก็ไม่ได้จะเปิดดูตลอดทุกครั้งที่กินข้าวหรอกนะ

   ผมเห็นวิดีโอข่าวการเปิดตัวเพลงใหม่ของศิลปินหน้าใหม่ดูแล้วน่าสนใจจึงกดเข้าไปดู

   “วันนี้เวลา 1 ทุ่ม เราจะได้ฟังเพลงใหม่จาก…..”

   “ติ๊ง ต่อง”

ผมไม่ทันได้ฟังเนื้อหาของข่าวทั้งหมด ก็ได้ยินเสียงกริ่งประตู

   “ครับๆ มาแล้ว”

เมื่อผมออกไปที่ประตู ก็เป็นเพื่อนสมัยเด็กของผมเอง มินาริ มากะ

   “ไง”

   “ไง ว่าแต่…เธอมาทำอะไรเนี่ย”

   “นายทำอะไรน่ะ กลิ่นออกมาเลย”

เธอเปลี่ยนเรื่องไวจนเกินไปผมเกือบจะตามไม่ทันเลยทีเดียว

   “ขนมปังชุบไข่”

   “ทำให้ฉันกินบ้างสิ”

   “ไม่มีทาง”

   “จำไว้เลยนะ”

   “จะจำเอาไว้แล้วกัน”

ผมคิดว่าเราไม่ควรจะมายืนคุยกันตรงประตูห้องเท่าไหร่ เลยจะให้เธอเข้ามาคุยกันในห้อง

   “เธอเข้ามาก่อนสิ”

   “รอแปบ เดี๋ยวฉันทำให้”

   “สุดท้ายนายก็ทำให้นะ”

   “เออออ”

   “เดี๋ยวก่อนนะ”

   “อะไรหรอ?”

   “นายเข้าครัวได้แล้วหรอ”

   “ก็พึ่งจะได้นี่แหละ ก็ต้องอยู่คนเดียวนี่นะ”

   “งั้นหรอ”

หลังจากนั้นผมก็เดินเข้ามาในครัว เฮ้อออออ นี่ผมจะต้องมายืนหน้ากระทะอีกแล้วหรอเนี่ย

พอทำขนมปังชุบไข่เซตสำหรับคุณเพื่อนเสร็จก็นำมาวางตรงหน้าเธอ

   “เอ๊ ก็ดูน่าอร่อยนะ แต่จะกินได้มั้ยล่ะเนี่ย”

ถึงผมทำหน้านิ่งๆ แต่ก็กำลังคิดว่าที่เธอพูดมามันเป็นคำพูดที่แทงใจดำจริงสุดๆ

ถ้าเป็นในอนิเมะคงเป็นภาพผมกำลังคุกเข่าพร้อมด้วยสีขาวดำ

   “ว่าแต่เธอมาหาฉันแต่เช้าเลย มีอะไรรึเปล่า?”

คราวนี้ผมคิดว่าน่าจะได้คำตอบแล้วนะ

   “ก…ก็แค่จะหาเพื่อนไปโรงเรียนด้วยเท่านั้นแหละ”

   “งั้นหรอ”

   “น…น…แน่นอน!!”

แล้วทำไมเธอต้องหน้าแดงด้วยนะ?

   มากะเป็นเพื่อนสนิทของผมมาตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว เธอเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น

เราอยู่โรงเรียนเดียวกันทั้งตอนประถมและมัธยมต้น แถมพ่อของมากะก็รู้จักกับพ่อของผมอีก โลกจะกลมไปมั้ย

   หลังจากนั้นบทสนทนาของพวกเราก็เงียบไปสักพักหนึ่ง ผมไม่รู้จะคุยเรื่องอะไรดี

ส่วนมากะก็กำลังกินขนมปังชุบไข่ที่ผมทำไปเรื่อยๆ

   “คีธ ขนมปังชุบไข่เนี่ยฉันขอพูดตรงๆ เลยนะ”

อยู่ๆ มากะก็เปิดบทสนทนา แต่เป็นประโยคที่ไม่น่าฟังเอาซะเลย นี่เธอจะวิจารณ์ขนมปังชุบไข่ของผมหรือเนี่ย

ถ้าแค่ขนมปังชุบไข่ยังไม่อร่อยผมคงต้องเลิกเข้าครัวไปตลอดชีวิตแล้ว

   “อร่อยเลยล่ะ”

   “อืม”

   “คนเขาอุตส่าห์ชมเลยนะ มีปฏิกิริยามากกว่านี้หน่อยสิ”

   “ขอบใจ”

   “เฮ้อ”

ผมไม่ได้ไม่มีปฏิกิริยาสักหน่อย แค่กำลังรู้สึกเขินที่มีคนชอบอาหารที่ผมทำเป็นครั้งแรก

เพราะไม่เคยทำให้ใครกินมาก่อนเลย

หลังจากนั้นเราก็คุยเรื่องสัพเพเหระกันจนลืมเวลา

 

 

✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦

 

8 โมงเช้า

   “สายแล้วนะคีธ”

   “เป็นเพราะเธอชวนคุยยาวนั่นแหละ”

   “ไหงเป็นเพราะฉันล่ะ”

   “ล้อเล่นๆ”

   “รีบไปกันเถอะมากะ ก่อนจะไม่ทันจริงๆ”

   “อือ”

ผมรีบไปหยิบกระเป๋าส่วนมากะเดินออกไปรอข้างหน้าห้องแล้ว

หลังจากนั้นเรารีบวิ่งออกจากคอนโดแล้วไปเรียกแท็กซี่อย่างรวดเร็ว

เพราะว่าอีก 30 นาทีก็จะเริ่มเข้าเรียนกันแล้ว

 

✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦

 

   “เฮ้อออ ทันจนได้”

   “นั่นสินะ”

   “เกือบไปเลยนะ”

ผมว่าไม่เกือบเท่าไหร่ เพราะว่าเรายังเหลือเวลาอีกตั้ง 15 นาที แต่ก็ดีแล้วล่ะถ้ามาสายตั้งแต่วันแรก

อาจารย์คงจะเพ่งเล็งเป็นพิเศษแหงเลย โชคดีที่ระยะทางมาโรงเรียนนั่งรถมาไม่นานก็ถึง

 

โรงเรียนเอกชน ฟรอเดล มี 3 ชั้นปี แต่ละชั้นปีจะแบ่งเป็น 4 ห้อง มีห้อง A B C D

แต่ละห้องจะมีนักเรียนเพียง 15 คนต่อห้องเท่านั้น

 

   “เฮ้ยๆ เอาจริงดิ”

   “ไม่จริงน่า!”

   “นี่ๆ เข้าไปขอถ่ายรูปสิ”

อยู่ๆ หน้าโรงเรียนก็วุ่นวาย ผมเองก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเด็กนักเรียนหลายคนถึงไปมุงกันตรงนั้น

ขณะที่ผมยืนเอ๋อทำหน้างงๆ กับความสงสัยอยู่นั้น ก็โดนนักเรียนกลุ่มใหญ่วิ่งเข้ามากระแทกจนกระเด็น

นี่ผมอ่อนแอขนาดโดนชนแล้วปลิวเลยหรอ…. ไม่หรอก คนมันเยอะเกินไปต่างหาก

   “เป็นอะไรรึเปล่า”

มากะเข้ามาถามหลังจากที่ผมกระเด็นออกมา

   “ไม่เป็นอะไรๆ แต่ว่ามีอะไรกันทำไมถึงวุ่นวายขนาดนั้น”

   “รู้สึกจะมีคนดังมาเข้าเรียนที่นี่ด้วยน่ะนะ แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าคนนั้นเป็นใครน่ะ”

ผมเข้าใจในทันทีว่าทำไมผมถึงถูกฝูงชนกระแทกเข้าอย่างจัง

เป็นเพราะผมไปขวางทางพวกนั้นในการพบปะกับคนดังคนนั้นแน่นอน

   “งั้นฉันขึ้นห้องก่อนนะคีธคุง”

   “อืม”

เป็นโรงเรียนที่ขนาดใหญ่จริงๆ ใหญ่เกินไปจนเดินทั้งวันน่าจะตายตั้งแต่กลางทาง เอ่อ….คงไม่มั้ง

แต่ก็เป็นโรงเรียนที่กว้างและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันจนน่าตกใจเลยล่ะ

   “ว่าแต่เธออยู่ห้องไหนหรอ”

   “ฉันอยู่ห้อง A น่ะ”

โรงเรียนนี้ไม่ได้แบ่งห้องนักเรียนตามเกรด แต่จะสุ่มเอาว่าจะได้อยู่ห้องไหน

ถือเป็นโรงเรียนที่ไม่แบ่งชนชั้นนักเรียนจากเกรดแห่งหนึ่ง

   “แล้วนายล่ะ?”

   “ฉันอยู่ห้อง B”

ถึงห้อง AและB จะดูเหมือนใกล้กัน แต่ด้วยขนาดของโรงเรียนนี้ทำให้แต่ละห้องช่างห่างไกลกันเหลือเกิน

   “น่าเสียดายจังเลย งั้นก็เสียสถิติการที่ได้อยู่ห้องเดียวกันไปอีกปีแล้วสินะ”

   “หึ หึ”

หลังจากนั้นมากะกับผมก็แยกกันเข้าห้องเรียนของตัวเอง

ข้างในห้องเรียนก็คล้ายกับห้องเรียนทั่วไป แต่วัสดุของโต๊ะ

เก้าอี้นั้นถือว่ามีราคาแน่นอนแถมมีหน้าจอสุดไฮเทคให้บนโต๊ะอีกด้วย

   “โอ้! สุดยอดไปเลยนะเนี่ย”

นักเรียนที่พึ่งจะเข้ามาในห้องดูจะตื่นเต้นกันทุกคน จะว่าไปเพื่อนในห้องเริ่มจะมากันมากขึ้นแล้ว

ผมต้องรีบจองโต๊ะก่อนที่มุมที่นั่งดีๆ จะโดนแย่งไปจนหมด

ผมเลือกที่นั่งข้างหลังสุดฝั่งริมหน้าต่าง เป็นมุมที่ดีจริงๆ เลย มองเห็นวิวทิวทัศน์ในตอนเรียนแถมยังไกลจากอาจารย์

ถ้าแอบหลับคงจะไม่เป็นอะไรมั้ง

   “ตรงนี้ยังไม่มีใครนั่งใช่มั้ยคะ?”

   “ไม่มีครับ”

ผมตอบไปโดยที่ยังไม่ได้หันไปมอง ผมกำลังนั่งมองวิวทิวทัศน์ภายนอก

   “นายชื่ออะไรหรอ”

อยู่ๆ ก็มีการชวนคุยจากคู่สนทนา ตามมารยาทแล้ว ผมเลยหันไปเพื่อจะตอบ แต่ผมก็อ้ำอึ้งไปสักพักเลย

เพราะผู้หญิงที่นั่งข้างๆ ผมนั้นเป็นคนที่สวยจนน่าเหลือเชื่อเลย ดวงตาเป็นประกาย

ผมยาวลอนสีผมเป็นสีน้ำตาลเทาหม่น สวยราวกับนางเอกละคร

   “คีธ คีธ ลูอิส”

ผมกำลังอึ้งกับใบหน้าเธอจนเกือบจะลืมตอบคำถามไปแล้ว

   “ฉันชื่อ ยุยนะ ยินดีที่ได้รู้จัก”

   “อืม ยินดีที่ได้รู้จัก”

เป็นคนที่สวยจนผมไม่กล้าคุยด้วยเลย ฮ่าๆๆ

   “เอาล่ะ นั่งที่กันได้แล้ว”

อาจารย์ที่เข้ามาเป็นอาจารย์ผู้หญิงที่ดูยังวัยรุ่นอยู่ ลักษณะการแต่งตัวทำให้ผมคิดว่าเป็นสาวออฟฟิศซะอีก

   “ยินดีต้อนรับเด็กใหม่ทุกคน ฉันชื่อ เมย่า เป็นอาจารย์ประจำชั้นของพวกเธอ

พวกเธอที่เข้ามาที่นี่ได้แสดงว่าพวกเธอก็มีความสามารถกันพอตัว เดี๋ยวฉันจะอธิบายโรงเรียนให้คร่าวๆ

นอกนั้นพวกเธอก็ไปหาประสบการณ์กันเอาเอง”

อาจารย์คนนี้ดูลักษณะโหดน่าดู แต่ผมก็ไม่ได้ไม่ชอบอะไรกลับชอบซะอีกเพราะเป็นคนที่ดูมีเอกลักษณ์พอตัว

   “เอาล่ะ ฉันจะอธิบายแค่ครั้งเดียว ใครมีคำถามอะไรค่อยถามตอนสุดท้าย เข้าใจนะ”

   “ครับ/ค่ะ”

   “โรงเรียนแห่งนี้โดยทั่วไปก็คล้ายกับโรงเรียนอื่นๆ แต่ว่าเราจะไม่มีการเรียนคาบบ่าย

เพราะจะให้พวกเธอทุกคนไปทำสิ่งที่ชอบได้ แน่นอนว่าพวกเธอจะออกนอกโรงเรียนไม่ได้จนกว่าจะเลิกเรียน

ก็ประมาณนี้ มีอะไรอยากถามมั้ย?”

   “ไปทำสิ่งที่ชอบนี่คืออะไรครับ”

   “ก็ทำสิ่งที่ชอบไง”

ทีแรกผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงตอบแบบนั้น แต่พอคิดไปสักพักผมก็ได้คำตอบ

โรงเรียนแห่งนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ หรือก็คือเราสามารถทำได้แทบทุกอย่าง

   “อาจารย์คะ ฉันไม่เข้าใจเลยค่ะ”

คุณยุยที่นั่งข้างๆ ยืนขึ้นถามอย่างกล้าหาญ จะว่างั้นได้มั้ยนะ เพราะอะไรน่ะหรอ

เพราะขาเธอสั่นจนนึกว่าแผ่นดินไหวเลยไง

   “เฮ้อ พวกเธอนี่นะ สมมุติว่าใครสักคนในห้องนี้อยากจะเป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อในโรงเรียนมีร้านสะดวกซื้อใช่ไหม    

เธอก็สามารถไปสมัครเป็นพนักงานได้เลยไง”

พอได้รับการอธิบายที่ยังคลุมเครือแต่ก็ทำให้ผมเข้าใจอย่างถ่องแท้ ในช่วงบ่ายเปรียบเสมือนการได้ทำงานจริงๆ และ

แน่นอนว่าเราสามารถเลือกจะทำสิ่งที่อยากจะทำหรือจะเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลยก็ได้เช่นกัน

   คุณยุยนั่งลงพร้อมกับใบหน้าที่ยังมึนงงกับคำตอบของอาจารย์เมื่อผมสังเกตใบหน้าทุกคนในห้อง

ผมจึงทราบได้อย่างแน่นอนว่าเกินครึ่งยังไม่เข้าใจกับสิ่งที่ครูเมย่าพูดมา แต่ก็มีบางส่วนที่ดูจะเข้าใจวิธีการใช้ชีวิตใน

โรงเรียนนี้แล้ว

   “นี่คีธ นายเข้าใจมั้ย”

   “เอ่อ เดี๋ยวฉันอธิบายให้ฟังหลังโฮมรูมแล้วกัน”

   “โอเค ขอบใจนะ”

   “ถ้าไม่มีใครถามอะไรแล้วก็แค่นี้แหละ เตรียมตัวเรียนคาบต่อไป”

   กว่าคาบต่อไปจะเริ่มยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงพออาจารย์เมย่าเดินออกจากห้องไป

ผมก็เริ่มอธิบายทุกอย่างให้คุณยุยฟังแต่ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกได้ถึงสายตาอาฆาตจากผู้ชายทั้งในห้องและนอกห้อง

น่าขนลุกจริงๆ

   “ออ เป็นแบบนี้นี่เอง ขอบคุณมากเลยนะคะ”

   “ไม่เป็นไร”

   “ทุกคน มาแนะนำตัวกันหน่อยมั้ย!”

อยู่ๆ ผู้หญิงคนหนึ่งในห้องก็เอ่ยขึ้นมา เป็นการชักชวนให้ทำความรู้จักกันสินะ

   “อืม เอาสิ”

ผมตอบกลับไปทันที จริงๆ ผมก็อยากรู้จักสมาชิกในห้องนิดหน่อยด้วยสิ

   “ดีล่ะ งั้นเริ่มจากฉันเลยแล้วกัน ฉันชื่อ เรย์ พึ่งกลับมาจากแคนาดา อืมมมม เล่นกีฬาได้เกือบทุกอย่างล่ะนะ”

   “เธอไปอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่เมื่อไหร่หรอ”

   “ไปแค่ช่วงม.ต้นน่ะพึ่งกลับมาเมื่อ3เดือนที่แล้วนี่แหละ คนต่อไปเลยยย”

   “อะ…เอ่อ คือว่าผมชื่อ เซบาส ถนัดด้านคอมพิวเตอร์ ข..ขะ ขอบคุณครับ”

ผ่านการแนะนำตัวกันไปหลายคนจนตอนนี้ก็ถึงตาผมแล้วสินะ

   “ชื่อ คีธ ลูอิส ไม่ถนัดเข้าครัวเป็นอย่างมาก ขอบคุณครับ”

ผมบอกนามสกุล นาเดียส ไม่ได้เด็ดขาดเพราะพ่อกับแม่ผมดังสุดๆ จนใครๆ ก็รู้จักสกุล นาเดียส

   “ฉันชื่อ เอลิน่า ยุย เรียกยุยก็ได้ ความถนัดก็ด้านดนตรีแล้วกัน ข…ขอบคุณค่ะ”

   “นั่นไงจริงด้วย”

   “เอลิน่า ยุยคนนั้นจริงๆ ด้วย”

มีเสียงกระซิบกันมากมาย คงเป็นเพราะเธอสวยแหละมั้ง ขนาดตอนผมอธิบายเรื่องของโรงเรียนที่อาจารย์เมย่าบอกให้เธอ

ฟังยังได้รับสายตาอาฆาตมาอย่างมากมาย ฮ่าๆๆๆ

   “ฉันว่าเรามาแต่งตั้งหัวหน้าห้องกันเถอะ”

   “เธอก็เป็นหัวหน้าห้องเลยสิ”

ผมตอบกลับเรย์ที่กำลังให้เสนอหัวหน้าห้อง แต่ด้วยลักษณะของเธอผมจึงคิดว่าเธอนี่แหละเหมาะสมเป็นหัวหน้าห้องดี

   “ใช่ฉันเห็นด้วยนะ”

   “ฉันก็ว่างั้น”

   “ครืด—”

   “จะเริ่มเรียนแล้วนะครับนักเรียน”

ทุกบทสนทนาในห้องจบลงเมื่อเสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับอาจารย์ที่เดินเข้ามา

คาบแรกกำลังจะเริ่ม ช่างเถอะผมไปคิดเรื่องจะทำอะไรคาบบ่ายดีกว่า เพราะตอนนี้ผมยังไม่รู้จะทำอะไรเลย

 

✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦

 

พักเที่ยง

ครับ โรงเรียนใหญ่ขนาดนี้ โรงอาหารไม่ธรรมดาอยู่แล้ว มีร้านอาหารไทย จีน ญี่ปุ่น และอีกมากมาย

ทุกร้านสามารถใช้มือถือสแกนจ่ายได้ ช่างทันสมัยซะจริง

   “นายจะเลือกอันไหนหรอ”

ระหว่างกำลังชื่นชมโรงอาหาร ยุยก็เข้ามาถามโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัวเลย

   “ยังไม่ได้เลือกน่ะ”

   “นั่นสินะคะมันเยอะไปหมดเลย”

   “นั่นสินะ”

   “งั้นอันนี้ดีมั้ยคะ”

   “อืม.. น่าสนใจนะ งั้นฉันเอาอันนี้แล้วกัน”

หลังจากผมเลือกของผมเสร็จ ยุยก็ไปเลือกของตัวเอง ผมรู้ตัวนะว่าตอนนี้ผมไม่อาจจะละสายตาจากยุยได้เลย

ก็แหมสวยขนาดนั้นอ่ะนะ

   “ไปหาที่นั่งกันเถอะค่ะ”

   “หะ?”

   “มีอะไรหรอคะ?”

   “เธอไม่ไปนั่งกับเพื่อนหรอ”

   “ฉันยังไม่ค่อยรู้จักใครเลยน่ะค่ะ”

   “งั้นหรอ….”

อาจจะเป็นเพราะลักษณะของเธอที่ดูเข้าถึงยากทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าที่จะเข้ามาทำความรู้จักก็เป็นได้

ด้วยเหตุนี้ผมกับยุยเลยต้องมานั่งทานข้าวด้วยกันสองคน

บอกตามตรงผมไม่เคยทานข้าวกับผู้หญิงสองต่อสองมาก่อนเลยนอกจากมากะ

แต่ทำไม…. ตอนนี้ผมถูกนักเรียนชายรอบๆ ตัวจ้องมองอยู่ รู้สึกอึดอัดนิดหน่อยแฮะ

   “ฉันมีคำถามนิดหน่อยน่ะค่ะ”

   “อะไรหรอ?

   “จำฉันไม่ได้….”

   “คีธธธธธ!!!”

มากะตะโกนเรียกผมมาพอดีเลยทำให้ผมไม่ค่อยได้ยินที่ยุยถามเลย 

   “ขอโทษทีเมื่อกี้ถามว่าอะไรนะ”

   “อ..อื้ม ไม่มีอะไรค่ะ”

   “หาตัวตั้งนานแน่ะ”

มากะวิ่งเข้ามาทักผม ว่าแต่หาตัวหรอ ผมไม่ได้หายตัวไปไหนสักหน่อยนะ

   “เอ๊ะ? ใครน่ะ”

   “เพื่อนร่วมห้องน่ะ”

   “งั้นหรอ”

   “ฉันชื่อ เอริน่า ยุย ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

   “ฉันชื่อ มินาริ มากะ นะ”

   “ขอฉันนั่งด้วยคนนะ”

   “ได้สิไม่มีปัญหา”

ถึงจะพูดว่าไม่มีปัญญาหาก็เถอะ….. แต่นี่มันมีปัญหาสุดเลยไม่ใช่หรอ

หลังจากที่แนะนำตัวกันเสร็จก็ไม่มีใครพูดอะไรอีกเลย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บทเพลงแห่งพรหมลิขิตนำพาผมมาเจอเธอ 1: เทอมแรก

Now you are reading บทเพลงแห่งพรหมลิขิตนำพาผมมาเจอเธอ Chapter 1: เทอมแรก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

-เทอมแรก-

 

ผมฝันเห็น……..

ตัวผมกำลังยืนอยู่บนเวทีและเบื้องหน้าของผมคือผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังร้องเพลงอยู่

 

6 โมงเช้า

   “กริ๊ง!!!”

   วันจันทร์วันแรกที่จะได้ใช้ชีวิตมัธยมปลาย

ผมชื่อ คีธ ลูอิส นาเดียส ปีนี้ผมอายุ 16 แล้ว

พ่อแม่ผมอยู่ต่างประเทศ ไม่ค่อยจะกลับมาเท่าไหร่ พ่อเป็นโปรดิวเซอร์ชื่อดัง

ทำเพลงให้กับศิลปินที่มีชื่อเสียงหลายคน ส่วนแม่เป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงทั่วโลกมีแฟนเพลงมากมาย

ผมเลยต้องใช้ชีวิตอยู่ที่เพนท์เฮ้าส์เพียงลำพัง

   วันนี้เป็นวันแรกที่จะต้องไปโรงเรียนใหม่แต่ก่อนหน้านั้นผมต้องไปทำอาหารสักหน่อย ท้องเริ่มร้องแล้ว

ผมเข้าไปในครัวเปิดตู้เย็นเพื่อหาวัตถุดิบมาประกอบอาหาร

แต่เจอเพียงไข่ 4 ฟองเท่านั้น ผมจึงจะทำขนมปังชุบไข่ ผมเอาไข่ออกมา 2 ฟองและเดินไปหยิบขนมปัง

   “ติ๊ด”

เตาไฟฟ้าเริ่มทำงานหลังจากนั้นผมก็วางกระทะและนำขนมปังหย่อนลงไป ตามด้วยไข่ที่ตอกแล้วทั้งสองฟอง

   “ติ๊ด”

เฮ้อ เสร็จสักที การทำอาหารไม่ใช่สิ่งที่ผมถนัดเอาซะเลย คงต้องฝึกอีกเยอะ

หลังจากนั้นผมก็นำลงไปในจานแล้วก็ไปวางไว้ที่โต๊ะอาหาร

ผมมีนิสัยส่วนตัวอย่างหนึ่ง อาจจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่แต่ผมก็อยู่บ้านคนเดียว

ผมเลยชอบที่จะเปิดดูมือถือไปด้วยและกินข้าวไปด้วยแต่ผมก็ไม่ได้จะเปิดดูตลอดทุกครั้งที่กินข้าวหรอกนะ

   ผมเห็นวิดีโอข่าวการเปิดตัวเพลงใหม่ของศิลปินหน้าใหม่ดูแล้วน่าสนใจจึงกดเข้าไปดู

   “วันนี้เวลา 1 ทุ่ม เราจะได้ฟังเพลงใหม่จาก…..”

   “ติ๊ง ต่อง”

ผมไม่ทันได้ฟังเนื้อหาของข่าวทั้งหมด ก็ได้ยินเสียงกริ่งประตู

   “ครับๆ มาแล้ว”

เมื่อผมออกไปที่ประตู ก็เป็นเพื่อนสมัยเด็กของผมเอง มินาริ มากะ

   “ไง”

   “ไง ว่าแต่…เธอมาทำอะไรเนี่ย”

   “นายทำอะไรน่ะ กลิ่นออกมาเลย”

เธอเปลี่ยนเรื่องไวจนเกินไปผมเกือบจะตามไม่ทันเลยทีเดียว

   “ขนมปังชุบไข่”

   “ทำให้ฉันกินบ้างสิ”

   “ไม่มีทาง”

   “จำไว้เลยนะ”

   “จะจำเอาไว้แล้วกัน”

ผมคิดว่าเราไม่ควรจะมายืนคุยกันตรงประตูห้องเท่าไหร่ เลยจะให้เธอเข้ามาคุยกันในห้อง

   “เธอเข้ามาก่อนสิ”

   “รอแปบ เดี๋ยวฉันทำให้”

   “สุดท้ายนายก็ทำให้นะ”

   “เออออ”

   “เดี๋ยวก่อนนะ”

   “อะไรหรอ?”

   “นายเข้าครัวได้แล้วหรอ”

   “ก็พึ่งจะได้นี่แหละ ก็ต้องอยู่คนเดียวนี่นะ”

   “งั้นหรอ”

หลังจากนั้นผมก็เดินเข้ามาในครัว เฮ้อออออ นี่ผมจะต้องมายืนหน้ากระทะอีกแล้วหรอเนี่ย

พอทำขนมปังชุบไข่เซตสำหรับคุณเพื่อนเสร็จก็นำมาวางตรงหน้าเธอ

   “เอ๊ ก็ดูน่าอร่อยนะ แต่จะกินได้มั้ยล่ะเนี่ย”

ถึงผมทำหน้านิ่งๆ แต่ก็กำลังคิดว่าที่เธอพูดมามันเป็นคำพูดที่แทงใจดำจริงสุดๆ

ถ้าเป็นในอนิเมะคงเป็นภาพผมกำลังคุกเข่าพร้อมด้วยสีขาวดำ

   “ว่าแต่เธอมาหาฉันแต่เช้าเลย มีอะไรรึเปล่า?”

คราวนี้ผมคิดว่าน่าจะได้คำตอบแล้วนะ

   “ก…ก็แค่จะหาเพื่อนไปโรงเรียนด้วยเท่านั้นแหละ”

   “งั้นหรอ”

   “น…น…แน่นอน!!”

แล้วทำไมเธอต้องหน้าแดงด้วยนะ?

   มากะเป็นเพื่อนสนิทของผมมาตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว เธอเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น

เราอยู่โรงเรียนเดียวกันทั้งตอนประถมและมัธยมต้น แถมพ่อของมากะก็รู้จักกับพ่อของผมอีก โลกจะกลมไปมั้ย

   หลังจากนั้นบทสนทนาของพวกเราก็เงียบไปสักพักหนึ่ง ผมไม่รู้จะคุยเรื่องอะไรดี

ส่วนมากะก็กำลังกินขนมปังชุบไข่ที่ผมทำไปเรื่อยๆ

   “คีธ ขนมปังชุบไข่เนี่ยฉันขอพูดตรงๆ เลยนะ”

อยู่ๆ มากะก็เปิดบทสนทนา แต่เป็นประโยคที่ไม่น่าฟังเอาซะเลย นี่เธอจะวิจารณ์ขนมปังชุบไข่ของผมหรือเนี่ย

ถ้าแค่ขนมปังชุบไข่ยังไม่อร่อยผมคงต้องเลิกเข้าครัวไปตลอดชีวิตแล้ว

   “อร่อยเลยล่ะ”

   “อืม”

   “คนเขาอุตส่าห์ชมเลยนะ มีปฏิกิริยามากกว่านี้หน่อยสิ”

   “ขอบใจ”

   “เฮ้อ”

ผมไม่ได้ไม่มีปฏิกิริยาสักหน่อย แค่กำลังรู้สึกเขินที่มีคนชอบอาหารที่ผมทำเป็นครั้งแรก

เพราะไม่เคยทำให้ใครกินมาก่อนเลย

หลังจากนั้นเราก็คุยเรื่องสัพเพเหระกันจนลืมเวลา

 

 

✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦

 

8 โมงเช้า

   “สายแล้วนะคีธ”

   “เป็นเพราะเธอชวนคุยยาวนั่นแหละ”

   “ไหงเป็นเพราะฉันล่ะ”

   “ล้อเล่นๆ”

   “รีบไปกันเถอะมากะ ก่อนจะไม่ทันจริงๆ”

   “อือ”

ผมรีบไปหยิบกระเป๋าส่วนมากะเดินออกไปรอข้างหน้าห้องแล้ว

หลังจากนั้นเรารีบวิ่งออกจากคอนโดแล้วไปเรียกแท็กซี่อย่างรวดเร็ว

เพราะว่าอีก 30 นาทีก็จะเริ่มเข้าเรียนกันแล้ว

 

✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦

 

   “เฮ้อออ ทันจนได้”

   “นั่นสินะ”

   “เกือบไปเลยนะ”

ผมว่าไม่เกือบเท่าไหร่ เพราะว่าเรายังเหลือเวลาอีกตั้ง 15 นาที แต่ก็ดีแล้วล่ะถ้ามาสายตั้งแต่วันแรก

อาจารย์คงจะเพ่งเล็งเป็นพิเศษแหงเลย โชคดีที่ระยะทางมาโรงเรียนนั่งรถมาไม่นานก็ถึง

 

โรงเรียนเอกชน ฟรอเดล มี 3 ชั้นปี แต่ละชั้นปีจะแบ่งเป็น 4 ห้อง มีห้อง A B C D

แต่ละห้องจะมีนักเรียนเพียง 15 คนต่อห้องเท่านั้น

 

   “เฮ้ยๆ เอาจริงดิ”

   “ไม่จริงน่า!”

   “นี่ๆ เข้าไปขอถ่ายรูปสิ”

อยู่ๆ หน้าโรงเรียนก็วุ่นวาย ผมเองก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเด็กนักเรียนหลายคนถึงไปมุงกันตรงนั้น

ขณะที่ผมยืนเอ๋อทำหน้างงๆ กับความสงสัยอยู่นั้น ก็โดนนักเรียนกลุ่มใหญ่วิ่งเข้ามากระแทกจนกระเด็น

นี่ผมอ่อนแอขนาดโดนชนแล้วปลิวเลยหรอ…. ไม่หรอก คนมันเยอะเกินไปต่างหาก

   “เป็นอะไรรึเปล่า”

มากะเข้ามาถามหลังจากที่ผมกระเด็นออกมา

   “ไม่เป็นอะไรๆ แต่ว่ามีอะไรกันทำไมถึงวุ่นวายขนาดนั้น”

   “รู้สึกจะมีคนดังมาเข้าเรียนที่นี่ด้วยน่ะนะ แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าคนนั้นเป็นใครน่ะ”

ผมเข้าใจในทันทีว่าทำไมผมถึงถูกฝูงชนกระแทกเข้าอย่างจัง

เป็นเพราะผมไปขวางทางพวกนั้นในการพบปะกับคนดังคนนั้นแน่นอน

   “งั้นฉันขึ้นห้องก่อนนะคีธคุง”

   “อืม”

เป็นโรงเรียนที่ขนาดใหญ่จริงๆ ใหญ่เกินไปจนเดินทั้งวันน่าจะตายตั้งแต่กลางทาง เอ่อ….คงไม่มั้ง

แต่ก็เป็นโรงเรียนที่กว้างและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันจนน่าตกใจเลยล่ะ

   “ว่าแต่เธออยู่ห้องไหนหรอ”

   “ฉันอยู่ห้อง A น่ะ”

โรงเรียนนี้ไม่ได้แบ่งห้องนักเรียนตามเกรด แต่จะสุ่มเอาว่าจะได้อยู่ห้องไหน

ถือเป็นโรงเรียนที่ไม่แบ่งชนชั้นนักเรียนจากเกรดแห่งหนึ่ง

   “แล้วนายล่ะ?”

   “ฉันอยู่ห้อง B”

ถึงห้อง AและB จะดูเหมือนใกล้กัน แต่ด้วยขนาดของโรงเรียนนี้ทำให้แต่ละห้องช่างห่างไกลกันเหลือเกิน

   “น่าเสียดายจังเลย งั้นก็เสียสถิติการที่ได้อยู่ห้องเดียวกันไปอีกปีแล้วสินะ”

   “หึ หึ”

หลังจากนั้นมากะกับผมก็แยกกันเข้าห้องเรียนของตัวเอง

ข้างในห้องเรียนก็คล้ายกับห้องเรียนทั่วไป แต่วัสดุของโต๊ะ

เก้าอี้นั้นถือว่ามีราคาแน่นอนแถมมีหน้าจอสุดไฮเทคให้บนโต๊ะอีกด้วย

   “โอ้! สุดยอดไปเลยนะเนี่ย”

นักเรียนที่พึ่งจะเข้ามาในห้องดูจะตื่นเต้นกันทุกคน จะว่าไปเพื่อนในห้องเริ่มจะมากันมากขึ้นแล้ว

ผมต้องรีบจองโต๊ะก่อนที่มุมที่นั่งดีๆ จะโดนแย่งไปจนหมด

ผมเลือกที่นั่งข้างหลังสุดฝั่งริมหน้าต่าง เป็นมุมที่ดีจริงๆ เลย มองเห็นวิวทิวทัศน์ในตอนเรียนแถมยังไกลจากอาจารย์

ถ้าแอบหลับคงจะไม่เป็นอะไรมั้ง

   “ตรงนี้ยังไม่มีใครนั่งใช่มั้ยคะ?”

   “ไม่มีครับ”

ผมตอบไปโดยที่ยังไม่ได้หันไปมอง ผมกำลังนั่งมองวิวทิวทัศน์ภายนอก

   “นายชื่ออะไรหรอ”

อยู่ๆ ก็มีการชวนคุยจากคู่สนทนา ตามมารยาทแล้ว ผมเลยหันไปเพื่อจะตอบ แต่ผมก็อ้ำอึ้งไปสักพักเลย

เพราะผู้หญิงที่นั่งข้างๆ ผมนั้นเป็นคนที่สวยจนน่าเหลือเชื่อเลย ดวงตาเป็นประกาย

ผมยาวลอนสีผมเป็นสีน้ำตาลเทาหม่น สวยราวกับนางเอกละคร

   “คีธ คีธ ลูอิส”

ผมกำลังอึ้งกับใบหน้าเธอจนเกือบจะลืมตอบคำถามไปแล้ว

   “ฉันชื่อ ยุยนะ ยินดีที่ได้รู้จัก”

   “อืม ยินดีที่ได้รู้จัก”

เป็นคนที่สวยจนผมไม่กล้าคุยด้วยเลย ฮ่าๆๆ

   “เอาล่ะ นั่งที่กันได้แล้ว”

อาจารย์ที่เข้ามาเป็นอาจารย์ผู้หญิงที่ดูยังวัยรุ่นอยู่ ลักษณะการแต่งตัวทำให้ผมคิดว่าเป็นสาวออฟฟิศซะอีก

   “ยินดีต้อนรับเด็กใหม่ทุกคน ฉันชื่อ เมย่า เป็นอาจารย์ประจำชั้นของพวกเธอ

พวกเธอที่เข้ามาที่นี่ได้แสดงว่าพวกเธอก็มีความสามารถกันพอตัว เดี๋ยวฉันจะอธิบายโรงเรียนให้คร่าวๆ

นอกนั้นพวกเธอก็ไปหาประสบการณ์กันเอาเอง”

อาจารย์คนนี้ดูลักษณะโหดน่าดู แต่ผมก็ไม่ได้ไม่ชอบอะไรกลับชอบซะอีกเพราะเป็นคนที่ดูมีเอกลักษณ์พอตัว

   “เอาล่ะ ฉันจะอธิบายแค่ครั้งเดียว ใครมีคำถามอะไรค่อยถามตอนสุดท้าย เข้าใจนะ”

   “ครับ/ค่ะ”

   “โรงเรียนแห่งนี้โดยทั่วไปก็คล้ายกับโรงเรียนอื่นๆ แต่ว่าเราจะไม่มีการเรียนคาบบ่าย

เพราะจะให้พวกเธอทุกคนไปทำสิ่งที่ชอบได้ แน่นอนว่าพวกเธอจะออกนอกโรงเรียนไม่ได้จนกว่าจะเลิกเรียน

ก็ประมาณนี้ มีอะไรอยากถามมั้ย?”

   “ไปทำสิ่งที่ชอบนี่คืออะไรครับ”

   “ก็ทำสิ่งที่ชอบไง”

ทีแรกผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงตอบแบบนั้น แต่พอคิดไปสักพักผมก็ได้คำตอบ

โรงเรียนแห่งนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ หรือก็คือเราสามารถทำได้แทบทุกอย่าง

   “อาจารย์คะ ฉันไม่เข้าใจเลยค่ะ”

คุณยุยที่นั่งข้างๆ ยืนขึ้นถามอย่างกล้าหาญ จะว่างั้นได้มั้ยนะ เพราะอะไรน่ะหรอ

เพราะขาเธอสั่นจนนึกว่าแผ่นดินไหวเลยไง

   “เฮ้อ พวกเธอนี่นะ สมมุติว่าใครสักคนในห้องนี้อยากจะเป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อในโรงเรียนมีร้านสะดวกซื้อใช่ไหม    

เธอก็สามารถไปสมัครเป็นพนักงานได้เลยไง”

พอได้รับการอธิบายที่ยังคลุมเครือแต่ก็ทำให้ผมเข้าใจอย่างถ่องแท้ ในช่วงบ่ายเปรียบเสมือนการได้ทำงานจริงๆ และ

แน่นอนว่าเราสามารถเลือกจะทำสิ่งที่อยากจะทำหรือจะเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลยก็ได้เช่นกัน

   คุณยุยนั่งลงพร้อมกับใบหน้าที่ยังมึนงงกับคำตอบของอาจารย์เมื่อผมสังเกตใบหน้าทุกคนในห้อง

ผมจึงทราบได้อย่างแน่นอนว่าเกินครึ่งยังไม่เข้าใจกับสิ่งที่ครูเมย่าพูดมา แต่ก็มีบางส่วนที่ดูจะเข้าใจวิธีการใช้ชีวิตใน

โรงเรียนนี้แล้ว

   “นี่คีธ นายเข้าใจมั้ย”

   “เอ่อ เดี๋ยวฉันอธิบายให้ฟังหลังโฮมรูมแล้วกัน”

   “โอเค ขอบใจนะ”

   “ถ้าไม่มีใครถามอะไรแล้วก็แค่นี้แหละ เตรียมตัวเรียนคาบต่อไป”

   กว่าคาบต่อไปจะเริ่มยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงพออาจารย์เมย่าเดินออกจากห้องไป

ผมก็เริ่มอธิบายทุกอย่างให้คุณยุยฟังแต่ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกได้ถึงสายตาอาฆาตจากผู้ชายทั้งในห้องและนอกห้อง

น่าขนลุกจริงๆ

   “ออ เป็นแบบนี้นี่เอง ขอบคุณมากเลยนะคะ”

   “ไม่เป็นไร”

   “ทุกคน มาแนะนำตัวกันหน่อยมั้ย!”

อยู่ๆ ผู้หญิงคนหนึ่งในห้องก็เอ่ยขึ้นมา เป็นการชักชวนให้ทำความรู้จักกันสินะ

   “อืม เอาสิ”

ผมตอบกลับไปทันที จริงๆ ผมก็อยากรู้จักสมาชิกในห้องนิดหน่อยด้วยสิ

   “ดีล่ะ งั้นเริ่มจากฉันเลยแล้วกัน ฉันชื่อ เรย์ พึ่งกลับมาจากแคนาดา อืมมมม เล่นกีฬาได้เกือบทุกอย่างล่ะนะ”

   “เธอไปอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่เมื่อไหร่หรอ”

   “ไปแค่ช่วงม.ต้นน่ะพึ่งกลับมาเมื่อ3เดือนที่แล้วนี่แหละ คนต่อไปเลยยย”

   “อะ…เอ่อ คือว่าผมชื่อ เซบาส ถนัดด้านคอมพิวเตอร์ ข..ขะ ขอบคุณครับ”

ผ่านการแนะนำตัวกันไปหลายคนจนตอนนี้ก็ถึงตาผมแล้วสินะ

   “ชื่อ คีธ ลูอิส ไม่ถนัดเข้าครัวเป็นอย่างมาก ขอบคุณครับ”

ผมบอกนามสกุล นาเดียส ไม่ได้เด็ดขาดเพราะพ่อกับแม่ผมดังสุดๆ จนใครๆ ก็รู้จักสกุล นาเดียส

   “ฉันชื่อ เอลิน่า ยุย เรียกยุยก็ได้ ความถนัดก็ด้านดนตรีแล้วกัน ข…ขอบคุณค่ะ”

   “นั่นไงจริงด้วย”

   “เอลิน่า ยุยคนนั้นจริงๆ ด้วย”

มีเสียงกระซิบกันมากมาย คงเป็นเพราะเธอสวยแหละมั้ง ขนาดตอนผมอธิบายเรื่องของโรงเรียนที่อาจารย์เมย่าบอกให้เธอ

ฟังยังได้รับสายตาอาฆาตมาอย่างมากมาย ฮ่าๆๆๆ

   “ฉันว่าเรามาแต่งตั้งหัวหน้าห้องกันเถอะ”

   “เธอก็เป็นหัวหน้าห้องเลยสิ”

ผมตอบกลับเรย์ที่กำลังให้เสนอหัวหน้าห้อง แต่ด้วยลักษณะของเธอผมจึงคิดว่าเธอนี่แหละเหมาะสมเป็นหัวหน้าห้องดี

   “ใช่ฉันเห็นด้วยนะ”

   “ฉันก็ว่างั้น”

   “ครืด—”

   “จะเริ่มเรียนแล้วนะครับนักเรียน”

ทุกบทสนทนาในห้องจบลงเมื่อเสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับอาจารย์ที่เดินเข้ามา

คาบแรกกำลังจะเริ่ม ช่างเถอะผมไปคิดเรื่องจะทำอะไรคาบบ่ายดีกว่า เพราะตอนนี้ผมยังไม่รู้จะทำอะไรเลย

 

✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦

 

พักเที่ยง

ครับ โรงเรียนใหญ่ขนาดนี้ โรงอาหารไม่ธรรมดาอยู่แล้ว มีร้านอาหารไทย จีน ญี่ปุ่น และอีกมากมาย

ทุกร้านสามารถใช้มือถือสแกนจ่ายได้ ช่างทันสมัยซะจริง

   “นายจะเลือกอันไหนหรอ”

ระหว่างกำลังชื่นชมโรงอาหาร ยุยก็เข้ามาถามโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัวเลย

   “ยังไม่ได้เลือกน่ะ”

   “นั่นสินะคะมันเยอะไปหมดเลย”

   “นั่นสินะ”

   “งั้นอันนี้ดีมั้ยคะ”

   “อืม.. น่าสนใจนะ งั้นฉันเอาอันนี้แล้วกัน”

หลังจากผมเลือกของผมเสร็จ ยุยก็ไปเลือกของตัวเอง ผมรู้ตัวนะว่าตอนนี้ผมไม่อาจจะละสายตาจากยุยได้เลย

ก็แหมสวยขนาดนั้นอ่ะนะ

   “ไปหาที่นั่งกันเถอะค่ะ”

   “หะ?”

   “มีอะไรหรอคะ?”

   “เธอไม่ไปนั่งกับเพื่อนหรอ”

   “ฉันยังไม่ค่อยรู้จักใครเลยน่ะค่ะ”

   “งั้นหรอ….”

อาจจะเป็นเพราะลักษณะของเธอที่ดูเข้าถึงยากทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าที่จะเข้ามาทำความรู้จักก็เป็นได้

ด้วยเหตุนี้ผมกับยุยเลยต้องมานั่งทานข้าวด้วยกันสองคน

บอกตามตรงผมไม่เคยทานข้าวกับผู้หญิงสองต่อสองมาก่อนเลยนอกจากมากะ

แต่ทำไม…. ตอนนี้ผมถูกนักเรียนชายรอบๆ ตัวจ้องมองอยู่ รู้สึกอึดอัดนิดหน่อยแฮะ

   “ฉันมีคำถามนิดหน่อยน่ะค่ะ”

   “อะไรหรอ?

   “จำฉันไม่ได้….”

   “คีธธธธธ!!!”

มากะตะโกนเรียกผมมาพอดีเลยทำให้ผมไม่ค่อยได้ยินที่ยุยถามเลย 

   “ขอโทษทีเมื่อกี้ถามว่าอะไรนะ”

   “อ..อื้ม ไม่มีอะไรค่ะ”

   “หาตัวตั้งนานแน่ะ”

มากะวิ่งเข้ามาทักผม ว่าแต่หาตัวหรอ ผมไม่ได้หายตัวไปไหนสักหน่อยนะ

   “เอ๊ะ? ใครน่ะ”

   “เพื่อนร่วมห้องน่ะ”

   “งั้นหรอ”

   “ฉันชื่อ เอริน่า ยุย ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

   “ฉันชื่อ มินาริ มากะ นะ”

   “ขอฉันนั่งด้วยคนนะ”

   “ได้สิไม่มีปัญหา”

ถึงจะพูดว่าไม่มีปัญญาหาก็เถอะ….. แต่นี่มันมีปัญหาสุดเลยไม่ใช่หรอ

หลังจากที่แนะนำตัวกันเสร็จก็ไม่มีใครพูดอะไรอีกเลย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+