พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย 201 (ตอนพิเศษ 19)

Now you are reading พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย Chapter 201 (ตอนพิเศษ 19) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นัยน์ตาประกายสีเขียวคู่นั้นที่ได้สบตา  ช่างเป็นดวงตาบริสุทธิ์ที่ไม่มีความเคลือบแคลงใจใดๆ ในแววตานั้นเลย

แต่ดูจะไม่ระวังตัวมากเกินไปหน่อย เด็กชายหยุดความคิดของตัวเองพร้อมกับถอนหายใจ

“จะว่าไป ฉันหลับไปนานเท่าไรแล้วนะ”

“อืม.. หนึ่งวัน เพราะหลับไปเมื่อวาน”

นี่ฉันหลับไปทั้งวันเลยเหรอ

ที่ผ่านมาคงนอนไม่ค่อยหลับล่ะมั้ง ค่อยโล่งอกไปหน่อย เด็กที่โล่งอกคนนั้น มีอาเรียตัวติดอยู่ด้วย

“เจ้าชาย!”

“ทำไมต้องเรียกว่าเจ้าชายอยู่เรื่อยเลย”

“ก็เพราะเจ้าชายช่วยฉันนี่นา!”

“…ถ้าช่วยเธอก็จะกลายเป็นเจ้าชายอย่างนั้นเหรอ”

“อื้ม! เจ้าชายเคยพูดว่าจะช่วยเหลือผู้หญิงที่ตกอยู่ในอันตราย!  ขี่ม้าขาวมาด้วย!”

ใครพูดเรื่องเหลวไหลพวกนั้นกัน อย่าว่าแต่ม้าขาวเลย สภาพตอนนี้ยิ่งกว่าผ้าขี้ริ้วเสียอีก

“หมายความว่าอะไร…”

เด็กชายที่ตั้งใจจะซักถามว่าพูดเรื่องอะไร ทันใดนั้นก็เข้าใจความหมายของ ‘เจ้าชาย’ และ ‘พระชายา’ ในคำพูดเธอ

เจ้าชายที่แสนเท่ พระชายาที่งดงาม

อะไรประมาณนั้นสินะ จู่ๆ ก็นึกถึงเด็กน้อยรุ่นราวคราวเดียวกันที่กล้าพูดต่อหน้าเหมือนกัน

‘เพราะอย่างนั้นฉันเลยดูเหมือนเจ้าชายที่มาช่วยเด็กหญิงคนนั้นน่ะเหรอ’

หมายถึงดูเท่งั้นเหรอ สภาพแบบนี้ยังดูดีจนเหมือนขี่ม้าขาวเลยอย่างนั้นเหรอ

แต่พอคิดอย่างนั้นก็ไม่เลวเหมือนกัน เกร็งตาโดยใช่เรื่องไปซะแล้ว แทนที่จะเหน็บแนมว่าเป็นเจ้าชายจริงหรือไม่ การถูกเรียกว่าเป็นเจ้าชายรูปงามนั้นไม่ดียิ่งกว่าหรือ

แต่จะปล่อยให้เรียกตนว่าเจ้าชายแบบนี้ตลอดไม่ได้ หนีแทบไม่รอด… มันอันตรายเกินไป

“ฉันไม่ได้ชื่อเจ้าชายนะ อย่าเรียกแบบนั้นสิ”

“งั้นเหรอ ชื่ออะไรล่ะ”

  “อา…”

เด็กชายตั้งใจจะบอกชื่อของตนเองไปเพื่อตอบถามอย่างไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ก็ต้องรีบปิดปากตัวเองทันที

เพราะไม่รู้ว่าจะอันตรายหรือเปล่า จึงบอกว่าอย่างเรียกตนว่าเจ้าชายแต่ก็เกือบบอกชื่อของตนไปเสียแล้ว เป็นการกระทำที่โง่เขลาเสียจริง จนคิดว่าโดนมีดปักที่ศีรษะไม่ใช่ขาด้วยซ้ำ

เด็กชายคนนั้นตกอยู่ในห้วงความคิดชั่วครู่

เรียกว่าอะไรดีนะ หากบอกชื่อเต็มไปก็หมายความว่าเปิดเผยตัวตน แต่จะให้ตั้งชื่อใหม่ก็คิดไม่ออก

เพราะอย่างนั้นจึงเหลือทางเลือกแค่อย่างเดียว

“อาซ เรียกฉันว่า อาซ”

“อื้ม เจ้าชายอาซ!”

“ตัดคำว่าเจ้าชายออก! …แต่จะว่าไป เธอชื่ออะไรล่ะ”

“อาเรีย เรียกฉันว่า อาเรีย! นะคะ เจ้าชาย!”

อาเรียยิ้มร่าพร้อมกับพูดตอบ

นัยน์ตาสีเขียวสดใสโค้งลงอย่างนุ่มนวล มัวแต่เรียกว่าเจ้าชายอยู่อย่างนั้น เขาต้องโกรธแล้วด้วยซ้ำ แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าแบบนั้นทำให้เขาไม่สามารถตอบโต้ใดๆ ออกไปได้

ใครกัน… ใครบอกล่ะว่าขี้เหร่ บ้าหรือเปล่าน่ะ อาซบ่นอยู่ในใจ หากไม่ใช่เพราะจำไม่ได้ล่ะก็จะทุบสั่งสอนพวกที่ตาไม่ถึงให้สักหน่อย

“บอกว่าไม่ให้เรียกว่าเจ้าชายไง”

“อื้ม!

* * *

“อะไรเนี่ย… อายุแปดขวบแล้วเหรอ”

อาซที่ตกใจหลังจากได้ยินอายุของอาเรียจึงถามอย่างตกใจ

ถึงจะอายุมากก็ตามแต่คิดว่าคงไม่เกินเจ็ดขวบ ทำไมถึงตัวเล็กขนาดนี้นะ

“อาซล่ะ”

“ฉันสิบเอ็ดขวบ”

“ว้าว! เป็นผู้ใหญ่แล้วนี่นา!”

ยังไม่เคยคิดว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วเลยนะ ปกติโดนดุอยู่เรื่อยว่าความสามารถไม่พอ ยังขาดฝีมือ แต่เมื่อได้พบกับอาเรียที่ตัวเล็กและบริสุทธิ์เช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นผู้ใหญ่ที่โตมาก เป็นความรู้สึกที่แปลกมาก

“เพราะอย่างนั้นเลยทำลายพวกคนไม่ดีสินะ”

ดวงตาของอาเรียเป็นประกาย

ไม่ใช่เพราะว่าเป็นผู้ใหญ่ แต่เพราะแค่เขาต้องเรียนรู้สิ่งที่จะเอาไว้ปกป้องตัวเองตั้งแต่เด็กๆ แม้จะกลายเป็นว่าเมื่อจำเป็นต้องใช้กลับให้อะไรไม่ได้ก็ตาม

“ถ้าฉันโตขึ้นจะสามารถจัดการคนไม่ดีพวกนั้นได้เหมือนกันไหมนะ”

“ไม่ได้หรอก”

ถึงจะโตไปมากกว่านี้ แต่จะโตได้สักเท่าไรกัน

เมื่ออาซตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา อาเรียจึงเผยสีหน้าห่อเหี่ยวอย่างเห็นได้ชัด เป็นใบหน้าที่ดูผิดหวังมาก

ได้เห็นภาพแบบนี้ เลยรู้สึกเหมือนทำบาปไปเสียอย่างนั้น แค่ทำให้เด็กน้อยผิดหวังไปเท่านั้นเอง อาซหลับตาแน่น

“ไม่ต้องใช้กำลังก็ได้ เพราะมีตั้งหลายวิธีที่จะจัดการคนไม่ดีพวกนั้นนี่นา”

“งั้นเหรอ อะไรบ้างล่ะ”

มีวิธีการพวกนั้นด้วยงั้นเหรอ! อาเรียส่งสายตามองอาซอย่างเป็นประกาย

อาซจึงกลอกสายตาพร้อมกับตอบ

“ก็… แค่ให้เงินคนอื่นไปจัดการทุบตีให้ หรือจะขุดคุ้ยทรัพย์สินวิธีแบบนั้นก็มีอยู่เหมือนกัน หรือไม่ก็สั่งให้ย้ายรกรากก็ไม่เลว หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดคือการให้คนที่มีอำนาจมากกว่าไปจัดการเขาอย่างไรล่ะ ยิ่งมีความสนิทชิดเชื้อกันเท่าไรยิ่งดี”

“…….”

หลังจากที่อาซอธิบายเรื่องที่ตัวเองรู้ไปทั้งหมดอย่างอิ่มอกอิ่มใจจึงรอการตอบรับจากอาเรีย

ทว่าโชคร้ายที่อาเรียกลับแสดงสีหน้าที่ไม่ว่าใครเห็นก็ดูออกว่าเธอไม่เข้าใจ เป็นสีหน้าราวกับถามว่าพูดเรื่องอะไรอยู่เสียอย่างนั้น

“….อ๋อ”

“เธอคงไม่เข้าใจสินะ”

“อื้ม!

อาเรียตอบอย่างมั่นใจ พร้อมกับควงแขนอาซ เพราะคิดว่าเด็กน้อยอย่างอาเรียคงจะไม่เข้าใจตั้งแต่ครั้งแรก

ต้องอธิบายว่าอะไรดีนะ อาซกังวลอยู่ครู่หนึ่ง พลางเลือกคำอธิบายง่ายที่สุดที่ตัวเองรู้ ถ้าพูดแบบนี้ก็คงจะเข้าใจสินะ

“ฮืม อาเรีย เธอแค่ขอร้องให้คนที่มีแรงหรือมีเงินมากช่วยก็ได้”

เป็นคำอธิบายง่ายๆ

ซึ่งนั่นเป็นคำตอบ หากจัดการด้วยตัวเองไม่ได้ก็แค่ยืมมือคนอื่นก็เท่านั้นเอง

ดูเหมือนว่าครั้งนี้อาเรียจะเข้าใจคำอธิบายง่ายๆ เขาจึงเบิกตาโตเป็นประกายขึ้น

“อ๊ะ! เหมือนกับอาซเหรอ”

“…ฉันหรือ”

“อื้ม! อาซช่วยฉันไว้นี่นา!”

และอาเรียก็พยายามจะช่วยอาซด้วยเช่นกัน

เนื่องจากเรื่องของอาเรียอยู่ในจุดที่เกี่ยวพันกับชีวิต จึงเป็นเรื่องใหญ่กว่านั้น อาซจึงตอบอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ

แต่เมื่อลองคิดดูแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่ต้องมีแรงมากก็ได้นี่นา แน่นอนว่าถึงจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้น้อยก็ตาม เพราะอย่างนั้นอาซจึงสามารถตอบว่าใช่ได้

“ก็…นั่นสิ”

“ถ้าอย่างนั้นต่อไปหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมีอาซช่วยก็ได้นี่นา!”

“ว่าไงนะ”

แต่นั่นก็

ถึงจะเป็นเรื่องง่ายที่ช่วยเหลือเด็กแถวนี้ แต่ในฐานะที่เขาเพิ่งถูกโจมตีถึงขั้นชีวิตเมื่อคืนแล้วดูเหมือนว่านั่นไม่ใช่การกระทำที่ดีสักเท่าไร หากสะดุดตาเข้าล่ะก็อันตรายแน่ๆ

“…….”

“อาซไม่มีกำลังเหรอ”

“ไม่รู้สิ”

แม้ในนามจะเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วอำนาจพวกนั้นกลับทำอะไรไม่ได้เลย

เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นหุ่นเชิดที่จะถูกกำจัดไปเมื่อไรก็ได้

 แม้จะไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ก็ตาม แต่สามารถสร้างราชวงศ์ได้ อาจจะเป็นลูกชายคนโตจากสายเลือดของดยุกเฟรดเดอริกก็ได้ น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับกลุ่มขุนนางมากกว่า เพราะอย่างนั้นเลยทำเรื่องแบบนั้นเมื่อคืนสินะ

ด้วยคำตอบที่ไม่ชัดเจนและสีหน้าไม่ดีของอาซ ทำให้ใบหน้าอาเรียห่อเหี่ยวลง

“แต่อย่างไรเสีย ต้องดุพวกที่ตัวใหญ่กว่าอยู่แล้วนี่นา!”

“ดูเหมือนว่าจะโชคดีล่ะสิ”

“…….”

อาเรียกัดปากแน่นเนื่องจากคำปฏิเสธที่หนักแน่นของอาซ

ช่างเป็นคำตอบที่ยากที่จะตอบโต้ได้ ขนาดผู้ใหญ่ยังจะไม่ไหวเลย เด็กขนาดนี้จะมีหนทางไหมนะ

ทว่าอาเรียกลับไม่เป็นเช่นนั้น และแล้วนัยน์ตาเป็นสีเขียวของเธอก็เริ่มเปล่งประกายออกมาราวกับว่าเธอหาคำตอบเจอ

“ถ้าอย่างนั้นให้ฉันช่วยก็ได้สินะ!”

“ว่าไงนะ”

“บางทีถ้ามีเรื่องทะเลาะเกิดขึ้น ฉันก็เคยชนะอยู่เหมือนกันนะ ถ้าอย่างนั้น กลับกันฉันจะช่วยอาซเอง! ถึงจะเห็นแบบนี้ก็ตาม ฉันแรงเยอะนะ!”

อาเรียพูดพร้อมกับยกแขนตัวเองที่เรียวเล็กราวกับกิ่งไม้

ช่างเป็นแขนที่น่าเชื่อถือเสียจริง อาซยกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว จู่ๆ ใบหน้าที่เศร้าสร้อยได้หายไปเสียแล้ว

“ใช่  ช่วยทำแบบนั้นหน่อยนะ”

“อื้ม!

โครก..

เมื่อพูดระบายเรื่องจริงจัง ทันใดนั้นท้องก็ส่งเสียงร้องออกมา เนื่องจากอาเรียต้องมาเฝ้าไข้ ส่วนอาซก็สลบไปทำให้ทั้งคู่จึงอยู่ในสภาพที่ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน

“กินขนมปังไหมล่ะ”

“มีขนมปังเหรอ”

“อื้ม! แม่ฉันซื้อไว้น่ะ”

อาซพยักหน้า

กำลังหิวอยู่พอดีเลย บอกว่าจะให้ขนมปังอย่างนี้ มีหรือจะปฏิเสธ

อาเรียจึงรีบวิ่งไปยังห้องครัว แม้จะน่าอายที่เรียกว่าห้องครัวเพราะเป็นเพียงห้องเล็กๆ ที่อยู่ติดข้างๆ อย่างไรก็ตามเธอก้าวไปไม่เท่าไรก็เอาขนมปังมาจากห้องครัวได้

เป็นขนมปังก้อนแข็งที่อาเรียทานได้ไม่เท่าไรก็หยุดทาน อาซที่กำลังถือก้อนขนมปังที่แข็งราวกับอิฐอยู่อย่างไม่คิดอะไรด้วยสีหน้าบึ้งตึงยิ่งกว่าขนมปังนั้นเสียอีก

“นี่อะไรเนี่ย”

“หืม ขนมปังไงล่ะ!”

“…นี่ขนมปังงั้นเหรอ”

ไม่ใช่หินเหรอ

สีของขนมปังราวกับหิน จะกินได้จริงหรือเปล่านะ อาซนำขนมปังมาแตะปลายจมูกพร้อมกับสีหน้าสงสัย …ไม่ใช่กลิ่นของอาหารนี่

“คงไม่ได้โกหกใช่ไหม”

งึกๆ สีหน้าของอาเรียไม่มีความโกหกเลยแม้แต่นิด

เพราะอย่างนั้นจึงทำให้อาซกังวลและคิดมาก คิดมาว่านี่เป็นอาหารจริงหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าเผลอกินเข้าไปแล้วจะตายนะ

คงไม่ใช่คนที่บรรดาชนชั้นสูงส่งมาลอบฆ่าสินะ อาซส่งสายตามองอาเรียราวกับเคลือบแคลงใจ

ยิ้มร่า อาเรียยิ้มตอบด้วยรอยยิ้มที่แสนน่ารัก เป็นรอยยิ้มที่ทำให้เขาสูญเสียตัวตนของเขา สิ่งที่เขาเคลือบแคลงใจกลับหายไป

“…เธอไม่กินเหรอ”

“ฉันหรือ”

อาเรียอ้าปากตัวเองให้เห็นฟันแทนการตอบ

“อ๋อ กินไม่ได้สินะ”

เพราะอยู่ในสภาพที่ฟันหลุดไปหลายซี่พอๆ กับอายุ เพราะอย่างนั้นเลยทานขนมปังที่แข็งราวกับหินแบบนี้ไม่ได้สินะ

อาเรียส่งสายตาราวกับให้รีบกิน และยังส่งแววตาเป็นประกายนั้นต่อ ถึงขนาดรู้สึกอึดอัดเลยล่ะ

“ฮืม…”

เพราะอย่างนั้น  ขนมปังพวกนี้ ปกติแล้วแทบจะไม่ได้ชายตามองเลยด้วยซ้ำแต่ตอนนี้กลับรู้สึกอึดอัดจนต้องหยิบมันใส่ปาก ไม่นานหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียง ‘ป๊อก’ ที่น่ากลัวในปากของเขา …หรือว่า ฟันคงไม่ได้แตกใช่ไหมนะ

“เป็นไง อร่อยไหม”

ไม่เลย อย่าว่าแต่รสชาติเลย มีแค่ความปวดที่หลงเหลืออยู่เท่านั้น

ถ้าอาเรียลองกินก็คงรู้รสชาติไปแล้ว ทำไมถึงกับต้องซักไซ้ถามรสชาติด้วยนะ หรือว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยได้กินขนมกันเลยสักก้อนอย่างนั้นเหรอ

อาซที่รู้สึกสงสัยจึงถามออกไป

“เธอไม่เคยกินมาก่อนเหรอ ทำไมถามรสชาติล่ะ”

“ฉันหรือ แน่นอนว่าไม่เคยกินมาก่อนน่ะสิ จะกินได้อย่างไรล่ะ”

ไม่ใช่เพราะรสชาติ แต่เป็นเพราะฟันทำให้กินไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นปกติแล้วกินอะไรล่ะ

“ถ้าอย่างนั้นเธอกินอะไรเหรอ”

“ฉันหรือ ก็อะไรที่คล้ายกับจำพวกหญ้า”

หญ้านั้นสามารถหาได้ทุกที่

แม้จะไม่สามารถหาหญ้าที่สดใหม่และอร่อยได้ หากไม่มีพิษก็สามารถหยิบกินได้โดยไม่สนใจอะไร เนื่องจากอาการที่แม่หามาให้มีแค่ขนมปังแข็งๆ เท่านั้น อาเรียจึงต้องกินหญ้าไปโดยปริยาย

แน่นอนนั่นไม่ได้หมายความว่าจะเก็บหญ้าอะไรก็ตามที่อยู่รอบบ้าน แต่อย่างไรเสียเธอกินหญ้าที่แม้แต่ชาวบ้านทั่วไปก็ยังไม่กิน

“อันนี้ไม่อร่อย”

อาซมองอาเรียที่เก็บหญ้ามาจากนั้นก็ไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่

………………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย 201 (ตอนพิเศษ 19)

Now you are reading พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย Chapter 201 (ตอนพิเศษ 19) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นัยน์ตาประกายสีเขียวคู่นั้นที่ได้สบตา  ช่างเป็นดวงตาบริสุทธิ์ที่ไม่มีความเคลือบแคลงใจใดๆ ในแววตานั้นเลย

แต่ดูจะไม่ระวังตัวมากเกินไปหน่อย เด็กชายหยุดความคิดของตัวเองพร้อมกับถอนหายใจ

“จะว่าไป ฉันหลับไปนานเท่าไรแล้วนะ”

“อืม.. หนึ่งวัน เพราะหลับไปเมื่อวาน”

นี่ฉันหลับไปทั้งวันเลยเหรอ

ที่ผ่านมาคงนอนไม่ค่อยหลับล่ะมั้ง ค่อยโล่งอกไปหน่อย เด็กที่โล่งอกคนนั้น มีอาเรียตัวติดอยู่ด้วย

“เจ้าชาย!”

“ทำไมต้องเรียกว่าเจ้าชายอยู่เรื่อยเลย”

“ก็เพราะเจ้าชายช่วยฉันนี่นา!”

“…ถ้าช่วยเธอก็จะกลายเป็นเจ้าชายอย่างนั้นเหรอ”

“อื้ม! เจ้าชายเคยพูดว่าจะช่วยเหลือผู้หญิงที่ตกอยู่ในอันตราย!  ขี่ม้าขาวมาด้วย!”

ใครพูดเรื่องเหลวไหลพวกนั้นกัน อย่าว่าแต่ม้าขาวเลย สภาพตอนนี้ยิ่งกว่าผ้าขี้ริ้วเสียอีก

“หมายความว่าอะไร…”

เด็กชายที่ตั้งใจจะซักถามว่าพูดเรื่องอะไร ทันใดนั้นก็เข้าใจความหมายของ ‘เจ้าชาย’ และ ‘พระชายา’ ในคำพูดเธอ

เจ้าชายที่แสนเท่ พระชายาที่งดงาม

อะไรประมาณนั้นสินะ จู่ๆ ก็นึกถึงเด็กน้อยรุ่นราวคราวเดียวกันที่กล้าพูดต่อหน้าเหมือนกัน

‘เพราะอย่างนั้นฉันเลยดูเหมือนเจ้าชายที่มาช่วยเด็กหญิงคนนั้นน่ะเหรอ’

หมายถึงดูเท่งั้นเหรอ สภาพแบบนี้ยังดูดีจนเหมือนขี่ม้าขาวเลยอย่างนั้นเหรอ

แต่พอคิดอย่างนั้นก็ไม่เลวเหมือนกัน เกร็งตาโดยใช่เรื่องไปซะแล้ว แทนที่จะเหน็บแนมว่าเป็นเจ้าชายจริงหรือไม่ การถูกเรียกว่าเป็นเจ้าชายรูปงามนั้นไม่ดียิ่งกว่าหรือ

แต่จะปล่อยให้เรียกตนว่าเจ้าชายแบบนี้ตลอดไม่ได้ หนีแทบไม่รอด… มันอันตรายเกินไป

“ฉันไม่ได้ชื่อเจ้าชายนะ อย่าเรียกแบบนั้นสิ”

“งั้นเหรอ ชื่ออะไรล่ะ”

  “อา…”

เด็กชายตั้งใจจะบอกชื่อของตนเองไปเพื่อตอบถามอย่างไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ก็ต้องรีบปิดปากตัวเองทันที

เพราะไม่รู้ว่าจะอันตรายหรือเปล่า จึงบอกว่าอย่างเรียกตนว่าเจ้าชายแต่ก็เกือบบอกชื่อของตนไปเสียแล้ว เป็นการกระทำที่โง่เขลาเสียจริง จนคิดว่าโดนมีดปักที่ศีรษะไม่ใช่ขาด้วยซ้ำ

เด็กชายคนนั้นตกอยู่ในห้วงความคิดชั่วครู่

เรียกว่าอะไรดีนะ หากบอกชื่อเต็มไปก็หมายความว่าเปิดเผยตัวตน แต่จะให้ตั้งชื่อใหม่ก็คิดไม่ออก

เพราะอย่างนั้นจึงเหลือทางเลือกแค่อย่างเดียว

“อาซ เรียกฉันว่า อาซ”

“อื้ม เจ้าชายอาซ!”

“ตัดคำว่าเจ้าชายออก! …แต่จะว่าไป เธอชื่ออะไรล่ะ”

“อาเรีย เรียกฉันว่า อาเรีย! นะคะ เจ้าชาย!”

อาเรียยิ้มร่าพร้อมกับพูดตอบ

นัยน์ตาสีเขียวสดใสโค้งลงอย่างนุ่มนวล มัวแต่เรียกว่าเจ้าชายอยู่อย่างนั้น เขาต้องโกรธแล้วด้วยซ้ำ แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าแบบนั้นทำให้เขาไม่สามารถตอบโต้ใดๆ ออกไปได้

ใครกัน… ใครบอกล่ะว่าขี้เหร่ บ้าหรือเปล่าน่ะ อาซบ่นอยู่ในใจ หากไม่ใช่เพราะจำไม่ได้ล่ะก็จะทุบสั่งสอนพวกที่ตาไม่ถึงให้สักหน่อย

“บอกว่าไม่ให้เรียกว่าเจ้าชายไง”

“อื้ม!

* * *

“อะไรเนี่ย… อายุแปดขวบแล้วเหรอ”

อาซที่ตกใจหลังจากได้ยินอายุของอาเรียจึงถามอย่างตกใจ

ถึงจะอายุมากก็ตามแต่คิดว่าคงไม่เกินเจ็ดขวบ ทำไมถึงตัวเล็กขนาดนี้นะ

“อาซล่ะ”

“ฉันสิบเอ็ดขวบ”

“ว้าว! เป็นผู้ใหญ่แล้วนี่นา!”

ยังไม่เคยคิดว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วเลยนะ ปกติโดนดุอยู่เรื่อยว่าความสามารถไม่พอ ยังขาดฝีมือ แต่เมื่อได้พบกับอาเรียที่ตัวเล็กและบริสุทธิ์เช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นผู้ใหญ่ที่โตมาก เป็นความรู้สึกที่แปลกมาก

“เพราะอย่างนั้นเลยทำลายพวกคนไม่ดีสินะ”

ดวงตาของอาเรียเป็นประกาย

ไม่ใช่เพราะว่าเป็นผู้ใหญ่ แต่เพราะแค่เขาต้องเรียนรู้สิ่งที่จะเอาไว้ปกป้องตัวเองตั้งแต่เด็กๆ แม้จะกลายเป็นว่าเมื่อจำเป็นต้องใช้กลับให้อะไรไม่ได้ก็ตาม

“ถ้าฉันโตขึ้นจะสามารถจัดการคนไม่ดีพวกนั้นได้เหมือนกันไหมนะ”

“ไม่ได้หรอก”

ถึงจะโตไปมากกว่านี้ แต่จะโตได้สักเท่าไรกัน

เมื่ออาซตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา อาเรียจึงเผยสีหน้าห่อเหี่ยวอย่างเห็นได้ชัด เป็นใบหน้าที่ดูผิดหวังมาก

ได้เห็นภาพแบบนี้ เลยรู้สึกเหมือนทำบาปไปเสียอย่างนั้น แค่ทำให้เด็กน้อยผิดหวังไปเท่านั้นเอง อาซหลับตาแน่น

“ไม่ต้องใช้กำลังก็ได้ เพราะมีตั้งหลายวิธีที่จะจัดการคนไม่ดีพวกนั้นนี่นา”

“งั้นเหรอ อะไรบ้างล่ะ”

มีวิธีการพวกนั้นด้วยงั้นเหรอ! อาเรียส่งสายตามองอาซอย่างเป็นประกาย

อาซจึงกลอกสายตาพร้อมกับตอบ

“ก็… แค่ให้เงินคนอื่นไปจัดการทุบตีให้ หรือจะขุดคุ้ยทรัพย์สินวิธีแบบนั้นก็มีอยู่เหมือนกัน หรือไม่ก็สั่งให้ย้ายรกรากก็ไม่เลว หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดคือการให้คนที่มีอำนาจมากกว่าไปจัดการเขาอย่างไรล่ะ ยิ่งมีความสนิทชิดเชื้อกันเท่าไรยิ่งดี”

“…….”

หลังจากที่อาซอธิบายเรื่องที่ตัวเองรู้ไปทั้งหมดอย่างอิ่มอกอิ่มใจจึงรอการตอบรับจากอาเรีย

ทว่าโชคร้ายที่อาเรียกลับแสดงสีหน้าที่ไม่ว่าใครเห็นก็ดูออกว่าเธอไม่เข้าใจ เป็นสีหน้าราวกับถามว่าพูดเรื่องอะไรอยู่เสียอย่างนั้น

“….อ๋อ”

“เธอคงไม่เข้าใจสินะ”

“อื้ม!

อาเรียตอบอย่างมั่นใจ พร้อมกับควงแขนอาซ เพราะคิดว่าเด็กน้อยอย่างอาเรียคงจะไม่เข้าใจตั้งแต่ครั้งแรก

ต้องอธิบายว่าอะไรดีนะ อาซกังวลอยู่ครู่หนึ่ง พลางเลือกคำอธิบายง่ายที่สุดที่ตัวเองรู้ ถ้าพูดแบบนี้ก็คงจะเข้าใจสินะ

“ฮืม อาเรีย เธอแค่ขอร้องให้คนที่มีแรงหรือมีเงินมากช่วยก็ได้”

เป็นคำอธิบายง่ายๆ

ซึ่งนั่นเป็นคำตอบ หากจัดการด้วยตัวเองไม่ได้ก็แค่ยืมมือคนอื่นก็เท่านั้นเอง

ดูเหมือนว่าครั้งนี้อาเรียจะเข้าใจคำอธิบายง่ายๆ เขาจึงเบิกตาโตเป็นประกายขึ้น

“อ๊ะ! เหมือนกับอาซเหรอ”

“…ฉันหรือ”

“อื้ม! อาซช่วยฉันไว้นี่นา!”

และอาเรียก็พยายามจะช่วยอาซด้วยเช่นกัน

เนื่องจากเรื่องของอาเรียอยู่ในจุดที่เกี่ยวพันกับชีวิต จึงเป็นเรื่องใหญ่กว่านั้น อาซจึงตอบอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ

แต่เมื่อลองคิดดูแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่ต้องมีแรงมากก็ได้นี่นา แน่นอนว่าถึงจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้น้อยก็ตาม เพราะอย่างนั้นอาซจึงสามารถตอบว่าใช่ได้

“ก็…นั่นสิ”

“ถ้าอย่างนั้นต่อไปหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมีอาซช่วยก็ได้นี่นา!”

“ว่าไงนะ”

แต่นั่นก็

ถึงจะเป็นเรื่องง่ายที่ช่วยเหลือเด็กแถวนี้ แต่ในฐานะที่เขาเพิ่งถูกโจมตีถึงขั้นชีวิตเมื่อคืนแล้วดูเหมือนว่านั่นไม่ใช่การกระทำที่ดีสักเท่าไร หากสะดุดตาเข้าล่ะก็อันตรายแน่ๆ

“…….”

“อาซไม่มีกำลังเหรอ”

“ไม่รู้สิ”

แม้ในนามจะเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วอำนาจพวกนั้นกลับทำอะไรไม่ได้เลย

เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นหุ่นเชิดที่จะถูกกำจัดไปเมื่อไรก็ได้

 แม้จะไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ก็ตาม แต่สามารถสร้างราชวงศ์ได้ อาจจะเป็นลูกชายคนโตจากสายเลือดของดยุกเฟรดเดอริกก็ได้ น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับกลุ่มขุนนางมากกว่า เพราะอย่างนั้นเลยทำเรื่องแบบนั้นเมื่อคืนสินะ

ด้วยคำตอบที่ไม่ชัดเจนและสีหน้าไม่ดีของอาซ ทำให้ใบหน้าอาเรียห่อเหี่ยวลง

“แต่อย่างไรเสีย ต้องดุพวกที่ตัวใหญ่กว่าอยู่แล้วนี่นา!”

“ดูเหมือนว่าจะโชคดีล่ะสิ”

“…….”

อาเรียกัดปากแน่นเนื่องจากคำปฏิเสธที่หนักแน่นของอาซ

ช่างเป็นคำตอบที่ยากที่จะตอบโต้ได้ ขนาดผู้ใหญ่ยังจะไม่ไหวเลย เด็กขนาดนี้จะมีหนทางไหมนะ

ทว่าอาเรียกลับไม่เป็นเช่นนั้น และแล้วนัยน์ตาเป็นสีเขียวของเธอก็เริ่มเปล่งประกายออกมาราวกับว่าเธอหาคำตอบเจอ

“ถ้าอย่างนั้นให้ฉันช่วยก็ได้สินะ!”

“ว่าไงนะ”

“บางทีถ้ามีเรื่องทะเลาะเกิดขึ้น ฉันก็เคยชนะอยู่เหมือนกันนะ ถ้าอย่างนั้น กลับกันฉันจะช่วยอาซเอง! ถึงจะเห็นแบบนี้ก็ตาม ฉันแรงเยอะนะ!”

อาเรียพูดพร้อมกับยกแขนตัวเองที่เรียวเล็กราวกับกิ่งไม้

ช่างเป็นแขนที่น่าเชื่อถือเสียจริง อาซยกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว จู่ๆ ใบหน้าที่เศร้าสร้อยได้หายไปเสียแล้ว

“ใช่  ช่วยทำแบบนั้นหน่อยนะ”

“อื้ม!

โครก..

เมื่อพูดระบายเรื่องจริงจัง ทันใดนั้นท้องก็ส่งเสียงร้องออกมา เนื่องจากอาเรียต้องมาเฝ้าไข้ ส่วนอาซก็สลบไปทำให้ทั้งคู่จึงอยู่ในสภาพที่ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน

“กินขนมปังไหมล่ะ”

“มีขนมปังเหรอ”

“อื้ม! แม่ฉันซื้อไว้น่ะ”

อาซพยักหน้า

กำลังหิวอยู่พอดีเลย บอกว่าจะให้ขนมปังอย่างนี้ มีหรือจะปฏิเสธ

อาเรียจึงรีบวิ่งไปยังห้องครัว แม้จะน่าอายที่เรียกว่าห้องครัวเพราะเป็นเพียงห้องเล็กๆ ที่อยู่ติดข้างๆ อย่างไรก็ตามเธอก้าวไปไม่เท่าไรก็เอาขนมปังมาจากห้องครัวได้

เป็นขนมปังก้อนแข็งที่อาเรียทานได้ไม่เท่าไรก็หยุดทาน อาซที่กำลังถือก้อนขนมปังที่แข็งราวกับอิฐอยู่อย่างไม่คิดอะไรด้วยสีหน้าบึ้งตึงยิ่งกว่าขนมปังนั้นเสียอีก

“นี่อะไรเนี่ย”

“หืม ขนมปังไงล่ะ!”

“…นี่ขนมปังงั้นเหรอ”

ไม่ใช่หินเหรอ

สีของขนมปังราวกับหิน จะกินได้จริงหรือเปล่านะ อาซนำขนมปังมาแตะปลายจมูกพร้อมกับสีหน้าสงสัย …ไม่ใช่กลิ่นของอาหารนี่

“คงไม่ได้โกหกใช่ไหม”

งึกๆ สีหน้าของอาเรียไม่มีความโกหกเลยแม้แต่นิด

เพราะอย่างนั้นจึงทำให้อาซกังวลและคิดมาก คิดมาว่านี่เป็นอาหารจริงหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าเผลอกินเข้าไปแล้วจะตายนะ

คงไม่ใช่คนที่บรรดาชนชั้นสูงส่งมาลอบฆ่าสินะ อาซส่งสายตามองอาเรียราวกับเคลือบแคลงใจ

ยิ้มร่า อาเรียยิ้มตอบด้วยรอยยิ้มที่แสนน่ารัก เป็นรอยยิ้มที่ทำให้เขาสูญเสียตัวตนของเขา สิ่งที่เขาเคลือบแคลงใจกลับหายไป

“…เธอไม่กินเหรอ”

“ฉันหรือ”

อาเรียอ้าปากตัวเองให้เห็นฟันแทนการตอบ

“อ๋อ กินไม่ได้สินะ”

เพราะอยู่ในสภาพที่ฟันหลุดไปหลายซี่พอๆ กับอายุ เพราะอย่างนั้นเลยทานขนมปังที่แข็งราวกับหินแบบนี้ไม่ได้สินะ

อาเรียส่งสายตาราวกับให้รีบกิน และยังส่งแววตาเป็นประกายนั้นต่อ ถึงขนาดรู้สึกอึดอัดเลยล่ะ

“ฮืม…”

เพราะอย่างนั้น  ขนมปังพวกนี้ ปกติแล้วแทบจะไม่ได้ชายตามองเลยด้วยซ้ำแต่ตอนนี้กลับรู้สึกอึดอัดจนต้องหยิบมันใส่ปาก ไม่นานหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียง ‘ป๊อก’ ที่น่ากลัวในปากของเขา …หรือว่า ฟันคงไม่ได้แตกใช่ไหมนะ

“เป็นไง อร่อยไหม”

ไม่เลย อย่าว่าแต่รสชาติเลย มีแค่ความปวดที่หลงเหลืออยู่เท่านั้น

ถ้าอาเรียลองกินก็คงรู้รสชาติไปแล้ว ทำไมถึงกับต้องซักไซ้ถามรสชาติด้วยนะ หรือว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยได้กินขนมกันเลยสักก้อนอย่างนั้นเหรอ

อาซที่รู้สึกสงสัยจึงถามออกไป

“เธอไม่เคยกินมาก่อนเหรอ ทำไมถามรสชาติล่ะ”

“ฉันหรือ แน่นอนว่าไม่เคยกินมาก่อนน่ะสิ จะกินได้อย่างไรล่ะ”

ไม่ใช่เพราะรสชาติ แต่เป็นเพราะฟันทำให้กินไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นปกติแล้วกินอะไรล่ะ

“ถ้าอย่างนั้นเธอกินอะไรเหรอ”

“ฉันหรือ ก็อะไรที่คล้ายกับจำพวกหญ้า”

หญ้านั้นสามารถหาได้ทุกที่

แม้จะไม่สามารถหาหญ้าที่สดใหม่และอร่อยได้ หากไม่มีพิษก็สามารถหยิบกินได้โดยไม่สนใจอะไร เนื่องจากอาการที่แม่หามาให้มีแค่ขนมปังแข็งๆ เท่านั้น อาเรียจึงต้องกินหญ้าไปโดยปริยาย

แน่นอนนั่นไม่ได้หมายความว่าจะเก็บหญ้าอะไรก็ตามที่อยู่รอบบ้าน แต่อย่างไรเสียเธอกินหญ้าที่แม้แต่ชาวบ้านทั่วไปก็ยังไม่กิน

“อันนี้ไม่อร่อย”

อาซมองอาเรียที่เก็บหญ้ามาจากนั้นก็ไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่

………………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+