หนึ่งฝ่ามือสยบโลกาบทที่ 774 ซากปรักหักพังลึกลับ!

Now you are reading หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา Chapter บทที่ 774 ซากปรักหักพังลึกลับ! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 774 ซากปรักหักพังลึกลับ!
จั่วอี้เซียนไม่กล้าปกปิดหลงหนานจื่อ ชายหนุ่มไม่มีทางจะรู้ได้เลยว่าหลงหนานจื่อแห่งกองทหารวิหคน้ำแข็งนั้นเป็นใคร แต่เพราะท่าทีที่เจ้านายเก่าของเขามีต่อหลงหนานจื่อและวิธีที่ผู้ฝึกตนหญิงทั้งหลายปฏิบัติต่อชายผู้นี้ ก็บอกจั่วอี้เซียนเป็นนัยๆ ว่าบุรุษผู้นี้ต้องเป็นคนมีชื่อเสียงในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เป็นแน่

ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่อีกฝ่ายถามก็ไม่ใช่ความลับสลักสำคัญอะไร วิญญาณของจั่วอี้เซียนถูกรื้อค้นตั้งแต่โดนจับตัวมาครั้งแรก เจ้านายเก่าของเขาซึ่งเป็นผู้ค้นวิญญาณเขานั้น มีระดับการฝึกตนสูงอยู่พอสมควร เป็นเหตุให้จิตใจของชายหนุ่มไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แม้จะเกิดความเสียหายไปบ้างก็ตามความลับใดๆ ที่เขาเก็บงำเอาไว้คงจะเป็นที่ล่วงรู้กันหมดสิ้นแล้ว

ความทรงจำนั้นทำให้จั่วอี้เซียนทอดถอนใจอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจบอกภูมิหลังและทุกสิ่งที่รู้กับหวังเป่าเล่อไปตามตรง ชายหนุ่มบอกทั้งชื่อตัว ตระกูล และที่อยู่บ้านให้อีกฝ่ายรู้ เล่าถึงสหพันธรัฐ โลก และระบบสุริยะ พูดถึงกระทั่งสำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ทุกๆ สิ่งที่ทั้งพูดได้และไม่ควรพูด…จั่วอี้เซียนบอกหวังเป่าเล่อไปทั้งหมด

สีหน้าของหวังเป่าเล่อดูนิ่งสงบ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความคิดมากมายกำลังหมุนวนอยู่ภายในศีรษะของชายหนุ่ม จั่วอี้เซียนไม่ใช่เพียงคนเดียวที่หายตัวไป จั่วอี้ฟานก็หายไปเช่นกัน แต่จากสิ่งที่จั่วอี้เซียนพูด ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะอยู่ตัวคนเดียวเมื่อตอนถูกจับ เพื่อเป็นการปกปิดตัวตนของเขาให้เป็นความลับต่อไป หวังเป่าเล่อจึงขัดจังหวะการเล่าของจั่วอี้เซียนขึ้นมาและเริ่มถามเจาะลึกเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้งของระบบสุริยะรวมถึงกระบี่โบราณประหลาด เมื่อคำอธิบายเพิ่มเติมของจั่วอี้เซียนตรงกับความคาดเดาของเขา หวังเป่าเล่อก็ปล่อยให้นัยน์ตาของตนฉายแววตื่นเต้นและโลภโมโทสันออกมาอย่างตั้งใจ หัวใจของจั่วอี้เซียนเริ่มหนักอึ้งไปด้วยความขมขื่นเมื่อเห็นแววตานั้น

แต่จั่วอี้เซียนก็ปล่อยวางได้อย่างรวดเร็ว เจ้านายคนเก่าของเขาก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน และตอนนี้ชายหนุ่มก็ไม่อยู่ในสถานะที่จะห่วงสิ่งใดได้นอกจากตนเอง

หวังเป่าเล่อเองก็กำลังชั่งน้ำหนักความเป็นไปได้ที่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของระบบสุริยะ เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ ระบบสุริยะไม่ได้ห่างไกลจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เท่าใดนัก แต่จักรวาลนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ความผิดพลาดของระบบนำทางเพียงเล็กน้อยอาจพาพวกเขาไปไกลจากจุดหมายที่ตั้งใจไว้ การจะหาตำแหน่งที่ตั้งอันแน่นอนของระบบสุริยะอาจต้องใช้ทั้งเวลาและความพยายามในการสำรวจ

สิ่งนี้เป็นดั่งคำเตือนให้หวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรู้ดีว่า หากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เกิดค้นพบระบบสุริยะและสหพันธรัฐเมื่อใด พวกเขาย่อมพุ่งเข้าไปขย้ำระบบสุริยะราวกับเป็นฝูงหมาป่าที่โหยหาทั้งสมบัติและการเข่นฆ่าเป็นแน่

จั่วอี้เซียนยังเล่ารายละเอียดตอนที่มาปรากฏตัวในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แห่งนี้ด้วย ตอนนั้นชายหนุ่มอยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ และกำลังสำรวจซากปรักหักพังที่อยู่ใต้น้ำ จู่ๆ เขาก็ถูกเคลื่อนย้ายออกมา เมื่อรู้ตัวอีกครั้ง ชายหนุ่มก็มาปรากฏตัวอยู่บนสถานที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง

ที่แห่งนั้นเป็นทะเลทรายสีดำทมิฬที่ทอดไกลสุดลูกหูลูกตา มันเวิ้งว้างว่างเปล่า และปราศจากสัญญาณชีวิตใดๆ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเขาเดินรอนแรมอยู่ในทะเลทรายแห่งนั้นยาวนานเพียงใด ราวกับว่าเวลาของที่นั่นเดินด้วยความเร็วที่ต่างจากเวลาในโลกก็ไม่ปาน

สถานการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว หลังจากที่จั่วอี้เซียนล้มลุกคลุกคลานอยู่กลางทะเลทรายดำสนิทเป็นเวลานานและสูญเสียความหวังทั้งมวลไป ตอนนั้นเองชายหนุ่มก็ได้เห็นแสงสว่างสายหนึ่ง มันเข้ามาโอบล้อมกายเขาเอาไว้และเคลื่อนย้ายเขาออกไปอีกครั้ง ครานี้…เขาถูกเคลื่อนย้ายไปในถ้ำแห่งหนึ่ง!

ชายหนุ่มก้าวออกมาจากประตูเคลื่อนย้าย และพบว่าตนเองอยู่ในถ้ำ และได้พบกับ…เจ้านายคนก่อนของเขา ผู้ฝึกตนหญิงร่างสูงแห่งกองทหารวิหคน้ำแข็ง!

นางจับกุมตัวเขา ค้นวิญญาณ ก่อนจะนำเขากลับมายังกองทหารวิหคน้ำแข็งในฐานะสัตว์เลี้ยงใหม่ของนาง

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเบิกโพลงเมื่อได้ยินเรื่องของจั่วอี้เซียน ตอนแรกชายหนุ่มไม่อยากจะเชื่อ แต่หลังจากได้จ้องมองจั่วอี้เซียน และเริ่มคิดถึงตรรกะในเรื่องที่อีกฝ่ายเล่า หวังเป่าเล่อก็สรุปได้ว่าโอกาสที่อีกฝ่ายจะโกหกเขานั้นค่อนข้างต่ำ เพราะอย่างไรเสีย…การจะจับโกหกก็สามารถทำได้ง่ายดายด้วยการค้นวิญญาณ

เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเริ่มสนใจทะเลทรายสีดำ ชายหนุ่มถามรายละเอียดของทะเลทรายเพิ่มเติม แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับสถานที่แห่งนั้นเท่าใดนัก จั่วอี้เซียนไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน แต่ก็ยังคาดเดาเกี่ยวกับสถานที่นั้นออกมา…

“นายท่าน ข้าคิดว่า…ทะเลทรายสีดำนั้นไม่ได้ว่างเปล่าอย่างแท้จริง แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นโลกที่เคลื่อนย้ายตนเองได้…”

“โลกที่เคลื่อนย้ายได้อย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจ ชายหนุ่มก็ถามอีกสองสามคำ ก่อนจะหันมาสนใจถ้ำที่จั่วอี้เซียนถูกเคลื่อนย้ายไป จากการเล่าของอีกฝ่าย หวังเป่าเล่อก็ตระหนักได้ว่า ถ้ำนั้นไม่ได้ตั้งอยู่ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ หากแต่อยู่ในสะเก็ดดาวที่ยังไม่ถูกอารยธรรมใดๆค้นพบ

จั่วอี้เซียนไม่สามารถบอกตำแหน่งของสะเก็ดดาวที่แน่ชัดได้ ชายหนุ่มไม่คุ้นชินกับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และระบบดาวเคราะห์ที่อยู่รายรอบ หวังเป่าเล่อไม่ได้ติดใจแต่อย่างใด ชายหนุ่มวาดแผนที่ให้จั่วอี้เซียนดู ก่อนที่พวกเขาจะคาดเดาตำแหน่งคร่าวๆ ของสะเก็ดดาวได้สำเร็จ ความคิดที่จะหาโอกาสไปเยือนสะเก็ดดาวสว่างวาบขึ้นมาในหัวของหวังเป่าเล่อ

ชายหนุ่มปล่อยวางความคิดนั้นไปก่อน เมื่อสอบสวนจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองจั่วอี้เซียน ก่อนจะพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น “พอแล้ว จากวันนี้เป็นค้นไป หน้าที่ของเจ้าคือเฝ้าประตูให้ข้า ออกไปได้แล้ว”

หวังเป่าเล่อปลดเชือกที่มัดจั่วอี้เซียนออก ตอนนี้พวกเขาอยู่ในฐานทัพหลักของกองทหารวิหคน้ำแข็ง หากจั่วอี้เซียนยังพอมีสติปัญญาอยู่บ้าง ก็คงรู้ว่าไม่ควรจะเที่ยวเดินเพ่นพ่าน

จั่วอี้เซียนรีบรุดรับหน้าที่อย่างแข็งขัน ก่อนจะออกจากถ้ำที่พักไป เมื่อออกไปด้านนอกก็ทรุดตัวลงคุกเข่าและถอนหายใจอย่างโล่งอก เจ้านายคนใหม่ของเขาดูใจดีกว่าคนก่อน แม้ว่าจั่วอี้เซียนจะไม่อาจอธิบายความรู้สึกไม่ชอบใจรางๆ ที่เขามีต่อบุรุษผู้นี้ท่ามกลางความวิตกกังวลและความหวาดกลัวที่เขารู้สึกก็ตาม…

หวังเป่าเล่อจมดิ่งอยู่กับความคิดหลังจากที่เห็นจั่วอี้เซียนคล้อยหลังออกจากถ้ำที่พักไป ชายหนุ่มบอกได้ว่าจั่วอี้เซียนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจั่วอี้ฟาน หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจออกมา

จากนั้นชายหนุ่มจึงนึกถึงเจ้าลาขึ้นมาได้ จั่วอี้เซียนน่าจะเคยเห็นเจ้าลามาก่อนเมื่อครั้งยังอยู่ในสหพันธรัฐ แต่อย่างไรเสีย เรื่องนี้ก็ไม่น่าเป็นปัญหา เพราะเจ้าลาตอนนี้เติบใหญ่ขึ้นและดูแปลกตาไปมาก ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในอารยธรรมต่างดาว ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีอสูรที่หน้าตาคล้ายคลึงกันอยู่ในอารยธรรมอื่นๆ ด้วย ความจริงข้อนี้น่าจะช่วยปกปิดตัวตนที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อเอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง

แม้กระนั้น หวังเป่าเล่อก็ยังส่งข้อความเสียงไปหาเจ้าลา เพื่อเตือนให้มันระมัดระวังตัวเอาไว้เสียหน่อย จากนั้น ชายหนุ่มก็ปล่อยวางทุกๆ สิ่งก่อนจะทรุดตัวลงนั่งทำสมาธิ เมื่อจิตใจสงบลงแล้ว เขาก็หยิบโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสามออกมา ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก และเริ่มเสริมพลังวัตถุเวทต่อไป

ชายหนุ่มมีวัตถุดิบที่จำเป็นครบหมดแล้วรวมไปถึงใบไม้ปรับวิญญาณด้วย นอกจากนั้นหวังเป่าเล่อยังศึกษาโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสี่มาอย่างแจ่มแจ้ง ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาไปเพียงครึ่งวันในการเสริมพลังโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเป็นระดับสี่ได้สำเร็จ!

หวังเป่าเล่อจัดการกับตัวอักขระที่ปรากฏขึ้นมาใหม่หลังการเสริมพลังเช่นเดียวกับที่ทำไปก่อนหน้านี้ หลังจากที่ผสานรวมอักขระใหม่เข้ากับอักขระเดิม โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาก็ดูเหมือนมีอักขระสลักอยู่ภายในนับพันตัว อันที่จริงแล้ว…มีอักขระอยู่ภายในวัตถุเวทชิ้นนี้ร่วมห้าพันตัวด้วยกัน!

อักขระใหม่ๆ ที่ปรากฏขึ้นต่อการเสริมพลังแต่ละครั้งนั้นนับเป็นเท่าทวีคูณ อาจมากถึงห้าเท่าต่อการเสริมพลังเพียงระดับครั้งเดียว พลังที่แท้จริงของวัตถุเวทชิ้นนี้อาจจะยังไม่ถูกเปิดเผยในตอนนี้ แต่ มันก็สามารถป้องกันการโจมตีของศัตรูได้ถึงร้อยละยี่สิบแล้ว!

การเสริมพลังวัตถุเวทชิ้นนี้สู่ระดับห้าเปรียบได้กับการบรรลุขั้นจากขั้นเชื่อมวิญญาณสู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะ นับเป็นความท้าทายอันใหญ่หลวงยิ่ง หวังเป่าเล่อเองยังขลุกขลักอยู่หลายวัน ท้ายที่สุด ทักษะในการหลอมวัตถุเวทของเขาก็ช่วยให้ความพยายามสัมฤทธิ์ผล ชายหนุ่มเสริมพลังโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาสู่ระดับห้าและระดับหกได้ในที่สุด!

การป้องกันการโจมตีของศัตรูได้ถึงร้อยละสามสิบ แปลว่าเมื่อหวังเป่าเล่อรับการโจมตีจากศัตรูแล้วโต้กลับไป เขาจะเพิ่มความรุนแรงในการโจมตีกลับได้ถึงร้อยละสามสิบ ระดับพลังที่เพิ่มขึ้นนับว่าสุดยอด หากชายหนุ่มใช้โล่นี้ได้อย่างคล่องแคล่วเมื่อใด เขาก็จะสามารถพลิกการต่อสู้ที่สูสีให้เป็นฝ่ายได้เปรียบได้ในพริบตา!

แต่การเสริมพลังเป็นระดับหกก็นำปัญหาใหม่มาให้หวังเป่าเล่อ จำนวนอักขระนั้นพุ่งทะยานขึ้นสูง จนตอนนี้มีจำนวนกว่าสองแสนตัวแล้ว!

จำนวนของตัวอักขระดั้งเดิมนั้นเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับอักขระใหม่ๆ การผสานรวมระหว่างตัวอักขระใหม่และเก่าอยู่ไปมาทำให้ความหนาแน่นของพวกมันมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นมาก เรื่องนี้เป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องเก็บตัวอักขระไว้มากขึ้น ตัวอักขระดั้งเดิมที่มีอยู่หนึ่งพันตัวเพิ่มสูงขึ้นหลายต่อหลายเท่า และปัญหานี้ก็คลี่คลายได้ด้วยการที่หวังเป่าเล่อกระจายตัวอักขระใหม่ๆ ออกไปจนทั่ว

ขณะนี้โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกามีหน้าตาเหมือนว่ามันอยู่ในระดับสอง…มันคงใช้เป็นกับดักได้ไม่ดีนัก แต่ก็ทำหน้าที่ของมันได้ดีอย่างแน่นอน หวังเป่าเล่อทอดถอนใจด้วยความเสียดาย ชายหนุ่มสองจิตสองใจที่จะเสริมพลังให้มันเป็นระดับเจ็ด แต่การไปสู่ระดับต่อไปต้องใช้ใบไม้ปรับวิญญาณจำนวนมหาศาล เขาถึงกับใบ้เบื้อเมื่อคำนวนราคาที่ต้องจ่ายออกมา

ข้าลองใช้ทรายอาวุธแทนดูได้หรือไม่นะ…หวังเป่าเล่อรำพึงกับตนเอง การจะหาใบไม้ปรับวิญญาณจำนวนมากขนาดนั้นด้วยสิทธิ์การเข้าถึงที่เขามีเป็นเรื่องท้าทายยิ่ง ต่อให้ชายหนุ่มคิดจะซื้อมา จำนวนที่เขาซื้อได้ก็ไม่พอใช้อยู่ดี เพราะจำนวนใบไม้ปรับวิญญาณที่คนคนหนึ่งสามารถซื้อได้นั้นขึ้นอยู่กับสิทธิ์การเข้าถึงอีกนั่นเอง

หวังเป่าเล่อล้มเลิกความตั้งใจที่จะลองใช้ทรายอาวุธ มันควรเป็นวิธีสุดท้ายที่เขาคิดจะใช้ ชายหนุ่มยังมีอาวุธเวทจำนวนมากที่มีฤทธิ์แปลกประหลาดอยู่ในกระเป๋าคลังเก็บ มีทั้งเชือกที่หายไปเป็นสัปดาห์เมื่อถูกปล่อยขึ้นไปบนฟ้า และมีผนึกที่จะโจมตีก็ต่อเมื่อศัตรูนั้นบาดเจ็บจนใกล้จะสิ้นใจ สองสิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อปวดศีรษะเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มกังวลว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาจะประสบเคราะห์กรรมเช่นเดียวกันหากเสริมพลังมันด้วยทรายอาวุธ โล่อาจไม่ปกป้องเขาแต่หันไปปกป้องศัตรูแทนก็เป็นได้

ดูเหมือนข้าคงต้องไปหาสตรีที่เย็นชาผู้นั้นอีกครั้ง แต่ถึงกระนั้น วัตถุเวทชิ้นนี้ยังไม่อยู่ในระดับแปด ช่างน่าอับอายเหลือเกินที่จะต้องหยิบออกมาใช้…หวังเป่าเล่อจำได้ว่าสตรีนางนั้นปฏิบัติกับเขาเช่นไรในคราวก่อน ชายหนุ่มจึงตัดสินใจจะไม่เดินทางไปยังโถงของนาง กลับกันเขาดึงแผ่นหยกสื่อสารออกมาและส่งข้อความเสียงไปหาเทพธิดาหลิงโยวแทน

“ผู้บัญชาการ ข้าหลงหนานจื่อพูด…การหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของข้าบรรลุขั้นแล้ว ท่านช่วยเพิ่มสิทธิ์การเข้าถึงให้ข้าได้หรือไม่”

บรรลุขั้นหรือ เทพธิดาหลิงโยวกำลังฟังผู้ใต้บังคับบัญชารายงานสถานะเรื่องความพร้อมของกองทหารอยู่ในโถงเมื่อได้รับข้อความของหวังเป่าเล่อ นางหยิบแผ่นหยกของตนออกมา เมื่อได้ยินข้อความ นางก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ

……………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกาบทที่ 774 ซากปรักหักพังลึกลับ!

Now you are reading หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา Chapter บทที่ 774 ซากปรักหักพังลึกลับ! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 774 ซากปรักหักพังลึกลับ!
จั่วอี้เซียนไม่กล้าปกปิดหลงหนานจื่อ ชายหนุ่มไม่มีทางจะรู้ได้เลยว่าหลงหนานจื่อแห่งกองทหารวิหคน้ำแข็งนั้นเป็นใคร แต่เพราะท่าทีที่เจ้านายเก่าของเขามีต่อหลงหนานจื่อและวิธีที่ผู้ฝึกตนหญิงทั้งหลายปฏิบัติต่อชายผู้นี้ ก็บอกจั่วอี้เซียนเป็นนัยๆ ว่าบุรุษผู้นี้ต้องเป็นคนมีชื่อเสียงในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เป็นแน่

ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่อีกฝ่ายถามก็ไม่ใช่ความลับสลักสำคัญอะไร วิญญาณของจั่วอี้เซียนถูกรื้อค้นตั้งแต่โดนจับตัวมาครั้งแรก เจ้านายเก่าของเขาซึ่งเป็นผู้ค้นวิญญาณเขานั้น มีระดับการฝึกตนสูงอยู่พอสมควร เป็นเหตุให้จิตใจของชายหนุ่มไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แม้จะเกิดความเสียหายไปบ้างก็ตามความลับใดๆ ที่เขาเก็บงำเอาไว้คงจะเป็นที่ล่วงรู้กันหมดสิ้นแล้ว

ความทรงจำนั้นทำให้จั่วอี้เซียนทอดถอนใจอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจบอกภูมิหลังและทุกสิ่งที่รู้กับหวังเป่าเล่อไปตามตรง ชายหนุ่มบอกทั้งชื่อตัว ตระกูล และที่อยู่บ้านให้อีกฝ่ายรู้ เล่าถึงสหพันธรัฐ โลก และระบบสุริยะ พูดถึงกระทั่งสำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ทุกๆ สิ่งที่ทั้งพูดได้และไม่ควรพูด…จั่วอี้เซียนบอกหวังเป่าเล่อไปทั้งหมด

สีหน้าของหวังเป่าเล่อดูนิ่งสงบ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความคิดมากมายกำลังหมุนวนอยู่ภายในศีรษะของชายหนุ่ม จั่วอี้เซียนไม่ใช่เพียงคนเดียวที่หายตัวไป จั่วอี้ฟานก็หายไปเช่นกัน แต่จากสิ่งที่จั่วอี้เซียนพูด ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะอยู่ตัวคนเดียวเมื่อตอนถูกจับ เพื่อเป็นการปกปิดตัวตนของเขาให้เป็นความลับต่อไป หวังเป่าเล่อจึงขัดจังหวะการเล่าของจั่วอี้เซียนขึ้นมาและเริ่มถามเจาะลึกเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้งของระบบสุริยะรวมถึงกระบี่โบราณประหลาด เมื่อคำอธิบายเพิ่มเติมของจั่วอี้เซียนตรงกับความคาดเดาของเขา หวังเป่าเล่อก็ปล่อยให้นัยน์ตาของตนฉายแววตื่นเต้นและโลภโมโทสันออกมาอย่างตั้งใจ หัวใจของจั่วอี้เซียนเริ่มหนักอึ้งไปด้วยความขมขื่นเมื่อเห็นแววตานั้น

แต่จั่วอี้เซียนก็ปล่อยวางได้อย่างรวดเร็ว เจ้านายคนเก่าของเขาก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน และตอนนี้ชายหนุ่มก็ไม่อยู่ในสถานะที่จะห่วงสิ่งใดได้นอกจากตนเอง

หวังเป่าเล่อเองก็กำลังชั่งน้ำหนักความเป็นไปได้ที่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของระบบสุริยะ เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ ระบบสุริยะไม่ได้ห่างไกลจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เท่าใดนัก แต่จักรวาลนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ความผิดพลาดของระบบนำทางเพียงเล็กน้อยอาจพาพวกเขาไปไกลจากจุดหมายที่ตั้งใจไว้ การจะหาตำแหน่งที่ตั้งอันแน่นอนของระบบสุริยะอาจต้องใช้ทั้งเวลาและความพยายามในการสำรวจ

สิ่งนี้เป็นดั่งคำเตือนให้หวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรู้ดีว่า หากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เกิดค้นพบระบบสุริยะและสหพันธรัฐเมื่อใด พวกเขาย่อมพุ่งเข้าไปขย้ำระบบสุริยะราวกับเป็นฝูงหมาป่าที่โหยหาทั้งสมบัติและการเข่นฆ่าเป็นแน่

จั่วอี้เซียนยังเล่ารายละเอียดตอนที่มาปรากฏตัวในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แห่งนี้ด้วย ตอนนั้นชายหนุ่มอยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ และกำลังสำรวจซากปรักหักพังที่อยู่ใต้น้ำ จู่ๆ เขาก็ถูกเคลื่อนย้ายออกมา เมื่อรู้ตัวอีกครั้ง ชายหนุ่มก็มาปรากฏตัวอยู่บนสถานที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง

ที่แห่งนั้นเป็นทะเลทรายสีดำทมิฬที่ทอดไกลสุดลูกหูลูกตา มันเวิ้งว้างว่างเปล่า และปราศจากสัญญาณชีวิตใดๆ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเขาเดินรอนแรมอยู่ในทะเลทรายแห่งนั้นยาวนานเพียงใด ราวกับว่าเวลาของที่นั่นเดินด้วยความเร็วที่ต่างจากเวลาในโลกก็ไม่ปาน

สถานการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว หลังจากที่จั่วอี้เซียนล้มลุกคลุกคลานอยู่กลางทะเลทรายดำสนิทเป็นเวลานานและสูญเสียความหวังทั้งมวลไป ตอนนั้นเองชายหนุ่มก็ได้เห็นแสงสว่างสายหนึ่ง มันเข้ามาโอบล้อมกายเขาเอาไว้และเคลื่อนย้ายเขาออกไปอีกครั้ง ครานี้…เขาถูกเคลื่อนย้ายไปในถ้ำแห่งหนึ่ง!

ชายหนุ่มก้าวออกมาจากประตูเคลื่อนย้าย และพบว่าตนเองอยู่ในถ้ำ และได้พบกับ…เจ้านายคนก่อนของเขา ผู้ฝึกตนหญิงร่างสูงแห่งกองทหารวิหคน้ำแข็ง!

นางจับกุมตัวเขา ค้นวิญญาณ ก่อนจะนำเขากลับมายังกองทหารวิหคน้ำแข็งในฐานะสัตว์เลี้ยงใหม่ของนาง

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเบิกโพลงเมื่อได้ยินเรื่องของจั่วอี้เซียน ตอนแรกชายหนุ่มไม่อยากจะเชื่อ แต่หลังจากได้จ้องมองจั่วอี้เซียน และเริ่มคิดถึงตรรกะในเรื่องที่อีกฝ่ายเล่า หวังเป่าเล่อก็สรุปได้ว่าโอกาสที่อีกฝ่ายจะโกหกเขานั้นค่อนข้างต่ำ เพราะอย่างไรเสีย…การจะจับโกหกก็สามารถทำได้ง่ายดายด้วยการค้นวิญญาณ

เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเริ่มสนใจทะเลทรายสีดำ ชายหนุ่มถามรายละเอียดของทะเลทรายเพิ่มเติม แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับสถานที่แห่งนั้นเท่าใดนัก จั่วอี้เซียนไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน แต่ก็ยังคาดเดาเกี่ยวกับสถานที่นั้นออกมา…

“นายท่าน ข้าคิดว่า…ทะเลทรายสีดำนั้นไม่ได้ว่างเปล่าอย่างแท้จริง แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นโลกที่เคลื่อนย้ายตนเองได้…”

“โลกที่เคลื่อนย้ายได้อย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจ ชายหนุ่มก็ถามอีกสองสามคำ ก่อนจะหันมาสนใจถ้ำที่จั่วอี้เซียนถูกเคลื่อนย้ายไป จากการเล่าของอีกฝ่าย หวังเป่าเล่อก็ตระหนักได้ว่า ถ้ำนั้นไม่ได้ตั้งอยู่ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ หากแต่อยู่ในสะเก็ดดาวที่ยังไม่ถูกอารยธรรมใดๆค้นพบ

จั่วอี้เซียนไม่สามารถบอกตำแหน่งของสะเก็ดดาวที่แน่ชัดได้ ชายหนุ่มไม่คุ้นชินกับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และระบบดาวเคราะห์ที่อยู่รายรอบ หวังเป่าเล่อไม่ได้ติดใจแต่อย่างใด ชายหนุ่มวาดแผนที่ให้จั่วอี้เซียนดู ก่อนที่พวกเขาจะคาดเดาตำแหน่งคร่าวๆ ของสะเก็ดดาวได้สำเร็จ ความคิดที่จะหาโอกาสไปเยือนสะเก็ดดาวสว่างวาบขึ้นมาในหัวของหวังเป่าเล่อ

ชายหนุ่มปล่อยวางความคิดนั้นไปก่อน เมื่อสอบสวนจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองจั่วอี้เซียน ก่อนจะพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น “พอแล้ว จากวันนี้เป็นค้นไป หน้าที่ของเจ้าคือเฝ้าประตูให้ข้า ออกไปได้แล้ว”

หวังเป่าเล่อปลดเชือกที่มัดจั่วอี้เซียนออก ตอนนี้พวกเขาอยู่ในฐานทัพหลักของกองทหารวิหคน้ำแข็ง หากจั่วอี้เซียนยังพอมีสติปัญญาอยู่บ้าง ก็คงรู้ว่าไม่ควรจะเที่ยวเดินเพ่นพ่าน

จั่วอี้เซียนรีบรุดรับหน้าที่อย่างแข็งขัน ก่อนจะออกจากถ้ำที่พักไป เมื่อออกไปด้านนอกก็ทรุดตัวลงคุกเข่าและถอนหายใจอย่างโล่งอก เจ้านายคนใหม่ของเขาดูใจดีกว่าคนก่อน แม้ว่าจั่วอี้เซียนจะไม่อาจอธิบายความรู้สึกไม่ชอบใจรางๆ ที่เขามีต่อบุรุษผู้นี้ท่ามกลางความวิตกกังวลและความหวาดกลัวที่เขารู้สึกก็ตาม…

หวังเป่าเล่อจมดิ่งอยู่กับความคิดหลังจากที่เห็นจั่วอี้เซียนคล้อยหลังออกจากถ้ำที่พักไป ชายหนุ่มบอกได้ว่าจั่วอี้เซียนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจั่วอี้ฟาน หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจออกมา

จากนั้นชายหนุ่มจึงนึกถึงเจ้าลาขึ้นมาได้ จั่วอี้เซียนน่าจะเคยเห็นเจ้าลามาก่อนเมื่อครั้งยังอยู่ในสหพันธรัฐ แต่อย่างไรเสีย เรื่องนี้ก็ไม่น่าเป็นปัญหา เพราะเจ้าลาตอนนี้เติบใหญ่ขึ้นและดูแปลกตาไปมาก ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในอารยธรรมต่างดาว ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีอสูรที่หน้าตาคล้ายคลึงกันอยู่ในอารยธรรมอื่นๆ ด้วย ความจริงข้อนี้น่าจะช่วยปกปิดตัวตนที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อเอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง

แม้กระนั้น หวังเป่าเล่อก็ยังส่งข้อความเสียงไปหาเจ้าลา เพื่อเตือนให้มันระมัดระวังตัวเอาไว้เสียหน่อย จากนั้น ชายหนุ่มก็ปล่อยวางทุกๆ สิ่งก่อนจะทรุดตัวลงนั่งทำสมาธิ เมื่อจิตใจสงบลงแล้ว เขาก็หยิบโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสามออกมา ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก และเริ่มเสริมพลังวัตถุเวทต่อไป

ชายหนุ่มมีวัตถุดิบที่จำเป็นครบหมดแล้วรวมไปถึงใบไม้ปรับวิญญาณด้วย นอกจากนั้นหวังเป่าเล่อยังศึกษาโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสี่มาอย่างแจ่มแจ้ง ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาไปเพียงครึ่งวันในการเสริมพลังโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเป็นระดับสี่ได้สำเร็จ!

หวังเป่าเล่อจัดการกับตัวอักขระที่ปรากฏขึ้นมาใหม่หลังการเสริมพลังเช่นเดียวกับที่ทำไปก่อนหน้านี้ หลังจากที่ผสานรวมอักขระใหม่เข้ากับอักขระเดิม โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาก็ดูเหมือนมีอักขระสลักอยู่ภายในนับพันตัว อันที่จริงแล้ว…มีอักขระอยู่ภายในวัตถุเวทชิ้นนี้ร่วมห้าพันตัวด้วยกัน!

อักขระใหม่ๆ ที่ปรากฏขึ้นต่อการเสริมพลังแต่ละครั้งนั้นนับเป็นเท่าทวีคูณ อาจมากถึงห้าเท่าต่อการเสริมพลังเพียงระดับครั้งเดียว พลังที่แท้จริงของวัตถุเวทชิ้นนี้อาจจะยังไม่ถูกเปิดเผยในตอนนี้ แต่ มันก็สามารถป้องกันการโจมตีของศัตรูได้ถึงร้อยละยี่สิบแล้ว!

การเสริมพลังวัตถุเวทชิ้นนี้สู่ระดับห้าเปรียบได้กับการบรรลุขั้นจากขั้นเชื่อมวิญญาณสู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะ นับเป็นความท้าทายอันใหญ่หลวงยิ่ง หวังเป่าเล่อเองยังขลุกขลักอยู่หลายวัน ท้ายที่สุด ทักษะในการหลอมวัตถุเวทของเขาก็ช่วยให้ความพยายามสัมฤทธิ์ผล ชายหนุ่มเสริมพลังโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาสู่ระดับห้าและระดับหกได้ในที่สุด!

การป้องกันการโจมตีของศัตรูได้ถึงร้อยละสามสิบ แปลว่าเมื่อหวังเป่าเล่อรับการโจมตีจากศัตรูแล้วโต้กลับไป เขาจะเพิ่มความรุนแรงในการโจมตีกลับได้ถึงร้อยละสามสิบ ระดับพลังที่เพิ่มขึ้นนับว่าสุดยอด หากชายหนุ่มใช้โล่นี้ได้อย่างคล่องแคล่วเมื่อใด เขาก็จะสามารถพลิกการต่อสู้ที่สูสีให้เป็นฝ่ายได้เปรียบได้ในพริบตา!

แต่การเสริมพลังเป็นระดับหกก็นำปัญหาใหม่มาให้หวังเป่าเล่อ จำนวนอักขระนั้นพุ่งทะยานขึ้นสูง จนตอนนี้มีจำนวนกว่าสองแสนตัวแล้ว!

จำนวนของตัวอักขระดั้งเดิมนั้นเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับอักขระใหม่ๆ การผสานรวมระหว่างตัวอักขระใหม่และเก่าอยู่ไปมาทำให้ความหนาแน่นของพวกมันมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นมาก เรื่องนี้เป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องเก็บตัวอักขระไว้มากขึ้น ตัวอักขระดั้งเดิมที่มีอยู่หนึ่งพันตัวเพิ่มสูงขึ้นหลายต่อหลายเท่า และปัญหานี้ก็คลี่คลายได้ด้วยการที่หวังเป่าเล่อกระจายตัวอักขระใหม่ๆ ออกไปจนทั่ว

ขณะนี้โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกามีหน้าตาเหมือนว่ามันอยู่ในระดับสอง…มันคงใช้เป็นกับดักได้ไม่ดีนัก แต่ก็ทำหน้าที่ของมันได้ดีอย่างแน่นอน หวังเป่าเล่อทอดถอนใจด้วยความเสียดาย ชายหนุ่มสองจิตสองใจที่จะเสริมพลังให้มันเป็นระดับเจ็ด แต่การไปสู่ระดับต่อไปต้องใช้ใบไม้ปรับวิญญาณจำนวนมหาศาล เขาถึงกับใบ้เบื้อเมื่อคำนวนราคาที่ต้องจ่ายออกมา

ข้าลองใช้ทรายอาวุธแทนดูได้หรือไม่นะ…หวังเป่าเล่อรำพึงกับตนเอง การจะหาใบไม้ปรับวิญญาณจำนวนมากขนาดนั้นด้วยสิทธิ์การเข้าถึงที่เขามีเป็นเรื่องท้าทายยิ่ง ต่อให้ชายหนุ่มคิดจะซื้อมา จำนวนที่เขาซื้อได้ก็ไม่พอใช้อยู่ดี เพราะจำนวนใบไม้ปรับวิญญาณที่คนคนหนึ่งสามารถซื้อได้นั้นขึ้นอยู่กับสิทธิ์การเข้าถึงอีกนั่นเอง

หวังเป่าเล่อล้มเลิกความตั้งใจที่จะลองใช้ทรายอาวุธ มันควรเป็นวิธีสุดท้ายที่เขาคิดจะใช้ ชายหนุ่มยังมีอาวุธเวทจำนวนมากที่มีฤทธิ์แปลกประหลาดอยู่ในกระเป๋าคลังเก็บ มีทั้งเชือกที่หายไปเป็นสัปดาห์เมื่อถูกปล่อยขึ้นไปบนฟ้า และมีผนึกที่จะโจมตีก็ต่อเมื่อศัตรูนั้นบาดเจ็บจนใกล้จะสิ้นใจ สองสิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อปวดศีรษะเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มกังวลว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาจะประสบเคราะห์กรรมเช่นเดียวกันหากเสริมพลังมันด้วยทรายอาวุธ โล่อาจไม่ปกป้องเขาแต่หันไปปกป้องศัตรูแทนก็เป็นได้

ดูเหมือนข้าคงต้องไปหาสตรีที่เย็นชาผู้นั้นอีกครั้ง แต่ถึงกระนั้น วัตถุเวทชิ้นนี้ยังไม่อยู่ในระดับแปด ช่างน่าอับอายเหลือเกินที่จะต้องหยิบออกมาใช้…หวังเป่าเล่อจำได้ว่าสตรีนางนั้นปฏิบัติกับเขาเช่นไรในคราวก่อน ชายหนุ่มจึงตัดสินใจจะไม่เดินทางไปยังโถงของนาง กลับกันเขาดึงแผ่นหยกสื่อสารออกมาและส่งข้อความเสียงไปหาเทพธิดาหลิงโยวแทน

“ผู้บัญชาการ ข้าหลงหนานจื่อพูด…การหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของข้าบรรลุขั้นแล้ว ท่านช่วยเพิ่มสิทธิ์การเข้าถึงให้ข้าได้หรือไม่”

บรรลุขั้นหรือ เทพธิดาหลิงโยวกำลังฟังผู้ใต้บังคับบัญชารายงานสถานะเรื่องความพร้อมของกองทหารอยู่ในโถงเมื่อได้รับข้อความของหวังเป่าเล่อ นางหยิบแผ่นหยกของตนออกมา เมื่อได้ยินข้อความ นางก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ

……………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+