หนึ่งฝ่ามือสยบโลกาบทที่ 400 จดหมาย

Now you are reading หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา Chapter บทที่ 400 จดหมาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังพึงพอใจในผลงานของตนเอง เฉินมู่และพรรคพวกกำลังเดือดพล่านด้วยความเกลียดชัง และหลี่หว่านเอ๋อร์กำลังพ่นควันออกหูพร้อมคำข่มขู่… ตระกูลนภาห้าสมัย สำนักรุ่งสางจักรพิภพ และสำนักสหชุมนุมสกุณา ก็ได้รับรายงานจากศิษย์ของตน ทุกคนทราบสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่นครใหม่ และต่างพลุ่งพล่านด้วยโทสะ

โดยเฉพาะตระกูลนภาห้าสมัยที่ถูกยึดทรัพยากรไป พวกเขาได้รับความเสียหายเป็นอันมาก และรีบเข้าพบประธานสหพันธรัฐโดยทันที

ประธานสหพันธรัฐให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอันมาก เขาตั้งคณะสืบสวนสอบสวนพิเศษขึ้น โดยมีเจ้านครดาวอังคารเป็นผู้นำทัพ คณะนี้มีหน้าที่ดูแลสืบค้นเรื่องนี้โดยเฉพาะ

แม้สหพันธรัฐดูเหมือนตั้งใจเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่ทั้งตระกูลนภาห้าสมัย สำนักรุ่งสางจักรพิภพ และสำนักสหชุมนุมสกุณา ก็กลับโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิม พวกเขาไม่ใช่เด็กอมมือไม่ทันคนอย่างเฉินมู่ ทั้งสามกลุ่มอำนาจเต็มไปด้วยคนที่มากความสามารถและสติปัญญา และคุ้นเคยกับกลเม็ดทางการเมืองของสหพันธรัฐเป็นอย่างดี ทุกคนรู้ดีกว่า ท่าทีขึงขังในการรับมือปัญหาของสหพันธรัฐ เป็นเพียงฉากหน้าเพื่อที่จะหนีปัญหาและหลบเลี่ยงความรับผิดชอบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต!

แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงเสียด้วย เจ้านครดาวอังคารนำคณะเข้าสอบสวนสิ่งที่เกิดขึ้น โดยสัญญาว่าจะให้คำตอบทุกคนภายในสองสัปดาห์

ความทุกข์ของเฉินมู่และพรรคพวกทวีขึ้นเมื่อทราบเรื่อง พวกเขาต้องอดทนกับการถูกจองจำมาระยะหนึ่งแล้ว คนนอกห้ามเข้า ส่วนคนในก็ห้ามออก แถมทรัพยากรทุกอย่างก็ถูกยึดเอาไว้เสียหมดสิ้น สำนักรุ่งสางจักรพิภพและสำนักสหชุมนุมสั่งให้เรือบินขนทรัพยากรของตนถอยหลังกลับกลางคันเมื่อได้เห็นตัวอย่าง

ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ที่ถูกขังอยู่ภายในเขตต่างรู้สึกอับจนหนทาง หากเรื่องนี้ดำเนินไปอีกสองสัปดาห์ ทุกคนคงได้อดตายของจริง

นั่นเพราะ… ผู้ฝึกตนหลังกำแพงส่วนใหญ่มีปราณเพียงขั้นการฝึกตนโบราณ ลมหายใจเที่ยงแท้ และรากฐานตั้งมั่นเท่านั้น จึงไม่สามารถอดทนต่อการไม่ได้รับอาหารและน้ำอย่างผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในได้ พืชพันธุ์และข้าวล้วนยังเป็นสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิตของพวกเขา น้ำเองก็เช่นกัน

ดาวอังคารมีระบบจัดการน้ำดื่มเป็นของตนเอง แต่ก็ยังต้องใช้พลังงานจำนวนมากในการเดินเครื่องผลิตน้ำดื่ม เมื่อเขตปกครองตนเองทั้งสามถูกปิดตาย ทรัพยากรที่เริ่มร่อยหรอทำให้พวกเขาไม่มีพลังงานมากพอจะเดินเครื่องผลิตน้ำดื่ม ทุกคนจึงต้องจำกัดการดื่มน้ำของตน

ผู้ฝึกตนหลังกำแพงเขตปกครองตนเองทั้งสามเขตล้วนเป็นคนของสามกลุ่มอำนาจทั้งสิ้น เนื่องจากการก่อสร้างของสามเขตนี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี บุคคลทั่วไปจึงยังย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานไม่ได้ ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงไร้ซึ่งความเมตตาสงสารในการต่อกรกับเฉินมู่และพรรคพวกอย่างสิ้นเชิง

ในที่สุดผู้อยู่อาศัยของเขตปกครองตนเองทั้งสามเขตก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป พวกเขาเริ่มร้องทุกข์ เฉินมู่และนายกเทศมนตรีอีกสองคนก็กระวนกระวายใกล้คลั่ง ส่วนหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ด้วยเหตุนี้กลุ่มอำนาจทั้งสามจึงขอให้หัวหน้าเสนาบดีเข้ามาจัดการเรื่องนี้โดยเร็ว

แม้แต่ประธานสหพันธรัฐและเจ้านครดาวอังคารยังต้องเกรงใจหัวหน้าเสนาบดี เจ้านครดาวอังคารยอมอธิบายเหตุการณ์ให้อีกฝ่ายฟังในที่สุด

“หวังเป่าเล่อมีอำนาจเบ็ดเสร็จเรื่องความปลอดภัยของนครใหม่ แม้แต่ตัวข้าเองก็เข้าไปยุ่มย่ามไม่ได้!” เจ้านครดาวอังคารส่งข้อความไปหาหัวหน้าเสนาบดี รวมถึงแนบเอกสารไปให้ด้วย

เอกสารนั้นคือเอกสารที่หวังเป่าเล่อส่งให้นาง ซึ่งระบุรายละเอียดเรื่องการกัดกร่อนของกำแพงอาวุธเทพ รวมถึงคำมั่นว่ากำแพงนั้นจะสลายไปหมดภายในสามปี ซึ่งเป็นเครื่องรับประกันทางการทหารของหวังเป่าเล่อ

หัวหน้าเสนาบดีเงียบไปเมื่อได้อ่านเอกสาร ไม่นานนักแสงประหลาดก็วาบขึ้นในดวงตาของเขา การเดินหมากของหวังเป่าเล่อทำให้หัวหน้าเสนาบดีมองชายหนุ่มในมุมมองใหม่อย่างจริงจังเป็นครั้งแรก

“เฉินมู่กับหวังเป่าเล่อนี่มวยคนละชั้นจริงๆ !” หัวหน้าเสนาบดีส่งเอกสาร ข้อความของเจ้านครดาวอังคาร และความคิดเห็นของตนต่อสถานการณ์นี้ให้ตระกูลนภาห้าสมัย สำนักรุ่งสางจักรพิภพ และสำนักสหชุมนุมสกุณา จากนั้นก็ถอนตัวจากเรื่องนี้ในทันที

หัวหน้าเสนาบดีรู้ดีว่า ตราบใดที่ข้อมูลนี้เป็นความจริง และเครื่องรับประกันทางการทหารของหวังเป่าเล่อยังมีผล อีกทั้งกำแพงยังกร่อนไปเรื่อยๆ ด้วยความเร็วเท่านี้ และหากหวังเป่าเล่อไม่เลื่อยขาเก้าอี้ตนเอง ตำแหน่งเจ้าเมืองก็ไม่มีวันหลุดจากมือเขาไปได้

หลังได้รับคำตอบจากหัวหน้าเสนาบดี สำนักรุ่งสางจักรพิภพและสำนักสหชุมนุมสกุณาก็เงียบไป สำนักรุ่งสางจักรพิภพเป็นกลุ่มแรกที่มีปฏิกิริยา พวกเขาติดต่อเวินไหวในทันที แจ้งให้ชายหนุ่มตีตนออกห่างเฉินมู่เสีย และให้เข้าเป็นพวกเดียวกับหวังเป่าเล่อ ทางสำนักรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างสำนักและหวังเป่าเล่อตึงเครียดมานาน กลุ่มผู้อาวุโสประจำสำนักตัดสินใจแทนประมุขสำนักที่บัดนี้ถูกลงโทษให้ถือสันโดษ พวกเขาค้นคว้าข้อมูลและตัดสินใจจะเพิ่มจำนวนทรัพยากรที่ส่งให้นครอาวุธเทพใหม่

นอกจากนี้ พวกเขายังยอมรับและสนับสนุนการตัดสินใจของหวังเป่าเล่อที่จะรวบรวมทรัพยากรทั้งหมดเข้าด้วยกันภายใต้การควบคุมดูแลชั่วคราวของกองทัพ

เขตปกครองตนเองของเวินไหวไม่ได้ต้องการทรัพยากรมากมายในการก่อสร้าง ด้วยเหตุนี้ ทรัพยากรส่วนเกินที่สำนักมอบให้จึงชัดเจนว่าพวกเขาต้องการทำสิ่งใด การตัดสินใจนี้แสดงให้เห็นว่าสำนักรุ่งสางจักรพิภพกล้าหาญและเด็ดขาดเพียงใด เมื่อเวินไหวได้รับข้อความจากสำนักของตน ชายหนุ่มก็รวบรวมความกล้าส่งข้อความไปหาหวังเป่าเล่อเพื่ออธิบายว่าสำนักของเขาต้องการจะทำอะไร เมื่อได้ยิน หวังเป่าเล่อก็อึ้งไปชั่วครู่

สำนักรุ่งสางจักรพิภพนี่เหลือเชื่อจริงๆ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง แม้ภายในใจลึกๆ เขาจะพอใจกับการตัดสินใจของสำนักรุ่งสางจักรพิภพ แต่เขาก็ยังอยากลองบีบให้ได้ผลประโยชน์มากกว่านี้ดู ชายหนุ่มกระแอมกระไอก่อนส่งข้อความกลับไปหาเวินไหว

“เวินไหว ข้าเข้าใจดีว่างานในเขตปกครองตนเองของเจ้าคงมีอยู่ล้นมือ เจ้ายังหนุ่มแน่นและอยู่ในวัยกำลังโต ข้าเกรงว่าเจ้าอาจจัดการได้ไม่ครอบคลุมด้วยตนเอง” หวังเป่าเล่อพยายามสื่อความหมายแฝง

เวินไหวเงียบไป เขาไม่ใช่คนโง่และรู้ดีว่าหวังเป่าเล่อต้องการจะสื่อสิ่งใด หากเป็นเมื่อก่อน เวินไหวคงพยายามต่อต้านหัวชนฝา แต่ในเมื่อสำนักของเขายอมจำนนเรียบร้อยแล้ว เวินไหวก็ไม่รู้สึกเสียหน้าที่จะทำเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มยิ้มบิดเบี้ยวก่อนเอ่ยตอบ

“ข้าขอขอบพระคุณท่านเจ้าเมือง ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านคนนี้มีงานล้นมือมากจริงเสียด้วย ข้าจึงต้องการให้ท่านเจ้าเมืองส่งลูกมือมาช่วยเหลือ…”

หวังเป่าเล่อสบายใจต่อทัศนคติคล้อยตามของเวินไหว ทั้งสองพูดคุยกันอีกเล็กน้อย หวังเป่าเล่อแนะนำหลิวต้าวปินให้เวินไหวทราบโดยย่อ เวินไหวจับนัยได้ทันที และเสนอให้หลิวต้าวปินมารับหน้าที่รองนายกเทศมนตรีในเขตของเขา โดยเวินไหวจะเป็นฝ่ายจัดการเอกสารการส่งตัวเอง

หลังจากที่พูดคุยกันจบ หวังเป่าเล่อก็เดินไปที่หน้าต่างเพื่อมองออกไปข้างนอก เขาตบพุงตนเอง ใจเอ่อล้นด้วยความสุข ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าตนเองปรับตัวให้เข้ากับการเป็นเจ้าเมืองได้เรียบร้อยแล้ว บัดนี้เขาใช้อำนาจได้อย่างคล่องมือ หวังเป่าเล่อส่งข้อความไปหาหลิวต้าวปินเพื่อชี้แจงเรื่องนี้เล็กน้อย หลิวต้าวปินแทบกระโดดตัวลอยด้วยความตื่นเต้นดีใจ เสียงของเขาสั่นเทา

“ท่านเจ้าเมืองไม่ต้องกังวลใจไปนะขอรับ ข้า หลิวต้าวปินคนนี้ จะคอยจับตามองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเขตใหม่อย่างละเอียดถี่ถ้วน ข้าขอเอาหัวตนเองเป็นประกันว่าจะไม่มีเรื่องไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ข้าจะไม่มีวันทำให้ท่านเจ้าเมืองผิดหวัง!”

หวังเป่าเล่อพอใจกับคำมั่นสัญญาของหลิวต้าวปินเป็นอันมาก จึงเริ่มออกคำสั่งหลิวต้าวปินต่อไป หลิวต้าวปินน้ำตาคลอแทบสะอึกสะอื้น ก่อนจะวางสายลงในที่สุด

เวินไหวเองก็รวดเร็วฉับไวในการทำงานเช่นกัน เขาใช้เวลาเพียงวันเดียวในการจัดการเอกสารการส่งตัว หลิวต้าวปินได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างไร้อุปสรรค และก้าวขึ้นมาเป็นรองนายกเทศมนตรีประจำเขตของเวินไหว แม้ตำแหน่งขุนนางของเขาจะยังปรับขึ้นไม่ได้ด้วยเวลาทำงานที่น้อยเกินไป แต่ชายหนุ่มก็สามารถเข้ารับตำแหน่งรองนายกเทศมนตรีได้โดยไร้ปัญหา

หวังเป่าเล่อที่กำลังสบายอกสบายใจสั่งให้หลินเทียนหาวเลิกปิดตายเขตของเวินไหว ประตูเมืองเปิดออกอีกครั้ง เวินไหวได้รับอิสรภาพในที่สุด ทรัพยากรมากมายมหาศาลเริ่มหลั่งไหลเข้าในเขต

ในที่สุดเวินไหวก็หายใจได้โล่งปอดอีกครั้ง เขาตัดสินใจได้แล้วว่าตัวเองควรทำอย่างไร ต่อจากนี้ใครก็ตามที่ต้องการหาเหาใส่หัว ควรจะจัดการเองโดยไม่ดึงเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยว เวินไหวคนนี้จะไม่มีวันยืนฝั่งตรงข้ามกับหวังเป่าเล่ออีก หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ

การทรยศของเวินไหวทำให้เฉินมู่เดือดพล่านด้วยโทสะ แต่ก็ไม่มีอำนาจพอจะทำอะไรได้ ฟางจิ้งที่ดูเหตุการณ์อยู่ตั้งแต่ต้นจนจบก็ได้รับคำสั่งจากสำนักของตนเช่นกัน แม้นางจะไม่พอใจ แต่ก็ต้องยอมจำนนตามเวินไหวไปในที่สุด

หวังเป่าเล่อจัดการทำลายความตึงเครียดระหว่างตัวเขาและสองกลุ่มอำนาจได้สำเร็จ มีแต่เฉินมู่เท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดต่อสู้อยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผลกระทบจากการที่เขตถูกปิดตายก็เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขตปกครองตนเองของเฉินมู่แทบจะหมดสิ้นทั้งอาหาร น้ำ และทรัพยากรอื่นๆ ด้วยความที่ไม่ได้รับทรัพยากรเพิ่มจากโลกภายนอกเลย การก่อสร้างจึงชะงักลง กำแพงสูงที่โอบล้อมทำให้ความตึงเครียดทางจิตใจเพิ่มสูงขึ้น ทุกคนรู้สึกเหมือนตนเองกำลังติดอยู่ในเรือนจำปิดตาย ผู้ฝึกตนจากตระกูลนภาห้าสมัยภายใต้การนำของเฉินมู่ล้วนอดอยากและซึมเศร้า

ท้ายที่สุดแล้ว ตระกูลนภาห้าสมัยก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้ แม้เฉินมู่จะไม่ต้องการเช่นนั้นแม้แต่น้อย แต่เขาก็ต้องยอมศิโรราบต่อหวังเป่าเล่อในที่สุด… เฉินมู่จำใจส่งคำขอไปที่นครดาวอังคาร เนื้อหาระบุว่าจะขอสละความเป็นเขตปกครองตนเอง และขึ้นตรงต่อนครอาวุธเทพใหม่ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป!

การต่อสู้แสนดุเดือดที่ดำเนินไปเป็นเวลาสองสัปดาห์ก็มาถึงจุดจบทันทีที่เฉินมู่และคนอื่นๆ ยอมรับความปราชัยและศิโรราบต่อหวังเป่าเล่อ ผู้ฝึกตนทุกคนในนครใหม่ล้วนติดตามเรื่องนี้อย่างติดขอบจอตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่เห็นว่าเรื่องนี้จบอย่างไร ทุกคนก็ตระหนักได้ทันทีว่าเก้าอี้ของหวังเป่าเล่าในนครแห่งนี้ยังมั่นคงแข็งแรง เขาจะไม่มีวันก้าวลงจากอำนาจแน่นอน

นั่นเพราะตระกูลนภาห้าสมัย สำนักรุ่งสางจักรพิภพ และสำนักสหชุมนุมสกุณา ล้วนยอมอ่อนข้อให้หวังเป่าเล่อทั้งสิ้น เพียงเท่านี้ก็บอกได้แล้วว่าอนาคตของหวังเป่าเล่อในนครแห่งนี้จะสดใสเพียงใด

กลุ่มอำนาจอื่นในสหพันธรัฐก็ติดตามเรื่องนี้ด้วยความสนใจอย่างไม่คลาดสายตา เหตุการณ์นี้ทำให้ทุกกลุ่มอำนาจในสหพันธรัฐมองหวังเป่าเล่อด้วยความสนอกสนใจและเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น… ตั้งแต่เริ่มต้นเหตุการณ์นี้มา หวังเป่าเล่อไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาจัดการเรื่องทั้งหมดได้สำเร็จลุล่วงด้วยความสามารถของตนเอง!

ในตอนเดียวกันนั้น ในเขตหนึ่งของสหพันธรัฐที่ไม่ระบุอยู่ในแผนที่ มีเทือกเขาที่แต่งแต้มด้วยสายธารใสราวแก้ว ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ลับในสหพันธรัฐ ไม่มีผู้ฝึกตนคนใดตรวจจับการมีอยู่ของที่แห่งนี้ได้ด้วยพลังปราณของตน

ภายในเขตมีตำหนักหลังหนึ่งตั้งอยู่ เวลานี้ท้องฟ้าแต้มด้วยสีส้มสว่างจากอาทิตย์อัสดง ดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับส่องแสงสุดท้ายลงบนพื้นชั้นบนสุดของตำหนัก ภายในห้องมีชายวัยกลางคนนั่งอยู่ เขาแต่งกายด้วยชุดคลุมแขนยาวเรียบง่ายแลดูโบราณ และกำลังอ่านจดหมายที่ถืออยู่ในมือ โดยมีแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ส่องให้เห็นตัวหนังสือที่เขียนอยู่บนแผ่นกระดาษ

ใบหน้าของชายผู้นี้ดูธรรมดา แต่หากมีผู้ใดได้อยู่ในห้องนี้ คงรู้สึกเหมือนตนเองตาฝาดเห็นภาพหลอน เพราะชายหน้าตาธรรมดาผู้นี้ดูเหมือนจะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับท้องฟ้าและผืนดิน เมื่อได้มองเห็นชายผู้นี้ ก็รู้สึกเสมือนได้เห็นกฎแห่งสวรรค์และพื้นพิภพในร่างมนุษย์!

ในยุคกำเนิดวิญญาณ คนส่วนมากใช้แผ่นหยกในการสื่อสาร มีน้อยคนนักที่ยังคงอ่านจดหมายเหมือนชายผู้นี้ เขากำลังเพ่งสมาธิไปที่จดหมายในมือ ไม่นานนักชายวัยกลางคนผู้นี้ก็วางจดหมายลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไป ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มบาง

“ให้พ่อหนุ่มคนนี้เป็นสมาชิกพันธุ์กล้าเช่นนั้นหรือ เช่นนั้นก็เอาเถิด ลองดูสถานการณ์กันไปก่อนแล้วกัน” เมื่อพูดจบ ชายผู้นี้ก็วางจดหมายลงบนชั้นวางหนังสือชั้นล่างสุดที่อยู่เบื้องหน้า

ชั้นวางหนังสือนี้มีอยู่ทั้งหมดสามชั้นด้วยกัน ชั้นบนสุดมีจดหมายสีแดงวางอยู่สามฉบับ ชั้นที่สองมีจดหมายสีน้ำเงินอยู่เจ็ดถึงแปดฉบับ และชั้นสุดท้ายมีจดหมายที่หน้าตาเหมือนกับที่เขาถืออยู่ในมือหน้าหน้านี้วางอยู่สิบเจ็ดฉบับ!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด