บทเพลงแห่งพรหมลิขิตนำพาผมมาเจอเธอ 3: บทเพลง/สายฝน

Now you are reading บทเพลงแห่งพรหมลิขิตนำพาผมมาเจอเธอ Chapter 3: บทเพลง/สายฝน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทเพลง/สายฝน

 

   ผมยังไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเองเท่าไหร่ว่าคนที่นั่งเรียนข้างๆ ของผมจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงขนาดนี้

คดีทุกอย่างถูกคลี่คลายลงทั้งเหตุการณ์ความวุ่นวายเมื่อเช้านี้

ทั้งว่าทำไมผู้ชายหลายคนหรือแม้กระทั่งผู้หญิงบางคนถึงจ้องผมตาเขม็งตอนที่ผมอยู่กับยุย

ถึงจะไม่อยากเชื่อก็เถอะแต่ เอลิน่า ยุย คือนักร้องที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมากจริงๆ หลังจากนี้ผมต้องทำยังไงดีล่ะ?

ทำตัวแบบเดิมหรือควรห่างออกมา? คิดไปก็เท่านั้น….

ผมก็เคยมีเพื่อนตอนม.ต้นที่สนิทกันแค่ตอนเปิดภาคเรียนใหม่ๆ หลังจากนั้นเขาก็หายไปเลย

ในกรณีนี้ก็อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ ผมจะปล่อยให้มันเป็นไปตามสถานการณ์ก็แล้วกัน

   “ฮ่าๆๆ อึ้งไปเลยล่ะสินะ!!”

เจ้าแว่นคนเดิมพูดจาเยาะเย้ยผมอีกแล้ว ผมว่าบางทีเขาอาจจะโมโหผมที่ผมไม่รู้จักยุยก็ได้

ผมเลยไม่คิดอะไรมากเพราะผมก็ผิดจริงๆ นี่ที่ดันไม่รู้จักนักร้องที่มีชื่อเสียงคนนี้

   “อืม ถูกตามที่นายพูด ฉันอึ้งจริงๆ นั่นแหละ”

   “หาา ไหงยอมรับกันง่ายขนาดนี้เล่าา”

   “ฉันผิดเองแหละที่ไม่รู้จักเอลิน่า ยุยมาก่อน ดังนั้นขอบใจพวกนายมากที่เปิดวิดีโอนี้ให้ฉันดู”

หลังจากนั้นผมก็เดินออกมาจากหน้าห้องอัดเสียง ปล่อยให้เจ้าแว่นกับพรรคพวกยืนงงอยู่อย่างนั้น

ก็ผมตอบไม่ตรงคำถามหนิ จะให้ไม่งงได้ยังไง ฮ่าๆ

ผมเปิดเพลง ‘Rain’ ขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับใส่หูฟังเพื่อผมจะได้ตั้งใจฟังเสียงของเครื่องดนตรี

ที่บรรเลงเมโลดี้ต่างๆ ออกมา

และแน่นอน….ตั้งใจฟังเสียงของเอลิน่า ยุย ที่ทำให้ผมหลงใหลตั้งแต่ได้ยินเสียงของเธอตรงห้องอัดเสียง

…….

 

 

30 นาทีผ่านไป

 

ผมเปิดฟังวนไปได้ประมาณ 5-6 คราวเห็นจะได้ เอาจริงๆ ผมรับรู้ได้ทันทีนอกจากเสียงของยุยแล้วสิ่งที่จะทำให้เพลงนี้ออก

มาดีขนาดนี้ได้คือการต้องมีโปรดิวเซอร์ที่ยอดเยี่ยมด้วยเช่นกัน

‘อดัม ดีน’ คือชื่อของโปรดิวเซอร์เพลงRain ผมรู้จักผู้ชายคนนี้เป็นอย่างดี

เขาคือคนที่สอนผมให้ผมสามารถแต่งเนื้อร้องและเขียนทำนองเพลงได้ ใช่……เขาคืออาจารย์ของผมเอง

แย่เลยแฮะเจอโจทย์ที่ยากเข้าให้แล้วสิ ผมจะทำเพลงยังไงให้มีมาตรฐานสูงกว่า–

ไม่สิเทียบเท่ากับเขาคนนั้นได้ล่ะเนี่ย ผมเดินคิดพร้อมกับเริ่มเดินดูรอบๆ โรงเรียนอีกครั้ง

 

 

✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦

 

บ่ายสามโมง

 

ถึงเวลาเลิกเรียนแล้วหลายๆ คนก็ทยอยกันออกนอกโรงเรียน บางคนก็กลับบ้านอย่างโดดเดี่ยว

บางคน อืม.. หลายคนก็ออกไปเป็นกลุ่ม ส่วนผมน่ะหรอ ก็ต้องกลับบ้านอย่างโดดเดี่ยวอยู่แล้ว

มากะเองก็กลับบ้านไปก่อนแล้ว เห็นว่ามีธุระสำคัญแต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นธุระอะไร

เพราะไม่ได้ถามเอาไว้ เอาเถอะกลับคนเดียวก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่

ผมเลือกที่จะเดินกลับแทนที่จะนั่งรถไฟเพราะอยากจะซึมซับบรรยากาศสักหน่อย….

แต่คิดผิดไปหน่อยตรงที่มันร้อนสุดๆ เลยนี่ล่ะ กว่าจะถึงบ้านระยะทางก็อีกพอสมควร

ผมคิดว่าหาร้านนั่งพักแล้วค่อยกลับตอนค่ำๆ หน่อยแล้วกัน

เดินมาเรื่อยๆ ก็เจอร้านเอบิลนี่ ร้านกาแฟชื่อดังในโซเชี่ยลที่ขยายสาขาไปกว่า 20 สาขาทั่วประเทศภายในระยะเวลาแค่

1ปี ถือว่าน่าทึ่งมากกับการขยายสาขาได้รวดเร็วในระยะเวลาเพียงเท่านี้

ผมไม่เคยซื้อกาแฟของที่นี่มาก่อนเลยแต่เห็นผู้หญิงหลายๆ คนที่โรงเรียนมัธยมต้นถ่ายรูปตัวเองคู่กับแก้วกาแฟ

อัพลงไอมูกันอย่างมากมาย

ผมเดินเข้าไปในร้านเพื่อจะสั่งกาแฟสักแก้วหนึ่งแล้วนั่งรอให้เวลาผ่านไป แต่ว่านะ…… เมนูมันลายตาจนผมอ่านไม่ออก

เลยสักนิด

   “คุณลูกค้ารับอะไรดีครับ?”

   “อ..อะ เอาลาเต้เย็นแล้วกันครับ”

   “ลาเต้เย็นหนึ่งที่นะครับ กรุณารับบัตรคิวแล้วรอสักครู่นะครับ”

   “ครับ….”

ผมสั่งโดยทิ้งสิ่งที่ผมได้เห็นจากเมนูไป ขืนสั่งตามเมนูผมคงต้องใช้เวลาพิสูจน์อักษรสักสองสามวันได้

   “คิวที่ 128 ได้แล้วนะคะ!”

เวลาผ่านไปสักพักใหญ่คนที่มาก่อนผมก็เริ่มทยอยออกจากร้านไปแล้ว หลังจากพนักงานเรียกหมายเลข128ผมก็ก้มลง

มองที่บัตรคิวของผมเองว่าเป็นเลขอะไร อืมม… 128 งั้นก็ของผมเอง

หลังจากรับกาแฟผมก็เดินหาที่นั่งแต่ว่าคนก็เยอะจนแทบจะเต็มร้านไปหมด ที่นั่งที่เหลือก็มีแต่สำหรับคนที่มากันสี่คนทั้งนั้น ‘เฮ้ออออ’ คงไม่ได้นั่งแล้วสินะ

   “อ้าว คีธ รึเปล่า?”

ในตอนที่ผมสิ้นหวังกับที่นั่งและกำลังจะเดินออกจากร้านเพื่อมุ่งตรงกลับบ้านก็มีเสียงคนคนหนึ่งเรียกผมไว้ เมื่อผมหันไปมอง

คนที่เรียกผมก็เป็นคนที่ผมรู้จัก

   “อ๊ะ! ยุยนี่เอง”

   “ชู่วววว! อย่าเสียงดังสิ”

   “ขอโทษ”

   “ไม่เป็นไรๆ”

   “ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเจอกับคีธในที่แบบนี้”

   “ฮ่าๆ ฉันแค่….. เปลี่ยนบรรยากาศน่ะ”

   “หาที่นั่งอยู่หรอ?”

   “ก็ใช่ แต่ก็ไม่มีเลยว่าจะกลับแล้วน่ะ”

   “งั้นมานั่งด้วยกันสิ”

   “โอ้! เอ๊ะ จะดีหรอ”

   “หืม เรื่องอะไรหรอ”

   “อ่อ เปล่า ไม่มีอะไร”

หลังจากนั้นผมก็นั่งดื่มกาแฟกับยุย กันสองคน

โดยที่ลืมไปเลยว่ายุยจังเป็นคนดังจนกระทั่งเริ่มมีคนมาขอถ่ายรูปกับยุยเรื่อยๆ แต่ผมก็นั่งดื่มกาแฟของผมไปโดยไม่ได้ออกอาการตกใจแต่อย่างใด

———

   “อ๊ะ! เวลาขนาดนี้แล้วหรอ ฉันขอกลับก่อนนะคีธ”

   “ไม่เป็นไร ฉันก็จะกลับแล้วเหมือนกัน”

เวลาผ่านไป 1 ชั่วโมงหลังจากนั่งดื่มกาแฟกับยุย ข้างนอกก็เริ่มเย็นแล้ว ผมก็คิดว่าถึงเวลาที่จะกลับบ้านพอดี

ตอนแรกผมก็คิดว่าเราจะแยกทางกันกลับบ้านล่ะนะ แต่ไหงกลับทางเดียวกันล่ะเนี่ย

   “เธอนี่มีคนชื่นชมเยอะเหมือนกันนะ”

   “นายรู้แล้วหรอคีธ”

   “เรื่องที่เธอเป็นนักร้องดังน่ะหรอ”

   “อืม”

   “ฉันรู้แล้วล่ะ พึ่งรู้เมื่อตอนบ่ายๆ นี่เอง ฮ่าๆ”

   “งั้นหรอ…..”

พอพูดเรื่องนี้จบสีหน้ายุยก็ดูเศร้าหมองขึ้นทันที ผมไปพูดอะไรให้เธอไม่พอใจรึเปล่าล่ะเนี่ย

   “นายคงจะไม่ตีตัวออกห่างฉันไปใช่ไหม”

   “เอ๊ะ? ทำไมหรอ”

   “หลังจากที่ฉันมีชื่อเสียงก็มีแต่คนตีตัวออกห่างฉันเพราะไม่กล้าเข้ามาคุยกันน่ะ”

   “ไม่หรอก สบายใจได้”

   “ขอบคุณนะ”

ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงทำไมหน้าเศร้าเมื่อรู้ว่าผมรู้เรื่องที่เธอเป็นคนดังแล้ว นั่นก็เพราะเธอไม่มีเพื่อนเลย

ทุกคนรู้ว่ายุยดังขนาดไหนเลยไม่มีใครกล้าเข้ามาเป็นเพื่อนกับเธอสักคน แต่ผมไม่ใช่คนที่จะตีตัวออกห่างเพื่อนด้วยเหตุผลว่าเขามีชื่อเสียงมากเกินไปหรอกนะ ถ้าถามว่าเพราะอะไรน่ะหรอ… เพราะผมก็เคยถูกตีตัวออกห่างเช่นเดียวกันยังไงล่ะ

   “ว่าแต่ยุย ทำไมเธอถึงคิดว่าฉันไม่รู้เรื่องที่เธอมีชื่อเสียงหรอ”

   “เอ๊ะ? ทำไมน่ะหรอ อืม…..”

ผมรู้สึกแปลกใจที่ยุยพูดกับผมเมื่อสักครู่เหมือนกับรู้ว่าผมไม่รู้เรื่องที่เธอโด่งดังมากแค่ไหน

ไม่มีทางที่คนที่มีชื่อเสียงจะไม่คิดว่า ‘เขาน่าจะรู้จักฉันอยู่แล้วนะ’ ผมจึงถามแบบนั้นออกไป

ยุยคิดสักพักก็ตอบคำถามผม

   “เพราะว่าฉันสังเกตุนายมาตั้งแต่เช้าแล้วก็คิดว่านายคงไม่รู้จักฉันแน่ๆ น่ะค่ะ”

   “อย่างนั้นหรอ…”

พอยุยบอกมาแบบนั้นผมก็ลองคิดย้อนกลับไปตั้งแต่เช้า แล้วก็คิดได้ว่า ‘อืม ก็คงจะแบบนั้นแหละ’

   “งั้นฉันขอลาตรงนี้นะคะ เจอกันพรุ่งนี้นะคีธ”

   “ได้เลย”

พอเดินแล้วก็คิดอะไรไปเรื่อยๆ มาได้สักพักหนึ่งยุยก็บอกลาเพื่อจะแยกกลับบ้านของเธอ— ซะทีไหนกันล่ะ

เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับเพนท์เฮ้าส์ของผมเอง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บทเพลงแห่งพรหมลิขิตนำพาผมมาเจอเธอ 3: บทเพลง/สายฝน

Now you are reading บทเพลงแห่งพรหมลิขิตนำพาผมมาเจอเธอ Chapter 3: บทเพลง/สายฝน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทเพลง/สายฝน

 

   ผมยังไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเองเท่าไหร่ว่าคนที่นั่งเรียนข้างๆ ของผมจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงขนาดนี้

คดีทุกอย่างถูกคลี่คลายลงทั้งเหตุการณ์ความวุ่นวายเมื่อเช้านี้

ทั้งว่าทำไมผู้ชายหลายคนหรือแม้กระทั่งผู้หญิงบางคนถึงจ้องผมตาเขม็งตอนที่ผมอยู่กับยุย

ถึงจะไม่อยากเชื่อก็เถอะแต่ เอลิน่า ยุย คือนักร้องที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมากจริงๆ หลังจากนี้ผมต้องทำยังไงดีล่ะ?

ทำตัวแบบเดิมหรือควรห่างออกมา? คิดไปก็เท่านั้น….

ผมก็เคยมีเพื่อนตอนม.ต้นที่สนิทกันแค่ตอนเปิดภาคเรียนใหม่ๆ หลังจากนั้นเขาก็หายไปเลย

ในกรณีนี้ก็อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ ผมจะปล่อยให้มันเป็นไปตามสถานการณ์ก็แล้วกัน

   “ฮ่าๆๆ อึ้งไปเลยล่ะสินะ!!”

เจ้าแว่นคนเดิมพูดจาเยาะเย้ยผมอีกแล้ว ผมว่าบางทีเขาอาจจะโมโหผมที่ผมไม่รู้จักยุยก็ได้

ผมเลยไม่คิดอะไรมากเพราะผมก็ผิดจริงๆ นี่ที่ดันไม่รู้จักนักร้องที่มีชื่อเสียงคนนี้

   “อืม ถูกตามที่นายพูด ฉันอึ้งจริงๆ นั่นแหละ”

   “หาา ไหงยอมรับกันง่ายขนาดนี้เล่าา”

   “ฉันผิดเองแหละที่ไม่รู้จักเอลิน่า ยุยมาก่อน ดังนั้นขอบใจพวกนายมากที่เปิดวิดีโอนี้ให้ฉันดู”

หลังจากนั้นผมก็เดินออกมาจากหน้าห้องอัดเสียง ปล่อยให้เจ้าแว่นกับพรรคพวกยืนงงอยู่อย่างนั้น

ก็ผมตอบไม่ตรงคำถามหนิ จะให้ไม่งงได้ยังไง ฮ่าๆ

ผมเปิดเพลง ‘Rain’ ขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับใส่หูฟังเพื่อผมจะได้ตั้งใจฟังเสียงของเครื่องดนตรี

ที่บรรเลงเมโลดี้ต่างๆ ออกมา

และแน่นอน….ตั้งใจฟังเสียงของเอลิน่า ยุย ที่ทำให้ผมหลงใหลตั้งแต่ได้ยินเสียงของเธอตรงห้องอัดเสียง

…….

 

 

30 นาทีผ่านไป

 

ผมเปิดฟังวนไปได้ประมาณ 5-6 คราวเห็นจะได้ เอาจริงๆ ผมรับรู้ได้ทันทีนอกจากเสียงของยุยแล้วสิ่งที่จะทำให้เพลงนี้ออก

มาดีขนาดนี้ได้คือการต้องมีโปรดิวเซอร์ที่ยอดเยี่ยมด้วยเช่นกัน

‘อดัม ดีน’ คือชื่อของโปรดิวเซอร์เพลงRain ผมรู้จักผู้ชายคนนี้เป็นอย่างดี

เขาคือคนที่สอนผมให้ผมสามารถแต่งเนื้อร้องและเขียนทำนองเพลงได้ ใช่……เขาคืออาจารย์ของผมเอง

แย่เลยแฮะเจอโจทย์ที่ยากเข้าให้แล้วสิ ผมจะทำเพลงยังไงให้มีมาตรฐานสูงกว่า–

ไม่สิเทียบเท่ากับเขาคนนั้นได้ล่ะเนี่ย ผมเดินคิดพร้อมกับเริ่มเดินดูรอบๆ โรงเรียนอีกครั้ง

 

 

✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦

 

บ่ายสามโมง

 

ถึงเวลาเลิกเรียนแล้วหลายๆ คนก็ทยอยกันออกนอกโรงเรียน บางคนก็กลับบ้านอย่างโดดเดี่ยว

บางคน อืม.. หลายคนก็ออกไปเป็นกลุ่ม ส่วนผมน่ะหรอ ก็ต้องกลับบ้านอย่างโดดเดี่ยวอยู่แล้ว

มากะเองก็กลับบ้านไปก่อนแล้ว เห็นว่ามีธุระสำคัญแต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นธุระอะไร

เพราะไม่ได้ถามเอาไว้ เอาเถอะกลับคนเดียวก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่

ผมเลือกที่จะเดินกลับแทนที่จะนั่งรถไฟเพราะอยากจะซึมซับบรรยากาศสักหน่อย….

แต่คิดผิดไปหน่อยตรงที่มันร้อนสุดๆ เลยนี่ล่ะ กว่าจะถึงบ้านระยะทางก็อีกพอสมควร

ผมคิดว่าหาร้านนั่งพักแล้วค่อยกลับตอนค่ำๆ หน่อยแล้วกัน

เดินมาเรื่อยๆ ก็เจอร้านเอบิลนี่ ร้านกาแฟชื่อดังในโซเชี่ยลที่ขยายสาขาไปกว่า 20 สาขาทั่วประเทศภายในระยะเวลาแค่

1ปี ถือว่าน่าทึ่งมากกับการขยายสาขาได้รวดเร็วในระยะเวลาเพียงเท่านี้

ผมไม่เคยซื้อกาแฟของที่นี่มาก่อนเลยแต่เห็นผู้หญิงหลายๆ คนที่โรงเรียนมัธยมต้นถ่ายรูปตัวเองคู่กับแก้วกาแฟ

อัพลงไอมูกันอย่างมากมาย

ผมเดินเข้าไปในร้านเพื่อจะสั่งกาแฟสักแก้วหนึ่งแล้วนั่งรอให้เวลาผ่านไป แต่ว่านะ…… เมนูมันลายตาจนผมอ่านไม่ออก

เลยสักนิด

   “คุณลูกค้ารับอะไรดีครับ?”

   “อ..อะ เอาลาเต้เย็นแล้วกันครับ”

   “ลาเต้เย็นหนึ่งที่นะครับ กรุณารับบัตรคิวแล้วรอสักครู่นะครับ”

   “ครับ….”

ผมสั่งโดยทิ้งสิ่งที่ผมได้เห็นจากเมนูไป ขืนสั่งตามเมนูผมคงต้องใช้เวลาพิสูจน์อักษรสักสองสามวันได้

   “คิวที่ 128 ได้แล้วนะคะ!”

เวลาผ่านไปสักพักใหญ่คนที่มาก่อนผมก็เริ่มทยอยออกจากร้านไปแล้ว หลังจากพนักงานเรียกหมายเลข128ผมก็ก้มลง

มองที่บัตรคิวของผมเองว่าเป็นเลขอะไร อืมม… 128 งั้นก็ของผมเอง

หลังจากรับกาแฟผมก็เดินหาที่นั่งแต่ว่าคนก็เยอะจนแทบจะเต็มร้านไปหมด ที่นั่งที่เหลือก็มีแต่สำหรับคนที่มากันสี่คนทั้งนั้น ‘เฮ้ออออ’ คงไม่ได้นั่งแล้วสินะ

   “อ้าว คีธ รึเปล่า?”

ในตอนที่ผมสิ้นหวังกับที่นั่งและกำลังจะเดินออกจากร้านเพื่อมุ่งตรงกลับบ้านก็มีเสียงคนคนหนึ่งเรียกผมไว้ เมื่อผมหันไปมอง

คนที่เรียกผมก็เป็นคนที่ผมรู้จัก

   “อ๊ะ! ยุยนี่เอง”

   “ชู่วววว! อย่าเสียงดังสิ”

   “ขอโทษ”

   “ไม่เป็นไรๆ”

   “ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเจอกับคีธในที่แบบนี้”

   “ฮ่าๆ ฉันแค่….. เปลี่ยนบรรยากาศน่ะ”

   “หาที่นั่งอยู่หรอ?”

   “ก็ใช่ แต่ก็ไม่มีเลยว่าจะกลับแล้วน่ะ”

   “งั้นมานั่งด้วยกันสิ”

   “โอ้! เอ๊ะ จะดีหรอ”

   “หืม เรื่องอะไรหรอ”

   “อ่อ เปล่า ไม่มีอะไร”

หลังจากนั้นผมก็นั่งดื่มกาแฟกับยุย กันสองคน

โดยที่ลืมไปเลยว่ายุยจังเป็นคนดังจนกระทั่งเริ่มมีคนมาขอถ่ายรูปกับยุยเรื่อยๆ แต่ผมก็นั่งดื่มกาแฟของผมไปโดยไม่ได้ออกอาการตกใจแต่อย่างใด

———

   “อ๊ะ! เวลาขนาดนี้แล้วหรอ ฉันขอกลับก่อนนะคีธ”

   “ไม่เป็นไร ฉันก็จะกลับแล้วเหมือนกัน”

เวลาผ่านไป 1 ชั่วโมงหลังจากนั่งดื่มกาแฟกับยุย ข้างนอกก็เริ่มเย็นแล้ว ผมก็คิดว่าถึงเวลาที่จะกลับบ้านพอดี

ตอนแรกผมก็คิดว่าเราจะแยกทางกันกลับบ้านล่ะนะ แต่ไหงกลับทางเดียวกันล่ะเนี่ย

   “เธอนี่มีคนชื่นชมเยอะเหมือนกันนะ”

   “นายรู้แล้วหรอคีธ”

   “เรื่องที่เธอเป็นนักร้องดังน่ะหรอ”

   “อืม”

   “ฉันรู้แล้วล่ะ พึ่งรู้เมื่อตอนบ่ายๆ นี่เอง ฮ่าๆ”

   “งั้นหรอ…..”

พอพูดเรื่องนี้จบสีหน้ายุยก็ดูเศร้าหมองขึ้นทันที ผมไปพูดอะไรให้เธอไม่พอใจรึเปล่าล่ะเนี่ย

   “นายคงจะไม่ตีตัวออกห่างฉันไปใช่ไหม”

   “เอ๊ะ? ทำไมหรอ”

   “หลังจากที่ฉันมีชื่อเสียงก็มีแต่คนตีตัวออกห่างฉันเพราะไม่กล้าเข้ามาคุยกันน่ะ”

   “ไม่หรอก สบายใจได้”

   “ขอบคุณนะ”

ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงทำไมหน้าเศร้าเมื่อรู้ว่าผมรู้เรื่องที่เธอเป็นคนดังแล้ว นั่นก็เพราะเธอไม่มีเพื่อนเลย

ทุกคนรู้ว่ายุยดังขนาดไหนเลยไม่มีใครกล้าเข้ามาเป็นเพื่อนกับเธอสักคน แต่ผมไม่ใช่คนที่จะตีตัวออกห่างเพื่อนด้วยเหตุผลว่าเขามีชื่อเสียงมากเกินไปหรอกนะ ถ้าถามว่าเพราะอะไรน่ะหรอ… เพราะผมก็เคยถูกตีตัวออกห่างเช่นเดียวกันยังไงล่ะ

   “ว่าแต่ยุย ทำไมเธอถึงคิดว่าฉันไม่รู้เรื่องที่เธอมีชื่อเสียงหรอ”

   “เอ๊ะ? ทำไมน่ะหรอ อืม…..”

ผมรู้สึกแปลกใจที่ยุยพูดกับผมเมื่อสักครู่เหมือนกับรู้ว่าผมไม่รู้เรื่องที่เธอโด่งดังมากแค่ไหน

ไม่มีทางที่คนที่มีชื่อเสียงจะไม่คิดว่า ‘เขาน่าจะรู้จักฉันอยู่แล้วนะ’ ผมจึงถามแบบนั้นออกไป

ยุยคิดสักพักก็ตอบคำถามผม

   “เพราะว่าฉันสังเกตุนายมาตั้งแต่เช้าแล้วก็คิดว่านายคงไม่รู้จักฉันแน่ๆ น่ะค่ะ”

   “อย่างนั้นหรอ…”

พอยุยบอกมาแบบนั้นผมก็ลองคิดย้อนกลับไปตั้งแต่เช้า แล้วก็คิดได้ว่า ‘อืม ก็คงจะแบบนั้นแหละ’

   “งั้นฉันขอลาตรงนี้นะคะ เจอกันพรุ่งนี้นะคีธ”

   “ได้เลย”

พอเดินแล้วก็คิดอะไรไปเรื่อยๆ มาได้สักพักหนึ่งยุยก็บอกลาเพื่อจะแยกกลับบ้านของเธอ— ซะทีไหนกันล่ะ

เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับเพนท์เฮ้าส์ของผมเอง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+