ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน 24 ชื่อเสียง

Now you are reading ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน Chapter 24 ชื่อเสียง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

 

คนสกุลเฉินชะเง้อชะแง้คอมอง เป็นนานกว่าอวี้ถังจะกลับมาถึงเรือนได้ นางไม่รอให้อวี้ถังลงมาจากเกี้ยวแล้วยืนให้มั่นคง ก็ลากแขนบุตรสาวเข้าห้องรับรองไปเสียแล้ว  

 

 

ทางหนึ่งเดินไป ทางหนึ่งก็หันไปสั่งกับซวงเถาว่า “หั่นแตงหวานที่แช่ไว้ในบ่อยกตามเข้ามา ไปตักน้ำมาดูแลคุณหนูให้ล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย”  

 

 

ซวงเถารับคำแล้วจากไป  

 

 

อวี้ถังถูกมารดากดให้นั่งลงที่เก้าอี้ไท่ซือ [1] ในห้องรับรอง  

 

 

คนสกุลเฉินเห็นว่าปอยผมนางชื้นเหงื่อไปหมด ก็ปวดใจไม่น้อย หมุนตัวแล้วไม่รู้หยิบเอาพัดกลมมานั่งโบกพัดอยู่ข้างนาง “เจ้าอธิบายมาให้ดีๆ สิ วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? เหตุใดถึงกลางทางเจ้ากลับให้อาเสาส่งสารมาบอกข้า? ทำเอาข้าตกใจจนนั่งไม่ติด กลัวว่าจะเกิดเรื่องกับเจ้า”  

 

 

อวี้ถังคาดไม่ถึงเช่นกัน  

 

 

นางรีบเอ่ยขอโทษมารดาว่า “ข้ารู้สึกว่านายหญิงทังผู้นั้นเกาะติดเกินไป กลัวว่านางจะพูดจาไปเรื่อย แล้วท่านแม่กับท่านพ่อจะหวั่นไหวเอาได้”  

 

 

คนสกุลเฉินหัวเราะ เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าบิดาเจ้ากับข้าเลอะเลือนอย่างนั้นรึ!”  

 

 

อวี้ถังหัวเราะเหอะๆ  

 

 

คนสกุลเฉินเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เป็นเพราะคุณชายรองสกุลหลี่มีอะไรไม่ดีงามหรือ?”  

 

 

แม้ตอนออกจากเรือนไปบุตรสาวจะบอกเหตุผลไว้อย่างเลือนราง ทว่านางมีประสบการณ์กว่าบุตรสาวมาก ใคร่ครวญแล้วคิดว่าเป็นไปได้มากที่อวี้ถังจะกังวลเรื่องการหมั้นหมายกับสกุลหลี่ อยากจะไปดูคุณชายรองสกุลหลี่ให้เห็นกับตาว่าเขารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร สกุลนางก็ไม่ใช่ตระกูลผู้ดีที่มีกฎระเบียบมากมาย ไม่ใช่สกุลยิ่งใหญ่ที่มีลูกหลานเต็มเมือง พวกนางสามีภรรยาเพียงหวังให้วันข้างหน้าบุตรสาวของตนมีความสุขก็พอ หากว่าสายตาเลือกคนถูก เช่นนั้นก็นับว่าเป็นการหมั้นหมายที่ดีมิใช่หรือ? ดังนั้นนางจึงแสร้งหลับตาข้างหนึ่ง ให้อาเสาออกไปเป็นเพื่อนอวี้ถัง  

 

 

เห็นว่าบุตรสาวยังไม่กลับมาก็ส่งอาเสามาแจ้งความกับนางเสียแล้ว นางจะไม่เป็นห่วงได้อย่างไร?  

 

 

อวี้ถังเล่าเรื่องที่ไปเจอหลี่จวิ้นในวันนี้ให้คนสกุลเฉินฟังอย่างละเอียด  

 

 

คนสกุลเฉินตื่นตะลึงจนไม่อาจหุบปากที่อ้าค้างได้ กระทั่งซวงเถายกแตงหวานเข้ามา รับใช้อวี้ถังให้หวีผมเปลี่ยนเสื้อผ้าและขอตัวจากไป นางถึงได้ตามหาเสียงของตนเองเจอ แล้วถามอวี้ถังอย่างระมัดระวังพลางกินแตงหวานไปด้วยว่า “ก็หมายความว่า คุณชายรองสกุลหลี่ไม่เคยรู้จักเจ้าด้วยซ้ำ คำที่ฮูหยินหลี่ฝากความนายหญิงทังมาพูดตอนมาขอหมั้นก็ตกแต่งเกินจริง?”  

 

 

อวี้ถังพยักหน้า รู้สึกว่าแตงหวานในวันนี้หอมหวานเป็นพิเศษ จึงป้อนใส่ปากมารดาไปชิ้นหนึ่ง แล้วบอกสิ่งที่ตนสงสัยให้มารดาฟัง “ข้าคิดว่าสกุลหลี่นั้นต้องการอะไรบางอย่างจากสกุลเราเป็นแน่เจ้าค่ะ น่าเสียดาย ข้าคิดไม่ออกว่าเรามีอะไรให้พวกเขาคิดครอบครอง”  

 

 

คนสกุลเฉินมองดวงหน้าของบุตรสาวที่แม้อยู่ในห้องมืดสลัวก็คล้ายถูกเคลือบด้วยความเงางามอีกหนึ่งชั้น อดจะรู้สึกปลาบปลื้มใจไม่ได้  

 

 

แม่นางที่มีรูปโฉมงดงามเช่นอาถังของสกุลนาง ไม่ต้องพูดถึงเมืองหลินอัน ต่อให้เป็นเมืองหังโจว เกรงว่าก็ยังหาได้ไม่กี่คน  

 

 

หรือว่ามิใช่เพราะถูกใจความสะสวยของอาถังกระมัง?  

 

 

คนสกุลเฉินแม้จะคิดเช่นนั้น แต่ก็รู้ว่าไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไร  

 

 

นางกล่าวว่า “ข้าให้คนไปส่งจดหมายถึงบิดาเจ้าแล้ว ให้วันนี้เขากลับมาเร็วหน่อย บิดาเจ้าอย่างไรก็เป็นถึงซิ่วไฉ มีวิชาความรู้ก้าวหน้ากว่าพวกเรา เรื่องนี้ย่อมต้องให้เขาตัดสินใจ”  

 

 

คนเขลาสามคน เทียบเท่าหนึ่งจูเก๋อเลี่ยง [2]  

 

 

อวี้ถังชอบให้ทุกคนในครอบครัวล้อมวงพร้อมหน้า ปรึกษาหารือกันไม่ว่าจะเจอปัญหาใดๆ  

 

 

นางถามว่า “ท่านพ่อวันนี้ไปที่ท่าเรือหรือเจ้าคะ?”  

 

 

เผยหม่านพ่อบ้านใหญ่ที่มารับตำแหน่งใหม่ทำงานได้คล่องแคล่ว ท่านผู้เฒ่าสกุลเผยยังเสียไม่ครบสี่สิบเก้าวัน งานก่อสร้างที่ถนนฉางซิ่งก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว ก่อนหน้านี้นางได้ยินอาเสาพูดว่า สกุลเผยซื้ออิฐและกระเบื้องจากหังโจวมาหลายลำเรือ สองวันนี้คงจะมาถึงท่าเรือเสาซีแล้ว ช่วงนี้อวี้เหวินจึงต้องตัวติดกันกับอวี้ป๋อ  

 

 

คนสกุลเฉินส่งเสียง “อืม” คำหนึ่ง รู้สึกว่าแตงหวานลูกนี้หวานอร่อยกว่าวันอื่นอยู่จริงๆ จึงเอ่ยกับอวี้ถังว่า “เจ้าเหลือไว้ให้บิดาเจ้ากินบ้างสิ! แตงหวานก็เหลืออยู่เท่านี้แล้ว”  

 

 

อวี้ถังหันไปกะพริบตาปริบๆ ใส่มารดา อวี้เหวินก็พลันกลับมาถึงพอดี  

 

 

คนสกุลเฉินรีบร้อนเข้าไปรับ ช่วยอวี้เหวินล้างหน้าล้างมือ  

 

 

อวี้ถังลุกยืนขึ้นแล้วเรียก “ท่านพ่อ” เสียงหนึ่ง รอกระทั่งอวี้เหวินจัดการตนเองเสร็จแล้วก็ยกแตงหวานไปให้อวี้เหวินกิน  

 

 

อวี้เหวินชื่นชมบุตรสาวว่า “เด็กดี” คำหนึ่ง แล้วถามคนสกุลเฉินว่า “มีเรื่องอะไรรีบร้อนอย่างนั้นหรือถึงได้เร่งข้ากลับมา วันนี้ข้าว่าจะเชิญเถ้าแก่ถงไปดื่มเหล้าที่ร้านปลาจางเอ้อสักหน่อย! จะกินปลาต้องฤดูนี้แหละยอดเยี่ยมที่สุด”  

 

 

คนสกุลเฉินเอ่ยว่า “ข้าก็ว่าเหตุใดท่านหายไปตั้งนาน? เรื่องอิฐและกระเบื้องราบรื่นดีหรือไม่?”  

 

 

“ราบรื่น” อวี้เหวินตอบ “ที่เรือนเกิดเรื่องใดขึ้นเล่า?”  

 

 

คนสกุลเฉินเล่าเรื่องที่อวี้ถังไปวัดเจาหมิงให้ฟังไปรอบหนึ่ง  

 

 

อวี้เหวินนับว่าใจใหญ่ เอ่ยตอบอย่างไม่แยแสว่า “สนใจไปไยว่าพวกเขาต้องการสิ่งใด พวกเราไม่ตอบตกลงก็สิ้นเรื่อง”  

 

 

คนสกุลเฉินขมวดคิ้ว เอ่ยตอบสามีว่า “แต่หากเป็นเช่นนี้ กลัวแต่พวกเขาจะใช้อุบายเลวทราม หากไม่มีเรื่องนี้ ก็ต้องหาเรื่องอื่นมาบีบพวกเราอีก ป้องกันอย่างไรก็ไม่ไหวแน่”  

 

 

อวี้เหวินหัวเราะ “นอกจากเรื่องหาคนที่เหมาะสมเพื่อฝากฝังอาถังของพวกเราแล้ว เรื่องอื่นมีอะไรน่ากังวลกัน? เงินทองหมดไปก็หาใหม่ได้น่า!”  

 

 

“ท่านพูดดีไปเถอะ” คนสกุลเฉินกล่าวอย่างไม่พอใจ “ข้ากลัวว่าเขาจะสอดมือมายุ่งเรื่องงานแต่งของอาถัง”  

 

 

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว” อวี้เหวินบอก “ข้ามีวิธีของข้า”  

 

 

อวี้ถังได้ยินก็หนังศีรษะชาหนึบ  

 

 

ตั้งแต่เรื่องที่หลู่ซิ่นขายภาพวาดให้ นางก็เหมือนได้ทำความรู้จักกับบิดาของตนใหม่อีกรอบ  

 

 

วิธีที่เขาพูดถึง นางไม่รู้สึกวางใจเลยสักนิด  

 

 

อวี้ถังเขย่าแขนของมารดา ทำออดอ้อนว่า “ท่านแม่ ท่านดูท่านพ่อสิเจ้าคะ ไม่ห่วงใยข้าเลยสักนิด นั่นเป็นเรื่องใหญ่ทั้งชีวิตข้าเชียว เขาไม่คิดจะหารือกับใครก็จบเรื่องไปเช่นนี้ได้ที่ไหนกัน! ต่อให้ไปซื้อโต๊ะยังต้องไปดูตั้งหลายรอบเลยนะเจ้าคะ!”  

 

 

“เจ้าเด็กคนนี้ พูดจาอย่างไรกันนะ?” อวี้เหวินหันไปถลึงตาใส่บุตรสาว เอ่ยว่า “การเลือกเขยชายเหมือนกับการซื้อโต๊ะอย่างนั้นรึ? เจ้าคิดว่าเรื่องนี้ข้าไม่ร้อนใจรึ มิใช่เพราะไม่มีตัวเลือกที่ดีหรืออย่างไร? ข้ารู้ว่าเจ้ากลัวว่าข้าจะให้เจ้าแต่งกับสกุลหลี่ เจ้าวางใจเถอะ หากเจ้าไม่เห็นด้วย สกุลไหนข้าก็ไม่ตกปากรับคำทั้งนั้น!”  

 

 

อวี้ถังร้องเสียงดีอกดีใจ รีบวิ่งเอาจานที่มีแตงหวานไปประเคนให้ข้างมืออวี้เหวินทันที แล้วเอ่ยเอาอกเอาใจเขาว่า “ท่านพ่อ ใต้หล้านี้ท่านนับว่าดีต่อข้าที่สุดแล้ว ท่านเป็นบิดาที่ประเสริฐที่สุดในใต้หล้าเลยเจ้าค่ะ!”  

 

 

“แน่นอนอยู่แล้ว!” อวี้เหวินแม้จะรู้สึกว่าคำพูดของอวี้ถังกล่าวได้เกินจริงไปหน่อย ทว่าไปไม่อาจกดรอยยิ้มมุมปากลงได้ รู้สึกอิ่มเอมยิ่ง  

 

 

คนสกุลเฉินได้แต่ส่ายหน้าไปมา  

 

 

—  

 

 

เช้าตรู่วันถัดมา คนสกุลเฉินส่งคนนำจดหมายตอบกลับไปส่งให้นายหญิงทัง บอกว่าสกุลนางได้ตัดสินใจรับเขยชายเข้าเรือนเพื่ออวี้ถังแล้ว เกรงว่าไม่อาจเกี่ยวดองกับสกุลหลี่ได้อีก  

 

 

นายหญิงทังได้รับจดหมายก็กระวีกระวาดมาที่เรือนสกุลอวี้ทันที ทางหนึ่งก็หอบแฮกๆ ทางหนึ่งก็ส่งยิ้มชืดๆ ให้คนสกุลเฉินและเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าสกุลเจ้าคิดจะรับเขยชายแต่งเข้า เรื่องนี้ข้าก็บอกกับคุณชายรองสกุลหลี่ไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ขอเพียงได้แต่งกับบุตรสาวท่านต่อให้ต้องแต่งเข้าเป็นเขยชายเขาก็ยินยอม กลายเป็นว่า เรื่องนี้ลุกลามใหญ่โตจนคุณชายใหญ่สกุลหลี่รู้เรื่องเขา เขาจึงขังคุณชายรองไว้ในเรือน ทั้งเขียนจดหมายถึงฮูหยินหลี่ด้วย คุณชายรองก็ดึงดันไม่ยอมแพ้ ตอนนี้เริ่มอดอาหารประท้วงแล้ว”  

 

 

“ฮูหยินหลี่รักบุตรชายอย่างกับอะไรดี ทั้งกลัวว่าคุณชายรองจะมีอันเป็นไป ทั้งเกรงว่าใต้เท้าหลี่รู้เรื่องแล้วจะพาลโมโห คนของท่านก้าวเท้าจากไป นางก็ตามมาถึงทันที ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้ข้ามาเพื่อช่วยคุณชายรองของพวกเขาสักครั้ง บอกว่าบุตรชายของนางชอบพอคุณหนูเรือนเจ้าด้วยความจริงใจ อย่างไรก็ขอโอกาสให้คุณชายรองของพวกเขาสักครั้ง อย่าได้เพิ่งรีบร้อนตกลงเรื่องงานหมั้นหมายของบุตรสาว จะสามารถแต่งเข้าเป็นเขยชายได้หรือไม่นั้น มากที่สุดไม่เกินสามเดือน พวกเขาย่อมให้คำพูดที่แน่นอนแก่เจ้าได้”  

 

 

พูดจบ นางก็ถอนหายใจยาวเหยียด ดึงมือของคนสกุลเฉินมาแล้วพูดว่า “บรรดานายหญิงของซิ่วไฉในเมืองนี้ ข้าก็อิจฉาแต่เจ้านี่แหละ สามีรักเดียวใจเดียวต่อเจ้าไม่ต้องพูดถึง กระทั่งบุตรสาวเลี้ยงออกมายังเป็นหน้าเป็นตาให้เจ้าได้ เจ้าคิดดูสิ สกุลหลี่เป็นสกุลเช่นไร เขาเป็นคุณชายรองอยู่ดีๆ ไม่ชอบ ร้องจะมาเป็นเขยชายให้สกุลเจ้า ไม่ว่าการหมั้นหมายครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่ ชาตินี้เจ้านับว่าคุ้มค่าแล้ว”  

 

 

คนสกุลเฉินกับอวี้ถังถูกการพลิกผันของเรื่องราวทำเอาตกตะลึง  

 

 

ไม่คิดว่าเงื่อนไขอันยากเย็นที่สกุลอวี้เรียกร้องนี้ สกุลหลี่กลับยังจะรับไว้พิจารณา  

 

 

นี่ทำให้อวี้ถังหวาดระแวงการหมั้นหมายและหวาดกลัวสกุลหลี่ยิ่งกว่าเก่า ทั้งคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตามมานี้ล้วนเป็นผลจากเมื่อวานที่นางไปเจอหลี่จวิ้น…  

 

 

อวี้ถังรู้สึกสับสน  

 

 

กระทั่งตกบ่าย นางก็ยิ่งอยากตบตนเองสักหลายฉาด ภาวนาให้เวลาย้อนกลับได้  

 

 

เฉินเหยาเชิญแม่สื่อมาขอหมั้นหมายนางถึงหน้าประตู  

 

 

คนสกุลเฉินอ้าปากค้าง เอ่ยกับป้าเฉินว่า “นี่โผล่มาจากไหนอีกคนเล่า?”  

 

 

ป้าเฉินถูกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในระยะนี้ทำเอาหัวหมุนไปหมด นางกล่าวว่า “บอกว่าเล่าเรียนอยู่สำนักศึกษาประจำอำเภอ เมื่อวานตอนไปเที่ยวที่วัดเจาหมิงบังเอิญได้เจอกับคุณหนู ก็จำฝังใจไม่ลืม พอแจ้งเรื่องนี้แก่บิดามารดา จึงได้เชิญคนมาขอหมั้นหมายเจ้าค่ะ”  

 

 

คนสกุลเฉินถามต่อว่า “เช่นนั้นเขารู้หรือไม่ว่าสกุลเราต้องการเขยชายแต่งเข้าสกุล?”  

 

 

ป้าเฉินตอบว่า “เห็นว่ารู้อยู่เจ้าค่ะ ซ้ำยังบอกว่าสกุลเขามีบุตรชายห้าคน เขาเป็นลำดับที่สาม ทางครอบครัวอนุญาตให้แต่งเข้าเป็นเขยชายแล้ว”  

 

 

อวี้ถังนวดขมับไปมา ได้แต่ออกมาเก็บกวาดเรื่องยุ่งเหยิง นางเล่าเรื่องให้มารดาฟังว่าไปเจอกับเฉินเหยาที่วัดเจาหมิงได้อย่างไร ทั้งพูดเสริมว่า “เฉินเหยาคนนี้ไม่ได้ นิสัยไม่ผ่านเจ้าค่ะ”  

 

 

คนสกุลเฉินไม่คิดว่ามีเรื่องเช่นนี้ด้วย จึงถามอวี้ถังอย่างอยากรู้ว่า “เฉินเหยาผู้นี้พบหน้าเจ้าแค่ครั้งเดียวจริงๆ รึ?”  

 

 

“เพิ่งเคยพบครั้งเดียวจริงๆ เจ้าค่ะ!” อวี้ถังรู้สึกปวดศีรษะ “ท่านคิดจะให้เขาพบหน้าข้ากี่รอบกัน?”  

 

 

“อย่าใจร้อน อย่าใจร้อน” คนสกุลเฉินปลอบบุตรสาว เอ่ยว่า “ข้าแค่นึกไม่ถึงว่าจะมีคนที่พบหน้าเจ้าเพียงครั้งเดียวแล้วมาขอหมั้นหมายเจ้าอยู่จริงๆ”  

 

 

เหตุใดอวี้ถังฟังแล้วรู้สึกว่าน้ำเสียงของมารดามีความภาคภูมิใจเจืออยู่หลายส่วน  

 

 

นางตอบอย่างหมดแรงว่า “ท่านช่วยไล่แม่สื่อผู้นั้นกลับไปก่อนได้หรือไม่? นางขนข้าวของมากองบังหน้าประตูเราเช่นนี้ ข้ากลัวผู้อื่นเข้าใจผิดคิดว่าข้าจะรีบร้อนออกเรือนเสียอีก!”  

 

 

คำพูดของอวี้ถังเตือนสติคนสกุลเฉิน นางรีบสั่งป้าเฉินว่า “เร็วเข้า รีบไปบอกให้แม่สื่อกลับไปก่อน บอกว่าเรื่องงานแต่งงานของอวี้ถังนั้น บิดาของนางได้ตัดสินใจไปแล้ว ตอนนี้จะไม่เจรจาเรื่องนี้อีก”  

 

 

ป้าเฉินรับคำแล้วจากไป  

 

 

ทว่าดวงหน้ากลับอิ่มเอมเปรมปรีย์  

 

 

เห็นชัดว่าดีอกดีใจยิ่งนักที่มีคนมาขอหมั้นหมายถึงเรือน  

 

 

อวี้ถังคิดว่าเรื่องราวจะจบลงไปเช่นนี้แล้ว  

 

 

ไม่คิดว่าผ่านไปอีกสองวัน ฟู่เสี่ยวหวั่นก็เชิญแม่สื่อมาคุยเรื่องหมั้นหมาย  

 

 

ทว่าหลังจากที่สกุลฟู่รู้ว่าสกุลอวี้ต้องการให้เขยชายแต่งเข้า ก็กลับไปอย่างผิดหวัง  

 

 

ดีชั่วก็ยังมีคนปกติอยู่บ้างแหละ!  

 

 

อวี้ถังค่อยโล่งอก  

 

 

แต่ชื่อเสียงด้านรูปโฉมของนางกลับถูกเล่าลือออกไปไกลด้วยเหตุนี้  

 

 

กระทั่งตอนที่ครอบครัวลุงใหญ่ได้ยินข่าว ก็เป็นช่วงมอบของขวัญในวันไหว้พระจันทร์แล้ว  

 

 

ป้าสะใภ้ใหญ่สกุลหวังหัวเราะพลางล้อคนสกุลเฉินว่า “อาถังของเราช่างวาสนาดี สกุลหนึ่งมีบุตรสาวอยู่คนเดียว อีกร้อยสกุลกลับอยากจะขอไป เรื่องนี้คงอ่านเจอแต่ในตำรา ไม่คิดว่าจะได้เห็นกับตาเป็นครั้งแรก”  

 

 

คนสกุลเฉินกลัดกลุ้ม แล้วบอกความในใจกับคนสกุลหวังว่า “พี่สะใภ้ว่าข้าขี้ขลาดเกินไปหรือไม่? ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดย่อมหักโค่น [3]  เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าชื่อเสียงคราวนี้ของอวี้ถังมิใช่เรื่องดีเลย คิดแล้วหัวใจก็เต้นไม่เป็นจังหวะอยู่เรื่อย”  

 

 

คนสกุลหวังตื่นตะลึง กล่าวว่า “อาถังของพวกเรามีพี่ชายคอยคุ้มครอง ทั้งยังมีบิดาเป็นซิ่วไฉ หาใช่เป็นสกุลเล็กๆ ไร้ที่พึ่งพา มีอะไรให้กลัวกันเล่า แต่ว่าผู้เป็นสตรีมีชื่อเสียงด้านคุณธรรมย่อมสำคัญกว่ารูปโฉม งานแต่งของอาถัง ต้องรีบกำหนดให้เรียบร้อยจึงจะถูก”  

 

 

———————————————————  

 

 

 

 

 

[1] เก้าอี้ไท่ซือ เก้าอี้ไม้มีพนักพิง มีที่วางแขน ฐานรองนั่งกว้าง  

 

 

[2] คนเขลาสามคน เทียบเท่าหนึ่งจูเก๋อเลี่ยง มีความหมายว่า แม้เป็นคนเขลาก็ตาม แต่หากมีความร่วมแรงร่วมใจกันเปิดกว้างรับความคิดเห็นของกันและกัน ก็จะสามารถคิดวิธีดีๆ ออกได้เช่นเดียวกับผู้มีปัญญาอย่างจูเก๋อเลี่ยง (ขงเบ้ง)  

 

 

[3] ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดย่อมหักโค่น เปรียบเปรยว่าหากทำตัวโดดเด่น มีแต่จะตกเป็นเป้าหมายของผู้อื่น ซ่อนเร้นความสามารถถึงจะเป็นทางเลือกที่ดี  

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด