ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน 4 ท่านพ่อ

Now you are reading ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน Chapter 4 ท่านพ่อ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ห้องหนังสือของอวี้เหวินถูกจัดให้อยู่ในเรือนข้างฝั่งทิศตะวันตกของเรือน เป็นห้องใหญ่ขนาดกว้างขวางห้องหนึ่ง ผนังสี่ด้านมีหนังสือกองสุม โต๊ะหนังสือหลังใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง ข้างโต๊ะมีอ่างลายครามวางอยู่หลายใบ ในอ่างม้วนภาพวาดสูงๆ ต่ำๆ เสียบอยู่ บนโต๊ะหนังสือมีอ่างปลาหลากสีใบเล็กตั้งอยู่ เลี้ยงปลาทองสีแดงกับสีดำเอาไว้อย่างละตัว  

 

 

อวี้ถังดันหลังบิดาเข้าไปในห้องหนังสือ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะมาทวงหยกแท่งก้อนนั้น นางต้องการหารือกับอวี้เหวินถึงอาการป่วยของมารดา  

 

 

ก่อนที่บิดาจะกลับมา นางได้ขบคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ชาติก่อนที่ครอบครัวนางต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ดูคล้ายว่ามีต้นเหตุมาจากเหตุการณ์ไฟไหม้ที่ถนนฉางซิ่ง ตามจริงแล้วเป็นเพราะอาการป่วยที่รักษาไม่หายขาดของมารดาต่างหากที่เป็นจุดเริ่มต้น  

 

 

หากนางต้องการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของชาติก่อน จำต้องลงมือจากเรื่องการเจ็บป่วยของมารดา  

 

 

มีเพียงรักษาอาการป่วยของมารดาให้หายขาด บิดาของนางจะได้เลิกร้อนใจวิ่งเสาะหาหมอไปทั่วสารทิศ เลิกเชื่อคำคนเป็นจริงเป็นจังเพียงเพราะได้ข่าวลือเบาๆ เพียงเสียงลมพัด แล้วพามารดาเดินทางไปรักษาตัวทุกที่ ส่วนเรื่องทรัพย์สมบัติ หากจะหมดก็ให้หมดสิ้นไป รักษาคนไว้ได้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด  

 

 

“ท่านพ่อ ท่านมิใช่ไปหาหมอหลวงหยางที่เมืองซูโจวหรือเจ้าคะ?” อวี้ถังจับกระถางไผ่ใบเกล็ดที่ตั้งอยู่บนชั้นหนังสือเล่น “ท่านหมอหลวงหยางว่าอย่างไรเจ้าคะ? อาการป่วยของท่านแม่เขารักษาได้หรือไม่?”  

 

 

อวี้เหวินยังเห็นอวี้ถังเป็นเพียงเด็กน้อย ตอบว่า “นี่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เจ้าไม่ต้องยุ่ง เจ้ารับผิดชอบอยู่เป็นเพื่อนมารดาของเจ้าให้ดีก็พอแล้ว อาการป่วยของมารดาเจ้า มีข้าอยู่แล้วนี่ไง!”  

 

 

อวี้ถังเอื้อมมือไปเด็ดไผ่ใบเกล็ดออกมากิ่งหนึ่ง แล้วแกล้งแหย่ปลาที่ว่ายวนอยู่ในอ่างเล่น “ท่านพ่อเลิกมองข้าเป็นเด็กเล็กๆ ได้แล้ว เรื่องที่ถนนฉางซิ่งไฟไหม้ข้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วเจ้าค่ะ ตอนนั้นข้ายังไปดูความวุ่นวายด้วยอยู่เลย และข้าก็ยังช่วยป้าสะใภ้ปิดบังเรื่องนี้จากท่านแม่ จนถึงวันนี้กระทั่งข่าวลือเล็กๆ ก็ไม่มีกระเด็นเข้าหู แม้แต่ป้าสะใภ้ยังเอ่ยชมข้าเลยนะเจ้าคะ”  

 

 

อวี้เหวินประหลาดใจยิ่ง มองดูบุตรสาวก่อกวนปลาทองสองตัวในอ่างจนว่ายน้ำวุ่นวายไปหมด เขาหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “เจ้าดูสภาพเจ้าสิ แหย่แมวไล่สุนัขไปวันๆ มีตรงไหนเหมือนเด็กสาวที่โตแล้วบ้าง? ข้าจะมองเจ้าว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วได้อย่างไร?”  

 

 

ตลอดเจ็ดปีที่อยู่ในสกุลหลี่ช่างขมขื่นนัก หากนางไม่มองหาความสำราญท่ามกลางความทุกข์ระทม เกรงว่านางคงไม่อาจมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้  

 

 

อวี้ถังแกล้งเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องโตเป็นผู้ใหญ่หรือเจ้าคะ? ท่านก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ก็ยังตะกละกินขนมแห้วของร้านทิวนอกเขาอยู่มิใช่หรือ”  

 

 

อวี้เหวินกระแอมเสียงสองทีอย่างเคอะเขิน แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ช่วงนี้อาการของมารดาเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? นางชอบปิดบังข้า ข้าไม่เคยรู้ความจริงเสียที!”  

 

 

อวี้ถังรอประโยคนี้ของบิดาอยู่พอดี นางรีบกล่าว “ท่านไม่บอกความลับของท่าน ข้าก็ไม่อยากบอกความลับของข้าให้ท่านฟังเช่นกัน”  

 

 

“ไอหยา! เจ้าตัวกลมของเรารู้จักต่อรองเสียแล้วสิ” อวี้เหวินกระเซ้าบุตรสาว เขาช้อนตาขึ้นมองสีหน้าจริงจังของนาง ในใจพลันเกิดความรู้สึกไม่คุ้นเคยขึ้นมาระลอกหนึ่ง คล้ายว่าเวลาเพียงชั่วพริบตา บุตรสาวของเขาก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่เพียงรู้ความ แต่ยังรู้จักห่วงใย ใส่ใจ และเข้าอกเข้าใจผู้เป็นบิดามารดา  

 

 

สิ่งนี้ทำให้เขาทั้งทอดถอนใจและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง  

 

 

ผู้อื่นล้วนบอกว่าเขาตามใจบุตรสาวเกินพอดี ทว่าบุตรสาวของเขาหาได้ถูกตามใจจนเสียนิสัยสักนิดไม่  

 

 

ทั้งยิ่งกตัญญูรู้คุณขึ้นทุกวัน  

 

 

อวี้เหวินจึงเคารพความต้องการของบุตรสาว  

 

 

ตัดสินใจมอบหยกแท่งที่บุตรสาวปรารถนาก้อนนั้นให้นางไปเล่นเสีย  

 

 

ทางหนึ่งเขาก็รื้อกล่องหาหยกแท่ง ทางหนึ่งก็เอ่ยว่า “ข้าไม่ได้พบหมอหลวงหยางหรอก ลูกศิษย์ของเขาบอกว่า หมอหลวงหยางนั้นได้รับบาดเจ็บตรงเส้นเอ็นที่มือสองข้างจึงไม่อาจรักษาใครได้อีก ถึงได้ลาออกมาจากสำนักหมอหลวง แล้วข้าจะดึงดันพบเขาให้ได้ได้อย่างไร”  

 

 

อวี้ถังชะงักไปเล็กน้อย  

 

 

ชาติก่อน หลังจากหมอหลวงหยางเดินทางกลับบ้านเก่าก็ไม่ได้รักษาโรคอีก นางนึกว่าหมอหลวงหยางชราภาพร่างกายทรุดโทรม คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้  

 

 

นางเอ่ยต่อว่า “ท่านพ่อ อาการป่วยของท่านแม่ ใช่ว่าต้องขอความช่วยเหลือจากท่านหมอหลวงหยางเท่านั้นหรือ?”  

 

 

ถ้าท่านพ่อคิดจะพาท่านแม่เดินทางไปเขาผู่ถัว ไม่ว่าอย่างไรนางจะต้องขัดขวางให้จงได้  

 

 

อวี้เหวินหาหยกแท่งก้อนนั้นเจอในที่สุด ก่อนจะตัดสินใจค้นหากล่องที่เหมาะสมสักใบมาใส่หยกแท่งให้นาง  

 

 

เขาเริ่มรื้อตู้และคว่ำกล่องอีกครั้ง “ลุงหลู่ของเจ้าเป็นคนแนะนำหมอหลวงหยางให้ข้า บอกว่าหมอหลวงหยางแต่ก่อนอยู่ในวังหลวงก็เชี่ยวชาญเรื่องโรคของสตรี ตอนที่พระพันปีตั้งพระครรภ์ฮ่องเต้ก็มีหมอหลวงหยางคอยให้การดูแล โรคเก่าของมารดาเจ้าเหลือทิ้งไว้หลังจากที่คลอดเจ้าออกมา แน่นอนว่าไปหาหมอหลวงหยางย่อมจะดีที่สุด”  

 

 

ลุงหลู่มีชื่อว่าหลู่ซิ่น อายุรุ่นราวคราวเดียวกับบิดาของนาง สองคนคบหาสนิทสนมกัน เขาก็คือคนที่ขายภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ให้กับบิดาของนาง เขายังเคยกล่อมให้บิดานางแต่งตำรากลอนขาย หลอกล่อให้บิดาควักเงินก้อนใหญ่ ผลสุดท้ายได้ตำรากลอนที่กลอนมากกว่าครึ่งเล่มเป็นของเขา ไม่มีผู้ใดจดจำบิดาของนางผู้ซึ่งเป็นคนออกทุนได้ ทว่ากลอนของหลู่ซิ่นกลับค่อยๆ ถูกเผยแพร่ออกไปด้วยเหตุฉะนี้เอง  

 

 

อวี้ถังถึงได้ไม่ชอบคนผู้นี้ จึงบอกว่า “ไม่ว่าเรื่องใดท่านก็อย่าเชื่อเขาไปเสียหมด ในเมื่อเขารู้ว่าหมอหลวงหยางขอลาออกกลับบ้านเก่า แล้วทำไมไม่สืบต่ออีกสักหน่อยเล่าว่าเขาลาออกด้วยเหตุผลใด? ผลกลับทำให้ท่านพ่อต้องวิ่งวุ่นเหนื่อยเปล่า ซ้ำทำให้ท่านแม่ต้องคอยห่วงกังวลอีก”  

 

 

ในที่สุดอวี้เหวินก็หากล่องแกะสลักสีแดงใบเล็กที่เหมาะสมเจอ เขานั่งลงบนเก้าอี้เกือกม้าที่อยู่หลังโต๊ะหนังสือ “เจ้าอย่าได้พูดจาเช่นนี้ ลุงหลู่ของเจ้าทำไปเพราะหวังดี ไม่เพียงเดินทางไปเมืองซูโจวเป็นเพื่อนข้าด้วยตนเอง ทั้งยังช่วยข้าสืบเรื่องหมอหลวงอีกคนนามว่าหวังไป๋ที่เก็บตัวอยู่บนเขาผู่ถัวอีกด้วย ทว่าหวังไป๋เชี่ยวชาญด้านเด็กเล็ก ไม่รู้จะรักษามารดาเจ้าให้หายได้หรือไม่?”  

 

 

ที่แท้เรื่องเขาผู่ถัวก็เกี่ยวพันกับหลู่ซิ่นด้วย  

 

 

อวี้ถังขุ่นเคืองหนัก กล่าวด้วยความโมโห “ท่านพ่อ ลุงหลู่เดินทางไปเมืองซูโจวเป็นเพื่อนท่าน เป็นท่านที่ออกเงินให้หรือว่าเป็นเขาที่ออกเงินเองเจ้าคะ?”  

 

 

อวี้เหวินหัวเราะแล้วตอบว่า “เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมคิดเล็กคิดน้อยนักเล่า?”  

 

 

นางรู้อยู่แล้วว่าหลู่ซิ่นหลอกใช้บิดานาง  

 

 

อวี้ถังเอ่ยอย่างกรุ่นโกรธว่า “ข้ากลับรู้สึกว่า ในเมื่อลุงหลู่รู้จักเหล่าหมอหลวงดีถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่แนะนำให้ท่านพาท่านแม่ไปหาหมอที่เมืองหลวงเสีย อย่างไรในเมืองหลวงก็มีหมอหลวงเดินอยู่ให้ทั่ว คนนี้ใช้ไม่ได้ก็ยังมีคนโน้น อย่างไรก็ต้องมีคนที่รักษาอาการของท่านแม่ได้แน่เจ้าค่ะ”  

 

 

อวี้เหวินหลุดหัวเราะ “เจ้าคิดว่าหมอหลวงเป็นตัวอะไร? ถึงจะได้เดินอยู่ทั่ว! ลุงหลู่ของเจ้าเป็นห่วงข้า ถึงได้คอยติดตามข่าวของหมอหลวงให้เป็นพิเศษ เจ้าจะพูดจาถึงลุงหลู่เช่นนี้ไม่ได้ ไม่ถูกมารยาทเลย”  

 

 

อวี้ถังอย่างไรก็จะเกลี้ยกล่อมให้บิดาพามารดาไปรักษาที่เมืองหลวงให้ได้  

 

 

ขอเพียงหลีกเลี่ยงสถานที่อันตรายนั้น นางก็จะรักษาครอบครัวไว้ได้ ครอบครัวของนางก็จะอยู่กันพร้อมหน้าและสงบสุข  

 

 

อวี้เหวินฟังอวี้ถังพูดจนเริ่มเอนเอียง แต่การเดินทางไปเมืองหลวงเป็นเรื่องใหญ่ หากว่าตัดสินใจแล้ว ย่อมจะมีหลายสิ่งต้องตระเตรียม  

 

 

เขาลองหยิบหยกแท่งใส่ลงในกล่อง เอ่ยอย่างใจลอยว่า “นี่เป็นหยกแท่งที่เจ้าอยากได้หนักหนา เก็บรักษาให้ดี อย่าได้ทำหายล่ะ ของสิ่งนี้ข้าแย่งมาจากมือลุงหลู่ของเจ้าเชียวนะ!”  

 

 

อวี้ถังในตอนนี้กระทั่งชื่อก็ไม่อยากจะได้ยินเพิ่มสักคำแล้ว “เช่นนั้นข้าไม่แย่งของรักของผู้อื่นหรอกเจ้าค่ะ ท่านยกแท่นฝนหมึกรูปใบบัวอันนั้นให้ข้าก็แล้วกัน!”  

 

 

“ให้เจ้าแล้วก็รับไปสิ!” อวี้เหวินยื่นของให้แล้วไม่เก็บกลับมาอีก ก่อนจะแกล้งแหย่อวี้ถังว่า “ข้าจะเก็บแท่นฝนหมึกรูปใบบัวเอาไว้ก่อน เอาไว้ใช้ต่อรองกับเจ้าครั้งหน้าเวลาที่เจ้าดื้อรั้น! หากว่าให้เจ้าไปตอนนี้ ข้ามิใช่ขาดทุนย่อยยับรึ!”  

 

 

อวี้ถังคิดได้ว่าหยกแท่งชิ้นนี้แท้จริงก็เป็นของดีมีค่า นางไม่ควรเอาความโกรธที่มีต่อหลู่ซิ่นมาพาลลงกับสิ่งของ  

 

 

หากว่านางรู้สึกเดียดฉันท์ไม่ชอบใจ ถึงเวลานั้นค่อยมอบเป็นของขวัญให้ผู้อื่นก็ยังได้  

 

 

อวี้ถังรับกล่องมาถือ เอ่ยขอบคุณบิดา หลังจากสองคนหารือกันหลายประโยคว่าหยกแท่งก้อนนี้ควรจะแกะเป็นตราประทับอย่างไรดี นางก็เอ่ยเตือนบิดาว่า “ท่านพ่อ หากต้องไปหาหมอที่เมืองหลวง ย่อมจะใช้เงินทองมากมาย ภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ผืนนั้น ท่านก็รับมาชื่นชมหลายวันแล้วมิใช่หรือ”  

 

 

อวี้เหวินแสร้งหัวเราะเหอะๆ  

 

 

ถ้าอวี้ถังไม่พูดขึ้นมา เขาก็คงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว  

 

 

อวี้เหวินไม่เคยวางแผนเรื่องเงินทอง ทั้งไม่เคยเรียกร้องต้องการ เขาจึงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้ากับลุงหลู่ของเจ้าเป็นเพื่อนรู้ใจ จ่ายเงินล่าช้าไปหลายวันหน่อยเขาก็ไม่ว่าอันใดหรอก อีกอย่างต่อให้ครอบครัวเราขัดสนเงินทอง แต่ไม่ขาดเงินค่ายาของมารดาเจ้าแน่ เจ้าไม่ต้องกังวล”  

 

 

อวี้ถังรู้อยู่แล้วว่าบิดาต้องตอบเช่นนี้  

 

 

นางเอ่ยต่อว่า “ท่านพ่อแต่ไรมาก็ไม่เคยดูบัญชีของครอบครัวกระมัง? ท่านลองไปถามป้าเฉินดูก็ได้เจ้าค่ะ”  

 

 

คนสกุลเฉินด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ แต่ไรมาก็ไม่เคยดูแลงานจุกจิกยิบย่อยในเรือน ป้าเฉินเองก็ไม่ทำให้คนสกุลเฉินผิดหวัง ธุระในเรือนที่อยู่ในมือนางล้วนได้รับการจัดการอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่เคยผิดพลาดเลยสักครั้ง  

 

 

อวี้เหวินถามด้วยสงสัยว่า “ไม่ถึงขึ้นที่ว่า…กระทั่งยาของมารดาเจ้าก็ซื้อไม่ไหวกระมัง?”  

 

 

อวี้ถังแค้นใจนักที่ไม่อาจเปลี่ยนเหล็กให้เป็นเหล็กกล้า และกล่าวอย่างเจ็บแค้น “กินใช้อย่างเดียวไม่หาเข้าอย่างไรก็ต้องหมด ร้านค้าของสกุลถูกไฟไหม้ไปแล้ว คงอีกนานที่จะไม่มีรายรับเข้ามา ยาของท่านแม่ไม่อาจขาดได้แม้แต่วันเดียว ท่านลุงก็คิดจะสร้างร้านค้าขึ้นมาใหม่ ท่านว่าเงินทองเหล่านี้จะเอามาจากไหนกัน?”  

 

 

อวี้เหวินรู้ว่าอวี้ถังไม่มีทางพูดจาเกินจริงเพียงเพราะไม่ต้องการให้เขาซื้อภาพวาดนั้นแน่  

 

 

เมื่องานอดิเรกส่วนตัวกับอาการป่วยของภรรยาสุดที่รักต้องขัดแย้งกัน อวี้เหวินก็ยอมถอยให้กับอาการป่วยของภรรยาโดยไร้ความลังเล  

 

 

“ข้ารู้แล้ว” เขารับปากด้วยท่าทีละอายเล็กน้อย  

 

 

อวี้ถังเชื่อว่าบิดาจะไม่ซื้อภาพวาดผืนนั้นแล้ว  

 

 

นางถอนหายใจโล่งอก แล้วยกเรื่องร้านค้ามาพูดอีกครั้ง “ป้าสะใภ้ใหญ่เกิดในตระกูลพ่อค้า ตอนที่ท่านปู่ยังอยู่ ก็เห็นว่าป้าสะใภ้เก่งกาจ ถึงไปสู่ขอป้าสะใภ้มาให้ท่านลุง อีกอย่างตอนที่ท่านปู่สิ้นใจก็สั่งเสียเอาไว้ ต่อไปเรื่องในร้านค้าห้ามกีดกันป้าสะใภ้เด็ดขาด ความหมายก็คือ ให้ท่านกับท่านลุงฟังความเห็นของป้าสะใภ้ให้มากหน่อย ปัญหาที่เกี่ยวกับร้านค้า ท่านควรปรึกษาป้าสะใภ้สักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ? ข้าเห็นว่าหลายวันนี้ท่านลุงกับพี่ชายวิ่งวุ่นจนซูบผอมแล้ว ปกติมีแต่ท่านลุงที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลครอบครัวเรา เวลาลำบากเช่นนี้ ท่านควรจะไปช่วยเหลือลุงใหญ่นะเจ้าคะ”  

 

 

ก่อนที่ท่านปู่ของนางจะจากไป ได้ฝากฝังเอาไว้เช่นนี้จริงๆ  

 

 

อวี้เหวินพยักหน้ารับ  

 

 

อวี้ถังจึงฉีกยิ้มจนตาหยี  

 

 

เกี่ยวกับปัญหาในครอบครัว นับว่าแก้ไขไปได้เปลาะเล็กๆ เปลาะหนึ่งแล้ว  

 

 

อวี้เหวินลูบศีรษะอวี้ถังเล่นพลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ช่วยรับหน้ามารดาเจ้าหน่อย ข้าได้โอกาสเหมาะก็จะไปหาท่านลุงใหญ่ของเจ้า”  

 

 

อวี้ถังตอบรับอย่างดีใจ มือก็ถือกล่องแกะสลักสีแดงเดินออกมาจากห้องหนังสือพร้อมกับบิดา  

 

 

คนสกุลเฉินให้อวี้ถังไปตามครอบครัวของลุงใหญ่มาทานข้าวที่เรือน “ช่วงที่ท่านพ่อเจ้าไม่อยู่บ้านต้องลำบากลุงใหญ่เจ้าไม่น้อย เจ้าไปเชิญลุงใหญ่มาดื่มสุรากับท่านพ่อเจ้าเถอะ จะได้คลายล้าได้บ้าง”  

 

 

พี่น้องสกุลอวี้แม้จะแยกเรือนกันอยู่ แต่เรือนสองหลังก็อยู่ติดๆ กัน ไปมาหาสู่กันอย่างสนิทสนมยิ่ง  

 

 

อวี้ถังพาซวงเถาออกทางประตูหลังแล้วเดินไปที่เรือนของลุงใหญ่  

 

 

คนสกุลหวังกำลังตรวจนับสินเจ้าสาวเดิมของตนอยู่  

 

 

อวี้ถังวิ่งพรวดเข้าไปในห้องของคนสกุลหวัง อวดอ้างความชอบของตนที่ข้างหูป้าสะใภ้ว่า “ข้าพูดกับท่านพ่อแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อบอกว่า เรื่องของร้านค้าจะมาหารือกับท่าน”  

 

 

นางหวังให้ป้าสะใภ้เป็นฝ่ายรุกสักหน่อย ไม่เช่นนั้นบิดาจับคนไหนได้ก็คงไปปรึกษาคนผู้นั้นอย่างไม่คิดมากอีก  

 

 

ป้าสะใภ้ปลาบปลื้มนัก จะยื่นมือไปหยิกแก้มอวี้ถังเล่น “เด็กดี ยิ่งฉลาดขึ้นทุกวัน มีแววจะดูแลผู้อื่นได้แล้วสิ”  

 

 

อวี้ถังหมุนศีรษะ เบี่ยงตัวหลบ ‘กรงเล็บ’ ของป้าสะใภ้ใหญ่ แล้วลากซวงเถาวิ่งหนีไป “ท่านรีบตามมานะเจ้าคะ ท่านแม่กับท่านพ่อข้ารออยู่ที่เรือนแล้วเจ้าค่ะ!”  

 

 

——————————–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด