พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย 224 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม 15)

Now you are reading พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย Chapter 224 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม 15) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

***

บลิสร้องไห้อยู่ในอ้อมอกของเธออยู่นานจนหมดสติไปในที่สุด

เพราะแบบนั้น นั่นจึงกลายเป็นหนึ่งในเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้อาเรียร้องเรียกหมอหลวงออกมาด้วยเสียงที่ดังลั่นอย่างไม่สมกับเป็นเธอ

“คงเป็นเพราะใช้เรี่ยวแรงมากไปหน่อยเลยหลับไปค่ะ เดิมทีก็ร่างกายอ่อนแออยู่แล้วด้วย และก็มีไข้นิดหน่อย เดี๋ยวดิฉันจะจัดยาลดไข้ให้นะคะ อาการไม่ได้รุนแรงมาก อย่ากังวลเลยค่ะ”

อาเรียก็พยักหน้านิ่งๆ เมื่อได้ฟังคำวินิจฉัยของหมอหลวง

เมื่อตอนที่ร้องไห้คราวที่แล้วบลิสยังดูปกติดีอยู่ แต่ดูเหมือนคราวนี้จะกลัวจนเครียดขึ้นมา

อย่างไรก็ตามยังโชคดีที่บลิสไม่เป็นอะไรมาก แต่ถึงอย่างนั้นอาเรียก็ยังไม่ลืมขอให้หมอช่วยตรวจดูอีกทีว่าบลิสมีอาการผิดปกติอย่างอื่นหรือไม่

“ไม่มีอะไรผิดปกติใช่ไหม แล้วทำไมร่างกายถึงอ่อนแอแบบนี้ล่ะ”

“ไม่มีค่ะ ส่วนทำไมร่างกายถึงอ่อนแอนั้น ดิฉันคงบอกได้อย่างเดียวว่าคุณหนูมีร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิดค่ะ”

“อืม งั้นหรือ อย่างนี้นี่เอง”

ก็คงจะเป็นอย่างนั้น เพราะถ้ามีวิธีทำให้บลิสแข็งแรงขึ้น ตัวเธอในอนาคตก็คงจะทำไปหมดแล้ว แต่เพราะไม่มีวิธีรักษาอะไรเป็นพิเศษ เลยถูกเลี้ยงดูโดยที่ร่างกายอ่อนแอแบบนั้น

และบางทีบลิสอาจจะถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจเพราะกลัวว่าจะตกใจกลัวเหมือนกับที่ตนทำในตอนนี้ก็เป็นได้

ตอนนี้อาเรียเข้าใจแล้วว่าทำไมบลิสถึงดูไม่มีมารยาทสักเท่าไหร่

ตัวเธอในอนาคตคงจะรู้สึกผิดที่ทำให้บลิสเกิดมามีร่างกายอ่อนแอแน่ๆ

‘แล้วทำไมบลิสถึงย้อนเวลามาในอดีตกันแน่’

ความสงสัยเพิ่มพูนมากขึ้น เพราะไม่มีทางที่ตัวเธอในอนาคตจะดูและบลิสอย่างทิ้งขว้างแน่ๆ

‘ไม่สิ เรื่องแบบนั้นยังสรุปไม่ได้หรอก เพราะบลิสบอกเองว่าเธอเป็นเด็กไม่ดีที่ต้องหายไป’

แถมบลิสยังพูดอีกว่าแม่แท้ๆ ซึ่งก็คือตัวเธอเองนั้นป่วย เพราะอย่างนั้นก็มีเพียงข้อสรุปเดียวที่เธอคาดเดาได้

‘อย่าบอกนะว่า…ฉันเฆี่ยนตีบลิส…แต่ก็ไม่เห็นบลิสมีรอยแผลอะไรเลยนี่นา หรือว่าฉันพูดจารุนแรงใส่เธอรึเปล่า’

แม้จะเป็นข้อสรุปที่เกินคาดไปหน่อย แต่ก็ถือว่ามีเหตุผลและมีความเป็นไปได้

และมันเป็นข้อสรุปที่สามารถอธิบายถึงสิ่งที่บลิสเคยพูดออกมา รวมถึงเหตุผลที่ย้อนเวลากลับมาในอดีตด้วย

เด็กที่ไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่มักจะโหยหาความรักในระดับที่มากกว่าปกติ เหมือนกับบลิสในตอนนี้

อาเรียนึกไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะมีนิสัยแบบนั้น หากว่าเธอให้กำเนิดเด็กที่เหมือนกับคารินแม่ของเธอออกมาละก็ เธอก็คงอยากจะเลี้ยงดูเด็กคนนั้นเป็นอย่างดีไม่ใช่หรอกหรือ

แต่กลับกลายเป็นเฆี่ยนตีเด็กแทนเนี่ยนะ

‘ถึงแม้ว่าร่างกายจะเสื่อมโทรมเพราะคลอดลูกก็เถอะ แต่การรังแกเด็กตัวเล็กๆ แค่นี้มันดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย’

อาเรียตกใจ เธอคิดไปเองว่านั่นคือคำตอบที่ถูกต้องโดยที่ไม่รู้ว่ามันผิดไปจากความจริงในบางส่วน

สีหน้าของอาเรียทำให้หมอเข้าใจผิดว่าเธอเป็นกังวล จึงบอกกับอาเรียว่าจะไปจัดยาบำรุงกำลังมาให้และออกไปจากห้อง

ในระหว่างนั้น อาเรียก็ตั้งสติและพาตัวเองออกมาจากความตกใจนั้นอย่างยากเย็น เธอพยายามควบคุมสีหน้าอีกครั้ง

และครุ่นคิดอย่างจริงจังว่าจะต้องทำอย่างไร ถึงจะแก้ไขสถานการณ์ที่จะนำไปสู่ความแตกสลายนี้ได้

***

วันถัดมา บลิสลืมตาตื่นขึ้นราวๆ ช่วงเที่ยงวัน

ดูจากการที่บลิสนอนหลับไปตั้งแต่ช่วงสายของเมื่อวานแล้ว ถือว่าเธอหลับนานผิดปกติ

เพราะแบบนั้นอาเรียจึงเป็นกังวลและเดินเข้าออกห้องของบลิสอยู่หลายครั้ง

แล้วอาเรียก็สบตาเข้ากับบลิสที่โผล่ออกมาให้เห็นแค่ดวงตาภายใต้ผ้าห่ม

“ตื่นแล้วเหรอ ดีขึ้นแล้วรึยัง”

“…อึม อืม…! ”

ทั้งที่ไม่ได้ขู่อะไรเลย แต่บลิสกลับสะดุ้งและซ่อนตัวเข้าไปในผ้าห่มอีกครั้งแล้วตอบออกมา

“เจ็บตรงไหนรึเปล่า ทำไมถึงทำอย่างนั้นล่ะ”

“คือว่า…”

แม้จะถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุดแล้วก็ตาม แต่เสียงของบลิสกลับฟังดูหม่นหมองอีกครั้ง

และยังกำผ้านวมอ่อนนุ่มเอาไว้ราวกับว่ามันเป็นโล่ป้องกันอันแข็งแกร่ง

คงเป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เธอถึงได้มีท่าทางแบบนั้น

เพราะรู้ความจริงเข้าแล้ว สิ่งเดียวที่อาเรียคิดได้ก็คือบลิสน่าสงสารมาก

และเพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจเด็กที่มีบาดแผลในใจเป็นทุนเดิมมากไปกว่านี้ อาเรียจึงแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจอะไรทั้งสิ้นแล้วชวนคุยขึ้นมา

“ดูจะไม่สบายจริงๆ สินะเนี่ย คงต้องเรียกหมอมาดูแล้วละ ที่จริงฉันคิดว่าจะชวนเธอกินมื้อกลางวันด้วยกันน่ะ แต่ในเมื่อเธอไม่สบายแบบนี้ เห็นทีคงต้องให้เธอกินข้าวคนเดียวในห้องเสียแล้ว”

“…ฮะ”

จะไม่ถามเรื่องเมื่อวานอีกแล้วใช่ไหม

ราวกับจะถามออกมาแบบนั้น แน่นอนว่าอาเรียเองก็กลัวที่จะฟังคำตอบนั้นเช่นกัน เธอจึงไม่อยากถามอะไร

ไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะเฆี่ยนตีลูกที่ตัวเองเกิดมา แม้แต่อาซเองก็ไม่แสดงท่าทีอะไรให้เป็นที่สังเกต

“ตอนกลางวันแสงแดดกำลังดีเลยว่าจะเข้าไปทานอาหารในสวนน่ะ แต่เพราะเธอยังป่วยอยู่ ก็คงจะทำอะไรไม่ได้ละนะ”

ดังนั้นอาเรียทำเป็นนิ่งเฉยอีกครั้ง แล้วบลิสก็โผล่หน้าออกมาจากผ้าห่ม

สังเกตจากแก้มที่เรื่อแดงและสายตาแวววับเป็นประกายนั่นแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าบลิสอยากจะทานมื้อกลางวันด้วย

อาเรียทำหน้าเสียดายและพูดว่า

“ดูท่าจะป่วยจริงๆ นะเนี่ย แก้มก็แดงขึ้นมาอีก เดี๋ยวฉันจะเรียกหมอมาดูอาการให้นะ บลิสเธออยู่ตรงนี้-“

“ไม่ใช่! ”

บลิสตอบออกมาอย่างรวดเร็วและเด้งตัวออกมาจากผ้าห่ม

“หนูไม่เป็นอะไร! ไม่เป็นอะไรเลย! หนูแข็งแรงออก! “

“จริงเหรอ”

“อื้ม! ใช่! จริงๆ นะ! ดูนี่สิ! “

บลิสลุกขึ้นมากระโดดดึ๋งๆ บนเตียง เธอกระโดดแรงเสียจนน่ากลัวว่าจะตกลงมาและเจ็บตัวเอาได้ ดูเหมือนเรี่ยวแรงของเธอจะกลับมาเหมือนเดิมแล้ว ก็เท่ากับว่าจุดประสงค์ของอาเรียสำเร็จแล้วนั่นเอง

โล่งอกไปที ต่อจากนี้ไปอาเรียคิดว่าเธอจะไม่ซักไซ้อะไร จนกว่าตัวเด็กจะยอมพูดออกมาเอง

ใช้ตัวตนของแม่ในอดีตเป็นที่หลบหนีแม่ที่ทุบตีตัวเองอย่างนั้นหรือ นั่นมันเป็นชีวิตที่น่าเศร้าและโหดร้ายเอามากๆ เลยไม่ใช่รึไง

อาเรียคิดไปเองแบบนั้น เธอปราดตามองดูบลิสตั้งแต่หัวจรดเท้าและพูดว่า

“โล่งอกไปที เห็นเธอหน้าแดง ผมเผ้ายุ่งเหยิง แถมยังตาบวมเป่งอีกต่างหาก ฉันก็นึกว่าเธอป่วยเสียอีกน่ะสิ”

บลิสเข้าใจได้ว่านั่นเป็นการตำหนิ เธอจึงรีบสางผมด้วยนิ้วมือของตัวเองอย่างลนลาน

จากนั้นก็มองไปรอบๆ ตัว แล้วหันไปทางเหยือกน้ำเย็น

“อย่าบอกนะว่า…เธอคงไม่คิดที่จะล้างหน้าด้วยน้ำนั่นหรอกใช่ไหม”

บลิสสะดุ้งโหยงขึ้น ราวกับว่าเธอตั้งใจจะทำเช่นนั้นด้วยความร้อนใจ

เป็นเด็กที่อ่านใจง่ายอะไรขนาดนี้ อาเรียพยายามกลั้นไม่ให้ตัวเองหัวเราะออกมาพูดว่า

“ถึงฉันจะยุ่งมากก็ตาม แต่แค่ล้างหน้าและเปลี่ยนเสื้อผ้าน่ะ ฉันรอได้หรอกน่า”

“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้นนะ! เปล่าเลย! จริงนะ! จริงๆ-! “

บลิสที่คิดจะทำเช่นนั้นปฏิเสธเสียงแข็งออกมา โดยที่ไม่รู้เลยว่านั่นยิ่งดูผิดปกติมากกว่าเดิม

อาเรียรู้สึกสนุกที่ได้เห็นท่าทางน่ารักแบบนั้น แต่เพราะบลิสกระวนกระวายและตามหาสาวขึ้นมาอย่างลุกลี้ลุกลน อาเรียจึงได้แต่ปล่อยเธอไปและยิ้มอย่างเอ็นดูขึ้นมาก่อนออกไปจากห้อง

***

ตั้งแต่วันนั้นมาอาเรียที่มักจะมีท่าทีเย็นชาต่อบลิสก็เริ่มเข้าหาบลิสอย่างอ่อนโยนมากขึ้นด้วยเพราะรู้สึกผิดนั่นเอง

ทั้งคู่ทานอาหารพร้อมกัน อีกทั้งอาเรียยังปล่อยให้บลิสเล่นสนุกไปมาอยู่ในห้องทำงานของเธออีกด้วย

พูดกันตามตรงแล้วตอนแรกที่เธอทำดีต่อบลิสก็เป็นเพราะบลิสน่าสงสาร แต่พออยู่ด้วยกันหลายวันเข้าก็รู้สึกชินขึ้นมา

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอมองว่าบลิสเป็นลูกของตนเองด้วยหรือเปล่า เวลาที่บลิสอยู่ต่อหน้าเธอจึงไม่รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด

กลับกัน เวลาที่เธอมุ่งมั่นกับงานแล้วรู้สึกเหนื่อยขึ้นมา พอหันสายตาไปมองบลิสเล่นกับตุ๊กตาหรือนอนหลับคาหนังสือเข้า ก็ทำให้รู้สึกเหมือนหายเหนื่อยขึ้นมา

อาซเองแม้จะไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา แต่เพราะเห็นอาเรียเปลี่ยนไปเขาจึงคิดว่าเธอคงรู้ความจริงเข้าแล้ว

แต่เพราะมันเป็นเรื่องที่พูดได้ยาก จึงไม่มีใครคิดจะเอ่ยเรื่องนี้ออกมาเป็นคนแรก

อาซรอให้อาเรียจัดการกับความคิดในหัวของเธอ ส่วนอาเรียก็รอให้อาซพูดมันออกมาก่อน

“พี่คะ! ไม่ไปเดินเล่นเหรอ หนูอยากเดินดูดอกไม้! หนูอยากดูดอกทิวลิปที่กลิ่นหอมเหมือนพี่สาวไง! ”

แม้จะไม่มีใครอยู่แต่บลิสก็ยังเรียกอาเรียว่าพี่สาว อาเรียมองดูบลิสด้วยสายตาที่อ่อนโยนก่อนจะวางเอกสารที่ถืออยู่ในมือลงและลุกขึ้นมา

“ถึงเธอจะไม่ชวน ฉันก็คิดว่าออกไปสูดอากาศข้างนอกก็คงดีเหมือนกัน ดีล่ะ”

แม้ว่าอาเรียจะไม่ได้คิดแบบนั้นเลยก็ตาม แต่พอได้ยินบลิสตอบตกลงและเข้ามาจับมือของตน อาเรียก็เดินตามแรงดึงของบลิสออกไปข้างนอกอย่างง่ายดาย

“หลังจากเดินเล่นแล้วเรากินไอศกรีมด้วยกันได้ไหมคะ”

“ได้สิ เอาเป็นไอศกรีมที่ใส่เชอร์รี่ลงไปด้วยแล้วกัน”

“จริงเหรอ ว้าว-! งั้นรีบเดินเล่นให้เสร็จกันเถอะ! ”

ทั้งที่เป็นคนชวนเธอออกมาเดินเล่นด้วยกันแท้ๆ แต่พอพูดถึงไอศกรีมเชอร์รี่ที่บลิสชอบขึ้นมา เรื่องเดินเล่นก็กลายเป็นเรื่องรองไปเสียอย่างนั้น

บลิสดูดอกไม้แบบผ่านๆ และบอกว่ารีบไปกินไอศกรีมกันเถอะ ก่อนจะเดินด้วยฝีเท้าที่เร็วขึ้นถึงสามเท่า

“บลิส เธอเหมือนม้าจังเลยนะรู้ไหม เพราะในวังนี้ไม่มีใครจะวิ่งได้อย่างเร่งรีบเท่าม้าอีกแล้วอย่างไรล่ะ”

แม้จะพูดออกมาอย่างเรียบง่าย แต่ก็แฝงด้วยคำติอยู่ในนั้น แม้จะรู้เรื่องนี้ดีแต่คงเพราะอยากจะกินไอศกรีมมากกว่า บลิสจึงไม่สนใจและหัวเราะแหะๆ วิ่งผ่านระหว่างสวนดอกทิวลิปไป

ในระหว่างนั้นข้ารับใช้ก็ได้เตรียมไอศกรีมเชอร์รี่เอาไว้ จากนั้นบลิสที่เดินเล่นเสร็จอย่างรวดเร็วก็มานั่งทานไอศกรีมกับอาเรียท่ามกลางดอกทิวลิป

“ถ้าตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิก็คงจะดีละนะ”

อ้ำ บลิสตักไอศกรีมกินไปหนึ่งคำและพูดออกมาเรื่อยเปื่อย เมื่อได้ยินอย่างนั้นอาเรียก็หันไปมองบลิสช้าๆ และถามว่า

“ทำไมหรือ”

“เพราะจะมีงานเทศกาลจัดขึ้นนะสิ! งานเทศกาลมักจะจัดในฤดูใบไม้ผลิเย็นๆ ตลอดเลยนี่นา! ที่จริงแล้วหนูน่ะไม่เคยไปงานเทศกาลเลยสักครั้งเดียวละ”

แม้จะไม่ได้อธิบายเหตุผลออกมา แต่อาเรียก็ตระหนักได้ว่านั่นเป็นเพราะบลิสมีร่างกายที่ไม่แข็งแรงนั่นเอง

จากที่สังเกตมาหลายวัน บลิสมักจะทำตัวครึกโครมจนเป็นที่สะดุดตา เธอคงจะได้แต่พักผ่อนนอนอยู่เฉยๆ เท่านั้น

“หน้าต่างของห้องหนูน่ะนะ มองเห็นงานเทศกาลได้ชัดมากเลย ถึงหนูจะอยากไปมาตลอดแต่ก็ไม่เคยได้ไปสักที เพราะคุณแม่ไม่อยากให้ออกไปน่ะ”

งานเทศกาลคงจะสนุกสนานน่าดูใช่ไหมล่ะ มากกว่าการเดินเล่นในสวนทิวลิปเป็นไหนๆ

เมื่อได้ยินเสียงพึมพำและมองท่าทางกระดิกนิ้วไปมา อาเรียก็วางช้อนทานไอศกรีมลง

อุตส่าห์ได้กลับมายังอดีตทั้งที บลิสน่าจะได้ไปเที่ยวงานเทศกาลดูบ้างไม่ใช่หรือไง ถ้าไปเที่ยวแค่แป๊บเดียวก็คงจะไม่เป็นไร

“ไม่ได้กำหนดไว้เสียหน่อยว่างานเทศกาลต้องมีแค่ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น”

“ฮะ”

“ถ้าจัดงานเทศกาลขึ้นก่อนจะถึงคืนฉลองวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษกก็ไม่มีปัญหาหรอก จะจัดงานนานหน่อยก็ได้”

“ฮะ”

นั่นหมายความว่าไงน่ะ บลิสกะพริบตาปริบๆ ดูเหมือนเธอจะยังไม่เข้าในสิ่งที่อาเรียพูด

เพราะแบบนั้นอาเรียเลยเช็ดปากก่อนจะลุกขึ้นจะที่นั่งและพูดว่า

“เล่นอยู่คนเดียวไปก่อนนะ ฉันต้องไปจัดการเอกสารและเลื่อนเวลาให้เร็วขึ้นเพื่อจัดงานเทศกาลให้ทันภายในอาทิตย์นี้”

“ฮะ…อย่า อย่าบอกนะว่า…! ”

ในตอนนั้นเองที่บลิสเข้าใจว่าอาเรียกำลังพูดเรื่องอะไร เธอทำช้อนที่ถืออยู่ในมือหล่นลง

อย่าบอกนะว่าจะจัดงานเทศกาลขึ้นในตอนนี้ เพียงเพราะเธอบอกว่าอยากไปงานเทศกาลน่ะ บลิสได้แต่สงสัย

“ก็เธอบอกว่าไม่เคยไปเลยสักครั้งนี่นา แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย แถมยังไม่มีเหตุผลที่ทำให้จัดไม่ได้ด้วย เพราะอย่างนั้นเธอเล่นอยู่คนเดียวไปสักพักนะ”

สิ่งที่สงสัยเป็นเรื่องจริงขึ้นมา เมื่อเห็นว่าอาเรียออกจากห้องทำงานไปอย่างไม่ลังเล แก้มของบลิสก็แดงขึ้นมาราวกับจะระเบิดออกมา

“พระชายา! หนูอยากลองกินอาหารเสียบไม้ด้วยนะ! “

เสียงตะโกนที่ดังตามหลังมานั้นทำให้อาเรียหัวเราะออกมาเล็กน้อย พร้อมกับคิดว่าต้องสร้างร้านเนื้อเสียบไม้คุณภาพดีไว้ใกล้ๆ พระราชวังเสียแล้วและรีบเดินต่อไป

***

“คะ งานเทศกาลหรือคะ”

“ใช่ บลิสบอกว่าอยากไปงานเทศกาลดูน่ะ ถ้าในงานมีร้านแผงลอยกับการแสดงเป็นหลักแล้วละก็ เด็กๆ คงชอบใจน่าดู”

อาเรียยังพูดอีกด้วยว่าบลิสไม่ได้แข็งแรงมากนัก และสั่งให้ทางพระราชวังใส่ใจในการเตรียมวัตถุดิบปรุงอาหารด้วย

คำสั่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้รูบี้เบิกตาโตและย้อนถามกลับไป

“แต่ว่า หากทำเช่นแล้วละก็เรื่องค่าใช้จ่ายก็คง…”

“ฉันมีเงินส่วนตัวของฉันอยู่นี่นา เอามาใช้จัดงานก็ยังเหลืออยู่ดี”

เพราะอาเรียลงทุนในธุรกิจหลายๆ อย่างตั้งแต่ตอนอายุยังน้อย จึงมีเงินส่วนตัวจำนวนมหาศาลที่ไม่ว่าจะใช้เท่าไหร่ก็ไม่มีทางหมดนั่นเอง

หลังจากที่เธอกลายมาเป็นพระชายาขององค์รัชทายาท ส่วนแบ่งที่เธอได้รับกลับมาจากการทำให้ราชอาณาจักรเกิดความรุ่งเรืองและการสนับสนุนของประชาชนนั้นมีมากมายมหาศาล แต่ถึงอย่างนั้นทุกๆ ธุรกิจที่อาเรียเข้าไปเกี่ยวข้องก็มักจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างล้นหลาม ทำให้ทรัพย์สมบัติของอาเรียมีแต่จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ

“ต้องเอาออกมาใช้ในตอนนี้นี่แหละ จะเก็บไว้เฉยๆ ทำไมกัน จะจัดงานเทศกาลทั้งทีก็ใช้มันให้เต็มที่ไปเลย ไม่ต้องประหยัดงบนะ แล้วก็ใส่ใจเรื่องความปลอดภัยด้วย อ๊ะ แล้วก็ทำจุดพักไว้หลายๆ แห่งด้วยละ”

อาเรียบอกว่าเธอเขียนเรื่องที่สำคัญทั้งหมดลงในเอกสารแล้ว และยื่นเอกสารอันหนักอึ้งให้รูบี้

ปกติอาเรียก็ยุ่งมากพออยู่แล้ว แต่เพราะกลัวว่าคำพูดรุนแรงของแอนนี่จะส่งผลกระทบอะไรไป รูบี้จึงได้แต่เฝ้าสังเกตอยู่เฉยๆ จนสุดท้ายก็กลายเป็นว่างานเยอะขึ้นมากกว่าเดิม

รูบี้ทำหน้าไม่พอใจขึ้นมา แต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น

และก่อนที่อาเรียจะสังเกตเห็น เจ้าหล่อนก็ปั้นยิ้มออกมาและบอกว่าจะทำตามที่สั่งพร้อมรับเอกสารไป

“ค่ะ! พระชายา ถ้าอย่างนั้นดิฉันจะรีบป่าวประกาศให้ค่ะ พระชายาคงจะเหนื่อย ดื่มชาสักหน่อยดีไหมคะ”

“ไม่ล่ะ ไม่เป็นไร ฉันว่าจะงีบเสียหน่อยน่ะ”

ท่าทางอาเรียจะเหนื่อยเพราะบลิสจริงๆ

รูบี้กำเอกสารในมือแน่น และบอกว่าให้อาเรียพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนจะแสดงความเคารพและออกไปจากห้องทำงานอย่างเร่งรีบ

หลังจากนั้นในขณะที่นั่งหลับตาไล่ความเหนื่อยล้าอยู่ในห้องทำงานที่ปล่อยว่างไว้มานาน อาเรียก็นึกถึงคำพูดที่แอนนี่เคยบอกก่อนหน้านี้ขึ้นมา

‘จะว่าไปแล้วแอนนี่พูดอะไรเกี่ยวกับรูบี้เอาไว้สินะ’

เธอบอกว่ารูบี้ไม่ค่อยพอใจบลิสสักเท่าไหร่

ในวันนี้ท่าทางของรูบี้ก็ยังดูนอบน้อมเหมือนเคย แต่พอมาคิดดูอีกครั้งแล้ว ตอนที่บอกว่าจะจัดงานเทศกาลให้บลิส รูบี้ก็เงียบขึ้นมาครู่หนึ่ง

เธออาจจะกังวลไปเองก็ได้ แต่ก็ไม่แน่ว่ามันอาจจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ อย่างไรก็คงต้องลองดูไปก่อน

……………………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย 224 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม 15)

Now you are reading พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย Chapter 224 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม 15) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

***

บลิสร้องไห้อยู่ในอ้อมอกของเธออยู่นานจนหมดสติไปในที่สุด

เพราะแบบนั้น นั่นจึงกลายเป็นหนึ่งในเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้อาเรียร้องเรียกหมอหลวงออกมาด้วยเสียงที่ดังลั่นอย่างไม่สมกับเป็นเธอ

“คงเป็นเพราะใช้เรี่ยวแรงมากไปหน่อยเลยหลับไปค่ะ เดิมทีก็ร่างกายอ่อนแออยู่แล้วด้วย และก็มีไข้นิดหน่อย เดี๋ยวดิฉันจะจัดยาลดไข้ให้นะคะ อาการไม่ได้รุนแรงมาก อย่ากังวลเลยค่ะ”

อาเรียก็พยักหน้านิ่งๆ เมื่อได้ฟังคำวินิจฉัยของหมอหลวง

เมื่อตอนที่ร้องไห้คราวที่แล้วบลิสยังดูปกติดีอยู่ แต่ดูเหมือนคราวนี้จะกลัวจนเครียดขึ้นมา

อย่างไรก็ตามยังโชคดีที่บลิสไม่เป็นอะไรมาก แต่ถึงอย่างนั้นอาเรียก็ยังไม่ลืมขอให้หมอช่วยตรวจดูอีกทีว่าบลิสมีอาการผิดปกติอย่างอื่นหรือไม่

“ไม่มีอะไรผิดปกติใช่ไหม แล้วทำไมร่างกายถึงอ่อนแอแบบนี้ล่ะ”

“ไม่มีค่ะ ส่วนทำไมร่างกายถึงอ่อนแอนั้น ดิฉันคงบอกได้อย่างเดียวว่าคุณหนูมีร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิดค่ะ”

“อืม งั้นหรือ อย่างนี้นี่เอง”

ก็คงจะเป็นอย่างนั้น เพราะถ้ามีวิธีทำให้บลิสแข็งแรงขึ้น ตัวเธอในอนาคตก็คงจะทำไปหมดแล้ว แต่เพราะไม่มีวิธีรักษาอะไรเป็นพิเศษ เลยถูกเลี้ยงดูโดยที่ร่างกายอ่อนแอแบบนั้น

และบางทีบลิสอาจจะถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจเพราะกลัวว่าจะตกใจกลัวเหมือนกับที่ตนทำในตอนนี้ก็เป็นได้

ตอนนี้อาเรียเข้าใจแล้วว่าทำไมบลิสถึงดูไม่มีมารยาทสักเท่าไหร่

ตัวเธอในอนาคตคงจะรู้สึกผิดที่ทำให้บลิสเกิดมามีร่างกายอ่อนแอแน่ๆ

‘แล้วทำไมบลิสถึงย้อนเวลามาในอดีตกันแน่’

ความสงสัยเพิ่มพูนมากขึ้น เพราะไม่มีทางที่ตัวเธอในอนาคตจะดูและบลิสอย่างทิ้งขว้างแน่ๆ

‘ไม่สิ เรื่องแบบนั้นยังสรุปไม่ได้หรอก เพราะบลิสบอกเองว่าเธอเป็นเด็กไม่ดีที่ต้องหายไป’

แถมบลิสยังพูดอีกว่าแม่แท้ๆ ซึ่งก็คือตัวเธอเองนั้นป่วย เพราะอย่างนั้นก็มีเพียงข้อสรุปเดียวที่เธอคาดเดาได้

‘อย่าบอกนะว่า…ฉันเฆี่ยนตีบลิส…แต่ก็ไม่เห็นบลิสมีรอยแผลอะไรเลยนี่นา หรือว่าฉันพูดจารุนแรงใส่เธอรึเปล่า’

แม้จะเป็นข้อสรุปที่เกินคาดไปหน่อย แต่ก็ถือว่ามีเหตุผลและมีความเป็นไปได้

และมันเป็นข้อสรุปที่สามารถอธิบายถึงสิ่งที่บลิสเคยพูดออกมา รวมถึงเหตุผลที่ย้อนเวลากลับมาในอดีตด้วย

เด็กที่ไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่มักจะโหยหาความรักในระดับที่มากกว่าปกติ เหมือนกับบลิสในตอนนี้

อาเรียนึกไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะมีนิสัยแบบนั้น หากว่าเธอให้กำเนิดเด็กที่เหมือนกับคารินแม่ของเธอออกมาละก็ เธอก็คงอยากจะเลี้ยงดูเด็กคนนั้นเป็นอย่างดีไม่ใช่หรอกหรือ

แต่กลับกลายเป็นเฆี่ยนตีเด็กแทนเนี่ยนะ

‘ถึงแม้ว่าร่างกายจะเสื่อมโทรมเพราะคลอดลูกก็เถอะ แต่การรังแกเด็กตัวเล็กๆ แค่นี้มันดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย’

อาเรียตกใจ เธอคิดไปเองว่านั่นคือคำตอบที่ถูกต้องโดยที่ไม่รู้ว่ามันผิดไปจากความจริงในบางส่วน

สีหน้าของอาเรียทำให้หมอเข้าใจผิดว่าเธอเป็นกังวล จึงบอกกับอาเรียว่าจะไปจัดยาบำรุงกำลังมาให้และออกไปจากห้อง

ในระหว่างนั้น อาเรียก็ตั้งสติและพาตัวเองออกมาจากความตกใจนั้นอย่างยากเย็น เธอพยายามควบคุมสีหน้าอีกครั้ง

และครุ่นคิดอย่างจริงจังว่าจะต้องทำอย่างไร ถึงจะแก้ไขสถานการณ์ที่จะนำไปสู่ความแตกสลายนี้ได้

***

วันถัดมา บลิสลืมตาตื่นขึ้นราวๆ ช่วงเที่ยงวัน

ดูจากการที่บลิสนอนหลับไปตั้งแต่ช่วงสายของเมื่อวานแล้ว ถือว่าเธอหลับนานผิดปกติ

เพราะแบบนั้นอาเรียจึงเป็นกังวลและเดินเข้าออกห้องของบลิสอยู่หลายครั้ง

แล้วอาเรียก็สบตาเข้ากับบลิสที่โผล่ออกมาให้เห็นแค่ดวงตาภายใต้ผ้าห่ม

“ตื่นแล้วเหรอ ดีขึ้นแล้วรึยัง”

“…อึม อืม…! ”

ทั้งที่ไม่ได้ขู่อะไรเลย แต่บลิสกลับสะดุ้งและซ่อนตัวเข้าไปในผ้าห่มอีกครั้งแล้วตอบออกมา

“เจ็บตรงไหนรึเปล่า ทำไมถึงทำอย่างนั้นล่ะ”

“คือว่า…”

แม้จะถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุดแล้วก็ตาม แต่เสียงของบลิสกลับฟังดูหม่นหมองอีกครั้ง

และยังกำผ้านวมอ่อนนุ่มเอาไว้ราวกับว่ามันเป็นโล่ป้องกันอันแข็งแกร่ง

คงเป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เธอถึงได้มีท่าทางแบบนั้น

เพราะรู้ความจริงเข้าแล้ว สิ่งเดียวที่อาเรียคิดได้ก็คือบลิสน่าสงสารมาก

และเพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจเด็กที่มีบาดแผลในใจเป็นทุนเดิมมากไปกว่านี้ อาเรียจึงแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจอะไรทั้งสิ้นแล้วชวนคุยขึ้นมา

“ดูจะไม่สบายจริงๆ สินะเนี่ย คงต้องเรียกหมอมาดูแล้วละ ที่จริงฉันคิดว่าจะชวนเธอกินมื้อกลางวันด้วยกันน่ะ แต่ในเมื่อเธอไม่สบายแบบนี้ เห็นทีคงต้องให้เธอกินข้าวคนเดียวในห้องเสียแล้ว”

“…ฮะ”

จะไม่ถามเรื่องเมื่อวานอีกแล้วใช่ไหม

ราวกับจะถามออกมาแบบนั้น แน่นอนว่าอาเรียเองก็กลัวที่จะฟังคำตอบนั้นเช่นกัน เธอจึงไม่อยากถามอะไร

ไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะเฆี่ยนตีลูกที่ตัวเองเกิดมา แม้แต่อาซเองก็ไม่แสดงท่าทีอะไรให้เป็นที่สังเกต

“ตอนกลางวันแสงแดดกำลังดีเลยว่าจะเข้าไปทานอาหารในสวนน่ะ แต่เพราะเธอยังป่วยอยู่ ก็คงจะทำอะไรไม่ได้ละนะ”

ดังนั้นอาเรียทำเป็นนิ่งเฉยอีกครั้ง แล้วบลิสก็โผล่หน้าออกมาจากผ้าห่ม

สังเกตจากแก้มที่เรื่อแดงและสายตาแวววับเป็นประกายนั่นแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าบลิสอยากจะทานมื้อกลางวันด้วย

อาเรียทำหน้าเสียดายและพูดว่า

“ดูท่าจะป่วยจริงๆ นะเนี่ย แก้มก็แดงขึ้นมาอีก เดี๋ยวฉันจะเรียกหมอมาดูอาการให้นะ บลิสเธออยู่ตรงนี้-“

“ไม่ใช่! ”

บลิสตอบออกมาอย่างรวดเร็วและเด้งตัวออกมาจากผ้าห่ม

“หนูไม่เป็นอะไร! ไม่เป็นอะไรเลย! หนูแข็งแรงออก! “

“จริงเหรอ”

“อื้ม! ใช่! จริงๆ นะ! ดูนี่สิ! “

บลิสลุกขึ้นมากระโดดดึ๋งๆ บนเตียง เธอกระโดดแรงเสียจนน่ากลัวว่าจะตกลงมาและเจ็บตัวเอาได้ ดูเหมือนเรี่ยวแรงของเธอจะกลับมาเหมือนเดิมแล้ว ก็เท่ากับว่าจุดประสงค์ของอาเรียสำเร็จแล้วนั่นเอง

โล่งอกไปที ต่อจากนี้ไปอาเรียคิดว่าเธอจะไม่ซักไซ้อะไร จนกว่าตัวเด็กจะยอมพูดออกมาเอง

ใช้ตัวตนของแม่ในอดีตเป็นที่หลบหนีแม่ที่ทุบตีตัวเองอย่างนั้นหรือ นั่นมันเป็นชีวิตที่น่าเศร้าและโหดร้ายเอามากๆ เลยไม่ใช่รึไง

อาเรียคิดไปเองแบบนั้น เธอปราดตามองดูบลิสตั้งแต่หัวจรดเท้าและพูดว่า

“โล่งอกไปที เห็นเธอหน้าแดง ผมเผ้ายุ่งเหยิง แถมยังตาบวมเป่งอีกต่างหาก ฉันก็นึกว่าเธอป่วยเสียอีกน่ะสิ”

บลิสเข้าใจได้ว่านั่นเป็นการตำหนิ เธอจึงรีบสางผมด้วยนิ้วมือของตัวเองอย่างลนลาน

จากนั้นก็มองไปรอบๆ ตัว แล้วหันไปทางเหยือกน้ำเย็น

“อย่าบอกนะว่า…เธอคงไม่คิดที่จะล้างหน้าด้วยน้ำนั่นหรอกใช่ไหม”

บลิสสะดุ้งโหยงขึ้น ราวกับว่าเธอตั้งใจจะทำเช่นนั้นด้วยความร้อนใจ

เป็นเด็กที่อ่านใจง่ายอะไรขนาดนี้ อาเรียพยายามกลั้นไม่ให้ตัวเองหัวเราะออกมาพูดว่า

“ถึงฉันจะยุ่งมากก็ตาม แต่แค่ล้างหน้าและเปลี่ยนเสื้อผ้าน่ะ ฉันรอได้หรอกน่า”

“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้นนะ! เปล่าเลย! จริงนะ! จริงๆ-! “

บลิสที่คิดจะทำเช่นนั้นปฏิเสธเสียงแข็งออกมา โดยที่ไม่รู้เลยว่านั่นยิ่งดูผิดปกติมากกว่าเดิม

อาเรียรู้สึกสนุกที่ได้เห็นท่าทางน่ารักแบบนั้น แต่เพราะบลิสกระวนกระวายและตามหาสาวขึ้นมาอย่างลุกลี้ลุกลน อาเรียจึงได้แต่ปล่อยเธอไปและยิ้มอย่างเอ็นดูขึ้นมาก่อนออกไปจากห้อง

***

ตั้งแต่วันนั้นมาอาเรียที่มักจะมีท่าทีเย็นชาต่อบลิสก็เริ่มเข้าหาบลิสอย่างอ่อนโยนมากขึ้นด้วยเพราะรู้สึกผิดนั่นเอง

ทั้งคู่ทานอาหารพร้อมกัน อีกทั้งอาเรียยังปล่อยให้บลิสเล่นสนุกไปมาอยู่ในห้องทำงานของเธออีกด้วย

พูดกันตามตรงแล้วตอนแรกที่เธอทำดีต่อบลิสก็เป็นเพราะบลิสน่าสงสาร แต่พออยู่ด้วยกันหลายวันเข้าก็รู้สึกชินขึ้นมา

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอมองว่าบลิสเป็นลูกของตนเองด้วยหรือเปล่า เวลาที่บลิสอยู่ต่อหน้าเธอจึงไม่รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด

กลับกัน เวลาที่เธอมุ่งมั่นกับงานแล้วรู้สึกเหนื่อยขึ้นมา พอหันสายตาไปมองบลิสเล่นกับตุ๊กตาหรือนอนหลับคาหนังสือเข้า ก็ทำให้รู้สึกเหมือนหายเหนื่อยขึ้นมา

อาซเองแม้จะไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา แต่เพราะเห็นอาเรียเปลี่ยนไปเขาจึงคิดว่าเธอคงรู้ความจริงเข้าแล้ว

แต่เพราะมันเป็นเรื่องที่พูดได้ยาก จึงไม่มีใครคิดจะเอ่ยเรื่องนี้ออกมาเป็นคนแรก

อาซรอให้อาเรียจัดการกับความคิดในหัวของเธอ ส่วนอาเรียก็รอให้อาซพูดมันออกมาก่อน

“พี่คะ! ไม่ไปเดินเล่นเหรอ หนูอยากเดินดูดอกไม้! หนูอยากดูดอกทิวลิปที่กลิ่นหอมเหมือนพี่สาวไง! ”

แม้จะไม่มีใครอยู่แต่บลิสก็ยังเรียกอาเรียว่าพี่สาว อาเรียมองดูบลิสด้วยสายตาที่อ่อนโยนก่อนจะวางเอกสารที่ถืออยู่ในมือลงและลุกขึ้นมา

“ถึงเธอจะไม่ชวน ฉันก็คิดว่าออกไปสูดอากาศข้างนอกก็คงดีเหมือนกัน ดีล่ะ”

แม้ว่าอาเรียจะไม่ได้คิดแบบนั้นเลยก็ตาม แต่พอได้ยินบลิสตอบตกลงและเข้ามาจับมือของตน อาเรียก็เดินตามแรงดึงของบลิสออกไปข้างนอกอย่างง่ายดาย

“หลังจากเดินเล่นแล้วเรากินไอศกรีมด้วยกันได้ไหมคะ”

“ได้สิ เอาเป็นไอศกรีมที่ใส่เชอร์รี่ลงไปด้วยแล้วกัน”

“จริงเหรอ ว้าว-! งั้นรีบเดินเล่นให้เสร็จกันเถอะ! ”

ทั้งที่เป็นคนชวนเธอออกมาเดินเล่นด้วยกันแท้ๆ แต่พอพูดถึงไอศกรีมเชอร์รี่ที่บลิสชอบขึ้นมา เรื่องเดินเล่นก็กลายเป็นเรื่องรองไปเสียอย่างนั้น

บลิสดูดอกไม้แบบผ่านๆ และบอกว่ารีบไปกินไอศกรีมกันเถอะ ก่อนจะเดินด้วยฝีเท้าที่เร็วขึ้นถึงสามเท่า

“บลิส เธอเหมือนม้าจังเลยนะรู้ไหม เพราะในวังนี้ไม่มีใครจะวิ่งได้อย่างเร่งรีบเท่าม้าอีกแล้วอย่างไรล่ะ”

แม้จะพูดออกมาอย่างเรียบง่าย แต่ก็แฝงด้วยคำติอยู่ในนั้น แม้จะรู้เรื่องนี้ดีแต่คงเพราะอยากจะกินไอศกรีมมากกว่า บลิสจึงไม่สนใจและหัวเราะแหะๆ วิ่งผ่านระหว่างสวนดอกทิวลิปไป

ในระหว่างนั้นข้ารับใช้ก็ได้เตรียมไอศกรีมเชอร์รี่เอาไว้ จากนั้นบลิสที่เดินเล่นเสร็จอย่างรวดเร็วก็มานั่งทานไอศกรีมกับอาเรียท่ามกลางดอกทิวลิป

“ถ้าตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิก็คงจะดีละนะ”

อ้ำ บลิสตักไอศกรีมกินไปหนึ่งคำและพูดออกมาเรื่อยเปื่อย เมื่อได้ยินอย่างนั้นอาเรียก็หันไปมองบลิสช้าๆ และถามว่า

“ทำไมหรือ”

“เพราะจะมีงานเทศกาลจัดขึ้นนะสิ! งานเทศกาลมักจะจัดในฤดูใบไม้ผลิเย็นๆ ตลอดเลยนี่นา! ที่จริงแล้วหนูน่ะไม่เคยไปงานเทศกาลเลยสักครั้งเดียวละ”

แม้จะไม่ได้อธิบายเหตุผลออกมา แต่อาเรียก็ตระหนักได้ว่านั่นเป็นเพราะบลิสมีร่างกายที่ไม่แข็งแรงนั่นเอง

จากที่สังเกตมาหลายวัน บลิสมักจะทำตัวครึกโครมจนเป็นที่สะดุดตา เธอคงจะได้แต่พักผ่อนนอนอยู่เฉยๆ เท่านั้น

“หน้าต่างของห้องหนูน่ะนะ มองเห็นงานเทศกาลได้ชัดมากเลย ถึงหนูจะอยากไปมาตลอดแต่ก็ไม่เคยได้ไปสักที เพราะคุณแม่ไม่อยากให้ออกไปน่ะ”

งานเทศกาลคงจะสนุกสนานน่าดูใช่ไหมล่ะ มากกว่าการเดินเล่นในสวนทิวลิปเป็นไหนๆ

เมื่อได้ยินเสียงพึมพำและมองท่าทางกระดิกนิ้วไปมา อาเรียก็วางช้อนทานไอศกรีมลง

อุตส่าห์ได้กลับมายังอดีตทั้งที บลิสน่าจะได้ไปเที่ยวงานเทศกาลดูบ้างไม่ใช่หรือไง ถ้าไปเที่ยวแค่แป๊บเดียวก็คงจะไม่เป็นไร

“ไม่ได้กำหนดไว้เสียหน่อยว่างานเทศกาลต้องมีแค่ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น”

“ฮะ”

“ถ้าจัดงานเทศกาลขึ้นก่อนจะถึงคืนฉลองวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษกก็ไม่มีปัญหาหรอก จะจัดงานนานหน่อยก็ได้”

“ฮะ”

นั่นหมายความว่าไงน่ะ บลิสกะพริบตาปริบๆ ดูเหมือนเธอจะยังไม่เข้าในสิ่งที่อาเรียพูด

เพราะแบบนั้นอาเรียเลยเช็ดปากก่อนจะลุกขึ้นจะที่นั่งและพูดว่า

“เล่นอยู่คนเดียวไปก่อนนะ ฉันต้องไปจัดการเอกสารและเลื่อนเวลาให้เร็วขึ้นเพื่อจัดงานเทศกาลให้ทันภายในอาทิตย์นี้”

“ฮะ…อย่า อย่าบอกนะว่า…! ”

ในตอนนั้นเองที่บลิสเข้าใจว่าอาเรียกำลังพูดเรื่องอะไร เธอทำช้อนที่ถืออยู่ในมือหล่นลง

อย่าบอกนะว่าจะจัดงานเทศกาลขึ้นในตอนนี้ เพียงเพราะเธอบอกว่าอยากไปงานเทศกาลน่ะ บลิสได้แต่สงสัย

“ก็เธอบอกว่าไม่เคยไปเลยสักครั้งนี่นา แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย แถมยังไม่มีเหตุผลที่ทำให้จัดไม่ได้ด้วย เพราะอย่างนั้นเธอเล่นอยู่คนเดียวไปสักพักนะ”

สิ่งที่สงสัยเป็นเรื่องจริงขึ้นมา เมื่อเห็นว่าอาเรียออกจากห้องทำงานไปอย่างไม่ลังเล แก้มของบลิสก็แดงขึ้นมาราวกับจะระเบิดออกมา

“พระชายา! หนูอยากลองกินอาหารเสียบไม้ด้วยนะ! “

เสียงตะโกนที่ดังตามหลังมานั้นทำให้อาเรียหัวเราะออกมาเล็กน้อย พร้อมกับคิดว่าต้องสร้างร้านเนื้อเสียบไม้คุณภาพดีไว้ใกล้ๆ พระราชวังเสียแล้วและรีบเดินต่อไป

***

“คะ งานเทศกาลหรือคะ”

“ใช่ บลิสบอกว่าอยากไปงานเทศกาลดูน่ะ ถ้าในงานมีร้านแผงลอยกับการแสดงเป็นหลักแล้วละก็ เด็กๆ คงชอบใจน่าดู”

อาเรียยังพูดอีกด้วยว่าบลิสไม่ได้แข็งแรงมากนัก และสั่งให้ทางพระราชวังใส่ใจในการเตรียมวัตถุดิบปรุงอาหารด้วย

คำสั่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้รูบี้เบิกตาโตและย้อนถามกลับไป

“แต่ว่า หากทำเช่นแล้วละก็เรื่องค่าใช้จ่ายก็คง…”

“ฉันมีเงินส่วนตัวของฉันอยู่นี่นา เอามาใช้จัดงานก็ยังเหลืออยู่ดี”

เพราะอาเรียลงทุนในธุรกิจหลายๆ อย่างตั้งแต่ตอนอายุยังน้อย จึงมีเงินส่วนตัวจำนวนมหาศาลที่ไม่ว่าจะใช้เท่าไหร่ก็ไม่มีทางหมดนั่นเอง

หลังจากที่เธอกลายมาเป็นพระชายาขององค์รัชทายาท ส่วนแบ่งที่เธอได้รับกลับมาจากการทำให้ราชอาณาจักรเกิดความรุ่งเรืองและการสนับสนุนของประชาชนนั้นมีมากมายมหาศาล แต่ถึงอย่างนั้นทุกๆ ธุรกิจที่อาเรียเข้าไปเกี่ยวข้องก็มักจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างล้นหลาม ทำให้ทรัพย์สมบัติของอาเรียมีแต่จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ

“ต้องเอาออกมาใช้ในตอนนี้นี่แหละ จะเก็บไว้เฉยๆ ทำไมกัน จะจัดงานเทศกาลทั้งทีก็ใช้มันให้เต็มที่ไปเลย ไม่ต้องประหยัดงบนะ แล้วก็ใส่ใจเรื่องความปลอดภัยด้วย อ๊ะ แล้วก็ทำจุดพักไว้หลายๆ แห่งด้วยละ”

อาเรียบอกว่าเธอเขียนเรื่องที่สำคัญทั้งหมดลงในเอกสารแล้ว และยื่นเอกสารอันหนักอึ้งให้รูบี้

ปกติอาเรียก็ยุ่งมากพออยู่แล้ว แต่เพราะกลัวว่าคำพูดรุนแรงของแอนนี่จะส่งผลกระทบอะไรไป รูบี้จึงได้แต่เฝ้าสังเกตอยู่เฉยๆ จนสุดท้ายก็กลายเป็นว่างานเยอะขึ้นมากกว่าเดิม

รูบี้ทำหน้าไม่พอใจขึ้นมา แต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น

และก่อนที่อาเรียจะสังเกตเห็น เจ้าหล่อนก็ปั้นยิ้มออกมาและบอกว่าจะทำตามที่สั่งพร้อมรับเอกสารไป

“ค่ะ! พระชายา ถ้าอย่างนั้นดิฉันจะรีบป่าวประกาศให้ค่ะ พระชายาคงจะเหนื่อย ดื่มชาสักหน่อยดีไหมคะ”

“ไม่ล่ะ ไม่เป็นไร ฉันว่าจะงีบเสียหน่อยน่ะ”

ท่าทางอาเรียจะเหนื่อยเพราะบลิสจริงๆ

รูบี้กำเอกสารในมือแน่น และบอกว่าให้อาเรียพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนจะแสดงความเคารพและออกไปจากห้องทำงานอย่างเร่งรีบ

หลังจากนั้นในขณะที่นั่งหลับตาไล่ความเหนื่อยล้าอยู่ในห้องทำงานที่ปล่อยว่างไว้มานาน อาเรียก็นึกถึงคำพูดที่แอนนี่เคยบอกก่อนหน้านี้ขึ้นมา

‘จะว่าไปแล้วแอนนี่พูดอะไรเกี่ยวกับรูบี้เอาไว้สินะ’

เธอบอกว่ารูบี้ไม่ค่อยพอใจบลิสสักเท่าไหร่

ในวันนี้ท่าทางของรูบี้ก็ยังดูนอบน้อมเหมือนเคย แต่พอมาคิดดูอีกครั้งแล้ว ตอนที่บอกว่าจะจัดงานเทศกาลให้บลิส รูบี้ก็เงียบขึ้นมาครู่หนึ่ง

เธออาจจะกังวลไปเองก็ได้ แต่ก็ไม่แน่ว่ามันอาจจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ อย่างไรก็คงต้องลองดูไปก่อน

……………………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+